X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5

ไม่ผิดไปจากที่จือชิวกับจือชุนคาดเดาเลยสักนิด เรื่องที่นายหญิงใหญ่ส่งเป่าจูไปรับเซียวจวิ้นที่ประตูชั้นในเป็นความคิดของจางซิ่วจริงๆ

ที่แท้จางซิ่วผู้นี้ได้ยินว่าเหล่าไท่จวินให้เซียวจวิ้นกับหลี่เมิ่งซีไปขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดจิ้งอวิ๋นด้วยกัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่จางซิ่วขาดความสุขุม การแต่งงานเสริมมงคลเป็นแผลในใจของจางซิ่วมาเสมอ คิดว่าการแต่งงานนี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้นางด้อยกว่าหลี่เมิ่งซี

ตอนแรกเดิมทีนางดึงดันจะแต่งงานกับเซียวจวิ้นให้ได้ แต่มิอาจต้านทานการโน้มน้าวด้วยความหวังดีของมารดา บอกว่าแม้แต่หมอหลวงยังมีความเห็นว่าเซียวจวิ้นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งเดือน นางแต่งเข้ามาก็จะเป็นม่ายทันที นางโมโหตนเองเหลือเกิน ไฉนจึงถูกผีปีศาจล่อลวงจิตใจ รับปากมารดาหมั้นหมายกับผู้อื่น แล้วเปิดโอกาสให้หลี่เมิ่งซีแต่งเข้ามา

ที่แท้การแต่งงานเสริมมงคลเป็นเรื่องง่ายดายถึงเพียงนี้ สองคนกราบไหว้ฟ้าดิน โรคของพี่ชายก็หายดีแล้ว ทั้งที่นางก็ทำได้เหมือนกัน ทั้งยังเอาใจใส่ได้มากกว่าหลี่เมิ่งซีเสียด้วยซ้ำ

ย้อนคิดดูแล้วให้เสียใจภายหลังยิ่งนัก ตอนนั้นหากนางบอกว่าจะเป็นคนแต่งงานเอง สกุลหลี่จะต้องยินดีถอยออกไปแน่ ย่อมไม่มีหลี่เมิ่งซีที่เกะกะขวางตาผู้นี้

จางซิ่วกลัวจริงๆ ว่าหลี่เมิ่งซีจะฉวยโอกาสตอนไปไหว้พระล่อลวงเซียวจวิ้น สั่นคลอนความคิดในการหย่าของเซียวจวิ้น ยิ่งกลัวว่าการไป ‘ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์’ จะทำให้เซียวจวิ้นคิดถึงการแต่งงานเสริมมงคล ตำหนินางที่ในอดีตไม่หนักแน่นพอ ไม่ยืนกรานแต่งงานกับเขา

มองหมอนลายยวนยางที่ปักเสร็จแล้ว จางซิ่วก็เหม่อลอยเล็กน้อย นางพูดเรื่องนี้กับปิงซิน อวี้ซิน สุดท้ายปิงซินจึงบอกว่า “ตั้งแต่คุณชายรองกับสะใภ้รองแต่งงาน นี่เป็นครั้งแรกที่ออกไปข้างนอกด้วยกัน กลับมาแล้วก็น่าจะกินอาหารด้วยกัน เช่นนี้ผู้อื่นย่อมมองว่าพวกเขาสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง สะใภ้รองเองก็ได้หน้าไปด้วย มิสู้คุณหนูไปขอร้องนายหญิงใหญ่เถอะ ให้นายหญิงใหญ่ส่งคนไปรับคุณชายรองที่ประตูชั้นใน หนึ่งคือข้ารับใช้ล้วนเห็นว่าทั้งสองออกไปไหว้พระด้วยกันเป็นเพียงคำสั่งของเหล่าไท่จวินที่ขัดขืนไม่ได้เท่านั้น พอคุณชายรองกลับคฤหาสน์ก็รีบมาพบคุณหนูและเปิดเผยความในใจอย่างทนรอต่อไปไม่ไหว อย่างน้อยก็สามารถข่มสะใภ้รองได้ สองคือเผื่อคุณชายรองรู้สึกหวั่นไหวกับสะใภ้รองตอนที่ไปไหว้พระด้วยกัน ขอเพียงคุณหนูปรากฏตัวตรงหน้าคุณชายรอง แล้วพูดถึงข้อเสียของสะใภ้รองอย่างไม่ตั้งใจสักหน่อย ความคิดเช่นนั้นของคุณชายรองย่อมถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว”

จางซิ่วฟังแล้วก็ขบคิดดู เห็นว่าเป็นความคิดที่ดี จึงพาปิงซินตรงไปยังเรือนของนายหญิงใหญ่

เริ่มแรกนายหญิงใหญ่รู้สึกว่าทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะนัก ถึงอย่างไรหลี่เมิ่งซีก็เป็นภรรยาเอกที่แต่งเข้ามาด้วยเกี้ยวแปดคนหาม สามีภรรยาไปไหว้พระด้วยกัน เดิมทีควรกินอาหารด้วยกันอยู่แล้ว ทั้งยังไม่มีเรื่องด่วนอะไร ไปชิงคนที่ประตูชั้นในเช่นนี้จะทำให้สะใภ้รองจับผิดเอาได้ หากเรื่องรู้ถึงหูเหล่าไท่จวินย่อมไม่เป็นผลดี

ทว่านายหญิงใหญ่กลับต้านทานวาจาหว่านล้อมของจางซิ่วไม่ได้ นางได้ยินจางซิ่วพูดว่า “ท่านน้าจะกลัวอะไรเล่าเจ้าคะ ตั้งแต่โบราณมา คนเป็นแม่คิดถึงลูกชาย อยากกินอาหารกับลูกชาย นี่นับเป็นเรื่องปกติที่สุดแล้ว ท่านน้าส่งคนไปเชิญเถอะเจ้าค่ะ หากพี่สะใภ้ขัดขวางไม่ยินยอมและอาละวาด ข้ารับใช้ที่ประตูต่างมองดูอยู่ เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไปแล้ว มีแต่จะพูดว่าสะใภ้รองอกตัญญู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางไม่ได้ไปคารวะผู้ใหญ่หลายวันแล้ว ทว่ากลับมีแรงไปไหว้พระเสียได้ หากท่านน้าเอาสองเรื่องนี้มาคิดบัญชีกับสะใภ้รองพร้อมกัน หาว่านาง ‘ไม่เคารพบิดามารดา’ ก็ไม่นับว่าเกินไปเลย เป็นการหาข้ออ้างให้เหล่าไท่จวินหย่านางได้อย่างสมเหตุสมผลพอดี”

จางซิ่วพูดจบ เห็นนายหญิงใหญ่ยังคงลังเล นางจึงออดอ้อน “ท่านน้า แม้เหตุผลออกจะดูฝืดฝืนไปสักหน่อย แต่เจตนาของเหล่าไท่จวินเป็นเช่นไร ท่านน้าเองก็รู้มิใช่หรือ ยามนี้ก็แค่ต้องการเหตุผลสักข้อหนึ่งในการหย่าเท่านั้น”

นายหญิงใหญ่ฟังคำพูดจางซิ่วแล้ว ขบคิดดูก็เห็นด้วย หลายวันนี้เหล่าไท่จวินที่มีอุบายลึกล้ำมาตลอดเริ่มเปลี่ยนท่าทีไปแล้ว จากเดิมที่ไม่แสดงจุดยืนมาตลอด บัดนี้ความคิดที่จะให้จวิ้นเอ๋อร์แต่งงานใหม่กับจางซิ่วกลับฟ้องอยู่บนใบหน้า เกรงว่าคงแค่หาเหตุผลดีๆ ในการหย่าสะใภ้รองไม่ได้ ถึงได้รั้งรอมาจนถึงวันนี้

คิดเช่นนี้ นายหญิงใหญ่ทางหนึ่งชมจางซิ่วว่าเฉลียวฉลาด อีกทางหนึ่งก็ส่งเป่าจูไปดักรอเซียวจวิ้นที่ประตูชั้นใน

จางซิ่วหวังอยากให้หลี่เมิ่งซีอาละวาดที่ประตูชั้นใน เมื่อเป็นเช่นนี้ดวงตาหลายร้อยคู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวย่อมมองเห็นทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าหลี่เมิ่งซีจะไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแค่ตรงกลับเรือนเซียวเซียงไปเฉยๆ

นอกจากรู้สึกผิดหวังแล้ว จางซิ่วยังลอบดีใจ พอได้ยินว่านายหญิงใหญ่เรียกไปพบ พี่ชายก็ตรงมาหาทันที เห็นทีความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับพี่สะใภ้จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะการไปไหว้พระครั้งนี้ ในใจพี่ชายยังคงคิดถึงนางอยู่

จางซิ่วยังติดใจเรื่องที่เซียวจวิ้นเชิญหมอมาตรวจหลี่เมิ่งซี อยากหารือกับเขาว่าจะใช้เหตุผลใดมาสร้างความลำบากใจให้หลี่เมิ่งซี แต่อย่างไรตนก็เป็นสตรี พูดโจ่งแจ้งเกินไป หากเซียวจวิ้นคิดว่าตนมีอุบายลึกล้ำย่อมไม่ดีแน่

ขบคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจว่ารอให้พี่ชายกลับมาก่อนดีกว่า ตนจะหาโอกาสพูดเรื่องนี้ แล้วให้ท่านน้ากับพี่ชายรับเรื่องนี้ไปจัดการต่อเอง พวกเขาย่อมวางแผนหาหนทางที่ดีที่สุดในการหย่าพี่สะใภ้ได้

ทว่าความจริงไม่เป็นไปตามที่คิดเลย บางทีอาจเพราะเหล่าไท่จวินบังคับให้พี่ชายไปไหว้พระขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับพี่สะใภ้ ทำให้พี่ชายไม่พอใจ ตั้งแต่เข้ามาในเรือนหยั่งซินพี่ชายก็มีสีหน้าบึ้งตึงตลอด คารวะท่านน้าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ระหว่างอาหารมื้อนั้น จำนวนคำที่พี่ชายพูดสามารถใช้มือข้างเดียวนับได้หมด เห็นพี่ชายเป็นเช่นนี้ จางซิ่วจึงล้มเลิกแผนการเดิม นางไม่อาจพูดถึงพี่สะใภ้ตอนที่พี่ชายอารมณ์ไม่ดี แบบนั้นพี่ชายจะยิ่งไม่ชอบใจ เวลานี้นางอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ เขาอย่างเงียบๆ ก็พอ นางเป็นคนที่เข้าใจคนรักมากที่สุดอยู่แล้ว!

กินอาหารเสร็จเซียวจวิ้นก็จากไป เนื่องจากเห็นเขาอารมณ์ไม่ดี จางซิ่วจึงกลัดกลุ้มมาก นางเอนกายอยู่บนตั่งนุ่มอย่างเบื่อหน่าย แม้แต่การจัดเตรียมสินเจ้าสาวที่กระตือรือร้นมาตลอดยังปลุกความสนใจของนางไม่ได้เลย

ปิงซินเห็นดังนั้นจึงบ่นอยู่ด้านข้าง “คุณหนูก็จริงๆ เลย อุตส่าห์เตรียมเรื่องพูดไว้อย่างดีแล้ว พอเห็นคุณชายรองอารมณ์ไม่ดีก็ไม่เอ่ยถึงเสียอย่างนั้น บ่าวคิดว่าบางทีคุณชายรองอาจกลุ้มใจเรื่องหย่าสะใภ้รองไม่ได้ก็เป็นได้ คุณหนูเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาย่อมแก้ปมในใจของคุณชายรอง ไม่แน่คุณชายรองอาจอารมณ์ดีขึ้นก็ได้เจ้าค่ะ”

จางซิ่วเหลือบมองปิงซินแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ใช่ว่าข้าไม่คิดเช่นนี้ เพียงแต่เจ้าไม่เห็นสีหน้าหม่นหมองของพี่ชาย ท่านน้าชวนคุยตั้งหลายเรื่อง พี่ชายมิใช่พยักหน้าก็รับคำในคอ ไม่คุยต่อเลยสักเรื่องหนึ่ง คิดว่าคงไม่มีอารมณ์จะเอ่ยปากมากกว่า”

“คุณหนูพูดมาก็ถูก แต่หมู่นี้คุณชายรองงานเยอะ ไม่ค่อยได้อยู่ในคฤหาสน์ ยากนักที่จะมีโอกาสได้พบหน้า หากไม่หารือให้ดี เกรงว่าถึงเวลาจริงๆ แล้วจะเกิดความผิดพลาด กระทั่งเสียโอกาสดีๆ ไปนะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้นอกจากน้าเขยที่ไม่รู้ว่าคิดอย่างไรแล้ว ทั้งเหล่าไท่จวิน ท่านน้า และพี่ชายล้วนมีความคิดที่จะหย่าพี่สะใภ้ทั้งสิ้น ขาดแค่เพียงโอกาสอันเหมาะสมเท่านั้น พรุ่งนี้ตอนพี่สะใภ้ไปคารวะผู้ใหญ่ ข้าจะหาโอกาสพูดเรื่องนี้ มีท่านน้าช่วยสนับสนุนอีกแรง เหล่าไท่จวินเพียงแค่ผลักเรือตามน้ำ ไม่แน่ไม่ต้องให้พี่ชายเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็สำเร็จแล้ว”

“แล้วพรุ่งนี้สะใภ้รองจะไปที่เรือนโซ่วสี่หรือเจ้าคะ”

จางซิ่วปรายตามองปิงซิน ไฉนสาวใช้ผู้นี้จึงโง่ขนาดนี้นะ แค่นี้ก็คิดไม่ได้ หลี่เมิ่งซีไปไหว้พระได้แล้ว ยังจะไม่ไปคารวะผู้ใหญ่ได้อีกหรือ นางอยากให้พรุ่งนี้หลี่เมิ่งซีไม่ไปคารวะผู้ใหญ่จริงเชียว เช่นนั้นนางย่อมไม่ต้องเปลืองแรงให้มาก

จางซิ่วเฉลียวฉลาด นอกจากจิตใจของเซียวจวิ้นแล้ว การคาดเดาของนางกล่าวได้ว่าแม่นยำทั้งหมด น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ตั้งใจไขว่คว้าหาความรัก ทว่าไม่เคยใส่ใจเรื่องราวในราชสำนัก เพราะมองว่านั่นเป็นเรื่องของบุรุษไม่เกี่ยวกับนาง ทว่านางกลับไม่รู้ว่าเรื่องในราชสำนักเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของสกุลเซียว เหล่าไท่จวินที่จัดการเรื่องทุกอย่างโดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์สกุลเซียวจะไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แม้ว่าเหล่าไท่จวินจะเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งก็ตามที

เนื่องจากรัชทายาทหายป่วยอย่างคาดไม่ถึง เพียงชั่วพริบตา ทิศทางลมของคฤหาสน์สกุลเซียวก็พลันเปลี่ยนไป นางที่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาจัดเตรียมสินเจ้าสาวกลับไม่ตระหนักในจุดนี้เลยแม้แต่น้อย

จางซิ่วไม่ตอบคำถามของปิงซิน ดวงตาฉายแววชั่วร้าย และคิดในใจ หลี่เมิ่งซี ทางที่ดีพรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปคารวะผู้ใหญ่ พักอยู่ในเรือนปีกตะวันออกอย่างผ่อนคลายอีกหลายๆ วันเถอะ รอไว้วันใดเจ้าไปคารวะ วันนั้นย่อมเป็นวันที่เจ้าถูกหย่า!

 

“สะใภ้รอง รีบตื่นเถอะเจ้าค่ะ วันนี้ท่านต้องไปคารวะเหล่าไท่จวินนะเจ้าคะ ขืนยังไม่ตื่นอีกก็จะสายแล้วเจ้าค่ะ”

คงเพราะหลายวันนี้หลี่เมิ่งซีหลับจนตื่นเองตามธรรมชาติ จู่ๆ ต้องตื่นแต่เช้าจึงรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย ได้ยินจือชิวร้องเรียก นางรับคำแล้วก็พลิกตัวนอนต่อ

จือชิวเห็นว่าปลุกสะใภ้รองไม่สำเร็จ จือชุนยกน้ำร้อนเข้ามาแล้ว ครั้นจือชิวเห็นว่าจะไปคารวะสายอยู่แล้ว ด้วยกลัวว่านายหญิงใหญ่จะจับผิด นางจึงคว้าตัวสะใภ้รองออกมาจากผ้าห่มอุ่นๆ เสียเลย

ย่างเข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถูกดึงออกมาจากผ้าห่มกะทันหันเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงสะดุ้งตื่นทันที

หลี่เมิ่งซีลืมตาอย่างสะลึมสะลือมองจือชิวอย่างไม่พอใจ คงเพราะเพิ่งตื่นนอน สายตานางนอกจากไม่มีความน่าเกรงขามเลยสักนิด ยังชวนให้คนรู้สึกงดงามเปี่ยมเสน่ห์อีกด้วย

แน่นอนว่าจือชิวไม่ได้รับรู้เสน่ห์นั้นเลยแม้แต่น้อย ปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีสวมเสื้อผ้าพลางพูด “สะใภ้รองไม่ได้ไปคารวะหลายวันแล้ว วันนี้ต้องไปเช้าหน่อย หาไม่แล้วนายหญิงใหญ่จะจับผิด และตำหนิท่านได้อีกนะเจ้าคะ”

หลี่เมิ่งซีมองสาวใช้ที่ไม่ใส่ใจการขึงตาอย่างโมโหของตน เอาแต่บ่นยืดยาวไม่หยุด นางจึงตัดสินใจหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ลอบทอดถอนใจว่าชะตาของตนอาภัพนัก เลือกคบคนไม่ดี บัดนี้กลายเป็นว่าบ่าวรังแกนายเสียแล้ว

จือชิวคิดว่าหลี่เมิ่งซียังนอนไม่ตื่น ปรนนิบัตินางสวมเสื้อผ้าเสร็จก็สวมรองเท้า ประคองลงจากเตียงไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปรนนิบัตินางล้างหน้าแต่งตัว

หลี่เมิ่งซีให้จือชิวประคองเข้าไปในห้องโถงในเรือนโซ่วสี่ เดินอ้อมฉากบังลม เงยหน้าก็เห็นเซียวจวิ้นมาถึงแล้ว กำลังนั่งพูดคุยยิ้มแย้มกับเหล่าไท่จวินอยู่ เห็นหลี่เมิ่งซีเดินเข้ามา เซียวจวิ้นตะลึงไปเล็กน้อย ไฉนนางมาที่นี่ได้เล่า ยังไม่หายดีมิใช่หรือ เขาเพิ่งบอกท่านย่าไปเองว่านางต้องพักฟื้นอีกสักระยะ

หลี่เมิ่งซีให้จือชิวประคองเดินไปข้างหน้า คารวะเหล่าไท่จวินก่อน จากนั้นก็คารวะเซียวจวิ้นและนั่งลงฝั่งขวามือของเขา

รอจนหลี่เมิ่งซีนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เหล่าไท่จวินพิจารณาหลานสะใภ้ที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน นางดูผอมซูบลง เห็นทีป่วยครั้งนี้คงลำบากไม่น้อยเลย เหล่าไท่จวินจึงพูดว่า “ไม่พบกันหลายวัน ซีเอ๋อร์ผอมลงอีกแล้ว โรคของซีเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง หากไม่สบายก็อย่าฝืนเลย ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเคร่งธรรมเนียมถึงเพียงนั้นหรอก ฟื้นฟูร่างกายให้ดีก็พอ ไม่ต้องร้อนใจมาคารวะเช่นนี้ เมื่อครู่จวิ้นเอ๋อร์เพิ่งบอกว่าโรคของซีเอ๋อร์ต้องพักผ่อนอีกสักระยะ คารวะแทนเจ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าซีเอ๋อร์จะมาที่นี่เอง”

“ด้วยบารมีของเหล่าไท่จวิน หลานสะใภ้หายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าไท่จวินที่เป็นห่วง หลานสะใภ้อกตัญญู…”

หลี่เมิ่งซียังพูดไม่จบ นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ จางซิ่วก็เข้ามาคารวะ เซียวจวิ้นกับหลี่เมิ่งซีต่างลุกขึ้น

นายท่านใหญ่เดินนำหน้า นายหญิงใหญ่กับจางซิ่วมีสาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยประคองเดินตามหลังเข้ามา ทั้งสองกำลังคุยกัน ใบหน้าของนายหญิงใหญ่มีรอยยิ้มจางๆ พอเข้าประตูมาเห็นหลี่เมิ่งซีอยู่ด้วย รอยยิ้มก็หายไป ใบหน้าพลันขรึมลง

ทั้งสามเข้ามาคารวะเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีกับเซียวจวิ้นคารวะนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ ก่อนจะพากันนั่งลง จางซิ่วเห็นหลี่เมิ่งซีนั่งฝั่งขวามือของเซียวจวิ้น แย่งที่นั่งประจำของนางไป ดวงตาก็ฉายแววไม่พอใจ นางบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป แต่พริบตาเดียวก็กลับเป็นปกติ ค่อยๆ เดินเข้าไปย่อกายคำนับเซียวจวิ้นกับหลี่เมิ่งซี ก่อนจะนั่งลงฝั่งขวามือของหลี่เมิ่งซีอย่างเรียบร้อย

ตั้งแต่หลี่เมิ่งซีแต่งเข้ามา จำนวนครั้งที่นางกับเซียวจวิ้นไปไหนมาไหนด้วยกันสามารถใช้มือข้างเดียวก็นับได้หมด วันนี้เห็นทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันตรงนั้น จางซิ่วจึงคิดว่าทั้งสองมาด้วยกัน นางอดรู้สึกหึงหวงไม่ได้ กวาดตามองรอบหนึ่ง เห็นไม่มีใครพูดอะไร จึงหันไปมองหลี่เมิ่งซี เผยสีหน้าเป็นห่วงและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่พบกันหลายวัน วันนี้พี่สะใภ้ว่างมาแล้วหรือ ได้ยินว่าพี่สะใภ้ป่วย ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไร ถึงได้นอนซมอยู่บนเตียงหลายวัน แม้น้องสาวมิอาจไปเยี่ยมที่เรือนเซียวเซียงได้ แต่ในใจก็คิดถึงอยู่ตลอด เมื่อครู่ยังพูดกับท่านน้าว่าอยากขออนุญาตเหล่าไท่จวินไปเยี่ยมพี่สะใภ้”

หน็อย อะไรคือว่างมาแล้วหรือ! หลี่เมิ่งซีฟังแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางตอบเสียงค่อย “ทำให้น้องสาวเป็นห่วงแล้ว หลายวันก่อนกระอักเลือด เชิญหมอมาตรวจดูแล้ว มิได้ป่วยหนักอะไร หมอบอกว่าเลือดลมพร่อง ไม่ควรเหน็ดเหนื่อย ให้นอนพักบนเตียง นี่ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว”

เซียวจวิ้นฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้วร่างกายพลันสะท้านเฮือก มือที่ถือถ้วยชาสั่นระริก หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาบางๆ

นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ ฟังไม่ออกหรือว่าในคำพูดของจางซิ่วมีนัยแฝงอยู่ ยังจะเออออตามนางว่าไม่ได้ป่วยหนักอีกหรือ ไม่ได้ป่วยหนักแต่ไม่ยอมมาคารวะผู้ใหญ่! นี่มิใช่พูดเปิดช่องให้คนจับผิดหรอกรึ

นายหญิงใหญ่ฟังแล้วใบหน้าพลันบึ้งตึง “การปรนนิบัติพ่อแม่สามีเช้าเย็นเป็นกฎธรรมเนียมของบรรพบุรุษ สะใภ้รองไม่รู้หลักการที่ว่าทุกสิ่งยึดความกตัญญูเป็นที่หนึ่งหรือ ในเมื่อไม่ได้ป่วยหนักอะไร ทั้งอายุเจ้าเองก็ยังน้อย ผู้ใหญ่เอ็นดูเจ้า ตามใจเจ้า สะใภ้รองก็ยิ่งต้องรู้จักละอายแก่ใจ วางตัวให้เหมาะสม เคร่งครัดในกฎธรรมเนียมจึงจะถูก ไฉนจึงเอาแต่ใจเช่นนี้ ไม่รู้กฎธรรมเนียมเลยจริงๆ สะใภ้รองลืมไปแล้วหรือว่ากฎเจ็ดออกข้อที่สำคัญที่สุดคือไม่กตัญญูต่อบิดามารดา”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็คิดในใจ ข้าก็มาแล้วนี่

นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าไปคุกเข่าลงแล้วพูดอย่างราบเรียบ “นายหญิงใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง ลูกสะใภ้สำนึกผิดแล้ว ขอเหล่าไท่จวิน นายหญิงใหญ่ลงโทษด้วย”

ฟังคำพูดนี้แล้ว ทุกคนในห้องโถงล้วนตะลึงไป ต่างฟังออกว่าคำพูดของนายหญิงใหญ่ออกจะฝืดฝืนไปสักหน่อย ที่จริงนางจะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเลยก็ได้ นางไม่รู้หรือว่าการยอมรับเช่นนี้จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกหย่า ไฉนจึงพูดออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้

นายหญิงใหญ่รู้ดีอยู่แล้วว่าที่หลี่เมิ่งซีไม่มาคารวะเป็นเพราะเหล่าไท่จวินอนุญาต ข้อหาฝ่าฝืนกฎเจ็ดออกที่ยัดเยียดให้หลี่เมิ่งซีจึงไม่สมเหตุสมผล เดิมทีคิดว่านางจะโต้แย้ง จึงเตรียมคำพูดไว้เสียมากมาย คิดไม่ถึงว่าหลี่เมิ่งซีจะไม่เถียงสักคำ กลับยอมรับอย่างสุขุม ตัดความวุ่นวายของตนไปได้มาก

นายหญิงใหญ่ลอบคิดในใจ เป็นเจ้าเองที่บอกว่าไม่ได้ป่วยหนัก และเป็นเจ้าเองที่ยอมรับว่าฝ่าฝืนกฎเจ็ดออกข้อที่สำคัญที่สุด อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจก็แล้วกัน คิดพลางกำลังจะเอ่ยปากกลับเห็นจือชิวคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะพูดว่า “บ่าวขอร้องเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่โปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย หลายวันก่อนสะใภ้รองกระอักเลือด นอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้นจริงๆ เหล่าไท่จวินตามหมอที่ตรวจสะใภ้รองมาสอบถามดูก็ได้ อีกอย่างที่สะใภ้รองพักฟื้นอยู่ในเรือนก็เป็นเหล่าไท่จวินเองที่อนุญาต บ่าวบังอาจขอร้องเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ โปรดเห็นแก่ที่สะใภ้รองป่วยยังไม่หายดี ยกโทษให้สะใภ้รองด้วยเถอะเจ้าค่ะ”

“บังอาจ! เจ้านายคุยกัน บ่าวมีสิทธิ์สอดปากด้วยรึ เจ้าไปเรียนรู้กับใครมาถึงได้โอหังเช่นนี้ ไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทแม้แต่น้อย ใครก็ได้ ตบปาก!”

นายหญิงใหญ่กำลังจะพูดเรื่องการหย่าหลี่เมิ่งซี คิดไม่ถึงว่าจือชิวที่ไม่ห่วงชีวิตจะโพล่งออกมาเช่นนี้ คำชี้แจงของจือชิวทำให้นางไม่อาจเอ่ยคำพูดที่ว่าลูกสะใภ้คนนี้ฝ่าฝืนกฎข้อสำคัญของกฎเจ็ดออกได้ ด้วยความโมโหจึงหันไปตำหนิและสั่งลงโทษจือชิว

บ่าวหญิงสูงวัยสองคนเดินเข้ามา แล้วลากตัวจือชิวขึ้นมาหมายจะตบปาก ยามนี้หลี่เมิ่งซีเองก็ตกใจ!

ไม่ได้มาคารวะผู้ใหญ่หลายวันเช่นนี้ นางเดาได้แต่แรกแล้วว่าจางซิ่วกับนายหญิงใหญ่ต้องหาเรื่องนางแน่นอน วันนี้มาคารวะก็ทำใจแล้วว่าจะถูกหย่า เดิมทีเมื่อวานจะพูดกับจือชิว จือชุน แต่เห็นท่าทางตกใจของพวกนางตอนได้ยินนางพูดถึงเรื่อง ‘ยินยอมหย่า’ แล้วจึงล้มเลิกความคิดที่จะบอกพวกนางไปเสีย คิดว่าทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว พวกนางก็จะยอมรับเอง

ดังนั้นเมื่อวันนี้จางซิ่วกับนายหญิงใหญ่พูดถึง นางจึงผลักเรือตามน้ำ ยอมรับความผิดทั้งหมดอย่างสุขุม ยามนี้เห็นบ่าวหญิงสูงวัยเข้ามาลากตัวจือชิวไปจะตบปาก นางก็ลอบนึกเสียใจภายหลังว่าเหตุใดจึงคิดไม่ถึงว่าเด็กที่จงรักภักดีคนนี้จะก้าวออกมาในเวลานี้และโต้แย้งแทนนางโดยไม่คิดชีวิต

หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ เมื่อวานควรจะพูดออกมา เตรียมการและปรับความคิดนางเสียก่อน

บ่าวหญิงสูงวัยลากตัวจือชิวขึ้นมาจะตบปาก หลี่เมิ่งซีตกใจ นางทำได้แค่คุกเข่ามองดูอยู่ตรงนั้นอย่างปวดใจ ยามนี้นางจะเอ่ยปากขอร้องไม่ได้เด็ดขาด หากเอ่ยปากจือชิวมีแต่จะถูกลงโทษหนักขึ้น

การที่จือชิวถูกลงโทษทำให้หลี่เมิ่งซีอกสั่นขวัญผวา นางวางแผนออกจากคฤหาสน์มาตลอด แต่กลับตกหล่นเรื่องใหญ่ไปเรื่องหนึ่ง ทันทีที่นางถูกหย่าแล้ว เหล่าไท่จวินจะยอมให้นางพาสาวใช้ทั้งสี่ไปด้วยหรือ

แม้เหล่าไท่จวินจะยินยอม แต่เรื่องนักพรตเมื่อตอนนั้นทำให้นายหญิงใหญ่กับจางซิ่วผูกใจแค้นสาวใช้ทั้งสี่ไปแล้ว ด้วยนิสัยของนายหญิงใหญ่ หย่านางแล้วต้องไม่ยอมละเว้นสาวใช้สี่คนนี้แน่ สัญญาขายตัวของพวกนางล้วนอยู่ในกำมือของนายหญิงใหญ่!

ครั้นเห็นบ่าวหญิงสูงวัยทั้งหลายเงื้อมือขึ้นจะฟาดลงมา ขณะที่หลี่เมิ่งซีรู้สึกจนปัญญาก็ได้ยินนายท่านใหญ่ตะโกนว่า “หยุดนะ!”

เมื่อครู่นายท่านใหญ่ก็ตกใจเช่นกัน การตำหนิของนายหญิงใหญ่ไร้เหตุผลเกินไป ขอเพียงหลี่เมิ่งซีไม่ยอมรับ บอกว่าเหล่าไท่จวินอนุญาต เขากับเหล่าไท่จวินย่อมสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้ อย่างมากก็ตำหนินางไม่กี่คำเท่านั้น

แต่ตอนนี้นางกลับพูดเองว่าป่วยไม่หนัก ทั้งยังไม่มาคารวะ ยอมรับว่าตนเองฝ่าฝืนกฎเจ็ดออก ทำให้เขากับเหล่าไท่จวินมิอาจเอ่ยปากช่วยอะไรได้ เขาเองก็รู้อุบายเล็กน้อยของนายหญิงใหญ่ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ชอบจางซิ่วอยู่ดี หากไม่เพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนคับขัน เขาย่อมไม่มีทางเห็นด้วยให้แต่งจางซิ่วเข้าบ้านแน่

เห็นหลี่เมิ่งซียอมรับ ขณะรู้สึกจนใจ การชี้แจงของจือชิวก็ทำให้เขาโล่งอก กำลังคิดว่าจะช่วยพูดแทนลูกสะใภ้ที่โง่เขลาผู้นี้อย่างไร นายหญิงใหญ่ก็จะลงโทษจือชิวเสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้เขาไม่พอใจนายหญิงใหญ่มาก มารดายังนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ

เห็นนายท่านใหญ่โมโห บ่าวหญิงสูงวัยไหนเลยจะกล้าลงมือ พวกนางรีบปล่อยตัวจือชิวและถอยหลบไปด้านข้าง จือชิวจึงถือโอกาสนี้คลานไปข้างกายหลี่เมิ่งซี

“หลายวันก่อนซีเอ๋อร์กระอักเลือด มารดาอนุญาตให้นางไม่ต้องมาคารวะผู้ใหญ่จริงๆ ฮูหยินอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ทุกอย่างให้มารดาเป็นคนตัดสินใจเถอะ”

นายหญิงใหญ่เห็นนายท่านใหญ่เอ่ยปากก็มองเขาอย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่งแล้วหุบปาก ยามอยู่ต่อหน้าสามีและแม่สามี นางไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรจริงๆ

นานครู่ใหญ่ เหล่าไท่จวินที่ตีหน้าขรึมอยู่นานจึงเอ่ยปาก “ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีกฎธรรมเนียมมากมายถึงเพียงนั้นหรอก ซีเอ๋อร์ป่วยไม่มาคารวะ เดิมทีข้าเป็นคนอนุญาตเอง ครั้งนี้เห็นว่าซีเอ๋อร์อายุยังน้อยก็แล้วไปเถอะ ครั้งหน้าซีเอ๋อร์จะโอหังเช่นนี้อีกไม่ได้!”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วโล่งอก โขกศีรษะขอบคุณ

เหล่าไท่จวินมองจือชิวแล้วพูด “เจ้านายคุยกัน บ่าวมีสิทธิ์สอดปากเสียที่ไหน วันนี้จือชิวไม่รู้ธรรมเนียมมารยาท เห็นแก่ที่เจ้าทำเพื่อเจ้านาย การลงโทษทางร่างกายละเว้นไป แต่จะปรับเบี้ยรายเดือนเจ้าสองเดือน ไปเรียนรู้ธรรมเนียมมารยาทอีกครึ่งเดือน”

จือชิวฟังแล้วรีบโขกศีรษะขอบคุณ

คลื่นลมครั้งนี้กำลังจะผ่านพ้นไปอย่างง่ายดายด้วยการรับส่งกันไปมาระหว่างนายท่านใหญ่กับเหล่าไท่จวิน

จางซิ่วที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงร้อนใจ โอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้กลับถูกนายท่านใหญ่ก่อกวนจนล้มเหลว ท่าทีไม่ชัดเจนของเหล่าไท่จวินยิ่งทำให้นางงุนงง ทั้งที่หลายวันนี้เหล่าไท่จวินคิดจะแต่งนางเข้าสกุลมาตลอด ทว่านางไม่มีเวลาพอให้คิดเรื่องพวกนี้แล้ว

หันไปมองเซียวจวิ้น ยังดีที่เซียวจวิ้นก็ไม่พอใจเรื่องนี้เช่นกัน เขานั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดจา ทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นของนางสงบลงได้บ้าง มารดาเคยบอกนางว่าเรื่องของตนเองต้องไขว่คว้ามาด้วยตนเอง คิดเช่นนี้แล้วจึงมองเซียวจวิ้นก่อนจะถามว่า “ซิ่วเอ๋อร์ได้ยินว่าพี่ชายเชิญหมอมาตรวจชีพจรให้พี่สะใภ้ ไม่ทราบว่าหมอว่าอย่างไรบ้าง”

ในความคิดของจางซิ่ว เซียวจวิ้นแค่ต้องการโอกาสอันเหมาะสมเท่านั้น นางเอ่ยออกมาตอนนี้ เซียวจวิ้นย่อมถือโอกาสนี้พูดถึงผลการวินิจฉัยของหมอวันก่อนได้ เปิดโปงเรื่องที่หลี่เมิ่งซีแกล้งป่วยและไม่มาคารวะผู้ใหญ่ แม้เหล่าไท่จวินจะเป็นฝ่ายอนุญาตก่อน แต่เรื่องที่หลี่เมิ่งซีแกล้งป่วยถือเป็นเรื่องร้ายแรง ต่อให้นายท่านใหญ่คอยปกป้องก็มิอาจต้านทานหลักฐานที่หนักแน่นชัดเจนได้

จางซิ่วพูดจบ ดวงตาอ่อนโยนดุจสายน้ำก็มองเซียวจวิ้นอย่างเขินอาย สะพานนี้นางทอดวางให้เขาแล้ว ส่วนเรื่องที่จะข้ามไปอย่างไรนั้น พี่ชาย ชีวิตที่มีความสุขของพวกเราในวันข้างหน้าล้วนขึ้นอยู่กับท่านแล้ว!

เซียวจวิ้นปรายตามองจางซิ่วแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ พูดเสียงเรียบ “หมอจางบอกว่าร่างกายของซีเอ๋อร์อ่อนแออย่างยิ่ง หากคิดจะบำรุงร่างกายใช่จะกระทำได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ต้องบำรุงในระยะยาว ยิ่งไม่ควรทำให้เหน็ดเหนื่อย”

จางซิ่วฟังแล้วอึ้งไป ไฉนพี่ชายจึงพูดแทนพี่สะใภ้เล่า คิดดูอีกที ใช่แล้ว ป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็เป็นหนึ่งใน ‘กฎเจ็ดออก’ เช่นกัน หรือว่าพี่ชายเห็นว่าเมื่อครู่นายหญิงใหญ่พูดเรื่องไม่กตัญญูต่อบิดามารดาแล้วถูกนายท่านใหญ่แย้งกลับ เกิดไหวพริบในยามคับขัน คิดจะใช้กฎข้อนี้มาหย่าพี่สะใภ้แทน คิดเช่นนี้แล้วในใจจางซิ่วพลันเบิกบาน นางเงยหน้ามองนายหญิงใหญ่

นายหญิงใหญ่ถาม “หมอพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ”

“ขอรับ มารดา ลูกไม่กล้าโกหก”

“ในเมื่อต้องบำรุงร่างกายระยะยาว ไฉนจึงได้ยินว่าหมอไม่ได้จ่ายยาให้” นายหญิงใหญ่เห็นจางซิ่วส่งสายตาให้ตน แต่นางมิได้ฉลาดปราดเปรื่องเหมือนจางซิ่ว จึงไม่อาจคาดเดา ‘ความในใจ’ ของบุตรชายได้ในทันที

แน่นอนว่านางไม่เข้าใจว่าจางซิ่วเป็นสาวเป็นนาง ไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้ว่าพี่สะใภ้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงย่อมมิอาจร่วมเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ไม่อาจมีทายาทสืบสกุลได้ นับว่าฝ่าฝืนกฎเจ็ดออกเช่นกัน จึงต้องการให้นายหญิงใหญ่เป็นฝ่ายพูดเรื่องนี้ออกมา ทว่านายหญิงใหญ่กลับคิดว่าจางซิ่วต้องการให้ตนคาดคั้นว่าเหตุใดหลี่เมิ่งซีป่วยหนักแล้วจึงไม่สั่งยา อยากให้นางซักไซ้ไม่เลิกรา

ฟังคำมารดาแล้วเซียวจวิ้นก็ตกใจ เขาป่วยมาเกือบครึ่งปี เรือนเซียวเซียงจะกลายเป็นตลาดสดอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีความลับอะไรอีก คิดถึงความเป็นศัตรูที่มารดามีต่อหลี่เมิ่งซีแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ปล่อยให้ทุกการกระทำของหลี่เมิ่งซีอยู่ในสายตาของมารดา นางมิต้องกลายเป็นแพะที่รอเชือดหรอกหรือ

เงยหน้าเห็นมารดากำลังจ้องมองมา เซียวจวิ้นรีบดึงความคิดกลับมาแล้วพูด “มารดาไม่รู้อะไร มิใช่ว่าหมอไม่สั่งยาให้ แต่แนะนำยาลูกกลอนอย่างหนึ่งของร้านยาอี๋ชุน ชื่อว่าลูกกลอนหยั่งเซิง บอกว่าเป็นยาดีที่บำรุงเลือดลม ไม่ทราบว่ามารดาเคยได้ยินชื่อร้านยาอี๋ชุนหรือไม่”

ร้านยาอี๋ชุน? นั่นเป็นกิจการที่เพิ่งมีชื่อเสียงในผิงหยางเร็วๆ นี้มิใช่หรือ ว่ากันว่ายาที่นั่นเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า สะใภ้รองผู้นี้มีฐานะอะไรกัน จะไปคู่ควรกินลูกกลอนหยั่งเซิงจากร้านยาอี๋ชุนได้อย่างไร ให้หมอสั่งยาบำรุงให้ก็พอแล้ว หมอจางผู้นี้มากเรื่องโดยแท้

นายหญิงใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าพลันเย็นชา เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ยินน่ะเคยได้ยิน แต่จวิ้นเอ๋อร์อย่าหลงเชื่อของเหลวไหลพวกนั้นง่ายๆ เลย ยาต้มที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเชื่อถือได้มากกว่า”

เซียวจวิ้นฟังแล้วก็ถอนหายใจ เขารู้ว่ามารดาไม่ชอบหลี่เมิ่งซี แต่คิดไม่ถึงว่ามารดาจะรังเกียจนางเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นมารดา เขาเองไม่อาจขัดคำสั่งจึงรีบผงกศีรษะ “มารดากล่าวถูกต้อง ลูกก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปร้านยาอี๋ชุน สองวันนี้กำลังคิดว่าจะหาหมอมาสั่งยาต้มให้”

จือชิวกับหลี่เมิ่งซีฟังคำพูดเซียวจวิ้นแล้วต่างมองหน้ากัน พวกนางคิดไม่ถึงว่าคุณชายรองที่กตัญญูเป็นที่สุดผู้นี้จะกล้าโกหกนายหญิงใหญ่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าคุณชายรองหวังดีต่อพวกนาง

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองเซียวจวิ้นแวบหนึ่งอย่างคลางแคลง นางสบเข้ากับสายตาเย็นยะเยือกของเขาพอดี ราวกับกำลังเตือนนางว่าอย่าพูดมาก หัวใจหลี่เมิ่งซีพลันสะดุด นางรีบเบือนหน้าไปทางอื่น

จางซิ่วมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก ไฉนจึงแตกต่างจากที่นางคาดการณ์ไว้ถึงเพียงนั้น ฟังดูแล้วไม่เห็นจะมีเรื่องหย่าพี่สะใภ้อีกแล้ว

ท่านน้าออกนอกเรื่องไปไกลถึงเพียงนี้เชียว จางซิ่วพยายามส่งสายตาให้ท่านน้าอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มองนาง รู้สึกว่าหากนางยังไม่พูดอะไรอีก โอกาสนี้ก็จะหลุดลอยไปเป็นแน่

ภาษิตว่าทำเรื่องใหญ่อย่าสนใจเรื่องเล็ก ความสุขของตนเองต้องไขว่คว้ามาด้วยตนเอง คิดอย่างนี้แล้ว จางซิ่วจึงตัดสินใจไม่สนใจความสำรวมที่สตรีพึงมีอีก นางเงยหน้ากำลังจะพูด กลับได้ยินคำพูดของเหล่าไท่จวินลอยมาเสียก่อน

“เอาล่ะๆ เช้าตรู่เช่นนี้ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ทุกคนต่างก็หิวกันแล้ว ซีเอ๋อร์กินอาหารเช้าด้วยกันเถอะ ตั้งโต๊ะ” เหล่าไท่จวินพูดจบก็ลุกขึ้นยืน

ที่แท้เหล่าไท่จวินเห็นว่าจางซิ่วนั่งอย่างไม่เป็นสุข ต้องคิดจะก่อเรื่องขึ้นอีกแน่ๆ เรื่องในวันนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะจางซิ่วทั้งสิ้น เห็นนางจะเอ่ยปากอีก กลัวเหลือเกินว่าจางซิ่วผู้ไม่รู้จักคำว่าสำรวมจะเอ่ยคำพูดน่าตระหนกตกใจอะไรออกมาอีกจนแก้ไขสถานการณ์มิได้

อย่างไรหลี่เมิ่งซีก็ต้องถูกหย่าแน่นอน แต่ยังไม่ใช่วันนี้

เหมือนที่ปฏิบัติต่อรัชทายาทและเยียนอ๋อง เวลานี้เหล่าไท่จวินไม่อยากล่วงเกินจางซิ่ว ทั้งยังไม่อยากหย่าหลี่เมิ่งซี รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า ครั้นเห็นจางซิ่วจะเอ่ยปาก นางจึงชิงพูดขึ้นก่อน

จางซิ่วเห็นเหล่าไท่จวินเอ่ยปากและลุกขึ้นแล้ว คำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วจึงติดอยู่ในปาก นางปรายตามองหลี่เมิ่งซีที่อยู่ด้านข้างลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นแค้น จางซิ่วกัดฟันแน่นก่อนลุกตามทุกคนไป

จือชิวถูกเหล่าไท่จวินลงโทษ เซียวจวิ้นกลับถึงเรือนเซียวเซียงแล้วก็โมโหเดือดดาล บอกว่าเขาป่วยมาเกือบครึ่งปี ยามนี้พวกข้ารับใช้ก็ไม่รู้ธรรมเนียมมารยาทแล้วหรือ ถึงขั้นทำให้เหล่าไท่จวินโมโห จึงถือโอกาสนี้สั่งสอนบ่าวในเรือนเสียเลย

จือชิวที่น้อยอกน้อยใจหลั่งน้ำตาไม่หยุด แม้นางจะฝ่าฝืนกฎธรรมเนียมจริง แต่นั่นก็เพื่อปกป้องสะใภ้รอง กลับมาถูกสะใภ้รองตำหนิก็น่าจะพอแล้ว คุณชายรองกลับเอาเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่าง ด้วยการอบรมบ่าวทั้งเรือน ราวกับกลัวว่าบ่าวในเรือนจะไม่รู้ว่านางละเมิดกฎธรรมเนียมและถูกลงโทษอย่างไรอย่างนั้น

เห็นทีคุณชายรองคงแค้นที่ตนทำลายเรื่องดีของเขา ทำให้วันนั้นเขาไม่อาจหย่าสะใภ้รองได้ นับแต่นั้นมาจือชิวกับคุณชายรองจึงมีความแค้นต่อกัน ทว่าจือชิวรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายที่มิอาจล่วงเกินได้ นางจึงจัดการเรื่องต่างๆ อย่างระวังยิ่งขึ้น

การบันดาลโทสะของเซียวจวิ้นทำเอาพวกหงจู หงซิ่งอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน พวกนางแทบอยากจะลืมตานอนเสียด้วยซ้ำ กลัวว่าคุณชายรองจะจับผิดและไล่ตนออกไป

หลายวันนี้เซียวจวิ้นไล่คนออกไปไม่น้อย เขาเด็ดขาดมาก คนที่เขาไม่ต้องการแล้ว เขาก็ไม่อนุญาตให้ไปอยู่ที่เรือนอื่น แต่ส่งออกจากคฤหาสน์ไปเลย แม้นายหญิงใหญ่จะมาเกลี้ยกล่อมด้วยตนเองหลายหน แต่ก็มิอาจทัดทานบุตรชายได้ แค่สาวใช้ไม่กี่คนจะให้ทำลายสัมพันธ์แม่ลูกไปนั้นย่อมไม่คุ้ม นายหญิงใหญ่จนใจจึงได้แต่เออออตามบุตรชายและซื้อสาวใช้ชุดใหม่เข้ามา ทำให้ทุกคนในเรือนเซียวเซียงต่างระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น เห็นต้นหญ้าเป็นข้าศึกกันไปหมด

หลายวันนี้เซียวจวิ้นเองก็กลุ้มใจมากเช่นกัน คิดถึงตอนไปคารวะผู้ใหญ่ครั้งนั้นแล้ว เพราะคำพูดเรียบเฉยไม่กี่คำของหลี่เมิ่งซี ทำให้เขาเกือบถูกบังคับให้หย่ากับนาง จนถึงตอนนี้เรื่องนั้นยังทำให้เขาหวาดกลัวไม่หาย

ด้วยไหวพริบของหลี่เมิ่งซี นางไม่น่าจะผิดพลาดเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เขามักรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เรื่องในวันนั้นเขาคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังคิดไม่ออกว่าผิดปกติที่ตรงไหน ความไม่สบายใจพลันปกคลุมใจเขา ทำให้เขาเห็นหลี่เมิ่งซีแล้วรู้สึกขัดแย้ง เดิมทีอยากดีต่อนาง แต่พอสบกับดวงตาราบเรียบคู่นั้นแล้วก็มักทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงทำในสิ่งที่ขัดกับใจตนเอง โดยไม่รู้ตัวความสัมพันธ์ของทั้งสองที่เพิ่งดีขึ้นเพราะไปไหว้พระด้วยกันก็กลับตึงเครียดถึงที่สุดอีกครั้ง

วันนี้นายท่านใหญ่เรียกตัวเซียวจวิ้นไปที่ห้องหนังสือ และหารือเรื่องการเดินทางลงใต้ ช่วงนี้แม้รัชทายาทจะหายดีแล้ว แต่อำนาจบารมีของเยียนอ๋องกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน ประกอบกับการสนับสนุนจากไทเฮา เมืองผิงหยางเริ่มมีข่าวลือว่าตำแหน่งของรัชทายาทไม่มั่นคงออกมาให้ได้ยินแล้ว เรื่องนี้ทำให้นายท่านใหญ่รู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมตะปู เกรงว่าช้าไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงอยากให้เซียวจวิ้นเร่งเดินทางลงใต้ตามแผนการเดิม

การเดินทางลงใต้เป็นเรื่องที่เซียวจวิ้นเตรียมการมาตลอด งานในผิงหยางจัดการเรียบร้อยเกือบหมดแล้ว เรื่องนี้เขาร้อนใจยิ่งกว่าบิดาเสียอีก ฤกษ์ดีมิสู้ฤกษ์สะดวก ฟังคำพูดของบิดาแล้ว เซียวจวิ้นขบคิดดู สุดท้ายจึงกำหนดวันกับนายท่านใหญ่ว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทาง

นายท่านใหญ่กับเซียวจวิ้นกำหนดวันที่จะเดินทางลงใต้ได้แล้วจึงไปรายงานเหล่าไท่จวิน เดิมทีเหล่าไท่จวินรู้สึกว่าเวลาเดินทางออกจะกระชั้นเกินไป ออกเดินทางไกลถึงอย่างไรก็ต้องดูฤกษ์ยามบ้าง ควรเลือกวันให้ดีและเตรียมตัวให้พร้อมจึงจะดี แต่ทัดทานการโน้มน้าวของสองพ่อลูกไม่ได้ พวกเขาบอกว่าพรุ่งนี้วันที่หกเดือนเก้า เหมาะแก่การเดินทาง ทั้งยังเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟัง เหล่าไท่จวินเป็นคนเฉียบขาด รู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์ของสกุลเซียว จัดการเร็วย่อมดีกว่าจัดการช้า นางจึงเห็นดีด้วย

เห็นเรื่องใหญ่กำหนดลงได้แล้ว เซียวจวิ้นกำลังจะขอตัว เหล่าไท่จวินพลันนึกขึ้นได้ว่าการจากไปครั้งนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย เกรงว่าเรื่องทายาทสืบสกุลจะต้องล่าช้าออกไป นางยังไม่มีเหลนชายเลยสักคน จึงเสนอให้เซียวจวิ้นพาภรรยาหรืออนุไปด้วย จะได้ช่วยดูแลความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันได้

แน่นอนว่าควรถือโอกาสนี้ให้กำเนิดเหลนและพากลับมาย่อมดีที่สุด

ฟังคำพูดของท่านย่าแล้ว เซียวจวิ้นก็ขมวดคิ้วมุ่น อุบายเล็กน้อยของท่านย่านี้เขารู้ดีแก่ใจ อ้าปากจะปฏิเสธ เงาร่างของหลี่เมิ่งซีพลันปรากฏตรงหน้า เขาบังเกิดความคิดทันที ในเมื่อนางไม่ชอบคฤหาสน์สกุลเซียว หากได้พาซีเอ๋อร์ออกไปจากที่นี่ บางทีนางอาจจะสบายใจขึ้นก็ได้

มิสู้พานางลงใต้ เมื่อไม่มีมารดากับจางซิ่วอยู่ใกล้ๆ เวลาหนึ่งปีนี้นางน่าจะเปิดใจให้เขาได้กระมัง

คิดเช่นนี้เซียวจวิ้นจึงผงกศีรษะรับคำ เร่งร้อนกลับเรือนเซียวเซียง

 

( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 เม. 62 )

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: