X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 5 บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4

 “อะไรกัน พี่เซียวไม่อยากเดินทางลงใต้กับข้าหรือ” รัชทายาทใบหน้าเขียวคล้ำ ไม่รอให้นายท่านใหญ่พูดอะไรก็เอ่ยปากคาดคั้นก่อนแล้ว

เจ้าลูกทรพี คิดว่าเจ้าเป็นใครถึงกล้าขัดคำสั่งของบิดามารดาท่านย่า! ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง นายท่านใหญ่ย่อมมิอาจทำอะไรเขาได้ แต่ล่วงเกินรัชทายาทเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจต้องตายทั้งตระกูล! เห็นรัชทายาทสีหน้าเปลี่ยนไป นายท่านใหญ่ก็ตัวสั่นคุกเข่าลงทันที โขกศีรษะเอ่ยว่า “รัชทายาทโปรดบรรเทาโทสะด้วย เรื่องนี้ต้องมีความเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ รัชทายาทโปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะ…”

ไม่รอให้นายท่านใหญ่พูดจบ ซั่งกวนหงฮุยก็หันไปพูดกับเซียวอวิ้น “คุณชายสามโปรดนำทางด้วย ข้าจะไปพบพี่เซียวด้วยตนเอง”

ซั่งกวนหงฮุยไม่สนใจนายท่านใหญ่ พูดจบก็ก้าวยาวๆ ออกไป

เซียวอวิ้นมองบิดาอย่างแข็งทื่อ ตลอดจนท่านย่าที่เดินตามออกมาแล้วมีท่าทางที่ตกใจ ปากเขาขยับไปมาคิดจะพูดอะไร กลับได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยเพียงว่า “ยังไม่รีบไปอีก เจ้าก็คิดจะขัดคำสั่งรัชทายาทด้วยรึ!”

เซียวอวิ้นได้สติทันใด หันไปเห็นรัชทายาทเดินไปไกลแล้วจึงรีบวิ่งเหยาะตามไป

เห็นรัชทายาทเดินห่างออกไปแล้ว นายท่านใหญ่จึงลุกขึ้น เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและหันไปมองใบหน้าขาวซีดของมารดาที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ด้านข้าง รีบเข้าไปประคองและเอ่ยว่า “มารดาไม่ต้องกังวล กลับไปพักในห้องโถงสักครู่หนึ่งก่อน ลูกจะไปดูที่เรือนเซียวเซียงเดี๋ยวนี้ขอรับ”

“เจ้าหลานทรพี! จะต้องให้คนสกุลเซียวทั้งหมดตายไปพร้อมกับเขาด้วยหรือไร เร็วเข้า เตรียมเกี้ยวไปเรือนเซียวเซียง!”

ทั้งสองเร่งรุดไปยังเรือนเซียวเซียง พอลงจากเกี้ยวก็เห็นรัชทายาทเดินออกมาแต่ไกล เซียวอวิ้นตามอยู่ข้างหลัง แตกต่างจากที่คิด รัชทายาทไม่ได้โกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เห็นรัชทายาทเดินตรงมา เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ก้าวเข้าไปจะคารวะ กลับถูกรัชทายาทประคองไว้เสียก่อน เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เหล่าไท่จวิน นายท่านสกุลเซียว พี่เซียวกังวลเรื่องที่สกุลเซียวประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กะทันหัน เป็นห่วงความปลอดภัยของนายท่านสกุลเซียวจึงเปลี่ยนใจเรื่องการเดินทางลงใต้ เขามีใจกตัญญูเช่นนี้ ข้าย่อมไม่อยากจะฝืนใจ สองวันนี้ข้าจะออกเดินทางลงใต้คนเดียว นายท่านสกุลเซียวอยู่ในผิงหยางหากมีอะไรสามารถไปหาหลี่จั้นเพื่อให้เขาส่งข่าวให้ข้าได้”

เห็นรัชทายาทไม่เอาผิด เหล่าไท่จวินและนายท่านใหญ่ต่างพรูลมหายใจยาว ก่อนจะส่งรัชทายาทจากไปอย่างนอบน้อม จากนั้นทั้งสองจึงย้อนกลับเข้าไปในเรือนเซียวเซียง ได้เวลาคุยกับจวิ้นเอ๋อร์ที่เอาแต่ใจผู้นี้ให้ดีแล้ว เมื่อวานรัชทายาทพูดอะไรบ้าง เหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงหย่าภรรยา แล้วยังวันนี้อีก เหตุใดรัชทายาทจึงโมโหเมื่อได้ยินว่าเซียวจวิ้นจะไม่เดินทางลงใต้…เรื่องเหล่านี้ล้วนสร้างความฉงนสงสัยให้บุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในสกุลเซียวทั้งสองคน บางทีเรื่องพวกนี้อาจเกี่ยวพันถึงชะตาของสกุลเซียว

เดินเข้าประตูชั้นในไปก็เห็นสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยยืนอยู่เต็มลานบ้าน ชุ่ยอี๋เหนียงกับหงอวี้คุกเข่าอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ เหล่าไท่จวินเห็นแล้วอดนิ่วหน้าไม่ได้ จวิ้นเอ๋อร์คิดจะทำอะไรกันแน่นะ

เห็นเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่มา ทุกคนสะดุ้งตกใจพากันคุกเข่าลง

เหล่าไท่จวินพูดอย่างหมดความอดทน “กลางวันเช่นนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้วหรือ ถึงได้มาเบียดเสียดกันอยู่ในลาน ให้รัชทายาทเห็นเข้าจะน่าดูเสียที่ไหน!”

เห็นเหล่าไท่จวินโมโห ทุกคนจึงโขกศีรษะติดๆ กัน นายท่านใหญ่พูดขึ้น “แยกย้ายไปกันเถอะ!”

ทุกคนถึงได้ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบและถอยออกไป เห็นคนจากไปหมดแล้ว ปรายตามองชุ่ยอี๋เหนียงกับหงอวี้ที่ยังยืนอยู่ข้างๆ เหล่าไท่จวินจึงไม่พูดอะไรอีก นางก้าวเข้าไปในห้องหนังสือพร้อมนายท่านใหญ่และคุณชายสาม พอเข้าประตูไปก็เห็นเซียวจวิ้นกำลังรวบรวมสมาธินั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ก้มหน้าตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว พอได้ยินเสียงฝีเท้า เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ เพียงตวาดเสียงเฉียบว่า “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามใครเข้ามารบกวนทั้งนั้น ออกไป!”

“จวิ้นเอ๋อร์เก่งกาจขึ้นทุกวันแล้ว แม้แต่ย่าก็กล้าไล่!”

เพียงได้ยินเสียงท่านย่า เซียวจวิ้นก็เงยหน้าอย่างตกตะลึง ดวงตาเขาลึกโหล สองข้างแก้มมีตอหนวดเขียวคล้ำ คนดูทรุดโทรมลงกว่าเดิมมาก เสื้อผ้าดูหลวมโพรกกว่าปกติ โทสะเต็มอกของนายท่านใหญ่ถูกแทนที่ด้วยความปวดใจโดยไม่รู้ตัว ถ้อยคำตำหนิถูกกลืนกลับลงไป

เห็นท่านย่ากับบิดาเข้ามา เซียวจวิ้นรีบวางพู่กันและลุกขึ้น “ท่านย่ากับบิดามาได้อย่างไรขอรับ จวิ้นเอ๋อร์ให้น้องสามไปบอกท่านย่ากับบิดาแล้วมิใช่หรือ จวิ้นเอ๋อร์จะรีบทำงานในมือให้เสร็จและจะไปที่เรือนโซ่วสี่”

“จวิ้นเอ๋อร์เป็นอะไรไป หากตัดใจจากซีเอ๋อร์ไม่ได้จริงๆ จวิ้นเอ๋อร์ก็ไปรับนางกลับมาเถอะ!”

เห็นเซียวจวิ้นที่ปกติสง่าผ่าเผยมากด้วยความสามารถเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้ภายในชั่วข้ามคืน เหล่าไท่จวินพลันคิดถึงหลี่เมิ่งซีทันที นางเพิ่งจากไปเมื่อวานเท่านั้น วันนี้นายท่านรองกับทั้งครอบครัวก็ถูกตีตรวนเข้าคุก เรื่องนี้ทำให้นางยิ่งเชื่อคำพูดของจิ้งอวิ๋นต้าซือ เชื่ออย่างงมงายว่าหากสามารถตามหลี่เมิ่งซีกลับมาได้ สกุลเซียวของนางจะต้องผ่านพ้นเคราะห์ร้ายครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยแน่

ผู้ตรวจการจางที่เดิมทีเป็นญาติกลายเป็นศัตรู ทำให้เหล่าไท่จวินหมดความมั่นใจในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปแล้ว ตอนนี้อำนาจของเยียนอ๋องแข็งแกร่ง แม้แต่รัชทายาทเองยังยากจะเอาตัวรอด เวลานี้ใครจะกล้าแต่งงานกับสกุลเซียวอีกเล่า รัชทายาทจะยอมให้สกุลเซียวทำตัวเป็นหญ้าเหนือกำแพงในเวลานี้ได้อย่างไร

แทนที่จะสิ้นเปลืองทรัพย์สินกว่าครึ่งของสกุลเซียวเพื่อหาที่พึ่งทางการเมืองใหม่ หรือโผเข้าสู่อ้อมกอดของใครอีกคน มิสู้ตามเอายันต์คุ้มภัยประจำบ้านของตนกลับมายังง่ายกว่า ดังนั้นข้อสงสัยและถ้อยคำตำหนิที่อัดแน่นอยู่เต็มท้อง พอเอ่ยออกมาแล้วจึงกลายเป็นให้เซียวจวิ้นไปตามหลี่เมิ่งซีกลับมา…นั่นเป็นยันต์คุ้มภัยของสกุลเซียวเชียวนะ

ได้ยินท่านย่าเอ่ยถึงซีเอ๋อร์ หัวใจของเซียวจวิ้นหดเกร็งด้วยความเจ็บปวดเป็นพักๆ เดิมทีคิดว่าเขาสามารถปล่อยวางได้แล้วแท้ๆ ทว่านางเพิ่งจากไปแค่คืนเดียวก็ทำให้เขาตระหนักว่าที่แท้ความคิดถึงที่สลักลึกลงไปในกระดูกแม้แต่หายใจก็ทำให้คนเจ็บปวดได้ นอกจากทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็มิอาจหยุดคิดถึงนางได้เลย เกรงว่าเมื่อใดที่หยุดทำงาน ความเจ็บปวดที่ฝังลึกลงไปในกระดูกจะทำให้เขาขาดใจตาย!

เห็นท่านย่ากับบิดายังคงยืนอยู่ เซียวจวิ้นฝืนข่มความเจ็บปวดในใจ แล้วหันไปพูดกับเซียวซย่าที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้างด้วยเสียงอันดัง “ยังจะยืนเฉยอยู่อีกหรือ รีบจัดที่นั่งให้ท่านย่า บิดา และน้องสาม แล้วก็ยกน้ำชา!”

เซียวเหยียนยกน้ำชาเดินเข้ามาแล้ว เซียวซย่าจึงได้สติไปเช็ดเก้าอี้พลางเชิญเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และคุณชายสามนั่งลง วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นายท่านใหญ่จึงถามเสียงอ่อนโยน “เมื่อวานรัชทายาทเสด็จมาที่นี่มีอะไรหรือ เหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงหย่าซีเอ๋อร์โดยไม่บอกกล่าว แม้แต่ข้ากับท่านย่าเจ้ายังเพิ่งทราบเรื่องตอนที่ซีเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว”

ได้ยินบิดาถามถึงเรื่องนี้ เซียวจวิ้นก็ร่างกายสะท้านก่อนตอบอย่างรวดเร็ว “รัชทายาทรับราชโองการเดินทางลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยา รู้ว่าลูกมีสหายอยู่ทางใต้มากมายจึงอยากชวนลูกเดินทางลงใต้ไปด้วยกัน มีพระประสงค์จะใช้กำลังทางใต้ของสกุลเซียวในการตามหาเซียนปรุงยา ลูกจึงเขียนจดหมายถึงสหายที่อยู่ทางใต้ตลอดทั้งคืน แนะนำให้พวกเขารู้จักกับรัชทายาท”

ฟังคำอธิบายเช่นนี้แล้วเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ชั่วขณะนั้นคิดไม่ออกว่าคืออะไร นายท่านใหญ่ยังคงซักไซ้ต่อ “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับซีเอ๋อร์ เหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึง…”

“บิดาก็รู้ว่าลูกเป็นโรคลมหนาว หลายวันนี้ไออย่างหนัก ก่อนหน้านี้ลูกหาเวลาไปพบหมอหลวงหลี่มาแล้ว หมอหลวงหลี่บอกว่าปอดของลูกถูกทำร้าย ต้องพักผ่อนอย่างสงบ ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลลงใต้ หากถูกลมหนาวอีกครั้งเกรงว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ลูกจึงคิดว่ามิสู้ให้บิดาพาพี่ใหญ่กับน้องสามลงใต้ไป ส่วนลูกก็จะประจำอยู่ทางเหนือ หนึ่งเพื่อรักษาร่างกาย สองเพื่อเฝ้ากิจการของตระกูล ตอนนี้สถานการณ์คับขัน บิดาอย่าพูดมากอีกเลย ท่านยกตำแหน่งประมุขสกุลให้ลูกก่อนเถอะ ลูกจะเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”

ฟังคำพูดนี้แล้วนายท่านใหญ่ก็ลุกขึ้นถามทันที “จวิ้นเอ๋อร์ต้องการเฝ้ากิจการของตระกูลเอาไว้ถึงได้หย่าซีเอ๋อร์รึ!”

“ฐานะของซีเอ๋อร์ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ ลูกจำเป็นต้องหย่านางจึงจะรับตำแหน่งประมุขสกุลได้ บิดาไม่เชื่อสามารถไปถามหมอหลวงหลี่ได้ ร่างกายของลูกทนรับความลำบากจากการเดินทางไกลไม่ไหวจริงๆ” เซียวจวิ้นพูดจบก็ไอสำลักอย่างรุนแรงพักหนึ่ง

ปีก่อนเซียวจวิ้นเกือบป่วยตายอยู่กลางทาง กระนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะเดินทางลงใต้ ไฉนครั้งนี้จึงบอกว่าไม่ไหวเสียแล้วเล่า นายท่านใหญ่พลันเข้าใจ บุตรชายทำเช่นนี้ หนึ่งเพื่อให้ซีเอ๋อร์หลุดพ้นจากสกุลเซียว ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะสกุลเซียวไปด้วย สองเพราะเป็นห่วงตนถึงได้อาสาอยู่ที่นี่ต่อเอง หัวใจพลันอบอุ่น ประทับใจในความกตัญญูของบุตรชาย แต่สีหน้ายังคงบึ้งตึง และเอ่ยสั่งสอนด้วยเสียงที่ห้วน “จวิ้นเอ๋อร์บังอาจนัก ข้ากับท่านย่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!”

ได้ยินเสียงไอของเซียวจวิ้นแล้ว เหล่าไท่จวินถึงกับหัวใจหดเกร็ง นางเห็นนายท่านใหญ่พูดจบแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องใหญ่เช่นนี้ จวิ้นเอ๋อร์คิดจะตัดสินใจด้วยตนเองหรือ จวิ้นเอ๋อร์ทำผิดธรรมเนียมแล้ว ประมุขสกุลใช่ว่าคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เรื่องนี้จวิ้นเอ๋อร์อย่าพูดถึงอีกเลย อวิ้นเอ๋อร์บอกเจ้าแล้ว อารองของเจ้าเกิดเรื่อง เวลานี้ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าสามพี่น้องเตรียมตัวให้พร้อมและเดินทางออกจากผิงหยางภายในคืนนี้เลย เจ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อย่าขี่ม้า แล้วพาหมอไปด้วยคนหนึ่ง ไปซื้อยาดีจากร้านยาอี๋ชุนมาตุนไว้ให้มากหน่อย ส่วนซีเอ๋อร์ ข้ากับบิดาเจ้ายอมรับฐานะของนางนานแล้ว นางยังคงเป็นสะใภ้สกุลเซียวของข้าอยู่ บิดาและย่าของเจ้าล้วนยังไม่ตาย เรื่องหย่าภรรยาเจ้ามิอาจตัดสินใจคนเดียวได้ ตอนบ่ายก่อนออกเดินทางเจ้าเดินทางไปคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยตนเองเถอะ แล้วก็พาคนไปรับตัวซีเอ๋อร์กลับมา!”

เหล่าไท่จวินพูดอย่างเฉียบขาดชัดเจน น้ำเสียงก้องกังวานทรงพลังไม่เปิดพื้นที่ให้ต่อรองได้แม้แต่น้อย นางเองก็เข้าใจจิตใจกตัญญูของเซียวจวิ้น แต่ในสถานการณ์คับขันนี้มิใช่เวลาที่จะมาพูดถึงความกตัญญู เซียวจวิ้นเป็นความหวังและเป็นรากฐานของสกุลเซียว เขาจะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เวลานี้นางต้องแสดงความน่าเกรงขามของผู้ใหญ่ออกมา

เห็นท่านย่าโมโห เซียวจวิ้นจึงชะงักไป เขาก็ไม่อยากขัดคำสั่งของท่านย่ากับบิดาเช่นกัน แต่เวลานี้ไม่เหมือนกับเวลาปกติ เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เดิมทียังหวังเดินทางลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยา อีกฝ่ายจะรักษาโรคให้เขาได้ แต่พอรู้ว่าเซียนปรุงยาคือซีเอ๋อร์ เขาก็หมดความคิดที่จะขอร้องนาง

แทนที่จะต้องตายอยู่ทางใต้ มิสู้อยู่เฝ้ากิจการของตระกูลแทนบิดา อย่างน้อยก็นับเป็นใบไม้ร่วงที่กลับคืนสู่โคนต้น คิดเช่นนี้เซียวจวิ้นจึงลุกขึ้นคุกเข่าตรงหน้าท่านย่าและบิดา “เมื่อวานจวิ้นเอ๋อร์จัดการเอกสารเกี่ยวกับกิจการทางใต้ทั้งคืน เขียนคำสั่งและจดหมายไว้แล้ว บิดาสามารถใช้เอกสารพวกนี้โยกย้ายทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดที่อยู่ในนามของซั่งกวนจวิ้นได้ จวิ้นเอ๋อร์จัดการใกล้เสร็จแล้ว ร่างกายของจวิ้นเอ๋อร์เกรงว่าคงทนเดินทางไปทางใต้ไม่ไหว แทนที่จะทำเช่นนั้น มิสู้เดิมพันดูสักตั้ง อยู่ทางเหนือก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่อง บางทีอาจปลอดภัยกว่าทางใต้เสียด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรทางใต้ก็กำลังเกิดโรคระบาด หาใช่สถานที่ที่ปลอดภัย ท่านย่าเองก็อยู่ทางเหนือมิใช่หรือ” เซียวจวิ้นพูดจบก็ไอสำลักอย่างรุนแรงอีกระลอกหนึ่ง เขารีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไว้

นายท่านใหญ่ฟังคำพูดนี้แล้วใบหน้าก็เขียวสลับซีด กล้ามเนื้อข้างแก้มกระตุกไม่หยุด มองเซียวจวิ้นเนิ่นนานก่อนพูดอย่างหนักแน่นเฉียบขาด “ตอนนี้บ้านหลังนี้มีข้าเป็นประมุข ทำตามที่ท่านย่าเจ้าบอก พวกเจ้าสามพี่น้องเก็บข้าวของแล้วเดินทางลงใต้ทันที ออกเดินทางตั้งแต่คืนนี้เลย เอกสารที่เจ้าเขียนขึ้นพวกนั้น เจ้านำลงใต้ไปใช้เองเถอะ!” นายท่านใหญ่พูดจบก็ไม่มองเซียวจวิ้นอีก เขาลุกขึ้นเข้าไปประคองเหล่าไท่จวิน

เหล่าไท่จวินรู้ว่าพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ นางจึงไม่สนใจเซียวจวิ้นอีก เพียงให้นายท่านใหญ่กับซื่อฮว่าประคองและลุกขึ้นเดินออกไป

เซียวอวิ้นลุกขึ้นยืนลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงเดินตามเหล่าไท่จวินและบิดาออกไป

ตอนใกล้ถึงหน้าประตู ทั้งสามก็ได้ยินเซียวจวิ้นพูดเสียงดังขึ้นว่า “ให้ตายจวิ้นเอ๋อร์ก็ไม่เดินทางลงใต้ ขอท่านย่ากับบิดาโปรดเปลี่ยนความคิดด้วย!”

ฟังคำพูดนี้แล้ว เหล่าไท่จวินร่างกายก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลง เซียวอวิ้นตกใจรีบเข้าไปประคอง เขาหันกลับไปถลึงตาใส่พี่รองอย่างขุ่นเคือง

นายท่านใหญ่ชะงักเท้าเพียงครู่เดียวก็ไม่สนใจเซียวจวิ้นอีก ประคองเหล่าไท่จวินเดินหน้าต่อไป

ออกจากประตูชั้นใน มองท่านย่ากับบิดาที่มีสีหน้าเป็นกังวลแล้ว เซียวอวิ้นลังเลครู่หนึ่ง เขาหยุดเดินแล้วพูด “ท่านย่ากับบิดากลับไปก่อนเถอะ ลูกจะเข้าไปโน้มน้าวพี่รองอีกครั้ง”

เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ฟังแล้วพยักหน้า นายท่านใหญ่พูด “ก็ดีเหมือนกัน อวิ้นเอ๋อร์ไปพูดกับเขาดีๆ ข้ารู้ว่าจวิ้นเอ๋อร์มีใจกตัญญู เกรงว่าข้าอยู่ผิงหยางจะไม่ปลอดภัย แต่เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร หากสกุลเซียวประสบเคราะห์จริง ข้าที่เป็นประมุขสกุลจะหลบเลี่ยงได้หรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้าแก่แล้ว เป็นคนที่ถูกดินกลบฝังไปครึ่งตัวแล้ว ต่อให้ต้องตายก็คุ้มค่า แต่เจ้ากับจวิ้นเอ๋อร์ยังเด็กนัก อนาคตของสกุลเซียวล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าสามพี่น้อง!”

ฟังคำบิดาแล้ว มองจอนผมสองข้างของเขาที่ขาวโพลน ดูเหมือนบิดาจะแก่ลงไปมากในชั่วข้ามคืน เซียวอวิ้นพลันรู้สึกโพรงอกอึดอัดจนทรมาน จมูกรู้สึกแสบ พูดเสียงอู้อี้ “บิดา…”

นายท่านใหญ่ไม่พูดอะไรอีก เพียงใช้มือตบๆ ตัวเขา ก่อนจะหันไปประคองเหล่าไท่จวินเดินไปที่เกี้ยว

มองส่งเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ขึ้นเกี้ยวจากไปแล้ว เซียวอวิ้นจึงหันหลังย้อนกลับเข้าไปในเรือนเซียวเซียงอีกครั้ง เขาเข้าไปในห้องหนังสือ เห็นชุ่ยอี๋เหนียง หงอวี้ เซียวซย่า และเซียวเหยียนยังยืนอยู่ที่หน้าประตู พอทุกคนเห็นเขามาต่างก็เข้ามาคารวะ

เซียวอวิ้นชะงักเท้า ขบคิดแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ! ไม่ต้องมีใครอยู่ที่นี่ เซียวซย่า ไปสั่งการว่าห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ห้องหนังสือทั้งนั้น!”

ฟังคำพูดไม่มีหัวไม่มีท้ายของคุณชายสามแล้วทุกคนต่างตะลึงงัน แต่พอเห็นคุณชายสามมีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ต่างรีบรับคำและแยกย้ายกันไป ชุ่ยอี๋เหนียงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวดวงตาพลันเปล่งประกาย นางหันกลับมามองคุณชายสาม เห็นเขายังคงยืนอยู่หน้าประตูคอยมองพวกนางอยู่ นางกลอกตาไปมาและก้าวเร็วๆ ไปยังประตูชั้นใน

เห็นเงาร่างของทุกคนหายลับไปแล้ว กวาดตามองดูรอบหนึ่งครั้นเห็นว่าหน้าประตูห้องหนังสือไม่เหลือใครแล้ว เขาจึงหันหลังและผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป เห็นพี่รองนั่งเขียนเอกสารต่ออยู่ที่เดิม พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องสามนั่งสักครู่ ข้าใกล้จะเสร็จแล้ว!”

เซียวจวิ้นเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ วางพู่กันและพรูลมหายใจ ขณะกำลังจะเก็บเอกสารที่เขียนเสร็จ พลันตระหนักว่ารอบด้านเงียบผิดปกติ เขาเงยหน้าทันใด เห็นน้องสามยืนอยู่หน้าโต๊ะด้วยสีหน้าโกรธขึ้งจึงอดร้องเรียกไม่ได้ “น้องสาม…”

มองพี่รองที่มีสภาพอิดโรยจนแทบดูไม่ได้ ตรงหน้าก็ผุดสายตาหม่นหมองของพี่สะใภ้รองตอนจากไป ภาพจอนผมขาวโพลนของบิดา ภาพใบหน้าขาวซีดของท่านย่า โทสะขุมหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจ ได้ยินพี่รองเรียก เขาจึงพูดเน้นย้ำทีละคำ “พี่รอง ท่านเก็บคำพูดเมื่อครู่นี้กลับไปเถอะ แล้วไปขอขมาบิดากับท่านย่าที่เรือนโซ่วสี่ซะ!”

“น้องสาม เรื่องภายในบ้านเจ้ายังไม่มีสิทธิ์สอดมือเข้ามายุ่ง เจ้าแค่เตรียมตัวคุ้มกันบิดาและพี่ใหญ่เดินทางลงใต้ก็พอ”

เห็นพี่รองดื้อรั้น เวลานี้แล้วยังเอาแต่ใจอีก เซียวอวิ้นก็อดโมโหไม่ได้ เงื้อมือขึ้นต่อยหมัดออกไปอย่างแรง ร่างกายเซียวจวิ้นหงายไปข้างหลังเกือบร่วงตกจากเก้าอี้ เขาเอนกายกลับมา แต่ยังคงนั่งนิ่งราวกับคนที่ถูกต่อยไม่ใช่เขา เพียงมองเซียวอวิ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“หมัดนี้ข้าต่อยแทนท่านย่า!”

เซียวอวิ้นพูดจบก็ต่อยหมัดอย่างแรงออกไปอีกครั้ง

“หมัดนี้ข้าต่อยแทนบิดา!”

เห็นพี่รองยังคงไม่โต้ตอบ เซียวอวิ้นก็ควบคุมตนเองไม่ได้อีก เขาต่อยหมัดออกไปรัวๆ ไม่หยุด พริบตาเดียวเลือดก็ไหลออกมาจากมุมปากและจมูกของเซียวจวิ้นแล้ว คนพิงอยู่กับพนักเก้าอี้ยังคงปล่อยให้เซียวอวิ้นต่อยโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

หลังได้ยินเสียงไออย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง เซียวอวิ้นจึงได้สติ มองพี่รองที่หอบหายใจไม่เป็นจังหวะ เลือดไหลออกจากปากไม่หยุด ความเศร้าที่บรรยายไม่ถูกผุดขึ้นในใจ พี่รองคิดจะรอความตายอยู่ที่นี่จริงๆ!

เซียวอวิ้นหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะปราดเข้าไปคว้าคอเสื้อเซียวจวิ้น แล้วพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด “ท่านเป็นผู้กุมอำนาจในบ้านนี้มิใช่หรือ เรื่องในบ้านล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านมิใช่หรือ ไฉนจึงไม่กล้าโต้ตอบเล่า ท่านมันคนขี้ขลาด อ่อนแอ ท่านกลัวใช่หรือไม่! กลัวอำนาจของรัชทายาทถึงได้มอบพี่สะใภ้รองให้เขาไป! ปล่อยให้นางติดตามรัชทายาทเดินทางลงใต้ไปตามลำพัง! ท่านคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้ารัชทายาทถูกปลด พี่สะใภ้รองจะเป็นเช่นไร!”

เซียวจวิ้นที่เดิมทีไร้ท่าทีตอบโต้ ได้ยินคำพูดนี้แล้วก็เงยหน้าจ้องเซียวอวิ้นอย่างโกรธขึ้ง

พอคิดว่าเซียนปรุงยาที่ตนเลื่อมใสถูกพี่รองย่ำยีเช่นนี้ เซียวอวิ้นก็ยิ่งโมโหยากจะระงับ เขาชี้จมูกเซียวจวิ้น “ส่วนครั้งนี้ ข้าสั่งสอนท่านแทนพี่สะใภ้รอง เวลาท่านชอบก็รั้งนางไว้สุดชีวิต เวลาคิดจะทอดทิ้งก็โยนหนังสือหย่าให้! พี่สะใภ้รองเป็นคนไม่มีความคิดจิตใจ ท่านจะเรียกให้มาหรือสั่งให้ไปก็ได้อย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าสิ่งที่ท่านมอบให้นางดีที่สุดแล้วหรือไร ท่านเคยถามพี่สะใภ้รองบ้างหรือยังว่านางต้องการหรือไม่! ท่านยัดเยียดพี่สะใภ้รองให้รัชทายาท แล้วเคยถามพี่สะใภ้รองแล้วหรือว่านางชอบรัชทายาทหรือไม่! ท่านเห็นพี่สะใภ้รองเป็นอะไร เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งในมือท่านที่ท่านสามารถมอบให้ใครก็ได้เช่นนั้นหรือ!”

ได้ยินคำว่า ‘ของเล่น’ เซียวจวิ้นก็อดไม่อยู่ต่อยหมัดไปที่เซียวอวิ้นอย่างแรง เซียวอวิ้นไม่ทันระวังเลือดไหลออกมาจากจมูกทันที เขาอึ้งไปก่อนจะสวนหมัดกลับ คราวนี้เซียวจวิ้นเบี่ยงตัวหลบและต่อยเซียวอวิ้นอีกครั้ง…สองพี่น้องสู้กันอุตลุดในห้องหนังสือ เพียงครู่เดียวห้องหนังสือก็มีสภาพรกเละเทะ สุดท้ายเมื่อทั้งสองหมดแรงจึงหยุดมือ แล้วทรุดนั่งลงบนพื้นพลางหอบหายใจ

สู้กันจนเหนื่อยและระบายโทสะจนพอแล้ว เซียวอวิ้นจึงนั่งสงบสติอารมณ์บนพื้นแล้วพูด “พอพี่รองรู้ว่าพี่สะใภ้รองคือเซียนปรุงยาก็คิดว่านางหลอกลวงท่านใช่หรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดพี่สะใภ้รองจึงต้องออกจากคฤหาสน์ให้ได้ ไม่ใช่เพราะในใจนางมีคนอื่น แต่เป็นเพราะคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มีทางรอดให้นางต่างหากเล่า ท่านคิดว่าอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ แค่มีความรักความเข้าใจจากท่านก็เพียงพอแล้วหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะท่านฝืนรั้งพี่สะใภ้รองให้อยู่ข้างกายอย่างเผด็จการจึงทำให้พี่สะใภ้รองหายใจไม่ออก…” เซียวอวิ้นเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่พี่สะใภ้รองทราบเรื่องคำสอนของบรรพบุรุษและตกใจ ด้วยรู้ว่าคฤหาสน์สกุลเซียวมิอาจยอมรับนาง จึงนำสินเจ้าสาวไปจำนำและเปิดร้านยาอี๋ชุน ตอนพี่สะใภ้รองถูกขังอยู่ในอารามชิงซินนางเกือบต้องเสียชีวิต ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ให้เซียวจวิ้นฟังทั้งหมด

เซียวจวิ้นอ้าปากตาค้างพึมพำว่า “ซีเอ๋อร์รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคฤหาสน์สกุลเซียวมิอาจยอมรับนาง? เหตุใดจึงไม่บอกข้าเล่า พวกเราสามารถช่วยกันคิดหาหนทางได้! เหตุการณ์ในอารามชิงซินนางไม่เคยพูดถึงมาก่อน นางไม่บอกอะไรข้าเลย ไม่เคยเชื่อใจข้าเลย” เซียวจวิ้นพูดพลางไออย่างรุนแรงอีกครั้ง

เห็นมุมปากของพี่รองมีเลือดไหล เซียวอวิ้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและโยนให้ เขาพูดต่อว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเรือนจู๋หยวนจึงไม่เหลือใครสักคน เป็นเพราะจางอี๋เหนียงไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกคนในคฤหาสน์ปิดปากต่างหาก!”

เห็นพี่รองมองตนอย่างจริงจัง เซียวอวิ้นก็พูดต่อ “ตอนนั้นการแกล้งตายของพี่สะใภ้รองทำให้ท่านเหมือนคนไร้วิญญาณ จึงไม่มีใครกล้าบอกเรื่องพวกนี้กับท่าน ตอนนี้ข้าจะบอกท่านว่าเรื่องที่จางอี๋เหนียงวางยาพิษพี่สะใภ้รองมีผู้บงการเบื้องหลังอีกคน…ท่านคิดว่าท่านไม่รับตำแหน่งประมุขสกุลเพื่อพี่สะใภ้รองเป็นการแสดงความรักอย่างลึกซึ้งกระมัง แล้วท่านเคยคิดหรือไม่ว่าในบ้านหลังนี้นอกจากท่านก็ไม่มีใครยอมรับนางได้เลย ท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าสำหรับท่านย่า บิดาและมารดา ทุกคนที่ขัดขวางการขึ้นเป็นประมุขสกุลของท่านล้วนต้องตาย ที่พี่สะใภ้รองพยายามออกจากคฤหาสน์ทุกวิถีทางไม่ใช่เพียงเพราะการอยู่ในคฤหาสน์ทำให้ชีวิตนางถูกคุกคามและต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญผวาทุกวันเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะคนที่คิดจะทำร้ายนางมิใช่ศัตรูของท่านแต่เป็นญาติสนิท ทำให้ทั้งนางและท่านต่างมิอาจจัดการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาได้ ลองคิดดูว่าหากวันหนึ่งท่านต้องกลายเป็นศัตรูกับมารดาเพราะนาง ต้องขึ้นชื่อว่าอกตัญญูเพราะนาง นางจะมีความสุขหรือ แล้วจะอยู่กับท่านอย่างสบายใจได้แน่หรือ”

“ข้า…ข้าเข้าใจนางผิดไป”

เห็นพี่รองตระหนักแล้ว เซียวอวิ้นจึงพูดต่อ “ท่านโทษที่พี่สะใภ้รองไม่บอกอะไรท่านเลย สองปีก่อน พี่สะใภ้รองได้ยินเรื่องคำสอนของบรรพบุรุษและเป็นลมอยู่ในศาลา ตอนนั้นท่านอยู่ข้างกายนางแต่กลับจากไปโดยไม่เหลียวแล หลังจากพี่สะใภ้รองถูกส่งกลับเรือนเซียวเซียงแล้ว ท่านได้ไปเยี่ยมนางบ้างหรือไม่เล่า”

คำพูดของเซียวอวิ้นทำให้เซียวจวิ้นคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ตอนนั้นเขาสงสัยว่าซีเอ๋อร์ข้องเกี่ยวกับน้องสามจึงพูดจาร้ายกาจกับนางในศาลา ย้อนคิดถึงการแต่งงานเสริมมงคลแล้ว เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งทันใด มิใช่ระยะเวลาครึ่งเดือนตามที่นักพรตบอกที่สามารถเสริมมงคลให้เขาจนหายป่วย แต่เป็นซีเอ๋อร์ที่ใช้เวลาครึ่งเดือนรักษาเขาจนหายดีต่างหาก นางแต่งงานวันแรกก็เข้าครัวทำอาหารให้เขาด้วยตนเอง ต้องเป็นเพราะนางใส่ยาไว้ในน้ำแกงพวกนั้นแน่ แต่เขากลับต่อว่านางด้วยวาจาร้ายกาจ เพียงเพราะนางเข้าไปในห้องครัวโดยไม่คำนึงถึงฐานะของตนเอง!

พอพ้นระยะเวลาสิบห้าวันไป แม้เขาจะเข้าไปอยู่ที่เรือนหลัง นางก็ยังคงส่งโจ๊กมาให้เขาตามเดิม นั่นไม่ใช่แค่โจ๊กแต่เป็นยา เป็นความหวังดีของนาง…นางเคยประคองหัวใจตนเองมามอบให้เขาตรงหน้าแล้ว น่าโมโหที่ตอนนั้นเขาหน้ามืดตามัวเพราะผ้าพรหมจารีและข่าวลือของนาง ทั้งเชื่อคำยุแยงของหลี่อี๋เหนียง ปฏิเสธไมตรีของนางโดยไม่เสียดายเลยแม้แต่น้อย วันนี้ที่ทิ้งโรคเรื้อรังเอาไว้ล้วนเป็นผลจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น!

เดิมทีนางตั้งใจอยู่ร่วมกับเขา แต่คำพูดและการกระทำที่ร้ายกาจของเขาทำให้นางผิดหวัง ทั้งยังมีคำสอนของบรรพบุรุษมาขวางกั้นอีก นางจึงปิดกั้นหัวใจของตนเอง คิดถึงตรงนี้เซียวจวิ้นก็หัวใจหดเกร็ง ก่อนจะไออย่างรุนแรงอีกครั้ง

เห็นเซียวจวิ้นเป็นเช่นนี้ เซียวอวิ้นที่เดิมทีคิดว่าเลือดที่ไหลออกจากปากพี่รองก่อนหน้าเป็นเพราะถูกต่อยจึงไม่ได้สนใจ ตอนนี้เกิดความสงสัยทันที เขาคว้าตัวเซียวจวิ้นเข้ามาถาม “พี่รอง ท่านบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ท่านเป็นโรคอะไรใช่หรือไม่!”

เห็นน้องสามตกใจจนใบหน้าขาวซีด เซียวจวิ้นก็ร่างกายสะท้าน เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้งแล้วพูด “ไม่มีอะไร แค่โรคลมหนาวจากครั้งก่อนที่ตากฝน ยังไม่หายดีสักที”

เห็นพี่รองอึกอักอ้ำอึ้ง หัวใจของเซียวอวิ้นอดเต้นรัวไม่ได้ เขาคาดคั้นต่อ “พี่รอง ท่านอย่าโกหกข้า ถ้าเป็นโรคลมหนาวจะไอเป็นเลือดได้อย่างไร ท่านเป็นโรค…ใช่แล้ว ท่านเปลี่ยนใจไม่เดินทางลงใต้กะทันหันจะอยู่เมืองผิงหยางแทนบิดา เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่! บอกข้ามานะ!”

เซียวจวิ้นกำลังจะอธิบายก็ได้ยินเสียงเพล้งดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง

นอกหน้าต่างมีคน!

สองพี่น้องตกใจ หันไปมองนอกหน้าต่างพร้อมกัน สบตากันแวบหนึ่งแล้วผุดลุกขึ้นทันใด พวกเขาปราดไปที่หน้าประตู เปิดประตูห้องหนังสือออก ข้างนอกไม่มีใครสักคน หันไปมองรอบลานบ้านแล้วก็ไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว

เซียวอวิ้นย่อกายลงเก็บเศษชามขึ้นมา “พี่รอง อาจมีคนนำโจ๊กมาให้ท่านและแอบฟังที่พวกเราคุยกัน!”

เซียวจวิ้นฟังแล้วร่างกายพลันโงนเงน เมื่อครู่ตอนอยู่ในห้องพวกเขาคุยถึงเรื่องที่ซีเอ๋อร์เป็นเซียนปรุงยาด้วย ไม่รู้ว่าจะถูกแอบฟังด้วยหรือไม่ เรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด ซีเอ๋อร์จะเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด!

คิดได้เช่นนี้เซียวจวิ้นก็ก้าวลงบันไดเร็วๆ มองหาในลานบ้านอย่างเร่งร้อน แต่กลับไม่พบเงาคนเลย เขาเดินไปประตูชั้นใน บ่าวชายที่เฝ้าประตูรายงานว่าเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด ไม่เห็นคนเข้าออก

สาวใช้ที่นำโจ๊กมาให้ต้องเป็นคนในเรือนแน่ ป่านนี้คงหลบเข้าไปอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งแล้ว เซียวจวิ้นยืนอยู่ในลานกวาดตามองห้องรอบด้าน ประตูล้วนปิดแน่นสนิท ดูไม่ออกว่าประตูบานไหนผิดปกติ เห็นเซียวซย่าวิ่งออกมามองเขาอย่างตกตะลึงจึงถามว่า “เมื่อครู่เห็นคนมาที่ห้องหนังสือหรือไม่”

“เรียนคุณชายรอง บ่าวอยู่ในห้องตลอด ไม่เห็นขอรับ”

“หงจู หงจู!”

ได้ยินคุณชายรองเรียก หงจูจึงวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน เห็นสภาพของคุณชายรองแล้วจึงสะดุ้งตกใจ ไม่รอให้เซียวจวิ้นพูดอะไรก็เอ่ยถามเสียก่อน “คุณชายรอง ท่านเป็นอะไรไป เพียงครู่เดียวเท่านั้น ถูกใครทำร้ายจนเป็นเช่นนี้ได้เจ้าคะ”

“หงจูสั่งให้ใครยกโจ๊กมาที่ห้องหนังสือหรือไม่”

“เรียนคุณชายรอง คุณชายสามสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าใกล้ห้องหนังสือทั้งนั้น บ่าวจึงไม่กล้าให้คนไปที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”

“เมื่อครู่เจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครยกโจ๊กมาที่ห้องหนังสือ”

“บ่าวอยู่ในห้องตลอด ไม่เห็นเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะไปถามดูที่ห้องครัว”

ได้ยินเช่นนี้เซียวจวิ้นก็ขมวดคิ้ว เขาโบกมือเอ่ยว่า “เจ้าไปสืบดูให้ละเอียดว่าเมื่อครู่ใครมาที่ห้องหนังสือ”

“คุณชายรอง แผลของท่าน…”

“ไปเถอะ! ให้เซียวซย่าเฝ้าอยู่ในเรือน ห้ามใครเข้าใกล้ห้องหนังสือทั้งนั้น”

เห็นคุณชายรองมีน้ำเสียงเฉียบขาด หงจูจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก นางรับคำแล้วรีบเดินออกไป

หันหลังกลับเข้าไปในห้องหนังสือ เซียวจวิ้นดึงเซียวอวิ้นที่ยังยืนเหม่ออยู่ที่เดิม “น้องสาม เข้าไปคุยกันในห้องเถอะ”

เข้าไปในห้องหนังสือแล้ว เซียวอวิ้นจึงพูดอย่างประหม่า “พี่รอง ฐานะของพี่สะใภ้รองจะ…”

“ข้าเป็นห่วงเรื่องนี้แหละ เวลากระชั้นเกรงว่าในชั่วเวลาสั้นๆ คงมิอาจสืบได้ว่าเมื่อครู่นี้ใครมา เรื่องตรงหน้าสำคัญกว่า บางทีอาจเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่งก็ได้ เรื่องนี้อาจไม่ถูกแพร่งพรายออกไป แต่พวกเราต้องคิดเผื่อไปในทางที่เลวร้ายที่สุดก่อน เจ้ากับพี่ใหญ่ต้องออกเดินทางทันที นำคำสั่งและจดหมายที่ข้าเพิ่งเขียนเสร็จไปหาเซียวจางที่เขาฟู่ลี่ เขาเห็นเอกสารพวกนี้แล้วย่อมฟังคำสั่งของเจ้ากับพี่ใหญ่ โยกย้ายกำลังทั้งหมดของเหมืองแร่ทองแดงเขาฟู่ลี่ จำไว้ว่าถึงที่นั่นแล้วต้องคิดหาหนทางสร้างหลักฐานเท็จให้ดูเหมือนเซียนปรุงยาอยู่ทางใต้ให้ได้”

“พี่รอง จนป่านนี้แล้วท่านยังจะเฝ้าอยู่ทางเหนืออีกหรือ ให้ตายบิดากับท่านย่าก็ไม่มีทางยอมแน่ ท่านอย่าทำให้พวกเขาโมโหอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการโยกย้ายกำลังทางใต้นั้น ท่านถือเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุด!”

“น้องสามพูดถูก ข้าเลอะเลือนเสียแล้ว ให้ตายบิดากับท่านย่าก็ไม่ยอมให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อ ข้าเพียงแต่ออกเดินทางช้ากว่าสองวันเท่านั้น หนึ่งคือข้าต้องหาตัวรัชทายาทหรือซีเอ๋อร์ให้พบโดยเร็ว บอกพวกเขาว่าฐานะของซีเอ๋อร์อาจถูกเปิดเผย ให้พวกเขารีบเดินทางออกจากผิงหยางโดยเร็วที่สุด สองคือคฤหาสน์แห่งนี้มีเรื่องต้องจัดการ ไม่เพียงต้องส่งบุตรสาวของข้ากับพี่ใหญ่ออกจากคฤหาสน์ไปซ่อนตัวก่อน ข้ายังต้องไปตรวจสอบดูว่าเรือนปีกตะวันออกของซีเอ๋อร์มีสิ่งของที่เปิดเผยฐานะของนางหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ป้องกันไว้เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน”

“พี่รองยังคงตัดสินใจให้รัชทายาทพาพี่สะใภ้รองเดินทางลงใต้ตามลำพัง!”

“น้องสามวางใจเถอะ จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้วข้าจะตามพวกเขาลงใต้ เจ้าพูดถูก อย่างน้อยข้าต้องถามซีเอ๋อร์ก่อนว่านางชอบรัชทายาทหรือไม่”

ได้ยินถ้อยคำที่หนักแน่นเป็นพิเศษของเซียวจวิ้นแล้ว ในที่สุดเซียวอวิ้นก็วางใจ แล้วพูดปลอบโยน “พี่สะใภ้รองเป็นเซียนปรุงยา ต้องรักษาท่านให้หายดีได้แน่ พี่รองอย่าได้หมดหวังเป็นอันขาด ท่านต้องตามพี่สะใภ้รองกลับมาให้ได้!”

เซียวจวิ้นลอบถอนหายใจ เขาก้มหน้ามองพื้นที่รกเละเทะนี้แล้วโน้มตัวลงเก็บเอกสารที่หล่นกระจายขึ้นมาพลางพูด “น้องสามไปหาพี่ใหญ่ก่อนเถอะ บอกท่านย่ากับบิดาด้วยว่าข้าจัดการเอกสารที่จะนำไปทางใต้เสร็จแล้วก็จะไปหาเจ้าทันที”

“พี่รอง ท่านบอกฐานะของพี่สะใภ้รองกับท่านย่าและบิดาเถอะ พวกเขาไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรอก ท่านไม่รู้อะไร เช้าวันนี้มารดาหารือกับท่านย่าเรื่องการแต่งงานของท่าน หากบอกฐานะของพี่สะใภ้รองออกไป ท่านย่าย่อมมีความลังเลใจในเรื่องนี้แน่ อีกอย่าง…”

“แต่งงาน?!” เซียวจวิ้นฟังแล้วสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงส่ายหน้าอย่างหมดแรง “เดิมทีข้าเกรงว่าบิดารู้เรื่องนี้แล้วจะโกรธและโมโหจนเสียสุขภาพ อีกอย่าง…ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานี้ฐานะของซีเอ๋อร์คนรู้ยิ่งน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี ดังนั้นจึงได้ปกปิดเอาไว้ เรื่องมาถึงยามนี้ไม่อาจปิดบังต่อไปได้แล้วจริงๆ พูดออกมาแล้วพวกเขาจะได้เตรียมใจ”

“พี่รองวางใจเถอะ ท่านย่ากับบิดาไม่ใจแคบถึงเพียงนั้นหรอก ยิ่งไปกว่านั้นในเวลาเช่นนี้เกรงว่าท่านย่าดีใจยังแทบไม่ทันด้วยซ้ำ!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: