“ข้า…ข้าเข้าใจนางผิดไป”
เห็นพี่รองตระหนักแล้ว เซียวอวิ้นจึงพูดต่อ “ท่านโทษที่พี่สะใภ้รองไม่บอกอะไรท่านเลย สองปีก่อน พี่สะใภ้รองได้ยินเรื่องคำสอนของบรรพบุรุษและเป็นลมอยู่ในศาลา ตอนนั้นท่านอยู่ข้างกายนางแต่กลับจากไปโดยไม่เหลียวแล หลังจากพี่สะใภ้รองถูกส่งกลับเรือนเซียวเซียงแล้ว ท่านได้ไปเยี่ยมนางบ้างหรือไม่เล่า”
คำพูดของเซียวอวิ้นทำให้เซียวจวิ้นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนนั้นเขาสงสัยว่าซีเอ๋อร์ข้องเกี่ยวกับน้องสามจึงพูดจาร้ายกาจกับนางในศาลา ย้อนคิดถึงการแต่งงานเสริมมงคลแล้ว เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันใด มิใช่ระยะเวลาครึ่งเดือนตามที่นักพรตบอกที่สามารถเสริมมงคลให้เขาจนหายป่วย แต่เป็นซีเอ๋อร์ที่ใช้เวลาครึ่งเดือนรักษาเขาจนหายดีต่างหาก นางแต่งงานวันแรกก็เข้าครัวทำอาหารให้เขาด้วยตนเอง ต้องเป็นเพราะนางใส่ยาไว้ในน้ำแกงพวกนั้นแน่ แต่เขากลับต่อว่านางด้วยวาจาร้ายกาจ เพียงเพราะนางเข้าไปในห้องครัวโดยไม่คำนึงถึงฐานะของตนเอง!
พอพ้นระยะเวลาสิบห้าวันไป แม้เขาจะเข้าไปอยู่ที่เรือนหลัง นางก็ยังคงส่งโจ๊กมาให้เขาตามเดิม นั่นไม่ใช่แค่โจ๊กแต่เป็นยา เป็นความหวังดีของนาง…นางเคยประคองหัวใจตนเองมามอบให้เขาตรงหน้าแล้ว น่าโมโหที่ตอนนั้นเขาหน้ามืดตามัวเพราะผ้าพรหมจารีและข่าวลือของนาง ทั้งเชื่อคำยุแยงของหลี่อี๋เหนียง ปฏิเสธไมตรีของนางโดยไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย วันนี้ที่ทิ้งโรคเรื้อรังเอาไว้ล้วนเป็นผลจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น!
เดิมทีนางตั้งใจอยู่ร่วมกับเขา แต่คำพูดและการกระทำที่ร้ายกาจของเขาทำให้นางผิดหวัง ทั้งยังมีคำสอนของบรรพบุรุษมาขวางกั้นอีก นางจึงปิดกั้นหัวใจของตนเอง คิดถึงตรงนี้เซียวจวิ้นก็หัวใจหดเกร็ง ก่อนจะไออย่างรุนแรงอีกครั้ง
เห็นเซียวจวิ้นเป็นเช่นนี้ เซียวอวิ้นที่เดิมทีคิดว่าเลือดที่ไหลออกจากปากพี่รองก่อนหน้าเป็นเพราะถูกต่อยจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้เกิดความสงสัยทันที เขาคว้าตัวเซียวจวิ้นเข้ามาถาม “พี่รอง ท่านบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ท่านเป็นโรคอะไรใช่หรือไม่!”
เห็นน้องสามตกใจจนใบหน้าขาวซีด เซียวจวิ้นก็ร่างกายสะท้าน เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้งแล้วพูด “ไม่มีอะไร แค่โรคลมหนาวจากครั้งก่อนที่ตากฝน ยังไม่หายดีสักที”
เห็นพี่รองอึกอักอ้ำอึ้ง หัวใจของเซียวอวิ้นอดเต้นรัวไม่ได้ เขาคาดคั้นต่อ “พี่รอง ท่านอย่าโกหกข้า ถ้าเป็นโรคลมหนาวจะไอเป็นเลือดได้อย่างไร ท่านเป็นโรค…ใช่แล้ว ท่านเปลี่ยนใจไม่เดินทางลงใต้กะทันหันจะอยู่เมืองผิงหยางแทนบิดา เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่! บอกข้ามานะ!”
เซียวจวิ้นกำลังจะอธิบายก็ได้ยินเสียงเพล้งดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง
นอกหน้าต่างมีคน!
สองพี่น้องตกใจ หันไปมองนอกหน้าต่างพร้อมกัน สบตากันแวบหนึ่งแล้วผุดลุกขึ้นทันใด พวกเขาปราดไปที่หน้าประตู เปิดประตูห้องหนังสือออก ข้างนอกไม่มีใครสักคน หันไปมองรอบลานบ้านแล้วก็ไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว
เซียวอวิ้นย่อกายลงเก็บเศษชามขึ้นมา “พี่รอง อาจมีคนนำโจ๊กมาให้ท่านและแอบฟังที่พวกเราคุยกัน!”
เซียวจวิ้นฟังแล้วร่างกายพลันโงนเงน เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องพวกเขาคุยถึงเรื่องที่ซีเอ๋อร์เป็นเซียนปรุงยาด้วย ไม่รู้ว่าจะถูกแอบฟังด้วยหรือไม่ เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด ซีเอ๋อร์จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด!
คิดได้เช่นนี้เซียวจวิ้นก็ก้าวลงบันไดเร็วๆ มองหาในลานบ้านอย่างเร่งร้อน แต่กลับไม่พบเงาคนเลย เขาเดินไปประตูชั้นใน บ่าวชายที่เฝ้าประตูรายงานว่าเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด ไม่เห็นคนเข้าออก
สาวใช้ที่นำโจ๊กมาให้ต้องเป็นคนในเรือนแน่ ป่านนี้คงหลบเข้าไปอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งแล้ว เซียวจวิ้นยืนอยู่ในลานกวาดตามองห้องรอบด้าน ประตูล้วนปิดแน่นสนิท ดูไม่ออกว่าประตูบานไหนผิดปกติ เห็นเซียวซย่าวิ่งออกมามองเขาอย่างตกตะลึงจึงถามว่า “เมื่อครู่เห็นคนมาที่ห้องหนังสือหรือไม่”
“เรียนคุณชายรอง บ่าวอยู่ในห้องตลอด ไม่เห็นขอรับ”
“หงจู หงจู!”
ได้ยินคุณชายรองเรียก หงจูจึงวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน เห็นสภาพของคุณชายรองแล้วจึงสะดุ้งตกใจ ไม่รอให้เซียวจวิ้นพูดอะไรก็เอ่ยถามเสียก่อน “คุณชายรอง ท่านเป็นอะไรไป เพียงครู่เดียวเท่านั้น ถูกใครทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ได้เจ้าคะ”
“หงจูสั่งให้ใครยกโจ๊กมาที่ห้องหนังสือหรือไม่”
“เรียนคุณชายรอง คุณชายสามสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าใกล้ห้องหนังสือทั้งนั้น บ่าวจึงไม่กล้าให้คนไปที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”