X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่สี่

จากการสังเกตของอูอีเสวี่ย นางรู้ว่าตอนนี้สิงฟู่อวี่คงจะไปสอบปากคำเชลย นางจึงฉวยโอกาสนี้แอบเข้าไปในเรือนพักของสิงฟู่อวี่

แผนการของนางมีดังนี้ นางจะทำให้สิงฟู่อวี่หมดสติ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสตอนที่เขาหมดสติดูดพลังวัตรกลับคืนมา ทว่าแผนการนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ยามลงมือปฏิบัติกลับมีขีดขั้นของความยากอยู่ เพราะผู้มีวรยุทธ์สูงประสาทสัมผัสทั้งหกจะเฉียบไวมาก ประสาทดมกลิ่นก็แตกต่างจากคนธรรมดา นางจะต้องลงมืออย่างระมัดระวัง ไม่อาจให้สิงฟู่อวี่พบว่ามีคนเข้าไปทำอะไรในห้องของเขา หาไม่วางยาไม่สำเร็จ กลับจะแหวกหญ้าให้งูตื่น

ขณะนางกำลังใคร่ครวญว่าจะใช้แบบละลายน้ำหรือใช้แบบทาดี พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น นางรีบเข้าไปหลบซ่อนในตู้ไม้ หับประตูไม้ลงแล้วปิดกั้นลมหายใจ นางมองลอดช่องประตูตู้ออกไปเห็นคนผู้หนึ่งผลักประตูเข้ามา เป็นสิงฟู่อวี่ ทั้งยังมีที่ปรึกษาทัพเดินตามหลังมาอีกนาย

“ใต้เท้า ถูเหล่าต้าผู้นั้นยืนกรานว่าเก็บของได้ ตามที่ผู้น้อยดู ในมือของเขาไม่มีคนที่เราต้องการตัว”

“ของอยู่ในมือของเขา คนกลับไม่อยู่ในมือ หรือว่าของสิ่งนั้นจู่ๆ เก็บได้ง่ายดายเพียงนั้น ข้าไม่เชื่อ จะต้องมีลับลมคมใน สอบปากคำต่อไป”

อูอีเสวี่ยคาดเดาในใจ ถูเหล่าต้าผู้นี้แปดส่วนคงจับตัวคนสำคัญไป ถึงได้ทำให้สิงฟู่อวี่ใส่ใจมากเช่นนี้ คนที่ถูกจับตัวไปเกรงว่าฐานะคงไม่ต่ำ หรืออาจจะเป็นขุนนางใหญ่

“ใต้เท้า ผู้น้อยสังเกตอยู่นาน ถูเหล่าต้าผู้นี้ไม่คล้ายกำลังพูดปด ถลกหนังออกมาชั้นหนึ่งแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังต่อไป ยอมทิ้งชีวิตเพื่อเรื่องนี้”

สิงฟู่อวี่เดินมาที่หน้าโต๊ะ ใช้นิ้วชี้เคาะลงบนโต๊ะไปหลายที ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ในเมื่อป้ายหยกม่วงชิ้นนี้อยู่ในมือของเขา แต่ก็ยังหาศพของอูอีเสวี่ยไม่พบ แสดงว่านางอาจยังมีชีวิตอยู่ ถ้านางยังไม่ตาย ก็เป็นไปได้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกคนจับตัวไป ต่อให้ต้องเราะกระดูกคนกลุ่มนี้ก็ต้องเค้นข่าวจากปากพวกเขาออกมาให้ได้!”

อูอีเสวี่ยตื่นตระหนกขึ้นมาในใจ ป้ายหยกม่วงของนางเหตุใดจึงไปอยู่ในมือถูเหล่าต้าได้ ที่แท้คนที่สิงฟู่อวี่ต้องการหาก็คือตน!

ทว่าคนพวกนี้แต่ละคนเหตุใดจึงจัดการยากเช่นนี้! จนนางกระโดดหน้าผาแล้วพวกเขาก็ยังไม่ยอมตายใจ จะต้องเห็นศพของนางให้ได้จึงจะยอมเลิกราเช่นนั้นหรือ ยังมีป้ายหยกม่วงของนางอีก จากมือของถูเหล่าต้ามาอยู่ในมือของสิงฟู่อวี่ คิดไม่ถึงว่าเดินหาจนรองเท้าสึกก็ไม่พบ บทจะเจอก็เจอโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง ขอเพียงเอาหลักฐานยืนยันกลับมาได้ นางก็สามารถใช้นกพิราบส่งข่าวติดต่อผู้คุมกฎทั้งสี่ได้แล้ว!

ขณะที่อูอีเสวี่ยกำลังตื่นเต้นดีใจเพราะเรื่องนี้อยู่ ประตูไม้พลันถูกเปิดออก พลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งดูดร่างนางออกมา รอจนได้สติคืนมานางก็ถูกสิงฟู่อวี่จับตัวไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

เรื่องพลิกผันเร็วเกินไป เร็วจนนางตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่จ้องมองใบหน้าเฉยเมยของสิงฟู่อวี่อย่างงงงัน

สิงฟู่อวี่คิดไม่ถึงว่าไส้ศึกที่หลบซ่อนอยู่ในตู้ไม้จะเป็นเด็กหญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขายั้งมือได้เร็ว ลำคอของนางคงแหลกไปแล้ว

เขาจ้องมองเด็กน้อย นัยน์ตาดำขลับสุกใสงดงามคู่นั้นกำลังมองเขาด้วยความบริสุทธิ์ใสซื่อ ขนตายาวงามกระพือขึ้นลง ผิวพรรณขาวดุจหิมะบวกกับดวงหน้าน้อยนุ่มนิ่มนวลเนียน ปากที่อ้าเผยอน้อยๆ ทำให้สีหน้าท่าทางของนางดูทึ่มทื่อแต่ก็น่ารัก

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากซักถาม “นางหนูผู้นี้มาจากที่ใดกัน”

ที่ปรึกษาทัพมองอูอีเสวี่ย รีบก้าวเข้าไปตอบ “เรียนใต้เท้า แม่หนูผู้นี้ชื่ออาเสวี่ย เป็นเด็กคนที่ชี้ตัวถูเหล่าต้าผู้นั้นขอรับ”

นางหนูหน้าตามอมแมมคนนั้นหรือ

สิงฟู่อวี่แปลกใจ คิดไม่ถึงว่านางหนูคนนั้นหลังจากล้างหน้าล้างตาสะอาดสะอ้านแล้วจะงดงามเพียงนี้ นอกจากจะนึกไม่ถึงแล้ว เขาก็อดมองนางอย่างพินิจพิจารณาไม่ได้ นางหนูผู้นี้ไม่เพียงหน้าตางดงาม ดวงตาของนางคล้ายสะกดคนได้ ทำให้คนไม่อาจละสายตา ทั้งสีหน้าท่าทางยามตะลึงลานของนางยังน่ารักเพียงนั้น ร่างเล็กๆ นุ่มนิ่มบอบบางทำให้คนอดรู้สึกอยากทะนุถนอมไม่ได้ คนจิตใจแข็งกระด้างเย็นชาอย่างเขาเห็นแล้วยังใจอ่อนลงสามส่วนโดยไม่รู้ตัว

“นางหนู เจ้ามาทำอะไรที่นี่”

อูอีเสวี่ยกะพริบดวงตาใสแจ๋วดุจลูกกวางน้อยพลางเอ่ยบอกอย่างน่าสงสาร “ข้าต้องซ่อนตัวไว้ หาไม่ถ้าถูกจับได้ก็ต้องเป็นผี”

เป็นผี?

สิงฟู่อวี่กำลังงุนงง ที่ปรึกษาทัพจึงช่วยอธิบาย “ใต้เท้า เมื่อครู่ตอนผู้น้อยเดินมา เห็นเด็กๆ ที่อยู่ด้านหน้ากำลังเล่นซ่อนหากัน แม่หนูนี่คงมาแอบอยู่ที่นี่เพราะสาเหตุนี้กระมัง”

สิงฟู่อวี่ถึงได้เข้าใจ ความระแวงสงสัยในดวงตาหายไปทันที

“แล้วไปเถอะ” สิงฟู่อวี่วางนางลง ใบหน้าหล่อเหลาเฉียบขาดถึงกับคลี่ยิ้มน้อยๆ ออกมาเป็นครั้งแรก พลางสั่งกำชับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นางหนูเสวี่ย ต่อไปอย่าเข้ามาเล่นที่นี่อีก เข้าใจหรือไม่”

ความดุดันน่าเกรงขามของเขาเอามาใช้รับมือกับศัตรู ย่อมไม่นำมาใช้กับเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง

อูอีเสวี่ยชะงักอึ้งเพียงเพราะเขาเรียกนางว่า ‘นางหนูเสวี่ย’ เมื่อก่อนมีเพียงอาจารย์ที่เรียกนางว่านางหนูเสวี่ย คนอื่นๆ หากไม่ใช่เรียกนาง ‘อาเสวี่ย’ ก็เรียกนางว่า ‘นางหนู’

สิงฟู่อวี่เห็นนางอึ้งตะลึง เข้าใจว่าเมื่อครู่ตนทำให้นางตกใจจึงไม่เก็บมาใส่ใจ สั่งคนให้เข้ามาพานางหนูเสวี่ยออกไป

อูอีเสวี่ยถูกจูงเดินออกไป หลังออกจากห้องมานางหันหน้ากลับไปมองช้าๆ เก็บสีหน้าตะลึงลานไปแล้ว ดวงตาทั้งสองสาดประกายเจ้าเล่ห์แพรวพราว ในสมองคิดหาวิธีการต่างๆ

ดีที่สิงฟู่อวี่ไม่ได้ค้นตัวนาง จึงไม่พบยาสลบที่นางซุกไว้ในตัว ครั้งนี้แม้จะล้มเหลว แต่ก็ได้เบาะแสอย่างอื่นมา อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าป้ายหยกม่วงอยู่ที่ใด นางต้องรีบหาวิธีเอาของของนางกลับมาไว้ในมือให้ได้

 

วันรุ่งขึ้นมีรถม้าคันใหญ่คันหนึ่งเข้ามาในหมู่บ้าน ท่านยายที่ดูแลพวกนางกระหืดกระหอบมาบอกอูอีเสวี่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ บอกพวกนางมีวาสนาแล้ว ขุนนางท้องถิ่นที่ใต้เท้าส่งคนไปแจ้งเรื่องมาแล้ว รับคำสั่งจากใต้เท้าจะส่งตัวพวกนางกลับบ้าน คนที่ไม่มีบ้านให้กลับ ขุนนางท้องถิ่นก็จะช่วยจัดหาที่อยู่ให้

เรื่องนี้กล่าวสำหรับอูอีเสวี่ยแล้วดีครึ่งไม่ดีครึ่ง ดีที่เด็กๆ ทั้งหลายมีแหล่งที่อยู่แล้ว ไม่ดีตรงที่ถ้านางจากไปแล้ว จะหาโอกาสเอาหลักฐานยืนยันของตนกลับคืนมาได้อย่างไร นางแสร้งทำเป็นคล้อยตามขึ้นรถไปพร้อมพวกเด็กๆ ก่อน รอรถม้าวิ่งไปได้ระยะหนึ่งแล้วนางจึงแอบลงจากรถม้า ก่อนไปยังกำชับพวกเด็กๆ ให้ช่วยนางปิดบังอย่าให้ผู้ใหญ่สังเกตเห็น

เด็กๆ พอได้ยินว่านางจะจากไปก็อาลัยอาวรณ์ นับแต่นางปรากฏตัวขึ้น ทุกวันก็จะเสี่ยงอันตรายแอบเอาอาหารมาให้พวกเขา นั่งรถไปด้วยกันนอนด้วยกันกับพวกเขา ทั้งผ่านเรื่องต่างๆ มากมายมาด้วยกัน ทุกคนเห็นนางเป็นสหายคนสำคัญมานานแล้ว ความรู้สึกที่ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาของเด็กๆ เป็นความรู้สึกที่จริงแท้ที่สุดไม่มีเสแสร้ง อูอีเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นในใจยิ่งนัก ตนเองความจริงแล้วก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหก เพิ่งผ่านเหตุการณ์หุบเขาหมื่นบุปผาถูกโจมตี คนในสำนักแยกย้ายกระจัดกระจาย ผู้คุมกฎทั้งสี่ที่รักใคร่กันดุจพี่น้องก็ไม่อยู่ข้างกาย…นางในฐานะประมุขหุบเขาต้องแบกรับภาระหน้าที่สำคัญ ตลอดทางที่ผ่านมาก็เดินมาอย่างโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ต้องพึ่งพาตนเองทุกอย่าง ไม่มีเวลามาเสียใจหรือโอดครวญว่าลำบาก กระทั่งได้มาเจอเด็กๆ เหล่านี้ แม้นางจะเป็นคนช่วยพวกเขา แต่เด็กๆ ก็อยู่เป็นเพื่อนนางมาหลายคืน ทำให้นางไม่ต้องนอนตามลำพังคนเดียวอีก

พวกเขาเชื่อมั่นในตัวนาง ติดตามนาง ยังชอบนาง ตอนนี้จะต้องแยกจากกันแล้ว ทุกคนต่างร้องไห้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทำให้นางเองก็อดรู้สึกแสบจมูกไม่ได้

เพื่อจะปลอบประโลมใจทุกคน นางจึงหยิบสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งออกมาจากห่อสัมภาระ แกะเอาไข่มุกออกมาแจกให้ทุกคนคนละหนึ่งเม็ด ยังบอกทุกคนว่านี่คือหลักฐานยืนยันเมื่อพบกันในวันหน้า เป็นของมีค่า อย่าให้คนอื่นเห็นง่ายๆ ต้องเก็บรักษาให้ดี

จากกันครั้งนี้ไม่รู้เมื่อไรได้เจอกันอีก กระทั่งจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ไม่สู้เก็บไข่มุกไว้เป็นที่ระลึกถึงกัน อีกทั้งเด็กเหล่านี้ตลอดทางก็ได้รับความลำบากมากมาย ทางที่ดีมีของมีค่าติดตัวไว้บ้าง เกิดวันหน้าจำเป็นต้องใช้เงิน เอาไข่มุกไปขายก็พอให้พวกเขามีกินมีใช้ไปได้หลายปีแล้ว

เด็กๆ ต่างเห็นไข่มุกเป็นดั่งของล้ำค่าเก็บไว้อย่างดี ทุกคนโอบกอดกัน ต่างพูดอะไรกันมากมาย จากนั้นอูอีเสวี่ยก็บอกลาทุกคน แล้วแอบหลบลงจากรถม้าไปซุกซ่อนตัวก่อน รอจนรถม้าไปไกลแล้วนางจึงรีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้าน

ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดนางก็วิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน นางหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ ขณะจะฉวยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจลอบเข้าไปอยู่นั้น พลันรู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลัง

นางตระหนกวาบในใจ หันไปมองข้างหลังอย่างระแวดระวัง ในเวลาเดียวกันมือก็คลำกระบี่อ่อนที่เอว คิดในใจว่าอย่าได้เจอสัตว์ป่าอะไรเห็นนางเป็นเหยื่อและจับไปกิน

ขณะที่นางเตรียมพร้อมเต็มที่ เงาร่างหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนออกมาจากด้านหลังต้นไม้ อูอีเสวี่ยตะลึงงันไป จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ “เจ้าตามมาทำไม”

อาหงหน้าเหม็นผู้นี้ ถึงกับแอบลงจากรถม้ามาด้วย ตามนางมาตลอดทาง ทว่านางกลับไม่รู้ตัวเลย ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก

อาหงเดินมาที่ข้างกายนาง บอกอย่างดื้อรั้น “เจ้าตัวคนเดียวอันตรายเกินไป”

นางโมโหจนหัวเราะ “เจ้าตามมาจึงจะยิ่งอันตราย ข้าไม่มีปัญญาดูแลเจ้า”

“เจ้าดูแลข้า? เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกัน ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีพละกำลังมากกว่าเจ้า วิ่งเร็วกว่าเจ้า เวลาหนีเอาชีวิตรอดก็ยังแบกเจ้าวิ่งไปได้” อาเสวี่ยเพิ่งจะหกขวบ ถึงกับบอกว่าจะดูแลเขา นางเคยช่วยเขาไว้ก็จริง แต่เป็นเพราะเขาถูกล่ามโซ่ไว้ เวลานี้เขาเป็นอิสระแล้ว แน่นอนเขาต้องเป็นฝ่ายคุ้มครองนาง

ท่าทีในการพูดของอาหงคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่ง วางท่าคล้ายมีเพียงเขาจึงจะสามารถคุ้มครองนางได้ อูอีเสวี่ยเห็นแล้วทั้งโมโหทั้งนึกขำ

นางรู้พูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ ต่อให้ไล่เขาไปเขาก็คงไม่ไป เจ้าหนูนี่ดื้อรั้นราวกับวัว นางก็คร้านจะอธิบายแล้ว จึงลงนั่งยองๆ สังเกตสถานการณ์ในหมู่บ้านต่อไป

อาหงก้มตัวลงตามนาง จับตาดูทหารลาดตระเวนเหล่านั้นพลางกระซิบถาม “เจ้ากลับมาทำไม”

“หาของ”

“ของอะไร”

“บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ”

“ข้าจะช่วยเจ้า”

นางกำลังคิดจะบอกเจ้าเด็กอายุสิบขวบคนหนึ่ง ไม่มีวรยุทธ์ไม่มีดาบกระบี่ มีดสั้นที่เขาพกอยู่ก็เป็นของนาง จะช่วยอย่างไร แต่นางพลันนึกได้ บางทีเขาอาจช่วยนางเบี่ยงเบนความสนใจของทหารเหล่านั้นได้ ครั้นแล้วนางจึงเรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ

หลังจากอาหงฟังแผนการของนางแล้ว ดวงตาสาดประกายวาว พยักหน้าแล้วว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะล่อพวกเขาไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากอาหงไปแล้ว อูอีเสวี่ยก็หาที่เหมาะรอคอยด้วยความอดทน เรื่องที่นางขอให้อาหงทำง่ายมาก นั่นคือก่อเรื่องบางอย่างขึ้นที่คอกม้า พวกทหารเหล่านี้จะได้ไปตรวจดู

รออยู่ราวหนึ่งเค่อ ที่คอกม้าพลันมีเสียงม้าร้องดังขึ้น ดึงดูดความสนใจจากทหารได้จริง จากนั้นก็ได้ยินทหารร้องตะโกน “รีบมาช่วยกัน! มีสัตว์ป่าวิ่งเข้ามาในรั้ว ม้าได้รับความตกใจแล้ว…”

ทหารที่อยู่ด้านหน้าหลายนายรีบวิ่งไปที่คอกม้า มีคนไปดึงม้าที่กำลังตกใจ มีคนไปวิ่งไล่ตามม้าที่แตกตื่นวิ่งหนีไป อูอีเสวี่ยจึงฉวยโอกาสนี้ลอบเข้าไปด้านในทันที

นางย่องเข้าไปในเรือนของสิงฟู่อวี่ รู้ว่าปกติในเวลานี้สิงฟู่อวี่จะไม่อยู่ในเรือนจึงรีบเข้าไปค้นหาป้ายหยกม่วงของนาง

เหนือความคาดหมาย เพียงครู่เดียวก็หาพบแล้ว สิงฟู่อวี่ไม่ได้เก็บป้ายหยกม่วงของนางขึ้นมา เพียงวางอยู่บนโต๊ะ ใส่อยู่ในเหอเปาที่นางทำหล่นหายไปพร้อมกันในตอนนั้น

นางหยิบป้ายหยกม่วงออกมาจากเหอเปา หยกม่วงเป็นของที่มีเฉพาะในเขตภูเขาใกล้เคียงหุบเขาหมื่นบุปผา ในยุทธภพพบเห็นได้น้อยมาก และหยกม่วงชิ้นนี้อาจารย์เป็นคนสั่งให้ขุดออกมาจากเหมืองหยก บนหยกยังมีตัวอักษรโบราณคำว่า ‘อู’ สลักอยู่…ประมุขหุบเขาที่เลือกขึ้นมาทุกยุคทุกสมัยและผู้คุมกฎทั้งสี่ล้วนใช้สกุล ‘อู’ เนื่องจากฤดูหนาวปีนั้นอาจารย์พบนางนอนแบเบาะอยู่ในถ้ำหิมะแห่งหนึ่ง จึงตั้งชื่อให้นางว่า ‘อูอีเสวี่ย’

ยามนี้นางได้ป้ายหยกม่วงที่สูญหายไปกลับคืนมาแล้ว เช่นนี้นางก็สามารถใช้พิราบส่งข่าวไปเมืองชิงหู แจ้งผู้คุมกฎทั้งสี่ให้มารับนางได้

นางเอาป้ายหยกม่วงใส่กลับไปในเหอเปา เอาเหอเปายัดไว้ในอกเสื้อ ขณะหมุนตัวจะคลานลงจากโต๊ะร่างทั้งร่างก็แข็งค้างไปทันที

สิงฟู่อวี่ผู้นั้นยืนอยู่ข้างหลังนาง การเคลื่อนไหวของเขาไร้สุ้มเสียง นางไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ดูจากท่าทางของเขาคล้ายว่ายืนอยู่ตรงนี้มาพักหนึ่งแล้ว ทั้งยังเห็นการกระทำทั้งหมดของนาง

อูอีเสวี่ยไม่กลัวปีศาจและมารร้าย แต่กลับรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเปรียบกับปีศาจและมารร้ายแล้วยังน่ากลัวกว่า เขามองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองนิ่งจนนางเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง มือไม้เย็นเฉียบ…

จบกัน เช่นนี้นางควรอธิบายกับเขาอย่างไรดี นางตั้งใจย้อนกลับมาเอาหลักฐานยืนยันของประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาไปทำอะไร ถูเหล่าต้าบอกเก็บป้ายหยกม่วงได้ยังถูกเขาสอบปากคำจนผิวหนังถูกถลกออกไปชั้นหนึ่ง แล้วเขาจะจัดการกับนางอย่างไร นางไม่กล้านึกภาพเลยจริงๆ

สิงฟู่อวี่จ้องมองใบหน้าน้อยๆ ที่ซีดขาวลงเพราะความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าคนที่ลอบเข้ามาในห้องของเขาจะเป็นเด็กน้อยผู้นี้

ถ้าเป็นโจรผู้ร้ายคนอื่นบุกเข้ามา เขาคงไม่พูดไม่จาลงมือจับกุมตัวอีกฝ่ายไว้แล้ว แต่เมื่อเขาพบว่าคนที่ลอบเข้ามาในห้องของเขาคือเด็กผู้หญิงอายุหกขวบผู้นี้ เขาไม่ได้ลงมือจับกุมนาง หากแต่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ ว่านางคิดจะทำอันใด

เขามองนางปีนขึ้นไปบนโต๊ะด้วยความแปลกใจ พอยื่นมือออกไปก็หยิบเหอเปาใบนั้นมา เมื่อเห็นป้ายหยกม่วงที่อยู่ในนั้นก็ดีใจมาก ลูบคลำไปมาไม่วางมือ กระทั่งแอบยิ้มด้วยความปลื้มปีติ จากนั้นก็เก็บไว้ในอกเสื้อของตนด้วยความพึงพอใจ ท่าทางราวกับของสิ่งนี้ก็คือของนางเช่นนั้น ทำให้เขาที่ยืนดูอยู่ด้านข้างเห็นแล้วถึงกับไร้คำพูด

นางหนีกลับมาก็เพื่อจะขโมยของมีค่าเช่นนั้นหรือ

ขณะที่เขากำลังตรึกตรองว่าจะจัดการกับนางอย่างไรดี เด็กน้อยก็มองเห็นเขาเข้าแล้ว ทั้งยังตกใจไม่น้อย สีหน้าท่าทางราวกับเห็นผีเช่นนั้น สีหน้าที่หวาดกลัวและอ่อนใสไร้เดียงสาทำให้คนเห็นแล้วสงสาร ประหนึ่งเขาต่างหากที่เป็นคนไม่ดี ทำให้เขารู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เขายังไม่ได้ทำอะไรนางเลย นางก็หวาดกลัวถึงเพียงนี้แล้ว

“นางหนู ขโมยของผิดกฎหมาย เจ้ารู้หรือไม่”

เขาเห็นเด็กน้อยยังคงจ้องมองเขาด้วยความหวาดกลัว สีหน้าซีดเผือด ทั้งร่างแข็งทื่อ ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาน่าเวทนาสงสารได้สั่นสะเทือนส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดในใจคน ทำให้คนเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจนาง

สิงฟู่อวี่คิดในใจว่าสีหน้าท่าทางของตนใช่น่ากลัวเกินไปหรือไม่ ถึงได้ทำให้นางตกใจจนไม่กล้าพูด ด้วยเหตุนี้เขาจึงลองหยักยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้น ‘ยิ้ม’ ให้นาง

เขาไม่ยิ้มยังดี พอยิ้มออกมากลับทำให้แม่หนูน้อยตกใจจนร่างเริ่มสั่นเทา สีหน้าซีดขาวกว่าเมื่อครู่หลายส่วน

สิงฟู่อวี่พูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง อดรู้สึกหัวสมองบวมโตไม่ได้ แต่ไรมาคนที่เขาเผชิญหน้าด้วยมีแต่คนชั่วคนเลว เขาจึงเคยชินต่อการทำหน้าดุดันน่าเกรงขาม ทว่าจู่ๆ ต้องมาเผชิญหน้ากับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำหน้าอย่างไร

แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะลงโทษนางอยู่แล้ว อย่างมากก็อบรมไม่กี่คำ บอกนางวันหลังอย่าขโมยของอีก

“ถึงไม่มีเงินกินข้าวก็ไม่ควรขโมยของ ถ้าเจอขุนนางคนอื่นก็อาจจับตัวเจ้าไปขังได้” สิงฟู่อวี่พยายามผ่อนคลายน้ำเสียง ยื่นมือไปหยิบเหอเปาที่นางซุกไว้ในอกเสื้อออกมา เปลี่ยนมาเก็บไว้ในกระเป๋าที่เอวของตน จากนั้นก็ถามนาง “หิวหรือยัง เมื่อเช้าไม่ได้กินอิ่มใช่หรือไม่”

อูอีเสวี่ยตกใจจนทึ่มทื่อไปจริงๆ แต่หลังจากได้ยินเขาเอ่ยถาม พลันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ใต้เท้าสิงที่แต่ไรมาแววตาคมกริบดุจใบมีด สำรวมในการพูดหัวเราะต่อหน้าคนอื่น มีพลังอำนาจน่าหวั่นเกรงแผ่จากตัวตลอดเวลาถึงกับอ่อนโยนต่อนางเช่นนี้

คงเห็นนางตกใจจนทึ่มทื่อ ไม่พูดไม่จา สิงฟู่อวี่จึงจัดแจงให้คนไปที่ห้องครัวสั่งพ่อครัวให้ย่างแผ่นแป้งมาสักหลายชิ้นกับผัดเครื่องเคียงมาสักสองสามจาน พอดีวันนี้ล่าไก่ป่ากลับมาได้หลายตัว จึงสั่งคนให้ยกน้ำแกงไก่ที่ตุ๋นเสร็จแล้วมาชามหนึ่ง ให้แม่หนูน้อยบำรุงร่างกาย

อูอีเสวี่ยมองอาหารร้อนๆ บนโต๊ะอย่างงงงวย จากนั้นก็มองสิงฟู่อวี่ ความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกในตอนแรกถึงตอนนี้ค่อยๆ สงบลงแล้ว คนเมื่อสงบนิ่งลงแล้ว กระบวนความคิดก็จะแจ่มใสมีระบบ มองสายสนกลในของเรื่องราวได้ชัดเจนมากขึ้น

คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าสิงที่ดูเคร่งขรึมเฉยเมยที่แท้แล้วจะดีต่อเด็กถึงเพียงนี้ ไม่ถูก เขาไม่ได้ดีต่อเด็กทุกคน แต่ดีต่อนางเป็นพิเศษ

เพื่อยืนยันการคาดเดาของตน นางตัดสินใจจะทดสอบเขา ครั้นแล้วตอนคีบเนื้อนางแสร้งทำเป็นมืออ่อน ทำเนื้อร่วงลงบนโต๊ะ จากนั้นก็มองสิงฟู่อวี่ด้วยนัยน์ตาใสซื่อ

สิงฟู่อวี่ไม่ได้ตำหนินาง หากแต่ช่วยคีบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งวางลงบนชามของนาง

อูอีเสวี่ยมองเนื้อที่อยู่ในชาม เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มไร้เดียงสาให้เขา เห็นเขาส่งยิ้มมุมปากให้นางเช่นกัน

นางพลันอยากรู้ว่าขีดสูงสุดที่บุรุษผู้นี้มีให้นางอยู่ตรงที่ใด ด้วยเหตุนี้หลังจากนางกินไปได้หลายคำก็วางตะเกียบลง ไถลตัวลงจากเก้าอี้ มาถึงข้างกายสิงฟู่อวี่แล้วปีนขึ้นไปบนตักเขาท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความประหลาดใจของเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสพลางส่งยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาไปให้

สิงฟู่อวี่มองนางหนูผู้นี้อย่างงุนงง รู้สึกคาดคิดไม่ถึงต่อการเป็นฝ่ายเข้ามาทำตัวสนิทสนมของนาง นางแย้มยิ้มไร้เดียงสาน่ารัก แตะถูกจุดอ่อนที่ไม่มีใครรู้ของเขาเข้าพอดี

เด็กคนนี้น่ารักเกินไปแล้ว รอยยิ้มของนางคล้ายมีเสน่ห์ขุมหนึ่ง สั่นสะเทือนส่วนที่อ่อนนุ่มในใจของเขา ใบหน้าที่มีสง่าน่าเกรงขามของเขาดูอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว

เขาปล่อยให้นางนั่งอยู่บนตักเขาเช่นนั้น ภายใต้สายตาที่เฝ้ารอคอยของนาง เขายื่นมือไปคีบกับข้าวมาให้นาง นางรีบอ้าปากรับแล้วกินลงไป

เห็นนางเคี้ยวอาหารแก้มตุ่ยเขาก็อดคีบเนื้ออีกชิ้นหนึ่งมาส่งให้ที่ข้างปากนางไม่ได้ เห็นนางอ้าปากกัดและเคี้ยวกินด้วยความพอใจ หัวใจที่เย็นชาดุจน้ำแข็งของเขาก็หลอมละลายกลายเป็นน้ำไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

อูอีเสวี่ยชี้มือไปบนโต๊ะ ใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มของเด็กเอ่ยขึ้น “น้ำแกงไก่”

สิงฟู่อวี่วางตะเกียบลง ตักน้ำแกงไก่ให้นางชามหนึ่ง ใช้ช้อนตักส่งให้ถึงปากนาง

อูอีเสวี่ยชิมจากช้อนไปคำหนึ่ง จากนั้นก็บอกเขา “ลวกลิ้น” พูดแล้วยังแลบลิ้นน้อยๆ ที่แดงด้วยความร้อนให้เขาดู ท่าทางน่าสงสารยิ่ง

สิงฟู่อวี่ชะงักไปชั่วขณะ คิดไปคิดมา แล้วก้มหน้าลงช่วยเป่าให้นาง พลางบอกน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ลวกแล้ว”

อูอีเสวี่ยซดจากช้อนของเขาอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าพอใจ กลีบปากของเขาก็หยักโค้งขึ้น

นี่ไหนเลยยังจะเป็นใต้เท้าสิงผู้สำรวมในการพูดหัวเราะและเปี่ยมอานุภาพสั่นสะเทือนไปทั่วสี่ทิศ ที่แท้ในเวลาส่วนตัวเมื่อเขาเจอเด็กที่ถูกใจก็จะพูดง่ายเช่นนี้ คราวนี้อูอีเสวี่ยไม่กลัวเขาแล้ว

“กินแผ่นแป้งย่าง” นางกล่าว ใต้เท้าสิงรีบหยิบแผ่นแป้งที่ย่างแล้วมาหักเป็นชิ้นเล็กป้อนให้ถึงปากนาง

“ไม่มีเนื้อ” นางบอกอีก ใต้เท้าสิงก็เอาหมูสับใส่ในแผ่นแป้งย่างอย่างว่าง่ายและป้อนให้นาง

อูอีเสวี่ยเบิกบานใจยิ่ง ใต้เท้าสิงผู้นี้ทั้งคีบอาหารตักน้ำแกง ทั้งป้อนเนื้อสัตว์ให้นางกิน ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ขอสิ่งใดเขาเป็นต้องทำให้ ท่าทางขอสิ่งใดก็ไม่ปฏิเสธทำให้นางรู้สึกว่าครั้งนี้ตนโชคดีแล้ว

ขณะที่นางกำลังกลัดกลุ้มไม่รู้ควรเข้ามาทำตัวใกล้ชิดเขาอย่างไร คนผู้นี้ก็พาตนเองมาส่งให้ถึงหน้าประตู นางยกมือน้อยขึ้นวางที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ใต้ฝ่ามือรับรู้ได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้น ถ้าวรยุทธ์ของนางยังอยู่ ครั้งนี้เขาต้องตายแน่นอน

สิงฟู่อวี่เห็นนางปิดปากสั่นหัวจึงเอ่ยถาม “กินอิ่มแล้วหรือ”

อูอีเสวี่ยพยักหน้า เผยรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารักให้เขา ช่างเป็นยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไร้เล่ห์เพทุบายยิ่ง

สิงฟู่อวี่ถูกรอยยิ้มของนางโน้มน้าวจิตใจก็เผลอหยักยกมุมปากไปด้วย แววตาอ่อนโยน สั่งกำชับเบาๆ “ต่อไปถ้าหิวก็บอกอา ไม่อาจขโมยของอีก รู้หรือไม่”

“รู้แล้ว” นางใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มเฉพาะตัวของเด็กผู้หญิงตอบ เห็นเขายิ้มน้อยๆ นางก็ยิ้มจนหัวคิ้วนัยน์ตาโค้งยิ่งกว่าเขา

สิงฟู่อวี่เห็นปลายคางนางมีคราบอาหารเลอะติดอยู่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้นาง นางปล่อยให้เขาปรนนิบัติดูแลอย่างสบายใจ ในเวลานี้เองมีลูกน้องมาขอเข้าพบอยู่ที่หน้าประตู ตอนเข้ามายังพาเด็กน้อยฤทธิ์มากมาด้วยคนหนึ่ง

“ใต้เท้า จับผู้กระทำผิดได้แล้ว เป็นเจ้าหนูผู้นี้ที่ก่อเรื่อง เจ้าหนูเอางูโยนเข้าไปในคอกม้า ม้าตกใจวิ่งหนีไปสองตัว ได้ส่งคนไปตามหาแล้วขอรับ” ลูกน้องพูดจบก็ผลักอาหงมาข้างหน้าอย่างหยาบคาย

สิงฟู่อวี่ขมวดคิ้วพลางออกคำสั่ง “เอาเขา…” พูดยังไม่ทันจบ อูอีเสวี่ยพลันกระโดดลงจากตักเขา วิ่งไปที่อาหง กอดแขนเขาไว้

“อาหง เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าล่ะ”

“ข้าก็ไม่เป็นไร ท่านอาให้คนทำอาหารอร่อยมาให้พวกเรา พวกเราไม่ต้องขโมยม้าแล้ว เจ้ารีบมากิน” พูดจบนางก็จูงอาหงเดินมาที่โต๊ะอาหาร

ลูกน้องของสิงฟู่อวี่เห็นแล้วหันไปมองใต้เท้าของตน ยามกะทันหันเช่นนี้ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรยับยั้งหรือไม่

สิงฟู่อวี่โบกมือ “ออกไปเถิด”

ความหมายก็คือไม่เอาความ ลูกน้องได้รับคำสั่งก็รีบล่าถอยออกจากห้องไป

สิงฟู่อวี่มองไปทางอาหง เรื่องที่ม้าได้รับความตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้ลูกน้องได้มารายงานให้เขาทราบแล้ว ตอนนั้นเขาสงสัยว่าจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ จึงรีบกลับมาตรวจดู และพบอาเสวี่ยกำลังปีนขึ้นโต๊ะไปขโมยเหอเปาใบนั้น เวลานี้ได้เจออาหงอีกคน เขาไม่ต้องถามก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร

เด็กน้อยสองคนลอบลงจากรถม้าหนีกลับมา คนหนึ่งไปขโมยม้า อีกคนหนึ่งมาขโมยเงิน โลกนี้วุ่นวายยิ่ง ชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้นมีจำนวนมาก เด็กน้อยสองคนถูกพวกค้าทาสจับตัวไปขาย เพื่อความอยู่รอดจึงริเป็นขโมยก็เป็นเรื่องพอเข้าใจได้

อูอีเสวี่ยปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ หยิบเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้าอาหงจะให้เขากิน อาหงสั่นศีรษะ ไม่ได้อ้าปาก กลับมองจ้องสิงฟู่อวี่ด้วยสีหน้าระแวดระวัง

เมื่อครู่ตอนเข้าประตูมา เขาเห็นบุรุษผู้นี้อุ้มอาเสวี่ยอยู่ เขารู้บุรุษผู้นี้กำลังคิดอะไร แต่อาเสวี่ยไม่เข้าใจ คนผู้นี้ไม่อยู่ดีๆ ก็ดีต่ออาเสวี่ยโดยไม่มีสาเหตุ จะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน!

สิงฟู่อวี่หรี่นัยน์ตาเล็กน้อย เจ้าหนูนี่ขวัญกล้ายิ่งนัก ถึงกับกล้าถลึงตาจ้องมองเขา เห็นแก่ที่พวกเขายังเป็นเด็ก เขาไม่คิดจะถือสาหาความ เจ้าหนูนี่ไม่สำนึกบุญคุณก็แล้วไปเถิด ยังจะกล้าใช้สายตาท้าทายเขาอีก

สิงฟู่อวี่สีหน้าเรียบขรึมลงทันที “เจ้าหนู เพราะเหตุใดจึงแอบหนีลงจากรถม้าโดยพลการ”

อาเสวี่ยเพิ่งหกขวบ เจ้าหนูนี่สิบขวบแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเห็นว่าที่แอบหนีกลับมาขโมยของต้องเป็นความคิดของเจ้าหนูผู้นี้ที่สอนให้อาเสวี่ยเสียเด็ก แต่ความจริงเขาปรักปรำอาหงแล้ว ผู้บงการเบื้องหลังที่แท้จริงกำลังยุ่งอยู่กับการกินน่องไก่

อาหงไม่ได้ตอบคำถามสิงฟู่อวี่ เขาหาได้กลัวสิงฟู่อวี่ไม่ เขามาเพื่อจะปกป้องอาเสวี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะไม่เห็นอาเสวี่ยออกไปสักที เขาคงไม่ถูกจับได้เพราะต้องการตามหาอาเสวี่ยเป็นแน่

ประกายคมกริบในดวงตาสิงฟู่อวี่ยิ่งคุกคามคนมากขึ้น อูอีเสวี่ยเห็นแล้วลอบร่ำร้องว่าไม่ดี เจ้าหนูนี่เริ่มใช้นิสัยดื้อรั้นอีกแล้ว

“อาหง ท่านอาเป็นคนดี เขาช่วยพวกเราไว้ ตอนกลางคืนก็ให้ผ้าห่มพวกเราห่ม กลางวันก็ให้ของเรากิน เขาไม่เหมือนคนเลวพวกนั้น ไม่ต้องกลัว” อูอีเสวี่ยดึงๆ มือเขา ใช้สายตาสุกใสแวววาวมองเขา

อูอีเสวี่ยจงใจพูดเช่นนี้ ประการแรกเพื่อเตือนอาหงอย่าทำนิสัยดื้อรั้น หาเรื่องลำบากใส่ตัวอีก เชื่อว่าเจ้าหนูจะเข้าใจความหมายของนาง ประการที่สองเพื่อบอกให้สิงฟู่อวี่รู้ อาหงเป็นเพราะกลัวจึงได้ทำตัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กที่พร้อมจะโจมตีคนตลอดเวลา

ช่วงที่คลุกคลีอยู่ด้วยกัน อาหงกับนางได้บ่มเพาะสัญญาอันเป็นที่รู้กันไว้แล้ว เขาเพียงยอมฟังนางเท่านั้น ได้ยินนางพูดเช่นนี้เขาจึงรีบก้มหน้าลง

“ขอโทษใต้เท้า ข้าผิดไปแล้ว”

อาหงก้มหน้ายอมรับผิดอย่างรู้กาลเทศะ ทำให้สีหน้าของสิงฟู่อวี่ดีขึ้นมาเล็กน้อย

สิงฟู่อวี่นึกถึงสิ่งที่เด็กคนนี้ได้พบเจอมาก่อนหน้านี้ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีความคิดอันเป็นศัตรูต่อผู้อื่นค่อนข้างมาก เขาเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังเป็นขุนนาง ย่อมไม่ถือสาหาความเด็กสิบขวบคนหนึ่ง

“ท่านอา” เสียงนุ่มนิ่มเรียกเขาเบาๆ สิงฟู่อวี่ก้มหน้าลง เห็นอาเสวี่ยกำลังดึงชายเสื้อเขา ใช้สายตาชุ่มฉ่ำแวววาววิงวอนเขา กระทั่งทำให้จิตใจที่เย็นชาของเขาหลอมละลาย เพลิงโทสะที่เหลืออยู่ก็สลายสิ้น

“ช่างเถิด ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมไปกับรถม้า ก็อยู่ที่นี่ไปชั่วคราวแล้วกัน”

อูอีเสวี่ยได้ยินแล้วก็ดีใจ รีบคลี่ยิ้มสดใส “ขอบคุณท่านอา”

สิงฟู่อวี่เห็นนางแย้มยิ้มน่ารัก เส้นสายแข็งกระด้างบนใบหน้าหล่อเหลาพลันผ่อนคลายลง มุมปากก็หยักยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว อดยื่นมือไปลูบศีรษะนางไม่ได้

อูอีเสวี่ยแอบดีใจ แม้จะเอาหลักฐานยืนยันคืนมาไม่ได้ แต่ได้โอกาสที่จะใกล้ชิดสิงฟู่อวี่มาก็ถือว่าแผนการประสบความสำเร็จ รอให้ถึงวันที่ตนได้พลังวัตรกลับคืนมา ยังจะกลัวไม่มีโอกาสได้สั่งสอนคนแซ่สิงอีกหรือ

คิดได้ดังนี้รอยยิ้มของนางก็ยิ่งใสซื่อไร้เดียงสามากขึ้น

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: