ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 5 บทที่ 3
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่รับคำและลุกขึ้น ทักทายกันอีกสองสามคำก่อนจะเข้าไปในห้องโถง นั่งลงตามตำแหน่งของเจ้าภาพกับแขกแล้ว จึงให้คนยกชาอย่างดีเข้ามาใหม่
ซั่งกวนหงฮุยนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็ยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง เขาไม่พูดเรื่องไร้สาระ กล่าวถึงเรื่องที่ให้หลี่ป๋อมาส่งข่าวรอบหนึ่ง จากนั้นเล่าเรื่องที่ฮ่องเต้ให้เขาไปตามหาเซียนปรุงยาที่อยู่ทางใต้ให้ฟัง สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่สกุลเซียวไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงอุทกภัยและโรคระบาดทางใต้ มีหนานไหวจงกับอัครเสนาบดีคอยปกป้องอย่างเต็มที่ เสด็จพ่อไม่มีทางเชื่อข่าวลือบนท้องถนนพวกนั้นแน่ หาไม่พระองค์คงไม่ส่งข้าลงใต้เช่นนี้ ขอเพียงข้าพบตัวเซียนปรุงยา รักษาโรคระบาดให้หาย เมื่อราษฎรสงบสุข ข่าวลือย่อมถูกทำลายไปเอง ระหว่างที่ข้าเดินทางลงใต้ ขอเพียงนายท่านใหญ่พยายามรักษากิจการของสกุลเซียวเอาไว้ ไม่ให้สกุลโอวหยางและสกุลหลี่ร่วมมือกันทำลายลงได้ พวกเราย่อมมีโอกาสในการพลิกสถานการณ์ ส่วนเจ้าเมืองเซียว ข้าเดินทางลงใต้แล้วจะสั่งให้คนดูแลเขาให้มากหน่อย”
“ข้าน้อยขอบพระทัยรัชทายาทที่ทรงเมตตา เรื่องของน้องรองต้องขอพึ่งพารัชทายาทด้วย”
“ต่อให้ไม่มีการร้องเรียนของผู้ตรวจการจาง อุทกภัยและโรคระบาดทางใต้ครั้งนี้ คฤหาสน์สกุลเซียวก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ ภาษิตว่าการทำสงครามสำคัญที่เสบียงอาหาร กองทัพใหญ่ทางเหนือต้องกินใช้ทุกวัน ทางใต้ประสบอุทกภัยเก็บเกี่ยวข้าวไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว ราชสำนักตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแล้ว นายท่านสกุลเซียวทำกิจการค้าเสบียงอาหารและแพรพรรณอยู่ทางใต้มาหลายปี หากสกุลเซียวสามารถเปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ช่วยราชสำนักจุนเจือราษฎรที่ประสบภัย ควบคุมไม่ให้ผู้ประสบภัยอพยพขึ้นเหนือ ยุติการก่อความวุ่นวายของคนเร่ร่อน สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ บางทีอาจสามารถช่วยชีวิตเจ้าเมืองเซียวได้”
เหล่าไท่จวินตาเป็นประกายก่อนจะหม่นลง นางเอ่ยว่า “รัชทายาทตรัสได้ถูกต้องยิ่งนัก เพียงแต่รัชทายาททรงไม่รู้ว่าสองปีมานี้กิจการทางใต้ของสกุลเซียวส่วนใหญ่โอนให้เหมืองแร่ทองแดงเขาฟู่ลี่ไปหมดแล้ว เดิมทีปีนี้เสบียงอาหารไม่เพียงพออยู่แล้วด้วย หลายวันก่อนเพื่อช่วยเหลือนายท่านรอง จวิ้นเอ๋อร์ได้ขายเสบียงอาหารให้ทางการในราคากลางเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากจะให้เปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสารอีก เกรงว่าต่อให้อยากทำก็ไร้ซึ่งกำลัง”
ซั่งกวนหงฮุยฟังแล้วหัวใจจมดิ่ง เดิมทีเขาเต็มไปด้วยความหวัง หมายจะโน้มน้าวสกุลเซียวให้เปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ควบคุมคนเร่ร่อนให้ได้ก่อน แล้วเขากับเซียนปรุงยาค่อยรักษาโรคระบาด รอให้สถานการณ์ทางใต้มั่นคงแล้ว วิกฤตของเขาย่อมคลี่คลายลงได้ ทางเหนือเองก็มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเยียนอ๋องสมคบกับข้าศึก ถึงเวลาเขาย่อมโค่นล้มเยียนอ๋องได้แน่
คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ สกุลเซียวกลับบอกว่าไม่มีเสบียงอาหารแล้ว มิอาจช่วยเหลือได้!
เงียบอยู่เนิ่นนาน ซั่งกวนหงฮุยจึงเอ่ยว่า “พูดถึงเหมืองแร่ทองแดงเขาฟู่ลี่ ได้ยินว่าซั่งกวนจวิ้นก็ขายเสบียงอาหารในราคากลางเหมือนกัน เมื่อครู่ตอนข้าหารือสถานการณ์ภัยพิบัติทางใต้กับเสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังพูดถึงเขาและให้ความสำคัญทีเดียว ชื่นชมเขาที่ไม่ได้ฉวยโอกาสตอนบ้านเมืองเดือดร้อนสมคบกับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ขึ้นราคาเสบียงอาหาร กำลังหารือว่าจะออกราชโองการยกย่องชื่นชม เพียงแต่คนผู้นี้อุบายล้ำลึก คบหาทั้งข้าและเยียนอ๋อง ทำตัวเป็นนกสองหัว มิอาจนำเขามาใช้งานได้อย่างแท้จริง”
นายท่านใหญ่ฟังแล้วขบคิดครู่หนึ่งก่อนพูด “ข้าน้อยได้ยินจวิ้นเอ๋อร์บอกว่าเขากับซั่งกวนจวิ้นมีไมตรีต่อกันอยู่ หากจวิ้นเอ๋อร์สามารถโน้มน้าวซั่งกวนจวิ้นให้ร่วมมือกับสกุลเซียวเปิดยุ้งแจกจ่ายข้าวสาร ร่วมกันปกป้องน้องรองได้ รัชทายาททรงมีความเห็นอย่างไร”
ซั่งกวนหงฮุยฟังแล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริงย่อมดีที่สุด เพียงแต่เกรงว่าเวลานี้…”
“ในอดีตตอนสกุลเซียวมอบกิจการให้เขา ซั่งกวนจวิ้นเคยให้สัญญากับจวิ้นเอ๋อร์ว่าหากสกุลเซียวมีอะไรเขาฟู่ลี่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ได้ยินว่าคนผู้นี้จิตใจกว้างขวาง นิสัยเปิดเผย ให้จวิ้นเอ๋อร์ไปลองดูก่อนเถอะ หากเขาเป็นคนรักษาสัจจะจริง บางทีวิธีนี้อาจสำเร็จลงได้”
ฟังคำพูดนี้แล้ว ซั่งกวนหงฮุยก็มีสีหน้าเบาใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พี่เซียวลองดูเถอะ หากสำเร็จจริงๆ ย่อมนับเป็นโชคดีของข้า โชคดีของราษฎรทั่วหล้า ใช่แล้ว ไฉนจึงไม่เห็นพี่เซียวเลยเล่า”
“จวิ้นเอ๋อร์กำลังเตรียมการลงใต้ตามพระประสงค์ของรัชทายาท หากรัชทายาททรงมีธุระกับเขา ข้าน้อยจะให้คนไปตามเดี๋ยวนี้”
เห็นนายท่านใหญ่จะเรียกคน รัชทายาทจึงห้ามไว้ “ไม่ต้องหรอกนายท่านสกุลเซียว ข้าไปหาเขาเองดีกว่า” ซั่งกวนหงฮุยพูดจบก็ลุกขึ้น
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เห็นแล้วไม่กล้าขัดขวาง ทั้งสองรีบรับคำและลุกขึ้นเดินตามหลังออกมาส่ง เพิ่งถึงประตูก็เห็นเซียวอวิ้นยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตรงนั้น ครั้นเห็นรัชทายาทออกมา เขาจึงรีบคุกเข่าโขกศีรษะ ข้ารับใช้สองฝั่งต่างพากันคุกเข่าลง
เห็นเซียวอวิ้นโขกศีรษะ ซั่งกวนหงฮุยหยุดเดินแล้วพูด “ลุกขึ้นเถอะ”
เซียวอวิ้นลุกขึ้นและหลบไปยืนด้านข้าง มองบิดากับรัชทายาทด้วยสีหน้าลังเล ทำท่าจะพูดและเงียบไป
เห็นเซียวอวิ้นเป็นเช่นนี้ นายท่านใหญ่นึกอะไรขึ้นได้ เขาให้เซียวอวิ้นไปตามเซียวจวิ้นมา หรือว่าเซียวจวิ้นฟังคำของรัชทายาทแล้วก็ยังไม่สนใจ นี่มันเวลาใดแล้ว นายท่านรองเข้าคุก หายนะถึงแก่ชีวิตอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็ยังจะใช้อารมณ์เพียงเพราะสตรีคนเดียวอยู่อีกหรือ คิดเช่นนี้ก็อดหน้าบึ้งไม่ได้ เห็นรัชทายาทกำลังจะก้าวออกไป ด้วยเกรงว่าบุตรชายจะล่วงเกินรัชทายาทอีก ทำให้รัชทายาทโกรธ เขาจึงเอ่ยถาม “ไฉนเจ้าจึงกลับมาคนเดียว จวิ้นเอ๋อร์เล่า”
ได้ยินบิดาถาม เซียวอวิ้นเหลือบมองรัชทายาทแวบหนึ่งก่อนตอบ “เรียนบิดา ลูกนำคำพูดของรัชทายาทไปถ่ายทอดให้พี่รองทราบแล้ว พี่รองบอกว่าเขาจะอยู่เฝ้าคฤหาสน์สกุลเซียวในผิงหยาง ตอนนี้กำลังเตรียมเอกสารสำหรับเดินทางลงใต้ ต้องการให้ลูกมาบอกบิดาว่าเขาจัดการเสร็จแล้วจะรีบมาชี้แจงกับบิดาอย่างละเอียดขอรับ”
เซียวจวิ้นจะไม่เดินทางลงใต้?! คิดจะให้ข้าพาน้องสาวเดินทางลงใต้ไปคนเดียวหรือ เรื่องที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมเช่นนี้จะทำได้อย่างไร! หรือว่าเซียวจวิ้นจะโมโหและหึงหวงเพราะคำพูดเมื่อวานจึงไม่อยากให้น้องสาวเดินทางลงใต้ คิดจะก่อกวนเอาชนะข้าด้วยอารมณ์ในเวลาเช่นนี้!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 มิ.ย. 62