X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 525-527

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 525 เจ้าคิดเช่นไร

ตอนเฉินเซ่าฟื้นขึ้นมาอีกครั้งฟ้ายังไม่มืดสนิท ม่านมุ้งถูกเลิกเปิดเผยให้เห็นหน้าต่างฝั่งตรงกันข้ามที่ยามนี้เปิดอ้าอยู่ประมาณสี่นิ้วมือ บดบังกำแพงขาวภายในลานเรือนช่วงหนึ่งไว้ ที่อยู่บนกำแพงคือเถาวัลย์เขียวชอุ่ม ครั้นทอดสายตาสูงขึ้นไปอีกก็จะพบกับท้องฟ้าสีฟ้าจาง มีเมฆบางๆ สีแดงลอยอยู่ทางด้านบน

กลิ่นไม้กฤษณาสงบเย็นลอยละล่องอ้อยอิ่งอยู่บริเวณจมูก หอสูงเสียงพิณก้องกังวาน จันทร์กระจ่างเหนือฟากฟ้าระคนมาพร้อมกับสายลมก่อนจะถูกสายัณห์ตะวันรอนพัดพาจากไป เสียงกระดิ่งแผ่วเบาดังอยู่ที่ข้างหู คล้ายเสียงลมกระซิบ เฉินเซ่าหลับตาฟังอยู่เป็นนานก่อนจะฟังออก ที่แท้นั่นก็เป็นเสียงกระดิ่งพิทักษ์บุปผาต้องลม

เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง

ที่นี่น่าจะเป็นจวนสกุลหลี่ มิใช่จวนสกุลเผย

ขอเพียงมิได้นอนพักอยู่ในบ้านของว่าที่ลูกเขยแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว

ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขาเพียงชั่ววูบก่อนจะค่อยๆ ผสมผเสเปปนจมดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทราอีกคราว

ตอนตื่นขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างภายในม่านมุ้งอึมครึมลงกว่าเดิมอยู่เล็กน้อย แสงไฟรางเลือนสาดส่องเข้ามา กลิ่นไม้กฤษณาสงบเย็นก่อนหน้านี้จางหายไปหมดสิ้นแล้ว

เขานอนหงายอยู่บนเตียง ขยับคอกวาดตามองไปรอบๆ

ไม่มีอาการวิงเวียน เงามืดที่ปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าผืนปฐพีอันใดก็ไม่มีแล้วเช่นกัน หัวสมองกลับกลายเป็นปลอดโปร่งคล้ายทางน้ำที่แออัดอยู่ก่อนหน้าในที่สุดก็พลันเปลี่ยนเป็นโปร่งโล่ง

ทว่าทัศนียภาพตลอดสองข้างทางของทางน้ำนั่นกลับยังคงรางเลือน

หลังจากนอนต่ออยู่อีกระยะหนึ่ง ในที่สุดเฉินเซ่าก็ยันกายลุกขึ้นนั่งและเลิกผ้าห่มออก

“นายท่านตื่นแล้ว?” ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

หลังจากนั้นม่านมุ้งก็ถูกเลิกขึ้น ใบหน้าเย็นชาของสิงเหว่ยปรากฏอยู่ที่ข้างเตียง

เฉินเซ่ากวาดตามองดูอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะยกมือคลายคอเสื้อ เส้นผมดำขลับราวน้ำหมึกไหลลู่ลงมาตกอยู่บนเสื้อตัวกลางขาวสะอาดราวกับหิมะนั่น ท่วงท่าสบายๆ

“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เขาเลิกคิ้ว มุมปากยกเป็นวงโค้งเย็นชา เขาแสร้งทำเป็นตบหน้าผาก “ข้าลืมไป เจ้าคงกลัวว่าจู่ๆ ข้าจะจำอะไรได้ เผลอหลุดปากพูดอะไรออกมา ทำลายแผนการของนายท่านของเจ้า เลยจงใจมาเฝ้าอยู่ที่นี่ ทำตัวเป็นสุนัขซื่อสัตย์ตัวหนึ่ง”

สิงเหว่ยมองดูเขาด้วยสายตาเมินเฉย ทว่ามือกลับเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เขาเกี่ยวม่านมุ้งเข้ากับตะขอเงิน คุกเข่าลงบนที่รองเท้า หยิบเอารองเท้าลำลองขึ้นมาวางไว้ทางด้านบน “นายท่านหิวหรือไม่ บนเตามีโจ๊กข้าวเหนียวกับวุ้นขนมโก๋อุ่นไว้”

“ยกมาเถอะ เอาผักดองมาด้วย” เฉินเซ่ารู้สึกหิวอยู่แต่แรก เมื่อครู่ตอนลุกขึ้นเพราะนึกอยากกินอะไรบางอย่าง ยามนี้จึงเอ่ยปากสั่งออกไป

สิงเหว่ยถอยจากไป เฉินเซ่าลุกขึ้น หยิบเสื้อคลุมสีม่วงขึ้นมาคลุมร่าง บ่าวตัวน้อยสองคนเดินเข้ามา หลังจากปรนนิบัติช่วยเขาล้างหน้าล้างตาเสร็จ พวกเขาก็จะถอยกลับออกไปเงียบๆ

สิงเหว่ยกลับเข้ามาแล้ว ที่อยู่ทางด้านหลังคือสาวใช้ตัวน้อยหน้าตาหมดจดนางหนึ่ง อายุน่าจะสักสิบกว่าขวบ ในมือถือกล่องอาหารไว้ ทั้งสองช่วยกันเอาโจ๊กและผักดองที่อยู่ภายในออกมาวางลงบนโต๊ะเล็ก หลังจากนั้นสาวใช้ตัวน้อยนางนั้นก็ถอยกลับออกไป ปล่อยสิงเหว่ยให้อยู่รับใช้เฉินเซ่าเพียงลำพัง

“ที่นายท่านพำนักอยู่ในเวลานี้เป็นเรือนในสวนดอกไม้ทางด้านหลังของจวนสกุลหลี่ บรรยากาศเงียบสงัดยิ่ง” สิงเหว่ยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก น้ำเสียงเป็นการเป็นงานยิ่ง

เขาวางโจ๊กขาวราวหิมะครึ่งถ้วยไว้มุมโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดต่อ “ตอนบ่ายนายท่านหมดสติอยู่ที่จวนสกุลเผย คุณหนูเชิญท่านหมอมาตรวจอาการของนายท่านก่อน นายท่านหลี่พอทราบข่าวก็รีบสั่งคนให้ไปรับตัวนายท่านกลับมาที่จวน เชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในจี่หนานมาตรวจดูอาการ ท่านหมอทั้งสองต่างบอกว่านายท่านหมดสติเป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าก้อนเลือดนั่นอาจสลายตัวแล้ว เพียงแต่อาการป่วยนี้จำต้องพักรักษาตัวให้มาก ห้ามเหน็ดเหนื่อยตรากตรำพูดจาอันใดมากเกินไป ดังนั้นนายท่านหลี่จึงตัดสินใจให้นายท่านมาพำนักอยู่ที่เรือนจวีสุ่ยนี้”

เฉินเซ่านั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ กินโจ๊กด้วยท่วงท่างดงาม สีหน้าท่าทางจดจ่อ คล้ายไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายพูด

สิงเหว่ยเหมือนไม่นึกใส่ใจ เขายังคงเอ่ยปากว่า “คุณหนู นายท่านหลี่ รวมถึงหลี่ฮูหยินต่างอยู่เฝ้านายท่าน คุณหนูถึงกับเฝ้าคนต้มยาด้วยตนเอง แต่เพราะดึกมากแล้วนายท่านหรือก็หลับสนิท นายท่านหลี่เอ่ยปากเตือนคุณหนูอยู่หลายต่อหลายครั้งคุณหนูถึงยอมกลับไปพักผ่อน ช่วงบ่ายคุณหนูหลี่ คุณชายหลี่ และคุณหนูสกุลเฉินทั้งสองต่างแวะมาเยี่ยมเยียนนายท่าน”

พอพูดถึงตรงนี้ในที่สุดสิงเหว่ยก็เงยหน้า สีหน้าเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย็นชานั้น “หากมิใช่เช่นนี้ ผู้น้อยไหนเลยจะมีเวลามาพูดคุยกับนายท่านเช่นนี้ได้”

ยามนี้ตะเกียบของเฉินเซ่ากำลังคีบหน่อไม้สองสามเส้นอยู่ ตะเกียบงาช้างสีขาวหน่อไม้เขียวดุจหยกดูตัดกันยิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินเซ่าก็มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย “เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว! ว่ามา เจ้าคิดเช่นไร” พูดจบเขาก็ส่งหน่อไม้เข้าปากและค่อยๆ เคี้ยว

แม้จะกำลังกินอาหารอยู่แต่กลิ่นอายบนร่างกลับยังคงโดดเดี่ยวสูงส่ง คล้ายที่กินอยู่มิใช่อาหารแดนมนุษย์แต่หากเป็นอาหารทิพย์แดนสวรรค์

สิงเหว่ยจ้องมองดูเขา สายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เรื่องราวเมื่อแปดปีก่อนนั้น เจ้าจำได้แล้ว?”

เฉินเซ่าไม่ตอบ ท่าทางของเขาราวกับไม่ได้ยินที่อีกฝ่ายถาม

หลังกินโจ๊กคำสุดท้ายเสร็จ เฉินเซ่าก็วางตะเกียบงาช้างลง เขายกแขนปัดเส้นผมที่ปรกอยู่บนไหล่ มุมปากยกขึ้นอีกครา

“ข้าพอจำได้บ้างแล้วจริงอย่างที่เจ้าว่า” สีหน้าของเขาเลื่อนลอยอยู่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว คล้ายไม่รู้ที่พูดที่คิดเป็นฝันหรือความจริง

สิงเหว่ยสองตาเบิกกว้าง สีหน้ามีแววคาดคั้น เขาเอ่ยปากซัก “เจ้าจำเรื่องอันใดได้ ยามนั้นเจ้าสืบไปได้ถึงที่ใด”

เฉินเซ่าไม่ได้รีบเอ่ยปาก สีหน้าคล้ายหวนรำลึก มือข้างหนึ่งกดอยู่ที่ข้างหน้าผากอย่างไม่รู้ตัว

ทุกครั้งเวลาย้อนคิดเขาก็มักปวดหัวแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ จำเป็นต้องใช้มือกดไว้เพื่อบรรเทาความรู้สึกทุกข์ทรมาน ยามนี้แม้จะไม่ได้เจ็บปวดเยี่ยงนั้นอีก แต่ถึงกระนั้นท่วงท่าการเคลื่อนไหวก็ยังคงเป็นเช่นเก่าตามความคุ้นชิน

เฉินเซ่ากดข้างหน้าผากพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยเนือย “ข้าจำได้ว่าข้าอยู่ที่ใดสักแห่ง คล้ายพบเจอชายชราที่เคยทำงานเป็นขุนนางอยู่ที่ซานตง ทว่าข้านึกชื่อแซ่เขาไม่ออก แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรก็ยังจำไม่ได้แน่ชัด ทว่าข้าจำได้ว่าเขาบอกกับข้าว่ายามนั้นคังอ๋องก่อกบฏ ฝ่าบาททรงกรีธาทัพทำศึกกับเป่ยเจียงด้วยพระองค์เอง อาวุธยุทธภัณฑ์จำนวนมากถูกโยกย้ายจากเมืองหลวงไปเป่ยเจียง แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งกลับถูกยักยอกไปยังดินแดนศักดินาของคังอ๋อง”

“ยักยอกอาวุธยุทธภัณฑ์ของฮ่องเต้?” สิงเหว่ยรูม่านตาหดเล็กลง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเคร่งขรึมอยู่หลายส่วน

เขาในยามนี้ไหนเลยจะยังมีทีท่าเยี่ยงบ่าวอีก หากจะบอกว่าเขาเป็นขุนนางราชสำนัก ปราชญ์เมธีผู้ล่วงรู้เรื่องราวทั่วหล้าก็หาเกินเลยไม่

“จากที่เจ้าว่า คังอ๋องมีผู้ช่วยอยู่ในราชสำนัก คนผู้นี้ตำแหน่งย่อมไม่ต่ำต้อย” เขาพูดเสียงขรึมก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สายตาแหลมคมไม่ต่างอันใดกับปลายเข็ม “สืบรู้เรื่องราวสำคัญเช่นนี้ เหตุใดยามนั้นเจ้าถึงไม่กราบทูล”

“แน่นอนว่าย่อมต้องมีสาเหตุ หากแต่ข้าจำไม่ได้ก็เท่านั้น” เฉินเซ่ากระชับเสื้อคลุม สีหน้าท่าทางสงบเยือกเย็นราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

สิงเหว่ยหน้าไม่เปลี่ยนสี สายตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกเดือดดาลเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเก็บความรู้สึกดังกล่าวไว้ได้อยู่ เขาถามว่า “แล้วหลังจากนั้นเล่า”

เฉินเซ่ามองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเย้ยหยันเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้พูดยียวนอันใด ทำเพียงเล่าต่อ “เรื่องราวหลังจากนั้นข้าก็จำได้ไม่ชัดแจ้งนัก จำได้ก็แต่ต่อมาข้าสืบพบว่าคนที่ยักยอกอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้นั้นคล้ายจะเกี่ยวข้องกับการตายของเผยก่วงในเพลานั้น ดังนั้นข้าจึงปลอมตัวเปลี่ยนน้ำเสียง มุ่งหน้าไปยังแถบหนิงซย่าเพื่อทำการตรวจสอบ…”

“เรื่องนี้เจ้าเคยเล่าอยู่ก่อนหน้าแล้ว” สิงเหว่ยตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาโหดเหี้ยมอยู่หลายส่วน “นายท่านคงไม่คิดบอกผู้น้อยกระมังว่าหลังจากหมดสติไปเนิ่นนานเช่นนี้ เรื่องที่ท่านนึกขึ้นได้กลับมีเพียงกระผีกริ้นเยี่ยงนี้”

บทที่ 526 เลือนรางยากแยกแยะ

ครั้นได้ยินเช่นนั้นแทนที่เฉินเซ่าจะโกรธเขากลับแย้มยิ้ม เขานั่งลงที่ข้างเตียง สองมือยันไว้ที่ด้านหลัง แขนเสื้อคลุมแผ่ออกคล้ายระลอกน้ำสีเขียว ขับดุนอยู่กับใบหน้าสงบเยือกเย็นน้ำเสียงเย็นเยียบชวนประหวั่น “หากข้าบอกว่าข้าจำได้เพียงเท่านี้เล่า เจ้าจะทำอันใดข้า”

เฉินเซ่าชำเลืองตามองสิงเหว่ย คิ้วดำขลับข้างหนึ่งของเขาเลิกขึ้น สีหน้าสบายอกสบายใจ “สังหารข้า?”

สิงเหว่ยก้มหน้า น้ำเสียงเมินเฉยยิ่งกว่าเมื่อครู่ “นายท่านของข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

ความหมายของคำพูดดังกล่าวคืออันที่จริงเขาไม่แยแสที่จะปลิดชีวิตเฉินเซ่านั่นเอง

เฉินเซ่าหลุดขำออกมาคราหนึ่ง แววตาเย้ยหยัน “นายท่านของเจ้าเมตตาการุณย์ยิ่งนัก แล้วมีหรือจะคิดปลิดชีวิตข้า”

“ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ข้าหาพูดคุยกับเจ้าไม่ จะคุยก็แต่เรื่องในยามนั้น” สิงเหว่ยพูดสั้นกระชับคล้ายไม่ปรารถนาจะต่อปากต่อคำกับเฉินเซ่าอีก เขาเงยหน้า สายตาเย็นเยียบร้างไร้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนอันใด “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอันใดอีก”

เฉินเซ่าจ้องมองดูอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากเบาๆ “เจ้าช่างจงรักภักดีต่อนายท่านของเจ้ายิ่งนัก”

เขาส่ายหน้าคล้ายไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกันก็คล้ายดูถูกเหยียดหยามไม่พูดอื่นใดอีก หากกลับย้อนพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้

“นอกจากสองเรื่องนั้นแล้ว ข้ายังจำได้ว่าตนเองสืบรู้อีกว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่คังอ๋องยักยอกไปในครานั้นมีส่วนหนึ่งที่ถูกคนเก็บซ่อนไว้ ว่ากันว่าซ่อนมันไว้บนเขาลูกหนึ่ง ทว่าเขานั้นชื่ออะไรข้าเองก็นึกไม่ออก” แขนเสื้อของเขายังคงยกค้าง ยามนี้กำลังกดอยู่บนมุมหน้าผาก สีหน้าอ่อนล้าปรากฏอยู่บนใบหน้า

แม้จะไม่มีอาการปวดหัวอีก ทว่าครั้นพูดคุยมากๆ เข้าเขาก็ไม่วายรู้สึกหน้ามืดตาลาย คล้ายสติปัญญา กำลัง จิตใจต่างไหลบ่าออกไปตามคำพูด ยามนี้แม้แต่แขนที่ค้ำยันร่างไว้ก็เหมือนจะอ่อนแรงหมดสิ้น

เขากดมุมหน้าผากหยุดพักอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดยืดแขนขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฉินเซ่าเพียงสอดเท้าเข้าไปในรองเท้าเท่านั้น ครั้นเหยียดยืดขาออกมาเช่นนั้น รองเท้าก็แกว่งไกวไปมาคล้ายพร้อมจะหล่นลงมาได้ทุกเมื่อ

“ถอดรองเท้า” เฉินเซ่าขึ้นเสียงเอ่ยปากเกียจคร้าน ยกมือลูบเส้นผม ภายใต้แสงเทียนรางเลือนแลดูเปี่ยมเสน่ห์อย่างน่าประหลาด

สิงเหว่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นอาฆาตแค้น

ทว่าท่าทีผูกพยาบาทนั้นกลับปรากฏอยู่บนใบหน้าเท่านั้น ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขากลับโอนอ่อนผ่อนตามยิ่ง การตอบสนองฉับไวรวดเร็ว

เขาขยับขึ้นหน้า คุกเข่าอยู่หน้าที่วางเท้าช่วยเฉินเซ่าถอดรองเท้าก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “นายท่านต้องการพักผ่อน?”

“ข้านอนพอแล้ว อยากนั่งสักครู่ เจ้าไปเอาหมอนอิงมา ข้าอยากได้ที่พิงหลังสักหน่อย” เฉินเซ่าสีหน้าเกียจคร้าน เชิดคางชี้ไปที่หัวเตียงอย่างไม่อินังขังขอบ

สิงเหว่ยเข้าใจได้ทันที เขาขานรับออกมาคำหนึ่งพร้อมเดินไปที่ห้องข้าง เพียงไม่นานเขาก็โอบหมอนอิงปักด้ายดำขนาดใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา วางมันลงบนหัวเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “นายท่านต้องการเพิ่มแสงสว่างอีกหรือไม่”

“ไม่ต้อง เช่นนี้ก็ได้แล้ว” เฉินเซ่าขยับตัวนั่งเข้าไปเล็กน้อย พิงร่างเข้ากับหมอนอิง โบกมือไม่ยินดียินร้าย

สิงเหว่ยถอยออกไปด้วยท่าทีนอบน้อม แต่มิได้จากไปที่ใดไกล หากยังคงยืนอยู่ที่ข้างเตียง ท่าทางคล้ายต่ำต้อยยิ่ง ทว่าตอนเปิดปากน้ำเสียงกลับเย็นชาเมินเฉย

“หลังจากคิดๆ ดู คำพูดของเจ้านี้เหมือนจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด” เขาเบ้มุมปากช้อนตาขึ้นมองเฉินเซ่า

แสงไฟสลัวๆ สีหน้าของเขาอึมครึมไม่ชัดแจ้ง แลดูแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าตอนเดินทางไปละแวกเขาสือจุ่ย จู่ๆ เจ้าก็สูญเสียความทรงจำ ตอนได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าก็มาอยู่นอกเมืองหลินเจียงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องโยกย้ายอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เจ้าพูดถึงก็ต้องเกิดขึ้นก่อนเจ้าเดินทางไปเขาสือจุ่ย พูดอีกนัยหนึ่งก็คือก่อนเจ้าสูญเสียความทรงจำ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่พูดเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำเฉินเซ่าตกตะลึง ครั้นเขาย้อนคิดดูโดยละเอียดก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องก่อนเดินทางไปเขาสือจุ่ยมิได้อยู่บนเส้นเวลาเดียวกับการสูญเสียความทรงจำ แต่เขากลับลืมเรื่องอาวุธยุทธภัณฑ์พวกนั้นไปจนสิ้น

เขาขมวดหัวคิ้ว พยายามนึกถึงเส้นสายของเหตุการณ์ ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์บางอย่างก็ฉายวาบขึ้นในหัวสมองของเขา ภาพเหตุการณ์ที่ว่ามีชายผู้หนึ่งกำลังพูดคุยกับเขาอยู่

“มีชายผู้หนึ่ง…” เขาขยับริมฝีปากกล่าว น้ำเสียงกระจ่างชัดแฝงไว้ซึ่งเส้นเสียงแหบพร่าเล็กๆ คล้ายเสียงกระซิบ

สิงเหว่ยสีหน้าจดจ่อ เขารีบกดเสียงถาม “ชายผู้หนึ่งอะไร เขาเป็นใคร แล้วรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”

เฉินเซ่ากดมุมหน้าผาก พยายามขุดความทรงจำที่ซ่อนลึกอยู่ในสมองอย่างสุดกำลัง

ทว่าสุดท้ายเขาก็ยังคงเสียแรงเปล่า

ใบหน้าของชายผู้นั้นเลือนราง น้ำเสียงก็เช่นกัน ที่เขาพอจำได้ก็มีแต่ปากที่ขยับเปิดๆ ปิดๆ นั่น

เฉินเซ่าฟันขบเข้าหากันแน่น เหงื่อเย็นไหลซึมออกมาจากที่ข้างหน้าผาก

เงาร่างของชายผู้นั้นเลือนรางมากขึ้นทุกที ภาพตรงหน้าคล้ายเต็มไปด้วยหมอกหนา ทุกสิ่งอย่างกลับกลายเป็นจุดแสง กะพริบระยิบระยับ เต้นไหวไปมา ยากเกินกว่าจะแยกแยะ

เฉินเซ่าเหมือนย่างเท้าเข้าไปอยู่กลางหมอก สองเท้าเชื่องช้า ร่างกายหนักอึ้ง ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่เขากลับไม่ยอมหยุดเท้า ยังคงเดินขึ้นหน้าไปทีละก้าว หมายทำลายม่านหมอก มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดถนัดตา

ทันใดนั้นความรู้สึกเจ็บปวดก็เสียดแทงหัวสมองเขาฉับพลัน เฉินเซ่าสองมือกุมศีรษะ ร่างกายขดงอ สองตาเหลือกถลน

จุดสว่างตรงหน้าส่ายไหว รวมตัวกลายเป็นเส้นแสง หมุนวนอยู่รอบตัวเขา

ความรู้สึกคล้ายจวนเจียนถูกความมืดมิดกลืนกินนั้นทำให้เฉินเซ่าไร้สิ้นเรี่ยวแรง

ในเวลาเดียวกัน เสียงเสียงหนึ่งกลับพร่ำบอกเขา ความเจ็บปวดนี้สามารถควบคุมได้ ขอเพียงเขาไม่คิดอีก ไม่พยายามหวนระลึกถึง ปล่อยให้อดีตเหล่านั้นหวนย้อนกลับมาในเวลาอันสมควร เช่นนั้นความเจ็บปวดเยี่ยงนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น

ครั้นคิดได้เช่นนี้เขาก็รีบหยุดฝีเท้า หมอกหนาและทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายในล้วนมลายหายไปจนสิ้น

“…นายท่านๆ ท่านเป็นอะไรไป ปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่” คลื่นเสียงระลอกแล้วระลอกเล่าดังอยู่ข้างๆ จากเลือนรางกลับกลายเป็นกระจ่างชัด จนสุดท้ายก็ดังสะเทือนเลื่อนลั่นเข้ามาในหู

เฉินเซ่าเบิกตาโพลง ภาพตรงหน้าจู่ๆ ก็ปรากฏชัด

ห้องมืดสลัว แสงเทียนริบหรี่ สายลมเย็น เสียงกระดิ่งพิทักษ์บุปผาที่ดังแผ่วอยู่ที่นอกหน้าต่าง รวมถึงใบหน้าคุ้นเคยน่ารังเกียจตรงหน้า

เฉินเซ่าถอนหายใจเบาๆ เสื้อตัวกลางบนร่างของเขายามนี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ถึงกระนั้นเขาก็มิได้เป็นลมหมดสติไปอีก

“หากเหนื่อยแล้ว เจ้าก็หาจำเป็นต้องคิดต่อไม่” สิงเหว่ยพิจารณาดูเฉินเซ่า นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกอับจน เพียงแต่คำสั่งของผู้เป็นนายมิอาจมิเชื่อฟัง เฉินเซ่าผู้นี้แม้จะน่ารังเกียจยิ่งนัก ทว่าในสายตาของนายท่านของเขา ไมตรีจิตที่มอบให้อีกฝ่ายกลับไม่ธรรมดา

สิงเหว่ยทั้งอิจฉาทั้งริษยาและหยามเหยียดอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน

หากมิใช่เพราะนายท่านแล้วล่ะก็ เฉินเซ่าผู้นี้ต่อให้มีสิบชีวิตก็ไม่พอตาย

“ทำไม หรือเจ้าไม่พอใจ?” น้ำเสียงเย็นเยียบดั่งเสียงพิณแหวกผ่านความมืดเงียบงัน ทั้งอ้างว้างทั้งกระจ่างชัด

สิงเหว่ยสองตาวับวาวเป็นประกาย เขาก้มหน้าลง “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดอันใด”

“ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเข้าใจ” เฉินเซ่าพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตากลับทอดมองไปที่นอกหน้าต่าง จู่ๆ เขาก็ถอนหายใจ “นายท่านของเจ้าเป็นพวกบ้าระห่ำโดยแท้”

สีหน้าท่าทางของเฉินเซ่ายากจะบรรยาย น้ำเสียงอึมครึม หลังพูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “เพียงแต่มีบางครั้งข้าก็อดนับถือในปณิธานของนายท่านของเจ้าไม่ได้ ทว่าความฝันงดงามที่จะให้ผู้คนทั่วหล้าได้มีผลประโยชน์ร่วมกัน มีการกระจายอำนาจไปสู่พวกชาวบ้านนั้นสามารถเป็นจริงได้กระนั้นหรือ”

“นายท่านบอกแล้วว่าเรื่องนี้จะสำเร็จได้จำต้องใช้เวลาหลายยุคหลายสมัย หาใช่เรื่องง่ายดายเยี่ยงปอกกล้วยเข้าปากไม่” สิงเหว่ยตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา สายตาหยามเหยียดชำเลืองมองไปที่พื้น

สภาพร่างกายของเฉินเซ่าในยามนี้ทำเอาเขาไม่กล้าพูดเพ้อเจ้ออันใด เพราะเกรงจะนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก

บทที่ 527 ไม่เคยพบพาน

หน้าต่างฉลุลายเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลมราตรีพัดแผ่ว อากาศเย็นสบาย โคมผ้าโปร่งสีแดงใต้ชายคาระเบียงส่ายไหวตามลม ห่างออกไปอีกเล็กน้อยเถาวัลย์กับกำแพงขาวล้วนจมหายเข้าไปท่ามกลางความมืดมิด ดาวดวงหนึ่งแขวนตัวอยู่กลางฟากฟ้า อ้างว้างคล้ายไฝน้ำตาบนใบหน้าโฉมสะคราญ

เฉินเซ่าเหยียดแขนเลิกม่านมุ้งออก ทอดสายตามองดูดาวดวงนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดเสียงแผ่วเบาออกมาประโยคหนึ่ง “ต้าฉู่ในยามนี้ยังดีไม่พออีกกระนั้นหรือ”

“หรือว่าเจ้ารู้สึกว่าดี?” สิงเหว่ยยิ้มหยันพร้อมเอ่ยปากย้อนถาม ในดวงตาเฉยชานั้นแฝงไว้ซึ่งแววตาถากถาง “อะไรคือโอรสสวรรค์ อะไรคือทั่วหล้า อาศัยแค่สกุลของคนผู้หนึ่งก็ขึ้นไปอยู่เหนือกว่าผู้คนนับหมื่นพัน เสวยสุขจากการเลี้ยงดูของผู้คนนับร้อยนับพันหมื่น แต่กลับดูแคลนชาวบ้านเยี่ยงหมูหมากาไก่ นี่หรือคือสิ่งที่เรียกว่าเมตตาแห่งสวรรค์ นี่หรือคือความเจริญรุ่งเรืองที่สวรรค์ประทานให้”

เขาเบ้ปากอย่างหนักหน่วงจนกล้ามเนื้อมุมปากถึงกับกระตุก

“ไม่ต้องพูดอื่นไกล เอาแค่องค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งที่พัวพันกับสกุลของเจ้า เจ้าเห็นนางเป็นเช่นไร” เขาเอ่ยปาก สีหน้าพลันเดือดดาล

เขามองมาทางเฉินเซ่าก่อนจะพูดต่ออย่างรวดเร็ว “องค์หญิงพวกนี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าล้วนเห็นชีวิตคนดั่งต้นไม้ใบหญ้า เป็นพวกคนถ่อยเย่อหยิ่งจองหองไร้มารยาท! พฤติกรรมเลวทรามน่ารังเกียจ อุปนิสัยเยี่ยงอันธพาล คุณธรรมความประพฤติอันใดล้วนสกปรกโสมม มิคู่ควรเป็นมนุษย์! ทว่าเพราะพวกเขาเกิดอยู่ในราชสกุล มีสิ่งที่เรียกว่า ‘สายเลือดอันสูงส่ง’ ทำให้พวกนางกระทำความชั่วได้ครั้งแล้วครั้งเล่า โทษทัณฑ์ที่ได้รับก็ล้วนแต่การคุกเข่าลงโทษเบาๆ กักบริเวณ ริบกิจการที่ไม่เกี่ยวอันใดกับตนเอง ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ช่างบัดซบโดยแท้!”

เขาถ่มน้ำลายลงพื้นเต็มแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยันดูแคลน “นอกจากพวกเชื้อพระวงศ์แล้ว พวกขุนนางเล่าเป็นเช่นไร ที่ว่ากันว่า ‘สุภาพชนทำการใดล้วนยึดถือสัจธรรมมิใช่สมัครพรรคพวก’ มันเป็นเช่นนั้นจริงกระนั้นหรือ เจ้าลองพิจารณาดูเหล่าขุนนางราชสำนักพวกนั้น คนที่ไม่มีพรรคไม่มีพวกต่างล้วนไม่มีที่ให้หยัดยืนด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาต่างประหัตประหารกันเอง เทียบกับชาวบ้านทั่วหล้าแล้ว สมัครพรรคพวกต่างหากถึงจะสำคัญที่สุด หากไม่ใช่พวกเดียวกันย่อมต้องสังหารให้ด่าวดิ้น มีใครบ้างที่ใส่ใจชาวประชาทั่วหล้าแท้จริง”

พอพูดถึงจุดนี้เขาก็สองแก้มแดงระเรื่อ นัยน์ตาแดงก่ำ จ้องเฉินเซ่าเขม็ง “ไหนเจ้าลองบอกข้าซิว่าที่บอกว่าฮ่องเต้ทำผิดโทษเท่าสามัญชนนั้นเคยเกิดขึ้นกระนั้นหรือ ที่บอกว่าใช้เมตตาการุณย์ต่อชาวประชานั้นเคยมีให้เห็นบ้างหรือไม่ ที่ว่ากันว่าชาวประชาอยู่ดีกินดี ทุกคนล้วนร่มเย็นเป็นสุขนั้นมีจริงหรือไร”

เสียงของเขาก็แผ่วเบาทุ้มต่ำลงทุกที ครั้นพูดจบเขาก็ทอดถอนใจ คล้ายคำถามสามคำถามนี้กินแรงกายแรงใจของเขาไปจนหมดสิ้น

หลังจากนั้นเขาก็หลับตาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สายลมยามค่ำเย็นเยียบ แทรกลึกเข้าไปถึงปอดถึงหัวใจ

ในที่สุดสิงเหว่ยก็จำได้ว่าเขาทำงานเป็นบ่าวอยู่ในจวนสกุลเฉิน เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ โกหกเรื่องอายุและชาติกำเนิด ไม่เคยเป็นตัวของตนเองอีก

คืนค่ำเย็นยะเยือกเงียบสงัดนี้ต่างหากถึงเป็นความจริงที่เขาจำเป็นต้องเผชิญ

เขาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

ทันใดนั้นความรู้สึกเดือดดาล เย้ยหยันถากถาง ไม่ยินยอมก็ถอยออกจากร่างเขาไปราวกับสายน้ำ ที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นท่าทีเมินเฉยเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง

“ช่างเถอะ เจ้าเกิดอยู่ในครอบครัวผู้รากมากดี เติบโตอยู่บนผืนดินงดงาม ไหนเลยจะเข้าใจถึงความลำบากของบัณฑิต…ชาวบ้านอย่างพวกข้า” เขาม้วนแขนเสื้อหลุบตา กลับมาเป็นบ่าวผู้นอบน้อมผู้นั้น

หากมินับถ้อยความวาจาที่เขาพูด ท่าทางเยี่ยงนี้ก็นับว่าสมควรกับตำแหน่งบ่าวของเขาแล้ว

“พูดอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็มีแต่ ‘เรื่องยักยอกอาวุธยุทธภัณฑ์’ เท่านั้นที่ฟังดูเข้าท่า อย่างอื่นเล่า” สิงเหว่ยน้ำเสียงราบเรียบ สองตาไม่กะพริบ “เจ้าหายตัวไปแปดปีเต็ม ระหว่างนี้นอกจากทำชลประทานแก้ไขปัญหาน้ำท่วม สร้างเขื่อนแล้ว ไม่มีอย่างอื่นจริงกระนั้นหรือ”

เสียงของเขาแม้จะแผ่วเบาทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเปี่ยมกำลัง แฝงไว้ซึ่งท่าทีเร่งร้อนอยู่สองสามส่วน “เรื่องที่นายท่านสั่งให้เจ้าสืบในยามนั้น เห็นชัดอยู่ว่า…”

“เงินทองที่คังอ๋องเหลือทิ้งไว้พวกนั้น” เฉินเซ่าเอ่ยปากพูดตัดบท ไม่ยอมให้สิงเหว่ยได้พูดจบ น้ำเสียงลากยาวสงบนิ่งเหมือนดั่งเสียงลมพัดแผ่วเบา

เขาเพ่งตามอง รอยยิ้มบนริมฝีปากคล้ายเย็นเยียบคล้ายอบอุ่น “ข้าจำเรื่องนี้ได้ อีกทั้งยังสืบได้ความแล้วด้วย”

“อะไรนะ” สิงเหว่ยเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว สองตาเบิกกว้าง ดวงตาฉายแววไม่นึกอยากเชื่อ “เรื่องนี้เป็นความจริงกระนั้นหรือ เจ้าสืบได้ความแล้ว? คงไม่ใช่คิดจะโกหกหลอกลวงนายท่านกระมัง”

เขาจ้องเฉินเซ่าเขม็งราวกับหมายมองให้ทะลุอะไรบางอย่าง

เฉินเซ่าไม่เอ่ยปากต่อความ เขาลุกขึ้นเอ่ยปากสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปตักน้ำมา”

สิงเหว่ยตะลึงงันไปชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นเพียงอึดใจ สีหน้าท่าทางของเขาก็กลับกลายเป็นอาฆาตแค้น

“เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก คิดจะยั่วข้าหรือไร” เขามองเฉินเซ่าด้วยสายตาเดือดดาล ความรู้สึกโกรธแค้นที่ถูกทาบทับไว้แทบจะทะลักล้นออกมาจากร่าง “พูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันอยู่ดีๆ แล้วเพราะเหตุใดถึงต้องวางท่าเสแสร้งด้วย หรือว่าเจ้าในเวลานี้คิดขัดคำสั่งนายท่านจริงๆ”

“เจ้าโง่” เฉินเซ่ากวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา กระชับเสื้อคลุมบนร่าง ชักเท้าเดินไปที่ข้างโต๊ะ ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตึง

หน้าต่างถูกปิดลง ภาพแสงดาวค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเต็มลานเรือนถูกบดบังจนหมดสิ้น

“ยังไม่รีบไปอีก” สายตาของเขาไม่จับอยู่บนร่างของสิงเหว่ยอีกต่อไป น้ำเสียงกลับเสมือนเย้ยหยัน “หากยังชักช้าอยู่อีก บางทีข้าอาจลืมเรื่องราวพวกนั้นไปก็เป็นได้”

สิงเหว่ยตะลึงอีกครา เขาตระหนักได้ทันที ที่เฉินเซ่าบอกว่า ‘เอาน้ำมา’ มิใช่เพราะต้องการล้างหน้าบ้วนปากเข้านอน แต่หากต้องการใช้เขียนหนังสือ

ล้างพู่กันฝนหมึกย่อมต้องใช้น้ำสะอาด เฉินเซ่าจงใจพูดคลุมเครือ หลอกเขาเล่นเหมือนเห็นเขาเป็นลิงตัวหนึ่ง

สีหน้าของสิงเหว่ยกลับกลายเป็นบูดบึ้ง ทว่าหลังจากคิดถึงคำพูดของเฉินเซ่าอีกครา เขาก็อดตื่นเต้นยินดีไม่ได้

หากสามารถครอบครองทรัพย์สินเงินทองของคังอ๋องพวกนั้นได้ ‘การใหญ่’ ของนายท่านย่อมเป็นจริงได้ในไม่ช้า

ครั้นนึกได้เช่นนั้นใจเขาก็ราวกับมีไฟลุกโชน เผาไหม้จนเขาแทบไม่มีสติ

สิงเหว่ยชักเท้าเดินขึ้นหน้า แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าพู่กันแท่งหมึกน้ำสะอาดล้วนอยู่ในห้องหนังสือที่อยู่ยังห้องข้างฝั่งตะวันตก เขาหันเดินไปที่ข้างประตู เลิกม่านชักเท้าก้าวข้ามธรณีประตูไปอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าลับหายไปจากนอกม่าน

จนถึงยามนี้เฉินเซ่าถึงเพิ่งจะหันหน้ากลับมา รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าจางหายหมดสิ้นแล้ว เหลือก็แต่สีหน้าเลอะเลือนฉงนสนเท่ห์

“อำนาจฮ่องเต้แบ่งแยกทั่วหล้า ราชนิกุลและชาวบ้าน…ใช้คนปกครองทั่วหล้า มิสู้ปกครองทั่วหล้าด้วยระบบ”

ตอนอายุยังน้อยคิดอ่านบุ่มบ่าม เขาเองก็เคยหมกมุ่นกับความคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงยินดีเป็นม้าเป็นสุนัขทุ่มเทเพื่อผู้เป็นนาย ยอมห้อตะบึงอย่างสุดกำลังเพื่อ ‘นายท่าน’

แม้แต่การทำงานอยู่ในกรมโยธาก็ล้วนเป็นไปตามคำสั่งของ ‘นายท่าน’ เพราะขุนนางกรมโยธาบ่อยครั้งต้องออกไปทำงานข้างนอก บางทีปีหนึ่งๆ อาจมีถึงครึ่งปีที่ไม่ได้กลับบ้าน จึงสะดวกต่อการปฏิบัติภารกิจลับ

เฉินเซ่าในยามนั้นมองเห็นทุกสิ่งอย่างเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เช่นเดียวกับสิงเหว่ยในยามนี้

ทว่าคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อวันเวลาผันผ่าน ประสบการณ์เพิ่มพูน เฉินเซ่าก็เริ่มนึกสงสัย ทุกสิ่งอย่างที่เขาปฏิบัติตามนั้นแท้จริงแล้วเป็นวาจาโกหกหลอกลวงหรือเป็นสัจธรรมกันแน่

คำถามนี้เขาครุ่นคิดมานานถึงสิบกว่าปี ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่า ‘นายท่าน’ ผู้นี้ที่แท้ก็คือ ‘โอรสสวรรค์’ ในอีกความหมายหนึ่งมิใช่หรือไร ส่วน ‘สัจธรรม’ ที่เขายกย่องสรรเสริญที่แท้ก็คือ ‘โอรสสวรรค์มาก่อน ขุนนางเป็นรอง ชาวบ้านท้ายสุด’

มันก็แค่การเปลี่ยนวิธีเรียกขานเท่านั้น

ตอนครุ่นคิดเข้าใจถึงเรื่องนี้ เฉินเซ่าก็รู้สึกอัปยศอดสูที่ถูกหลอกลวง

อาศัยคำว่า ‘สัจธรรม’ ที่เหมือนจะถูกต้องแต่ความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ อีกทั้งยังล่อลวงให้เขากลายเป็นเขี้ยวเล็บ นี่เป็นสิ่งที่เขารู้สึกต่อ ‘นายท่าน’ เมื่อแปดปีก่อน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจละทิ้งตำแหน่งอาจารย์แห่งตำหนักบูรพา ทำให้ ‘นายท่าน’ ผู้นั้นผิดหวังอย่างยิ่งยวด

ทว่าการเคลื่อนไหวของ ‘นายท่าน’ หลังจากนั้นกลับทำเขาไม่เข้าใจ

ไม่ต่อต้าน ไม่ก่อกบฏ มองดูคังอ๋องอันอ๋องไม่ต่างอันใดกับขุนนางชั่วช้าคิดคดทรยศ หลายปีมานี้ ‘สมาคมเฟิงกู่’ จึงไม่เคยทำอันใดรบกวนการบริหารราชการแผ่นดินเลย

เพราะเหตุใดกัน

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 เม.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: