นาทีที่สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันนรบดีรู้สึกใจหาย เขาชาวาบไปทั่วตัวเพราะไม่คิดว่าจะพบบุษบงกชที่นี่ แล้วด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีทางเลยที่เขาจะหลบออกไปทันทีโดยไม่กล่าวคำขอโทษหรือพูดคุย เพราะหากทำเช่นนั้นอาจจะยิ่งน่าสงสัยเพิ่มขึ้น บุษบงกชเป็นผู้หญิงที่มีเครื่องหน้าโดดเด่น การเห็นเธอผ่านกล้องวงจรปิดหลายครั้งทำให้เขาจดจำใบหน้าของเธอได้ไม่ยาก และทันทีที่ประสานสายตากันเขาก็รู้ว่าเป็นเธอ
นรบดีไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าจะได้พบบุษบงกชที่นี่ การมาติดต่อประสานงานกับทางโรงแรมเป็นเรื่องที่เขาวางแผนมาก่อนนานแล้ว และไม่เคยคิดเลยว่าจะโคจรมาพบคนรักของหัสยุทธ โชคดีแค่ไหนที่เธอไม่รู้จักเขา และเธอก็จะไม่มีวันรู้จักเขาด้วย อดีตนายตำรวจเชื่อมั่นเช่นนั้น ก่อนออกจากบริเวณโถงของโรงแรม นรบดีได้เหลือบมองบุษบงกชอีกครั้งพานนึกสงสัยว่าเธอมีธุระอะไรในโรงแรมแห่งนี้…
ทางฝั่งหัสยุทธก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นไม่แพ้ว่าที่เจ้าสาว อีกราวสามชั่วโมงจะถึงเวลานัด ละอองดาวก็จัดแจงนำซิ่นผ้าไหมไทยของตัวเองออกมาวางบนเตียงนอนโดยมีเจ้าเดือนเสี้ยวคู้ตัวมองดูเธออยู่ไม่ห่าง หญิงชราพยายามคิดว่าสีอะไรใส่แล้วจึงจะเป็นมงคลในวันนี้
“วันอาทิตย์สีชมพูกับโอลด์โรสเป็นเดช สีเขียวเป็นศรี สีเทากับดำถึงจะเป็นมนตรีแต่ก็ดูไม่เหมาะที่จะใส่ไปขอลูกสาวเขา เดชหมายถึงอำนาจ…เอาอำนาจไปข่มเขาไม่น่าจะดี งั้นต้องเลือกอันที่เป็นโชคลาภ สิริมงคล…สีเขียวนี่แหละ ว่าไงเจ้าเสี้ยว”
เดือนเสี้ยวยกศีรษะขึ้นมานิดหนึ่งคงเพราะได้ยินชื่อของตัวเอง แต่หลังจากนั้นก็ทำท่าว่าอยากจะหลับอีกครั้ง
“เฮ้อ แกนี่ไม่มีประโยชน์เลย เจ้านายแกจะแต่งงานแล้วนะ ต้องแสดงความยินดีกับเขาหน่อยสิ”
ละอองดาวยกซิ่นผ้าไหมไทยสีเขียวขึ้นมาดูใกล้ๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นก็จับแยกออกมาจากสีอื่นเพื่อนำเสื้อลูกไม้สีขาวที่มีอยู่หลายตัวมาเทียบ ระหว่างนั้นเจ้าของบ้านอีกคนก็มาเคาะประตูห้องพร้อมกับร้องเรียกป้าของเขาไปด้วย
“ป้าครับ ช่วยดูเนกไทหน่อย”
“เข้ามาสิ”
หัสยุทธเปิดประตูเข้ามาพร้อมเนกไทอีกสี่เส้น เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ป้าของเขานำมาวางบนเตียงหนุ่มใหญ่ก็ทำตาโต
“โห ตู้เสื้อผ้าระเบิดเหรอครับ”
“ไม่ต้องมาแซว ตัวเองล่ะ…เดินเร่ขายเนกไทเหรอ”
หัสยุทธย่นจมูกใส่แล้วเดินมาหยุดตรงปลายเตียงนอนของละอองดาว สายตาเกิดไปปะทะเจ้าเดือนเสี้ยวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งคนทั้งแมวจ้องตากันด้วยความหวาดระแวงทั้งคู่
“เมื่อคืนไปไหนมา” นายตำรวจหนุ่มใหญ่ถาม “เป็นสาวเป็นนางกลับบ้านมืดค่ำ ไม่รักนวลสงวนตัว”
คราวนี้แมวสาวไม่นอนต่อแล้วแต่มันลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงจากเตียงไปทันที หัสยุทธมองตามด้วยความหมั่นไส้จนกระทั่งมันเดินผ่านบานประตูที่เปิดค้างไว้ออกไป
“แหม เดี๋ยวนี้พูดอะไรไม่ได้เลย สะบัดหน้าใส่ เดินหนี”
ละอองดาวหัวเราะคิกคัก “นี่…อย่าไปยุ่งกับเจ้าเสี้ยวมันมาก เดี๋ยวมันรำคาญจะหนีออกจากบ้านซะเปล่าๆ”
“นี่แมวหรือวัยรุ่น” พูดแล้วเขาก็ส่ายหน้าช้าๆ
“เหมือนกันนั่นแหละ แมววัยรุ่นไง ไหนจะให้ป้าช่วยอะไร”
หัสยุทธยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน โดยแต่ละข้างมีเนกไทพาดอยู่ข้างละสองเส้น ละอองดาวมองเนกไททั้งสี่กลับไปกลับมาหลายรอบก่อนถาม
“สูทสีอะไร”
“ดำอยู่แล้ว”
หญิงสูงวัยส่ายหน้า “เทา”
“หืม…แต่ผมใส่ดำแล้วหล่อ หมอบอก”
“นี่ใส่ไปให้พ่อแม่เขาดูด้วย สีดำจะทำให้หน้าเราดุเกินไป ใส่เชิ้ตสีขาว สูทเทากับเนกไทสีเดียวกันจะทำให้ดูสะอาดสะอ้าน ภูมิฐานมากกว่า” แล้วละอองดาวก็หยิบเนกไทหนึ่งในสี่เส้นนั้นออกมา “นี่เส้นนี้”
หัสยุทธหรี่ตามองผู้มีพระคุณของเขาแวบหนึ่งด้วยใบหน้ายียวนก่อนยิ้มจนเห็นฟันขาว
“ตกลงครับคุณป้าสุดที่รัก งั้นผมขอตัวไปจัดชุดตามที่ป้าบอกก่อนนะ”
“จ้า เชิญเถอะว่าที่เจ้าบ่าว”
นายตำรวจร่างใหญ่หัวเราะคิกคักอย่างกับเด็กผู้หญิง ทั้งเขินทั้งชอบใจ รู้สึกว่าตนเองกำลังมีความสุขจนเปี่ยมล้นหัวใจไปหมด แต่ตอนที่กำลังจะดึงบานประตูให้กว้างออกนั้นจู่ๆ ก็ถูกเรียกให้หยุดเสียก่อน
“เดี๋ยวหัส…”
“ครับ” เขาหันกลับมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา
“ป้าว่าจะขายบ้านหลังนี้นะ”
“ฮะ?” เขาอึ้งไปนิดก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง “สมกับเป็นป้าหลานกัน ผมก็คิดเหมือนป้าเลย เราควรจะขายหลังนี้เพื่อไปซื้อหลังใหญ่ขึ้น พอผมมีลูกเราจะกลายเป็นครอบครัวใหญ่ทันที เนี่ยไปคุยกับเจ้ารุสก์ ลูกน้องที่ทำงานไว้แล้วเผื่อว่าเขาอยากจะซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากเรา”
“แต่ป้าจะไม่ไปอยู่กับแกหรอกนะ”
…
เกิดความเงียบงันหลายอึดใจกว่าคนฟังจะถามออกมาได้อีกครั้ง
“อะไรนะครับ” หัสยุทธหันหลังกลับมาทั้งตัว สายตาของเขาทั้งสงสัย ทั้งกังวล “ทำไมล่ะครับ ทำไมป้าจะไม่อยู่กับผม เพราะหมอบุษเหรอ”
“เปล่าๆๆ” ละอองดาวโบกมือไปมาเป็นพัลวัน “ป้ารักหนูบุษจะตายไป”
“แล้วทำไมครับ” หัสยุทธเดินเข้ามาหาผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตของเขา “เราเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอ ป้าบอกอย่างนั้นมาตลอด แล้วทำไมจู่ๆ ป้าจะไม่อยู่กับเรา แล้วถ้าไม่อยู่ด้วยกันป้าจะไปอยู่ที่ไหน ผมเป็นครอบครัวคนเดียวของป้านะ”
ละอองดาวยิ้มบางๆ แล้วถอนใจ สีหน้าไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนัก เหมือนคนที่ตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาดแล้วเสียมากกว่า นางบอกด้วยเสียงนุ่ม
“ป้าจะไปอยู่กับเพื่อน”
“เพื่อนที่ไหนครับ ผมรู้จักมั้ย แล้วทำไมป้าต้องไปอยู่กับเขา ป้ามีครอบครัวนะไม่ใช่คนไร้ญาติ”