ยามนี้เหล่าไท่จวินรู้สึกว่าหลี่เมิ่งซีเอาแต่ใจเกินไปหน่อย แต่ด้วยคิดว่าการหย่าเป็นเรื่องแน่นอนแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เซียวจวิ้นยังไม่ฟื้นจึงไม่สะดวกจะเอ่ยถึงเรื่องนี้ ช้าเร็วค่อยสั่งสอนหลี่เมิ่งซีก็ได้ ยังไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้น ครั้นเห็นนายหญิงใหญ่หน้าเปลี่ยนสีก็รู้ว่านางเกลียดหลี่เมิ่งซี เกรงว่าลูกสะใภ้ที่ไม่รู้หนักเบาผู้นี้จะวู่วาม เหล่าไท่จวินจึงชิงเอ่ยปากเสียก่อน
“ทำให้เหล่าไท่จวินเป็นห่วงแล้ว ลูกสะใภ้ได้ยินว่าจวิ้นเอ๋อร์เป็นลมอยู่ในศาลบรรพชน รู้สึกไม่วางใจจึงรีบมาดู จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่พูดพลางให้เป่าจูประคองไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง
เห็นลูกชายที่ไม่ได้สติ หัวใจก็เจ็บปวดนัก นางยื่นมือไปแตะหน้าผากที่ร้อนผ่าวของเขา ครั้นเห็นแขนขาทั้งสี่ของเขาแข็งทื่อและกระตุกเป็นพักๆ ท่าทางไม่เหมือนกับเป็นลมเพราะคุกเข่านานเกินไป นางก็ตกใจ น้ำตาพรั่งพรูออกมา ไหนเลยจะจำเรื่องที่หลี่เมิ่งซีไร้มารยาทได้อีก
“ลูกแม่ ไฉนอยู่ดีๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ข้าอายุสี่สิบกว่าแล้ว มีลูกอกตัญญูอย่างเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้ายังทำให้แม่เป็นกังวลถึงเพียงนี้อีกหรือ หากเจ้าเป็นอะไรไปจะให้ข้าพึ่งพาใครได้…”
นายหญิงใหญ่ร้องไห้พลางมองนายท่านใหญ่อย่างขุ่นเคือง นายท่านใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าก็ซีดเผือดไปเช่นกัน เขาลอบตำหนิตนเองว่าสะเพร่า เมื่อวานลืมไปว่ามือของลูกชายมีแผลอยู่ ไม่ทันได้ทำแผลก็ลงโทษให้เขาไปคุกเข่าแล้ว
“ลูกสะใภ้อย่าเสียใจนักเลย จวิ้นเอ๋อร์แค่มีแผลที่มือเท่านั้น เมื่อครู่ซีเอ๋อร์จัดการให้แล้ว ทั้งยังกินยาแล้วด้วย ตอนนี้จวิ้นเอ๋อร์เริ่มมีเหงื่อออกมาแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ช่วงนี้ลูกสะใภ้ร่างกายไม่แข็งแรง อย่าได้เหนื่อยใจเช่นนี้อีกเลย”
ได้ยินเหล่าไท่จวินพูดถึงหลี่เมิ่งซี นายหญิงใหญ่ก็หันไปมองลูกสะใภ้ และเห็นสายตาที่นางมองมาพอดี ครั้นเห็นสีหน้าเรียบเฉยของหลี่เมิ่งซีแล้ว หันไปมองจางซิ่วที่ร้องไห้จนตาบวมแดง ตนก็อดโมโหในความเย็นชาไร้หัวใจของนางไม่ได้ จวิ้นเอ๋อร์เป็นเช่นนี้เพราะนาง ทว่านางกลับทำตัวราวกับเป็นคนนอก ไม่เป็นห่วงสามีเลยแม้แต่น้อย คิดถึงความไร้มารยาทของนางเมื่อครู่นี้แล้ว ฟันก็ขบกันจนดังกึกๆ จ้องหลี่เมิ่งซีด้วยความขุ่นแค้น แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เวลานี้เองสาวใช้คนหนึ่งก็เข้ามารายงาน “เรียนเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ สะใภ้รอง ยาต้มเสร็จแล้ว จะประคบขาให้คุณชายรองตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“ยา? ประคบขา?” เหล่าไท่จวินทวนคำพูดอย่างงุนงง
หงจูเห็นเหล่าไท่จวินถามจึงรีบก้าวขึ้นมาตอบ “เรียนเหล่าไท่จวิน เป็นคำสั่งของสะใภ้รองเจ้าค่ะ บอกว่าคุณชายรองคุกเข่าอยู่ในศาลบรรพชนหนึ่งวันหนึ่งคืน ไอเย็นแทรกเข้าสู่ขาแล้ว หากไม่รีบขับออกมาจะทิ้งโรคเรื้อรังไว้ได้ วันหน้าเมื่อเจออากาศชื้นหรือฝนตกก็จะปวดขา จึงสั่งให้บ่าวต้มยาเพื่อประคบขาให้คุณชายรองเจ้าค่ะ”
ฟังหงจูอธิบายแล้ว ทุกคนต่างมองหลี่เมิ่งซี เหล่าไท่จวินถามอย่างไม่เข้าใจ “เรื่องนี้ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ซีเอ๋อร์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร มีตัวยาอะไรบ้าง แล้วใช้ได้ผลแน่หรือ”
หลี่เมิ่งซีเห็นนายหญิงใหญ่ไม่หาเรื่องตน นางจึงรู้สึกผิดหวัง ครั้นได้ยินเหล่าไท่จวินถามจึงบังเกิดความคิดและตอบว่า “เรียนเหล่าไท่จวิน เมิ่งซีแต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียว เนื่องจากอายุน้อยไม่รู้ความมักทำผิดกฎธรรมเนียมของสกุลอยู่บ่อยๆ ทำให้นายหญิงใหญ่โมโหและถูกลงโทษให้คุกเข่า นานวันเข้าพออากาศชื้นจะปวดขา จึงสั่งให้จือชิวไปซื้อยาที่ร้านยาอี๋ชุน หลงจู๊ร้านยาอี๋ชุนเป็นคนจิตใจดี มอบตำรับยาให้จือชิวและบอกว่าให้ใช้ยานี้ประคบขา สามารถรักษาอาการปวดได้เป็นปลิดทิ้ง เมิ่งซีใช้หลายครั้งแล้วได้ผลดีจริงๆ จึงจดจำไว้ วันนี้เห็นคุณชายรองถูกลงโทษจึงคิดถึงตำรับยานี้ขึ้นมา เมื่อครู่มัวแต่ห่วงแผลที่มือของคุณชายรองจึงลืมรายงานเหล่าไท่จวินเรื่องนี้ไป ขอเหล่าไท่จวินโปรดอภัยด้วย นี่เป็นตำรับยาที่ให้เอาไปต้มเมื่อครู่นี้ เชิญเหล่าไท่จวินตรวจดู ใช้ได้หรือไม่ต้องขอให้เหล่าไท่จวินเป็นผู้วินิจฉัยด้วยเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็รับตำรับยาจากมือจือซย่ามาส่งให้
ซื่อฮว่าเข้ามารับไปและส่งให้เหล่าไท่จวิน