X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 1 ตอนที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่ 2

ห้องครัวในคฤหาสน์สกุลเซียวแบ่งเป็นห้องครัวนอกกับห้องครัวใน ห้องครัวในรับผิดชอบอาหารสามเวลาของเจ้านายทั้งหลายโดยเฉพาะ ห้องครัวนอกรับผิดชอบอาหารสามเวลาของข้ารับใช้ ผู้ดูแลห้องครัวคือภรรยาของจางรุ่ยสมุห์บัญชี แต่ละเรือนยังมีห้องครัวเล็ก แต่โดยทั่วไปไม่อนุญาตให้ทำอาหาร พวกอี๋เหนียงคนโปรดบางครั้งที่อยากกินอาหารใดเป็นพิเศษก็ต้องมาขออนุญาตจากนายท่านของตนเองก่อน ถึงจะให้แม่ครัวมาทำอาหารที่ห้องครัวเล็กในเรือนของตนเองได้

ประจวบเหมาะที่วันนี้ผู้ดูแลห้องครัวไม่อยู่ มีเพียงบ่าวหญิงสูงวัยแซ่ซุนนำสาวใช้ทำความสะอาด เตรียมอาหารกลางวัน เห็นหงซิ่งประคองสตรีงามเฉิดฉันผู้หนึ่งเดินเข้ามา ต่างก็หยุดงานที่ทำอยู่ในมือ

หงซิ่งเห็นทุกคนเอาแต่ยืนจ้องพวกนางนิ่ง นางจึงรีบตะโกน “สะใภ้รองมาต้มโจ๊กให้คุณชายรอง พวกเจ้ายังไม่รีบเข้ามาคารวะอีก!”

“คารวะสะใภ้รอง!” บ่าวอาวุโสแซ่ซุนรีบนำสาวใช้ทั้งหลายคุกเข่า “ท่านมีอะไรจะสั่ง ส่งสาวใช้มาบอกก็พอเจ้าค่ะ เหตุใดจึงมาด้วยตนเองเล่าเจ้าคะ”

“ลุกขึ้นเถอะ ร่างกายของคุณชายรองเพิ่งฟื้นตัว ยังคงอ่อนแออยู่ ข้าจะมาต้มโจ๊กสมุนไพรให้คุณชายรองสักหน่อย ซุนหมัวมัวเตรียมเตาให้ข้าสักเตาเถอะ” หลี่เมิ่งซีสั่งด้วยน้ำเสียงสุขุม

บ่าวหญิงแซ่ซุนคิดในใจ นี่หรือเจ้าสาวที่มาแต่งงานเสริมมงคลเมื่อวาน ไม่พูดถึงเรื่องที่กฎระเบียบในจวนไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้ ในบรรดาบุตรีสกุลใหญ่ทั้งหลายมีใครเข้าครัวด้วยตนเองบ้างเล่า คิดแล้วก็ดูหมิ่นอยู่ในใจ แต่มิได้ขัดขวาง รีบสั่งให้สาวใช้เตรียมเตากับเครื่องครัวให้ครบครัน แล้วยืนชมความครึกครื้นอยู่ด้านข้าง

หลี่เมิ่งซีใคร่ครวญดูแล้วก็สั่งให้สาวใช้ในครัวนำใบหม่อนที่เก็บในฤดูหนาว ดอกเบญจมาศ ชวนเป้ยหมู่ ใบไห่ถังออกมา ล้างให้สะอาดและบรรจุลงในถุงผ้าโปร่งสะอาด จากนั้นใส่ลงในโถดินเผา เติมน้ำสะอาดที่ตักมาจากบ่อ ต้มครึ่งชั่วยาม และช้อนกากยาออก เติมข้าวเมล็ดกลมเข้าไปต้มให้สุก ใส่น้ำตาลกรวดเล็กน้อย แล้วสั่งให้คนตักขึ้นมาและหาเครื่องเคียงสี่อย่าง ก่อนจะให้สาวใช้ยกตามมา ส่วนตนเองก็ให้หงซิ่งประคองเดินกลับเรือน

โจ๊กซังจวี๋ ชามนี้เทียบกับของชาติก่อนที่นางเคยทำจะมีไห่ถังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งอย่าง หลี่เมิ่งซีเลือกทำโจ๊กซังจวี๋ หนึ่งเพราะใบหม่อนและดอกเบญจมาศสามารถรักษาภาวะตับพร่องได้ ทั้งบำรุงโลหิตและบำรุงสายตา เหมาะกับสภาพร่างกายของเซียวจวิ้นตอนนี้พอดี สองเพราะต้องการเพิ่มใบไห่ถังเข้าไป ใบไห่ถังมีรสอ่อน แต่ใบหม่อนกับชวนเป้ยหมู่มีรสเข้มข้น ใช้กลบกันได้พอดี ทั้งยังเพิ่มกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเบญจมาศเข้าไป เซียวจวิ้นจะต้องแยกแยะรสชาติของใบไห่ถังไม่ออกแน่ นางไม่กลัวถ้าเซียวจวิ้นจะจับได้ว่ามีรสชาติของใบไห่ถังสักครั้งสองครั้ง แต่หากกินต่อเนื่องนานหนึ่งเดือน ถ้าเซียวจวิ้นรู้เข้าจะต้องสงสัยแน่ หลี่เมิ่งซีเพิ่งแต่งเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ จำเป็นต้องรอบคอบทุกอย่าง และคอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เกรงว่าหากพลาดไปแม้เพียงก้าวเดียวจะถูกคฤหาสน์หลังใหญ่นี้กลืนกินเข้าไป ชาติก่อนนางเห็นการแก่งแย่งชิงดีของสตรีในคฤหาสน์หลังใหญ่ทางละครทีวีมามาก ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะถึงคราวที่ตนเองต้องมาแสดงเองบ้าง

 

หลี่เมิ่งซีกลับถึงเรือน หงจู หงอวี้กินอาหารเสร็จแล้ว ยามนี้กำลังปรนนิบัติเซียวจวิ้นอยู่ในห้อง

เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีเข้ามา ปรายตามองนางแวบหนึ่งและเอ่ยถามเสียงเย็น “ตอนเช้าหายไปที่ใดมา”

“เรียนคุณชายรอง ข้าภรรยาคิดว่าร่างกายของคุณชายรองยังอ่อนแอ จึงไปห้องครัวต้มโจ๊กซังจวี๋มาให้คุณชายรองเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีก้าวขึ้นไปย่อกายตอบ

เซียวจวิ้นกวาดตามองถาดอาหารที่สาวใช้ด้านหลังหงซิ่งยกเข้ามา ใบหน้าพลันบึ้งตึง

“หลี่เมิ่งซี ในเมื่อเจ้าแต่งเข้าสกุลเซียวของพวกเราแล้วก็ต้องจดจำฐานะของตนเองไว้เสมอ ทำตามกฎธรรมเนียมของสกุลเซียว เป็นถึงประมุขหญิงในอนาคตของสกุลสูงศักดิ์ จะลดตัวไปคลุกคลีกับข้ารับใช้ได้อย่างไร ถึงเจ้าไม่อับอายก็อย่ามาทำให้ข้าต้องเสียหน้า!”

“คุณชายรองอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ ล้วนเป็นความผิดของบ่าว สะใภ้รองไม่รู้กฎธรรมเนียมสกุลเซียว บ่าวไม่อาจห้ามสะใภ้รองไม่ให้ไปห้องครัวใหญ่ได้ ขอคุณชายรองโปรดลงโทษด้วย” หงซิ่งเห็นเซียวจวิ้นบันดาลโทสะก็คุกเข่าลงทันที แล้วโขกศีรษะติดๆ กัน

“บ่าวไม่ได้ปรนนิบัติสะใภ้รองให้ดี ขอคุณชายรองโปรดลงโทษด้วย” หงจู หงอวี้คุกเข่าตามพลางมองหลี่เมิ่งซีอย่างขุ่นเคือง สะใภ้รองผู้นี้จะสำรวมตัวหน่อยมิได้หรือไร เข้าบ้านมาวันแรกก็ทำให้คุณชายรองโกรธเสียแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไป วันหน้าจะใช้ชีวิตอย่างไร

สาวใช้รุ่นเล็กข้างหลังก็คุกเข่าตามไปด้วย

หลี่เมิ่งซีถึงได้ตระหนักว่าตนเองบุ่มบ่ามเกินไปเสียแล้ว ที่แท้นี่เป็นกฎระเบียบของสกุลใหญ่ หากประมุขหญิงต้องการเอาใจสามีด้วยการลงมือทำกับข้าวเอง ก็ได้แต่ทำอาหารอยู่ในห้องครัวเล็กในเรือนหลังของตน ไม่อนุญาตให้ไปที่ห้องครัวใหญ่ ข้ารับใช้ในห้องครัวใหญ่มีฐานะต่ำต้อยเกินไป ทั้งผู้คนยังปะปนกันมากมาย ย่อมเสื่อมเสียเกียรติของประมุขหญิงของบ้าน

“คุณชายรอง เดิมทีข้าภรรยาไม่รู้ว่ามีกฎระเบียบเช่นนี้ หงซิ่งเพียงทำตามคำสั่งของข้า คุณชายรองโปรดอย่าตำหนิหงซิ่งเลย เป็นความผิดของข้าภรรยาเอง คุณชายรองโปรดลงโทษด้วย” หลี่เมิ่งซีก้าวขึ้นไปตอบอย่างนอบน้อม

เซียวจวิ้นเหลือบมองหลี่เมิ่งซีแวบหนึ่งและออกคำสั่ง “ใครก็ได้ หงซิ่งรู้กฎระเบียบในคฤหาสน์ดี แต่กลับไม่รู้จักตักเตือนสะใภ้รองว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ลากตัวออกไป ตบปากสิบที!”

“คุณชายรองโปรดอย่าลงโทษหงซิ่งเลย ข้าภรรยาบังคับหงซิ่งเองเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีหน้าซีดเผือดทันใด แต่ยังฝืนวางตัวสุขุมขอร้องเซียวจวิ้น

“ลากตัวออกไป ตบปากสิบห้าที!”

“บ่าวขอร้องสะใภ้รองอย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายรองที่ลงโทษ บ่าวจะไปรับโทษเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

หงซิ่งเห็นใบหน้าของเซียวจวิ้นบึ้งตึงขึ้นทุกที นางเหลือบมองสะใภ้รองอย่างขุ่นเคือง โขกศีรษะติดๆ กัน ก่อนจะถูกบ่าวหญิงสูงวัยลากตัวออกไป

“ตั้งสำรับเถอะ!” เซียวจวิ้นกวาดตามองหงจู หงอวี้ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น แล้วพูดเสียงเย็น

หงจู หงอวี้รีบลุกขึ้น ส่งสายตาให้สาวใช้รุ่นเล็กทั้งหลายออกไปยกน้ำเข้ามา ก่อนจะชุบผ้ากับน้ำเช็ดมือให้เซียวจวิ้น ยกโต๊ะมาหน้าเตียงจัดเรียงอาหาร และปรนนิบัติเซียวจวิ้นกินโจ๊ก

เซียวจวิ้นทำเหมือนตอนเช้าคือไม่ได้ให้หลี่เมิ่งซีปรนนิบัติ นางเพียงนั่งหน้าซีดขาวบนเก้าอี้อย่างสำรวม เหล่าสาวใช้ยิ่งระมัดระวัง เกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นแล้วทำให้คุณชายรองโมโหอีก ในห้องเงียบจนได้ยินเพียงเสียงชามตะเกียบกับเสียงกินโจ๊กของคุณชายรอง

เวลานี้เอง สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าเหล่าไท่จวินสั่งให้หลี่เมิ่งซีไปยกน้ำชาที่เรือนหลัก

หงจูรีบเข้ามาปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีแต่งตัว สวมสีแดงจัดอีกครั้ง ทิ้งหงอวี้ให้อยู่ปรนนิบัติเซียวจวิ้น จากนั้นประคองหลี่เมิ่งซีออกจากประตู มีสาวใช้เตรียมเกี้ยวหลังเล็กเอาไว้แล้ว ก่อนที่คนกลุ่มหนึ่งจะมุ่งหน้าไปยังเรือนโซ่วสี่ของเหล่าไท่จวินอย่างเร่งรีบ

พอถึงเรือนพักของเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีก็ลงจากเกี้ยว นางให้หงจูประคองเข้าประตูชั้นใน สองฝั่งเป็นระเบียงโอบรอบ ตรงกลางเป็นโถงทางเดิน มีฉากบังลมไม้ประดู่ลายหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เดินอ้อมฉากบังลมไปเป็นโถงใหญ่สามห้อง ด้านหลังโถงเป็นหมู่เรือนกลาง ตรงหน้าเป็นห้องเจ็ดห้อง ล้วนประกอบด้วยขื่อคานแกะสลักกับเสาวาดลวดลาย ตรงกลางเป็นแผ่นป้ายสีทอง บนแผ่นป้ายมีอักษรตัวใหญ่สามตัวเขียนว่า ‘เรือนโซ่วสี่’ สองฝั่งของห้องหลักล้วนมีห้องเล็ก ด้านข้างเป็นระเบียงทางเดินเชื่อมต่อกับเรือนปีกข้าง ทางทิศใต้ของเรือนปีกข้างก็มีห้องเล็กเช่นกัน

หลี่เมิ่งซีเข้าไปในห้องหลัก เดินอ้อมฉากบังลมไม้หนานมู่ลายทอง ลายต้นสนกับนกกระเรียนไป ก่อนจะเห็นเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ และคนอื่นๆ นั่งสง่างามอยู่ในห้องโถงแล้ว

หลี่เมิ่งซีก้าวไปข้างหน้าช้าๆ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเหล่าไท่จวิน โขกศีรษะสามครั้ง สาวใช้ซึ่งเตรียมน้ำชาไว้ก่อนแล้วถือถาดเข้ามา หลี่เมิ่งซีหยิบน้ำชาและยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ

“หลานสะใภ้คารวะเหล่าไท่จวิน ขอให้เหล่าไท่จวินมีความสุขสมบูรณ์เจ้าค่ะ”

เหล่าไท่จวินรับน้ำชา เปิดฝาถ้วยจิบคำเล็กและวางลงบนโต๊ะด้านข้าง “สกุลเซียวของข้านับตั้งแต่ก่อตั้งมาสร้างคุณงามความชอบมาทุกยุคทุกสมัย สืบทอดความมั่งคั่งสูงศักดิ์มาถึงห้ารุ่นแล้ว จวบจนบัดนี้มีอายุนับร้อยปี ไม่เหมือนกับสกุลเล็กทั่วไป จวิ้นเอ๋อร์จะเป็นประมุขรุ่นต่อไปของสกุลเซียวข้า ไม่อาจเกิดเหตุผิดพลาดได้แม้แต่น้อย ในเมื่อซีเอ๋อร์แต่งเข้ามาแล้วก็ต้องจดจำกฎธรรมเนียมของบรรพบุรุษเราให้แม่นยำ ปฏิบัติตามกฎธรรมเนียมอยู่เสมอ ระวังอย่าให้ผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้ ถึงเวลานั้นอย่าหาว่าสกุลเซียวไม่ละเว้นเจ้า นับแต่นี้ไปซีเอ๋อร์ต้องกตัญญูพ่อแม่สามี ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์ เอ็นดูลูกๆ ของจวิ้นเอ๋อร์ เข้าใจหรือไม่”

แท้จริงแล้วคำพูดของเหล่าไท่จวินนั้นเข้าใจง่ายมาก เป็นการสั่งให้ ‘เจ้าหลี่เมิ่งซีนับแต่นี้ไปต้องกตัญญูพ่อแม่ ดูแลบุตร เห็นสามีเป็นดังท้องฟ้า เชื่อฟังคำสั่งสอนแต่โดยดี หาไม่แล้วจะถูกหย่า!’

“หลานจะเชื่อฟังคำสอนของเหล่าไท่จวินอย่างเคร่งครัด ขอบคุณเหล่าไท่จวินที่อบรม หลานจะจดจำไว้ในใจและปฏิบัติตามอยู่เสมอเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีโขกศีรษะตอบ

เหล่าไท่จวินโบกมือ สาวใช้ยกถาดใบหนึ่งเข้ามา เป็นของขวัญที่เหล่าไท่จวินเตรียมไว้ก่อนแล้ว กำไลหยกมันแพะ สีขาวคู่หนึ่งกับปิ่นเงินประดับเส้นทองฝังอัญมณี

หลี่เมิ่งซีโขกศีรษะขอบคุณและรับไว้ ส่งให้หงจูช่วยเก็บ จากนั้นจึงหันไปยกน้ำชาให้นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่ตามลำดับ

นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็อบรมนางเช่นกัน ไม่พ้นเรื่องกำชับว่าอย่าลืมกฎธรรมเนียมของบรรพบุรุษ ต้องกตัญญูต่อเหล่าไท่จวิน พ่อแม่สามี เกื้อหนุนสามี และอบรมบุตร หลี่เมิ่งซีกล่าวขอบคุณตามลำดับและรับของขวัญที่ผู้ใหญ่มอบให้ นายท่านใหญ่มอบปิ่นกับต่างหูให้คู่หนึ่งและหยกประดับชิ้นหนึ่ง นายหญิงใหญ่มอบตำรา ‘คำสอนสตรี’ เล่มหนึ่ง กับตำรา ‘ข้อห้ามสตรี’ อีกเล่มหนึ่ง ซึ่งหลี่เมิ่งซีล้วนรับไว้อย่างสำรวม

ยกน้ำชาให้เหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และนายหญิงใหญ่เสร็จแล้ว เหล่าไท่จวินก็สั่งให้บ่าวหญิงสูงวัยพาหลี่เมิ่งซีไปทักทายกับคนอื่นๆ ในครอบครัว ที่แท้นายท่านใหญ่ผู้นี้มีนามว่าเซียวเฉิน เป็นประมุขสกุลเซียวรุ่นที่ห้า มีหนึ่งภรรยาสามอนุ ภรรยาเอกคือชุยซื่อ อนุทั้งสามได้แก่ อี๋ไท่ใหญ่หวังซื่อ อี๋ไท่รองจางซื่อ และอี๋ไท่สามหลี่ซื่อ เซียวเฉินมีบุตรชายสามคนบุตรสาวสองคน บุตรสาวคนโตและบุตรชายคนรองเกิดจากนางชุยซื่อผู้เป็นภรรยาเอก บุตรชายคนโตเซียวชิงเกิดจากอี๋ไท่ใหญ่ ปีนี้อายุยี่สิบสอง บุตรชายคนที่สามเซียวอวิ้นเกิดจากอี๋ไท่รอง ปีนี้อายุสิบหก บุตรสาวคนรองเซียวหวาเกิดจากอี๋ไท่สาม ปีนี้อายุสิบเจ็ด แต่งเป็นภรรยาของซือถูโซ่วบุตรคนรองที่เกิดจากอนุของสกุลใหญ่ซือถู

บ่าวหญิงสูงวัยพาหลี่เมิ่งซีไปคารวะคุณชายใหญ่ สะใภ้ใหญ่จางซื่อ และคุณชายสาม จากนั้นอี๋ไท่ทั้งสามที่อยู่ด้านหลังชุยซื่อจึงเข้ามาคารวะหลี่เมิ่งซีตามลำดับ ขณะที่หลี่เมิ่งซีก็คารวะตอบ

กฎหมายต้าฉีกำหนดไว้ว่าบุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุ แต่มีเพียงภรรยาเอกเท่านั้นที่นับเป็นเจ้านายอย่างแท้จริง ภรรยาคนอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงบ่าว แม้จะเป็นถึงอี๋ไท่ แต่ก็ต้องถือว่าหลี่เมิ่งซีเป็นเจ้านาย

ยกน้ำชาเสร็จ เหล่าไท่จวินจึงสั่งให้คนประคองหลี่เมิ่งซีไปนั่งฝั่งขวามือของสะใภ้ใหญ่ สาวใช้ก็ยกน้ำชามาให้หลี่เมิ่งซี

“ซีเอ๋อร์ ได้ยินว่าวันนี้เจ้าเข้าครัวต้มโจ๊กให้จวิ้นเอ๋อร์ด้วยตนเองหรือ” เหล่าไท่จวินรอให้หลี่เมิ่งซีนั่งเรียบร้อยแล้วจึงค่อยถามเสียงเย็น

หลี่เมิ่งซีตกใจ คฤหาสน์สกุลเซียวกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เรื่องที่ตนเพิ่งทำไปกลับรู้ถึงหูเหล่าไท่จวินเสียแล้ว น้ำในคฤหาสน์สกุลเซียวหลังนี้ลึกเพียงใดกันแน่

นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น “หลานเพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเซียว จึงยังไม่ทราบกฎธรรมเนียมภายในคฤหาสน์ ใจคิดแต่เพียงว่าคุณชายรองป่วยมานานเพิ่งหายดี แต่ม้ามและกระเพาะยังอ่อนแออยู่ ขึ้นชื่อว่ายาย่อมมีพิษอยู่สามส่วน แทนที่จะใช้ยารักษา มิสู้ใช้อาหารบำรุงร่างกาย ด้วยใจห่วงแต่สุขภาพของคุณชายรอง ไม่คิดว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎธรรมเนียม เหล่าไท่จวินโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

นายท่านใหญ่ได้ยินว่าพอหลี่เมิ่งซีเข้ามา อาการป่วยของบุตรชายก็ดีขึ้น หลี่เมิ่งซีจะต้องมีดวงหนุนจวิ้นเอ๋อร์แน่ ในใจจึงยอมรับหลี่เมิ่งซีไปแล้วส่วนหนึ่ง วันนี้พบหลี่เมิ่งซีครั้งแรก เห็นท่าทางสุภาพสง่างามของนางยามยกน้ำชา บุคลิกสุขุมเยือกเย็น ไม่ประหม่าแม้แต่น้อย ทั้งยังวางตัวเหมาะสม กิริยาวาจาไม่หยาบคาย ไม่มีท่าทางเอาแต่ใจเหมือนที่ผู้คนเล่าลือกันแม้แต่น้อย ในใจเขาก็นึกชื่นชมขึ้นอีกสามส่วน ทั้งยังได้ยินนางบอกว่าใจคิดแต่จะบำรุงร่างกายให้บุตรชาย ความชื่นชอบในใจจึงยิ่งเพิ่มขึ้น การไปห้องครัวใหญ่โดยพลการหาใช่เรื่องใหญ่อันใด เขาไม่อยากลงโทษหลี่เมิ่งซีจริงๆ แต่ก็เกรงว่ามารดาจะวางระเบียบกับหลานสะใภ้คนใหม่ หากลงโทษหลี่เมิ่งซีจริงก็กลัวว่าจะทำให้นางหมดใจได้ เขาจึงเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน

“เจ้ารู้เรื่องยาและอาหารได้อย่างไร”

“เรียนนายท่าน บิดาที่บ้านเดิมร่างกายอ่อนแอมานานปี มารดามักทำโจ๊กสมุนไพรให้บิดาอยู่บ่อยครั้ง ลูกจึงเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ การปรุงโจ๊กสมุนไพรต้องอาศัยความรู้ โดยเฉพาะต้องปรับตามสภาพอากาศของแต่ละช่วง เป็นต้นว่าหน้าร้อนอากาศร้อน ร่างกายถูกไอร้อนและร้อนในได้ง่าย เหมาะจะกินโจ๊กที่ช่วยระบายความร้อน ขับพิษ ดับกระหาย เช่น โจ๊กถั่วเขียว โจ๊กเม็ดบัว โจ๊กถั่วเขียวมีรสหวานฤทธิ์เย็นจัด มีสรรพคุณระบายความร้อน ขับพิษ บรรเทาพิษจากความร้อนได้ โจ๊กเม็ดบัวบำรุงม้ามกับกระเพาะ บำรุงเลือดลม รักษาอาการท้องร่วง บรรเทาอาการนอนไม่หลับในช่วงหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศแห้งต้องกินโจ๊กที่มีสรรพคุณเพิ่มความชุ่มชื้น อบอุ่นร่างกาย บำรุงปอด บำรุงเลือดลม เช่น โจ๊กเม็ดบัวช่วยให้สดชื่น เพิ่มสารอาหารแก่ร่างกาย โจ๊กถั่วแปบช่วยปรับสมดุลร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน โจ๊กหูเถา ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้ง โจ๊กเมล็ดสนเพิ่มความชุ่มชื้นให้ปอด บำรุงลำไส้ โจ๊กรังนกบำรุงปอด ระงับอาการไอ

ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นต้องกินโจ๊กเนื้อแกะที่ช่วยบำรุงธาตุหยาง ให้ความอบอุ่นและสกัดกั้นไอหนาว ตอนเช้าลูกได้ยินหมอบอกว่าคุณชายรองตับกระเพาะอ่อนแอ ใจคิดว่าตอนนี้ฤดูร้อน ไฟในตับลุกโหมได้ง่ายจึงคิดถึงโจ๊กซังจวี๋ที่มารดาต้มในฤดูร้อนทุกปี ใบหม่อนรักษาอาการตับพร่องได้ ดอกเบญจมาศบำรุงโลหิตและบำรุงสายตา ลูกยังเพิ่มชวนเป้ยหมู่ลงไปในโจ๊กด้วย สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ปอดและระงับอาการไอ”

หลี่เมิ่งซีคิดว่าอย่างไรนายท่านใหญ่ก็ไม่อาจไปสอบถามท่านแม่ในนามของนางได้อยู่แล้วว่าเรื่องต้มโจ๊กสมุนไพรนี้เป็นจริงหรือไม่ นางจึงกุเรื่องขึ้นมาส่งเดช แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งมั่นคง มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย

“จะทำโจ๊กสมุนไพรแค่บอกวิธีกับแม่ครัวก็พอ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง” นายหญิงใหญ่พูดเสียงเย็น

“เรียนนายหญิง ขั้นตอนการทำโจ๊กสมุนไพรต้องอาศัยความพิถีพิถันอย่างมาก เพราะจะส่งผลถึงคุณภาพของโจ๊ก เช่นการเลือกข้าว ต้องเป็นข้าวเมล็ดกลม ข้าวหอมดีที่สุด ข้าวหนัก ข้าวเบารองลงมา ทั้งยังต้องเลือกข้าวดีที่สดใหม่มีคุณภาพ ข้าวต้องไม่ขึ้นรา น้ำที่ใช้หุงต้องดูว่าสะอาดหรือไม่ อีกทั้งต้องเติมน้ำให้พอดีในคราวเดียว ห้ามเติมน้ำระหว่างต้ม รสชาติโจ๊กถึงจะออกมาดี การต้มโจ๊กต้องต้มจนยางข้าวและรสชาติออกมา แต่ต้องไม่ทำลายสารอาหารภายใน ไฟที่ใช้ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญ ไฟที่ว่ารวมถึงไฟแรงไฟอ่อน ระยะเวลาที่ต้ม รวมถึงลำดับการใส่วัตถุดิบ

ไฟแรงไฟอ่อนแบ่งเป็นไฟเหวินเป็นไฟอ่อน ไฟอู่เป็นไฟแรง ไฟเหวินอู่เป็นไฟปานกลาง โจ๊กสมุนไพรต่างชนิดใช้ระดับไฟที่ต่างกัน แม้แต่โจ๊กชนิดเดียวกันยังใช้ไฟที่ต่างกันในแต่ละช่วงของการต้ม ลำดับการใส่วัตถุดิบก็ไม่เหมือนกัน วัตถุดิบที่สุกยากลงหม้อก่อน ที่สุกง่ายลงหม้อทีหลัง ที่สูญเสียสารอาหารง่ายลงหม้อเป็นลำดับสุดท้าย โดยทั่วไปจะต้องต้มข้าวก่อน แล้วค่อยใส่สมุนไพร สุดท้ายจึงปรุงรส เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจอธิบายให้เข้าใจได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ลูกคิดว่าร่างกายของคุณชายรองสำคัญมาก ให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้คุณชายรองกินส่งเดช สิ้นเปลืองวัตถุดิบโดยเปล่าประโยชน์อาจเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่งผลเสียต่อร่างกายคุณชายรองเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นลูกจึงลงมือทำด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีลอบคร่ำครวญกับตนเองในใจ ขอโทษด้วยนะคุณชายรอง เพื่อให้ร่างอันบอบบางของข้าไม่ต้องถูกลงโทษ จึงได้แต่เอาสุขภาพของท่านมาเป็นโล่กำบังแล้ว

“หลานสะใภ้คนดี ลำบากเจ้าแล้วที่ขบคิดอย่างรอบคอบเช่นนี้ เห็นแก่ที่เจ้าคำนึงถึงสุขภาพของคุณชายรอง ครั้งนี้ไม่ลงโทษแล้วกัน แต่ว่าครั้งหน้าห้ามเจ้าฝ่าฝืนกฎระเบียบอีก” เหล่าไท่จวินผงกศีรษะพูด ใบหน้าแต้มยิ้ม

“หลานขอบคุณในความเมตตาของเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ วันหน้าจะจดจำกฎระเบียบของคฤหาสน์ แต่หลานยังมีอีกเรื่องที่อยากขอ หวังว่าเหล่าไท่จวินจะเมตตาด้วย” หลี่เมิ่งซีโขกศีรษะให้เหล่าไท่จวิน

“เรื่องอะไรหรือ”

“หลานอยากขออนุญาตใช้ห้องครัวเล็กในเรือนของคุณชายรองได้หรือไม่ ช่วงนี้ร่างกายของคุณชายรองยังอ่อนแอมาก หลานอยากดูแลอาหารการกินทั้งสามเวลาของคุณชายรองในแต่ละวันด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

ถ้าไม่เข้าครัวแล้วจะถอนพิษให้เซียวจวิ้นได้อย่างไร ตั้งหนึ่งเดือนเชียวนะ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง หลี่เมิ่งซีกำลังพยายามไขว่คว้าโอกาสในการทำโจ๊กสมุนไพรให้เซียวจวิ้น นี่เป็นจรรยาบรรณและคุณธรรมของคนเป็นหมอ แม้นั่นจะเป็นเรื่องในอดีตเมื่อชาติก่อนแล้ว แต่นางยังคงยึดมั่นในจรรยาบรรณอย่างยิ่ง

“ดี!ๆๆ ลำบากเจ้าแล้วที่ทุ่มเทดูแลจวิ้นเอ๋อร์อย่างเต็มที่ นับเป็นบุญวาสนาของจวิ้นเอ๋อร์!” เหล่าไท่จวินรับปากพลางพยักหน้า หันไปพูดกับนายหญิงใหญ่ “ลูกสะใภ้ นับแต่นี้ไปอาหารการกินของจวิ้นเอ๋อร์กับซีเอ๋อร์ให้ส่งตรงไปที่ห้องครัวเล็กในเรือนจวิ้นเอ๋อร์เลย ส่งแม่ครัวฝีมือคล่องแคล่วไปอีกสองคนด้วย ดูว่าห้องครัวขาดเหลืออะไรและเพิ่มเติมให้ครบถ้วน”

“ลูกจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ชุยซื่อพูดพลางหันไปสั่งคนให้ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

“ซีเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว”

“ขอบคุณเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีรู้สึกว่าสองขาของตนชาไปหมดแล้ว นางให้หงจูประคองยืนขึ้น พอยืนขึ้นก็เห็นสีหน้าของจางอี๋ไท่ที่ยืนอยู่หลังชุยซื่อ ดวงตาของจางอี๋ไท่มีความร้ายกาจวูบขึ้นมา หลี่เมิ่งซีตกใจ ชุยซื่อไม่ชอบตน นางรู้สึกตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เซียวจวิ้นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนาง พ่อแม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ ในยุคปัจจุบันก็พบเห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งหลี่เมิ่งซีเข้าใจได้ แต่ตนกับจางอี๋ไท่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ตนไม่ได้แย่งสามีนางสักหน่อย ทั้งยังไม่ได้ขวางทางนางตรงที่ใด ไยนางจึงเคียดแค้นตนเช่นนี้เล่า

แม้จะคิดเช่นนี้ แต่ใบหน้าของหลี่เมิ่งซียังคงสุขุม เพียงแต่หลังจากนี้ไปนางคงต้องระวังจางอี๋ไท่เป็นพิเศษ หลังจากหงจูประคองตนนั่งลง หลี่เมิ่งซีถึงได้พบว่าใต้ชุดสีแดงจัดนี้ล้วนเปียกเหงื่อจนแนบติดไปกับแผ่นหลังแล้ว

ความจริง หลี่เมิ่งซีไม่รู้ว่าชื่อเสียงของหลี่เมิ่งเฟยพี่สาวที่นางแต่งงานแทนนั้นฉาวโฉ่เพียงใดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนในคฤหาสน์สกุลเซียวต่างรู้เรื่องที่ชุยซื่อจงใจหลีกเลี่ยงการแต่งงาน หลี่เมิ่งซีทะลุมิติมาตอนที่เจ้าของร่างนี้ปฏิเสธการแต่งงานแทนพี่สาวและกำลังผูกคอตายบนขื่อ พอนางฟื้นขึ้นมาก็ถูกนายท่านสกุลหลี่กักบริเวณไว้ในเรือนหลัง ไม่ให้ติดต่อกับผู้ใด เรียนรู้ธรรมเนียมมารยาทกับหมัวมัวเพื่อเตรียมออกเรือนเท่านั้น หลี่เมิ่งซีเองก็กลัวว่าฐานะที่แท้จริงของตนเองจะถูกเปิดเผยจึงยิ่งจงใจเหินห่างกับคนสกุลหลี่ แม้แต่หลี่เมิ่งเฟยนางก็ยังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอเป็นเช่นไร

ฮือๆ ถ้าหลี่เมิ่งซีตัวจริงรู้เรื่องพวกนี้จะต้องเอาหัวโขกกำแพงเป็นแน่ สวรรค์! ท่านจะล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ เล่นแบบนี้ข้าอาจจะตายได้!

เหล่าไท่จวินสนทนาเรื่องทั่วไปกับนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่นั่งฝั่งขวามือของเหล่าไท่จวิน ถัดมาเป็นคุณชายใหญ่เซียวชิง คุณชายสามเซียวอวิ้น ตอนที่สายตาของหลี่เมิ่งซีกวาดมองคุณชายใหญ่นั้น ก็พบว่าเขากำลังมองนางอยู่ หลี่เมิ่งซีรู้สึกเหมือนกับเห็นแววเห็นใจสงสาร นางจึงรีบเลื่อนสายตาไปทางอื่น แต่กลับปะทะกับสายตาของคุณชายสามที่เหมือนบ่อน้ำลึก นางดึงสายตากลับมา รู้สึกว่าจางซื่อที่อยู่ข้างกายนั่งอย่างสง่างาม ไม่พูดไม่จา ในใจพลันคิดถึงแววร้ายกาจในดวงตาของจางอี๋ไท่ จู่ๆ หลี่เมิ่งซีก็รู้สึกว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ นางมองไม่ออกเลยสักคนเดียว สำหรับนางแล้ว ทุกคนเหมือนมีขุนเขานับพันสายน้ำนับหมื่นขวางกั้นอยู่ มีเพียงนางที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังกลางห้องโถงกว้างใหญ่นี้ นอกจากความหนาวแล้วก็มีแต่ความหนาว

ใครกันแน่ที่ต้องการสังหารคุณชายรอง เป็นคนที่อยู่ในห้องนี้หรือว่าเป็นคนอื่น ขณะที่หลี่เมิ่งซีกำลังขบคิด พลันได้ยินเสียงเหล่าไท่จวินบอกให้ตั้งสำรับ

นางกำลังจะลุกขึ้นกลับได้ยินเหล่าไท่จวินบอกว่า “ซีเอ๋อร์ จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรง เจ้าไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติตอนกินอาหารกลางวันที่นี่แล้ว ที่นี่มีแม่สามีกับพี่สะใภ้ของเจ้าอยู่ กลับไปดูแลจวิ้นเอ๋อร์ให้ดีเถอะ ตอนบ่ายให้อี๋เหนียงและบุตรสาวของจวิ้นเอ๋อร์ไปยกน้ำชาคารวะเจ้า เจ้าเองก็ควรพบพวกนางได้แล้ว”

หลี่เมิ่งซีรับคำ คารวะนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ ก่อนจะเดินนำหงจูกับบ่าวหญิงสูงวัยทั้งหลายออกไป

 

เมื่อกลับถึงเรือนของตนเอง หลี่เมิ่งซีก็พบว่าเซียวจวิ้นไม่อยู่ สาวใช้บอกว่าคุณชายรองกินอาหารเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า จึงให้หงอวี้ประคองไปเดินเล่นในสวนดอกไม้

หลี่เมิ่งซีถือโอกาสนี้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า สั่งคนยกสำรับเข้ามา นางกินลวกๆ เพียงไม่กี่คำและสั่งให้คนนำไปเก็บยังห้องครัวเล็ก

เหนื่อยจัง! หลี่เมิ่งซีรู้สึกว่าตลอดช่วงเช้า นางเหมือนล้อที่หมุนไม่ได้หยุด อยากเอนกายบนเตียงหลับสักงีบเหลือเกิน แต่พอคิดว่าไม่รู้เซียวจวิ้นจะกลับมาเมื่อไร นางจึงหลับตาพักผ่อนบนตั่งนุ่มแทน

ท่ามกลางความสะลึมสะลือ หลี่เมิ่งซีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหงอวี้ลอยมา “คุณชายรองช้าหน่อยเจ้าค่ะ”

เซียวจวิ้นกลับมาแล้ว! หลี่เมิ่งซีรีบลุกขึ้น เดินไปที่ประตู

หงอวี้เลิกม่านประคองเซียวจวิ้นเข้ามาแล้ว

“คุณชายรองกลับมาแล้วหรือ รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” หลี่เมิ่งซีย่อกาย ก้าวขึ้นไปยื่นมือหมายจะประคองเขา

เซียวจวิ้นกลับเดินอ้อมนางมานั่งลงบนขอบเตียง “ดีขึ้นมากแล้ว ไปพบเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่มาแล้วหรือ”

“พบแล้วเจ้าค่ะ เหล่าไท่จวินมอบกำไลหยกมันแพะสีขาวคู่หนึ่งกับปิ่นเงินประดับทองขดพันฝังอัญมณีอันหนึ่งให้ข้าภรรยา นายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ก็มอบของขวัญให้ด้วย” หลี่เมิ่งซีพยายามชวนคุย

“รู้แล้ว เจ้าเก็บรักษาไว้เองเถอะ” เซียวจวิ้นหยิบหนังสือตรงหัวเตียงขึ้นมาพลางพูด เหล่าสาวใช้ถอยออกไปหมดแล้ว

จู่ๆ หลี่เมิ่งซีก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี บรรยากาศเงียบงัน ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหนดี นางได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสำรวม ในห้องเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองคน

“คือ…คือว่า เหล่าไท่จวินสั่งให้ข้าภรรยาพบอี๋เหนียงทั้งสี่และบุตรสาวทั้งหลายของท่านบ่ายวันนี้”

เหมือนผ่านไปนานนับร้อยปี หลี่เมิ่งซีทำลายความเงียบลงด้วยความอึดอัด นางคิดว่าถึงอย่างไรเซียวจวิ้นก็เป็นสามีของตน ดูท่าทางตอนนี้เขายังดูสดชื่นดี หากเขาไปพบอี๋เหนียงกับตน ตนย่อมพอมีที่พึ่งพาอยู่บ้าง ภรรยาเอกเข้าบ้าน ยามที่อี๋เหนียงยกน้ำชาคารวะหากมีสามีอยู่เป็นเพื่อน จะได้เป็นการเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับภรรยาเอกด้วย วันหน้าจะได้ไม่ถูกอี๋เหนียงรังแก เซียวจวิ้นร่างกายไม่แข็งแรง เหล่าไท่จวินสั่งแล้วว่าไม่ต้องไปเป็นเพื่อนนาง แต่หลี่เมิ่งซีอยากให้เขาไปด้วย นางอยากหาที่พึ่งสักเล็กน้อย…แค่เล็กน้อยเท่านั้น นางถึงได้พูดเช่นนี้

“ข้ารู้แล้ว สั่งให้อี๋เหนียงกับแม่นางจากเรือนต่างๆ มาแล้ว เจ้าก็ไปเองเถอะ!” เซียวจวิ้นอ่านหนังสือพลางตอบ

หลี่เมิ่งซีอยากเห็นเหลือเกินว่าเขาอ่านหนังสืออันใดอยู่ น่าดึงดูดถึงเพียงนี้เชียวหรือ ดึงดูดจนเขาเอาแต่จ้องหนังสือ จ้องแล้วจ้องอีกโดยไม่แม้แต่จะพลิกหน้าด้วยซ้ำ

“เอ่อ คือ…ของขวัญที่จะมอบให้อี๋เหนียงทั้งสี่กับแม่นางน้อยทั้งหลายเตรียมไว้หรือยังเจ้าคะ” หลี่เมิ่งซีถามอีก

เซียวจวิ้นเงยหน้าขึ้นมาในที่สุด มองนางเหมือนจะพูดว่า นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าควรจัดเตรียมหรือ

“คือว่า…ข้าภรรยาเพิ่งเข้ามา ไม่ทราบความชื่นชอบของอี๋เหนียงและแม่นางน้อยทั้งหลาย” หลี่เมิ่งซีก้มหน้ามองมือตนเองขณะพูด

“เจ้าไปถามหงจู หงอวี้เถอะ” เซียวจวิ้นพูดจบก็ก้มหน้าจ้องหนังสือหน้านั้นอีกครั้ง

หลี่เมิ่งซีเงยหน้าจับจ้องเซียวจวิ้นที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ เห็นทีหนังสือหน้านั้นจะปักดอกไม้ไว้จริงๆ ทั้งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นสาวงาม ไม่แน่อาจเป็นภาพวังวสันต์ ก็ได้ หาไม่แล้วเหตุใดคุณชายรองถึงจ้องเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอเล่า หลี่เมิ่งซีบ่นอยู่ในใจอย่างร้ายกาจ

นางต้องการไหล่เขาเป็นที่พึ่งพิง แต่กลับพบว่าเขาไม่ใช่อ่าวที่นางจะหยุดเรือได้ เมื่อตระหนักในความจริงข้อนี้แล้ว ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นข้าภรรยาขอตัวก่อน”

“อืม”

หลี่เมิ่งซียืดตัวขึ้น นางยืดอกและก้าวเดินออกไปช้าๆ

เซียวจวิ้นเงยหน้าขึ้นในที่สุด ดวงตาแฝงแววขบคิดขณะจ้องมองแผ่นหลังของนางเงียบๆ

 

หลี่เมิ่งซีมาถึงห้องโถงหลักแล้วก็สั่งให้คนตามหงจู หงอวี้เข้ามา “พวกเจ้าได้เตรียมของขวัญสำหรับอี๋เหนียงและแม่นางน้อยทั้งหลายไว้หรือไม่”

“เรียนสะใภ้รอง นายหญิงสั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วเจ้าค่ะ” หงจูโบกมือให้สาวใช้ออกไปพลางตอบ ทั้งยังแนะนำอี๋เหนียงแต่ละคนของเซียวจวิ้นให้หลี่เมิ่งซีฟัง

“ก่อนสะใภ้รองจะแต่งเข้ามา คุณชายรองรับอี๋เหนียงมาทั้งหมดสี่คน อี๋เหนียงใหญ่ชื่อหวังลี่จวิน ปีนี้อายุยี่สิบสอง แต่งเข้ามาตอนคุณชายรองอายุสิบสี่ ให้กำเนิดบุตรสาวสองคน คุณหนูใหญ่เซียวชุนปีนี้อายุห้าขวบ คุณหนูสามเซียวเฟิ่งปีนี้อายุสามขวบ”

“อี๋เหนียงรองแซ่เฉิน ชื่อเฉินฟาง ปีนี้อายุสิบเก้า สามปีก่อนมีบุตรชายคนหนึ่ง เหล่าไท่จวินดีใจจนยิ้มไม่หุบ คฤหาสน์สกุลเซียวจัดงานฉลอง เฉินอี๋เหนียงเป็นที่โปรดปรานอยู่ช่วงหนึ่ง คุณชายรองกลับคฤหาสน์ทีไรก็จะตรงไปที่เรือนของเฉินอี๋เหนียง แต่เรื่องดีคงอยู่ได้ไม่นาน เด็กเสียชีวิตไปเมื่อตอนสองขวบ เฉินอี๋เหนียงคงได้รับความสะเทือนใจเกินไปจึงคลุ้มคลั่งอยู่ช่วงหนึ่ง เห็นเด็กที่ไหนก็บอกว่าเป็นลูกชายของตน นับแต่นั้นมา นางก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบอีก สองปีมานี้คุณชายรองแทบไม่เคยย่างกรายเข้าไปในเรือนของนางเลย”

“อี๋เหนียงสามชื่อจางเยี่ยน ปีนี้อายุสิบแปด เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของคุณหนูรอง คุณหนูรองชื่อเซียวผิง ปีนี้อายุสี่ขวบ”

“อี๋เหนียงสี่ชื่อหลี่ชุนซิ่ว ปีนี้อายุสิบห้า เพิ่งแต่งเข้ามาได้ปีกว่า หลี่อี๋เหนียงช่างออดอ้อนเป็นที่สุด ทั้งยังมีเสน่ห์เย้ายวน ตอนนี้เป็นคนโปรดของคุณชายรอง…”

หลี่เมิ่งซีกำลังฟังหงจูเล่า สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าอี๋เหนียงทั้งหลายมารออยู่ข้างนอกแล้ว หลี่เมิ่งซีสั่งให้เข้ามา เพียงครู่เดียวอี๋เหนียงทั้งสี่ก็เดินนวยนาดเข้ามา แต่ละคนมีสาวใช้สองคนคอยประคอง

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 16 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: