LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 3-บทที่ 4
“ฟังผมบ้างได้มั้ย”
บุษบงกชพยักหน้า
“ผมผ่านช่วงเวลาฟูมฟายเหมือนคุณมาแล้ว ตอนนี้ผมปลงตกแล้วว่าทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามครรลอง ป้าดาวกับผมไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขกัน แม้เราจะผูกพันกันแต่มันก็เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุจากน้ำมือของคนที่ป้าดาวรัก ป้าดาวให้ทุกอย่างกับผมด้วยความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบแทนคนที่ตายไป ตอนนี้เมื่อผมมีชีวิตที่ดี ป้าดาวก็ควรมีโอกาสที่จะได้เป็นอิสระ ถ้าผมรั้งป้าดาวไว้นั่นต่างหากคือความเห็นแก่ตัว”
“ป้าดาวกับคุณคิดอย่างนั้นจริงเหรอคะ”
หัสยุทธพยักหน้า “ถึงแม้จะไม่มีคุณเข้ามา สักวันป้าดาวก็จะไปจากผมอยู่ดี พอมีคุณ…คุณทำให้ป้าดาวจากผมไปอย่างมีความสุขนะ”
บุษบงกชยังคงจ้องเขาตาแป๋ว หัสยุทธเพิ่มความมั่นใจให้เธอด้วยการโอบกอดที่แน่นขึ้นแล้วซุกหน้าลงไปที่ไหล่บอบบางนั้น
“ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้วนะ คุณจะเป็นอนาคตของผม”
“เราจะเป็นอนาคตของกันและกันต่างหากล่ะคะ”
คนทั้งคู่เงยหน้าสบตากันแล้วต่างยิ้ม บุษบงกชขยับตัวยุกยิกบนตักเพื่อจะหันหน้าไปสบตากับเขาได้ถนัดขึ้น เธอประคองแก้มสากทั้งสองข้างแล้วพูดเสียงอ่อน
“ต่อจากนี้ไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
หัสยุทธพยักหน้า “เช่นกันครับ”
แล้วคุณหมอก็เป็นฝ่ายก้มหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางของเขาก่อน หัสยุทธจูบตอบอย่างอ่อนโยน…
เหตุการณ์ร้ายที่เคยเกิดขึ้นทำให้คนสองคนได้รู้จักกัน แต่ดูเหมือนบางคนอยากเป็นมากกว่าเพื่อน โอบเกียรติเริ่มทำตัวติดกันตพรมากขึ้นหลังจากเธอผ่านเรื่องร้ายมาแล้ว เขาพยายามแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และการใช้เส้นสายเพื่อทำให้คนร้ายในคดีบุกบ้านกันตพรนั้นต้องรับโทษทัณฑ์สูงสุด แต่ไม่ใช่แค่การแสดงพลังเพียงอย่างเดียว เขายังแสดงด้านที่อ่อนโยนให้เธอด้วย นั่นคือการส่งชายคนร้ายเข้ารับการรักษาอาการทางจิตกับโรงพยาบาลตำรวจในขณะที่ต้องรับโทษไปด้วย โอบเกียรติทำทุกอย่างเพื่อเอาใจสาวน้อยคนนี้จริงๆ และกันตพรเองก็ซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้ แม้จะไม่ได้แสดงออกมากมายเกินกว่าคำขอบคุณ และเมื่อโอบเกียรติขอร้องให้เธอร่วมรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อเพื่อเห็นแก่มิตรภาพที่ดีต่อกัน หญิงสาวจึงไม่อาจปฏิเสธได้
ชายวัยสี่สิบดูจะมีอาการตื่นเต้นมากกว่าสาวน้อย เขาพยายามเลือกเสื้อผ้าสำหรับใส่ออกเดตแบบที่ไม่ให้ดูเหมือนอาเสี่ยที่เลี้ยงดูสาวน้อยวัยขบเผาะอยู่ มันจึงออกมาเป็นกางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตคอจีนที่ไม่เอาชายเสื้อใส่ไว้ในกางเกง โอบเกียรติพยายามให้ลุคของเขาดูสบายๆ และเป็นผู้ใหญ่ใจดี ส่วนกันตพรนั้นก็สวมชุดสุภาพตามสไตล์ของเธอ เสื้อแขนสามส่วนกับกระโปรงตัวยาว สีหน้าของหญิงสาวดูสงบกว่าอีกฝ่ายมาก
“คุณอาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับก้อย…”
เธอทวงถามขึ้นมาเบาๆ ในตอนที่รออาหารมาเสิร์ฟ โอบเกียรติยิ้มเก้อนิดๆ แล้วหายใจลึกก่อนตอบ
“เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมาก เอ้อ ไม่ใช่…ที่จริงมันก็สำคัญอยู่เหมือนกัน”
“อะไรล่ะคะ”
“เรื่องคนร้าย เอ่อ ตอนนี้เขาได้รับการบำบัดอยู่นะ”
“ก้อยทราบแล้วค่ะ คุณอาเคยบอกก้อยแล้ว”
โอบเกียรติก็รู้ เขาพยายามอีกครั้ง “ก้อยกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้นแล้วนอนหลับไหม”
“ค่ะ” เธอหลบสายตา
“ถ้ารู้สึกไม่ดี ผมคิดว่าก้อยน่าจะหาที่อยู่ใหม่”
กันตพรขมวดคิ้วทันที “แต่นั่นมันเป็นบ้านของก้อยนะคะ”
“ผมรู้ แต่ถ้ามันทำให้เราต้องคิดถึงเรื่องร้ายๆ อยู่ตลอดเวลา มันไม่ดีแน่ ถ้าขายบ้านหลังนั้นไปซะ ก้อยจะมีเงินซื้อคอนโดมิเนียมที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ยี่สิบสี่ชั่วโมง แบบนั้นมันจะดีกว่า”
หญิงสาวเบือนหน้าหนี ไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับ สีหน้าตึงเหมือนต้องการปิดการสื่อสารทั้งหมดแล้ว โอบเกียรติรู้เรื่องราวของเธอผ่านการบอกเล่าของหัสยุทธ แต่เพิ่งรู้เพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่าเธอก็ดื้อเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“เจ้าหัสมีกำหนดการที่จะแต่งงานกับคุณหมอบุษแล้ว”
นายตำรวจร่างใหญ่พูดขึ้นมาลอยๆ แต่สามารถดึงความสนใจของคู่สนทนาให้มาสบตาอีกครั้งได้
“ก้อยทราบแล้วค่ะ คุณอาบอกก้อยแล้ว”
“เพราะฉะนั้นอาบุญธรรมของคุณจะไม่มีเวลาให้คุณเหมือนเดิม ถ้าเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้นเขาจะไม่สามารถวิ่งแจ้นมาหาคุณได้ทันทีเหมือนเมื่อก่อน”
กันตพรค้อนให้นิดๆ แต่ไม่พูดอะไร
“แต่ผมทำได้…”
หญิงสาวหันขวับมามองเขา
“ผมทำหน้าที่นั้นแทนเจ้าหัสได้ ถ้าคุณอนุญาต”
กันตพรไม่แน่ใจว่าความหมายของคำพูดนั้นครอบคลุมแค่ไหน ยังไงเธอเป็นผู้หญิง เธอก็ต้องระมัดระวังตัวไว้ก่อน
“ฉันโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ฉันไม่ต้องการคนดูแลค่ะ”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ”
โอบเกียรติถอนใจ เขาคงเข้าไปนั่งในหัวใจของกันตพรได้ยาก โดยเฉพาะการเข้าไปแทนที่หัสยุทธ
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็มาทานอาหารกันให้อร่อยเถอะ”
นายตำรวจร่างใหญ่สรุปเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหวังและเขาเห็นแล้วว่าอาหารที่สั่งไว้นั้นกำลังจะถูกเสิร์ฟพอดี เมื่อโอบเกียรติยอมรับทุกอย่างได้โดยง่ายมันกลับทำให้กันตพรสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนี้ หลังจากพนักงานเสิร์ฟถอยออกไปแล้วเธอจึงเป็นฝ่ายถามขึ้น
“นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเราใช่ไหมคะ”
โอบเกียรติชะงัก “ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะก้อยไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เราต้องพบกันอีก มื้อนี้ก้อยขอเป็นฝ่ายเลี้ยงขอบคุณที่คุณอาช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องทุกอย่างให้ เมื่อจบแล้วเราก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยหรือพบกันอีก…ไม่ใช่เหรอคะ”
คนมีอายุมากกว่าถอนหายใจหนักอย่างไม่ปิดบัง “จะไม่เปิดโอกาสให้ผมเลยใช่ไหม”
“ก้อยไม่พร้อมกับความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปมากกว่านี้ค่ะ”
“ผมรู้ว่าผมมาแทนที่เจ้าหัสไม่ได้ แต่อย่างน้อยให้ผมดูแล…”
“ก็ถ้าคุณอายังอยู่ ก้อยก็ลืมอาหัสไม่ได้” เธอตัดสินใจยอมรับด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด ซึ่งทั้งสีหน้าและน้ำเสียงนั้นไม่ได้โกหกความรู้สึกของตัวเองหรือหลอกลวงโอบเกียรติเลย “คนเราจะเลิกรักคนหนึ่งแล้วมีคนใหม่ทันที มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะคะ แล้วก้อยก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณอาด้วย แค่ต้องการขอบคุณที่ช่วยเหลือก้อยเท่านั้นเอง”
“แต่ความรู้สึกแบบนั้นมันก็เคยเกิดขึ้นกับเจ้าหัสมาก่อนไม่ใช่เหรอ”
กันตพรสะอึก แต่ยังไม่ยอมรับ “คุณอาคิดว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นซ้ำสองได้เหรอคะ”
โอบเกียรติยกไหล่ขึ้นน้อยๆ “ไม่มีใครรู้หรอกถ้าคุณไม่ยอมเปิดใจ ความจริงที่ผมชวนคุณมาในวันนี้ ผมอยากให้คุณคิดเรื่องที่อยู่ใหม่อย่างจริงจังมากกว่า หรืออย่างน้อยคุณก็ควรทิ้งตู้เสื้อผ้าตู้นั้นไปซะ”
ใบหน้าของกันตพรขาวซีดลงทันที “ทำไมคุณอารู้…”
“นอนไม่หลับ คอยจ้องมองไปที่ตู้เสื้อผ้า กลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้มันอีก”
“ก้อยย้ายไปนอนห้องอื่นแล้ว” เธอไม่ยอมตอบในสิ่งที่โอบเกียรติคาดเดา
“ผมทายถูกใช่ไหม คิดดูให้ดีๆ นะ สุขภาพจิตของคุณสำคัญกว่าความทรงจำเก่าๆ ในบ้านหลังนั้น ความจริงถ้าไปอยู่ในที่ใหม่ๆ คุณอาจจะมีความสุขมากกว่า” โอบเกียรติหยิบช้อนส้อมของตัวเองขึ้นมา “ทานข้าวเถอะ มื้อสุดท้ายก็มื้อสุดท้าย ผมจะกินช้าๆ ก็แล้วกัน”
กันตพรมองหนุ่มใหญ่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เขามีหลายอย่างที่เหมือนกับหัสยุทธโดยเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก แต่ทำไมเธอจึงไม่รู้สึกอะไรกับเขาเหมือนที่รู้สึกกับหัสยุทธ ความรู้สึกของคนช่างแปลก…คนหนึ่งตามแต่อีกคนกลับพยายามหนี หญิงสาวเพิ่งเข้าใจว่าสิ่งที่โอบเกียรติรู้สึกกับเธอช่างเหมือนกับที่เธอรู้สึกกับหัสยุทธ…คนหนึ่งไล่ตามแต่อีกคนกลับยิ่งหนี
แล้วถ้าเธอไม่หนีล่ะ…
มันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้ จู่ๆ กันตพรก็อยากรู้…
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 62)