LOVE
ทดลองอ่าน เจรจาต่อ-ตาย ตอน อัตตา บทที่ 3-บทที่ 4
ชนกานต์กับพิมพ์กมลหันมายิ้มให้แก่กัน แล้วผู้เป็นสามีก็พยักหน้าให้ภรรยาเป็นฝ่ายตอบ
“ดิฉันมีลูกสาวคนเดียวค่ะ ออกจะห้าวหน่อยแต่ก็เป็นเด็กดี ไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่หนักใจ เขาค่อนข้างเป็นตัวของตัวเองจนบางครั้งก็กลัวว่าจะอยู่กับใครไม่ได้ ตอนที่ทราบว่าเขาดูใจกับสารวัตรอยู่ พวกเราก็เป็นห่วงหลายเรื่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารวัตรก็ได้พิสูจน์ให้ครอบครัวเราเห็นว่าสามารถดูแลและปกป้องลูกสาวของเราได้ ดิฉันกับสามีก็ไม่มีอะไรขัดข้องหากทั้งสองคนต้องการจะแต่งงานกัน ขอแค่อย่างเดียวว่าให้สารวัตรรักและดูแลลูกสาวของเราเหมือนที่พวกเรารักและดูแลยายบุษมา”
“ผมสัญญาครับ”
“ขอบคุณคุณพิมพ์กมลมากนะคะที่ไว้ใจตาหัส” ละอองดาวบอก “เอาเป็นว่าตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าจะอนุญาตให้ลูกทั้งสองแต่งงานกัน ต่อไปก็คงต้องพูดถึงเรื่องสินสอดทองหมั้น ไม่ทราบว่าทางคุณพ่อคุณแม่ของหนูบุษต้องการให้เราจัดหาอะไรบ้างคะ”
ชนกานต์เป็นฝ่ายขยับตัว เหมือนกับว่าเขาเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี หัวใจของบุษบงกชเองเต้นไม่เป็นส่ำแม้จะตกลงกันมาบ้างแล้วว่าจะพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง แต่บิดาของเธอมักมีเรื่องให้เธอประหลาดใจเสมอนั่นแหละ
“อ่ะแฮ่ม ผมก็ไม่อยากเรียกร้องอะไรมาก แต่ถ้าไม่เรียกเลยก็ดูจะกระไรอยู่ ลูกสาวผมเป็นหมอชำนาญการเฉพาะด้านที่มีไม่กี่คนในประเทศไทย คุณละอองดาวคงเข้าใจนะครับ”
“เข้าใจดีค่ะ เพราะหลานชายของดิฉันก็เป็นหัวหน้าและผู้เชี่ยวชาญพิเศษในหน่วยงานที่มีหนึ่งเดียวในประเทศไทยเหมือนกัน” แล้วนางก็ยิ้ม
ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องพยายามหุบยิ้มแล้วก้มหน้างุด ดูเหมือนจะเจอมวยถูกคู่เข้าให้แล้ว ชนกานต์ก็รู้สึกว่าคนของตัวเองไม่ได้เหนือกว่า และคนทางโน้นก็ไม่ได้ด้อย แต่อยากจะให้มันยากขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะว่าเอาได้ว่ายอมยกลูกสาวคนเดียวให้ง่ายเกินไป
“เรื่องทรัพย์สิน…ทางหมอบุษเนี่ยเขามีคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเอง แถมอยู่กลางใจเมืองด้วยนะ”
“ตาหัสก็มีทาวน์เฮ้าส์สามชั้นค่ะ ทำเลดี อยู่ในย่านสำคัญทางเศรษฐกิจ ขึ้นทางด่วนง่าย จะไปทำงานก็สะดวกสบาย”
“ยายบุษมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วย”
ทุกคนหัวเราะคิก ท่าทางเรื่องจะเลยเถิดไปกันใหญ่
“แต่เรามีแมวค่ะ มันอาจจะดูเย่อหยิ่งไปหน่อย แต่รวมๆ แล้วก็ดี หนูบุษเคยเจอเจ้าเดือนเสี้ยวแล้วด้วย”
ชนกานต์กำลังอ้าปากจะพูดต่อแต่ถูกพิมพ์กมลห้ามไว้ด้วยการแตะไปที่แขนเบาๆ เขาจึงยอมเงียบ ผู้เป็นมารดาของคุณหมอขอพูดบ้าง
“อยากจะถามสารวัตรเรื่องที่อยู่หลังแต่งงานค่ะ ว่าตกลงจะย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน”
“ผมคุยกับทั้งหมอบุษ ทั้งคุณป้าแล้ว” เขาพูด หยุดไปนิดก่อนเริ่มต่อ “คิดว่าจะขายทาวน์เฮ้าส์เพื่อซื้อบ้านหลังใหม่ครับ”
“อ้าว ถึงกับต้องขายทาวน์เฮ้าส์เลยเหรอคะ”
“ครับ”
“เป็นความต้องการของดิฉันเองค่ะ” ละอองดาวยอมรับ “ดิฉันอยากให้พวกเขาสร้างครอบครัวในบ้านหลังใหม่ที่มีบริเวณสำหรับให้เด็กๆ วิ่งเล่น”
“ก็ดีครับ” ชนกานต์รีบบอก “แล้วคอนโดฯ ของบุษล่ะ”
เขาหันไปถามบุตรสาวของตน แต่บุษบงกชยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ เธอจึงอึกอัก คนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้กลับเป็นละอองดาว
“ตามใจหนูบุษเถอะค่ะ ทรัพย์สินของคุณหมอป้าก็ไม่อยากให้หัสไปยุ่ง เพราะถึงยังไงป้าก็จะขายทาวน์เฮ้าส์อยู่แล้ว ป้าจะไปอยู่บ้านแสงเย็น”
บุษบงกชหันกลับไปมองใบหน้าของละอองดาวด้วยความสงสัย “บ้านไหนคะ คุณป้าจะไปอยู่ที่ไหน”
“แสงเย็น เหมือนเคยได้ยิน…อุดรธานีรึเปล่าคะ” พิมพ์กมลแทรกขึ้น
“ใช่ค่ะ คุณพิมพ์กมลรู้จักด้วยเหรอคะ”
“คุณแม่รู้จักบ้านพักคนชราที่นั่นเหรอครับ” หัสยุทธถาม
“อะไรนะคะ คุณป้าจะไปอยู่บ้านพักคนชราเหรอคะ บุษไม่ให้ไปนะคะ ถ้าคุณป้าไป คุณหัสจะอยู่ได้ยังไงคะ”
เหมือนเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงก่อนหมุนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง กิริยาอาการของบุษบงกชไม่ต่างจากหัสยุทธเลย เพียงแต่เธอยังไม่ร้องไห้ คุณหมอลุกขึ้นแล้วเดินไปทางด้านหลังเก้าอี้ของหัสยุทธ เธอฉุดข้อมือของเขาเพื่อให้เดินตามออกไปคุยกันด้านนอกของห้อง ทุกคนทำหน้างงงัน ยกเว้นละอองดาวกับพิมพ์กมลที่ยังสนใจบ้านแสงเย็นอยู่ เธอจึงตั้งใจคุยอย่างจริงจัง
“มันเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายของคนที่ เอ่อ…”
“ใช่ค่ะ คนที่เตรียมตัวตาย”
“ตอนนี้ดิฉันมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่นั่น แล้วอีกสองคนที่เป็นสาวโสดก็มีแผนที่จะไปอยู่ที่นั่นเหมือนกัน โอ้ แล้วทำไมคุณละอองดาวถึงไม่อยากอยู่กับหลานล่ะคะ ไม่อยากเห็นลูกของสารวัตรเหรอคะ”
“เห็นได้นี่คะ อุดรฯ ไม่ไกลสักหน่อย”
“แล้วสารวัตรยอมเหรอคะ”
“กว่าจะยอมก็น้ำหูน้ำตาไหลมาแล้วค่ะ ดิฉันผิดเองที่เพิ่งบอกเขาทั้งที่เตรียมตัวมานานพอสมควรแล้ว”
“เดี๋ยวๆ นี่คุยเรื่องอะไรกัน เล่าให้ผมฟังด้วยสิ”
ชนกานต์ท้วง แต่ธีรวุฒิเห็นว่าฝ่ายหญิงคงขี้เกียจเล่ารายละเอียดจึงขออาสาเล่าให้บิดาฟังแทน
“บ้านแสงเย็น เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการแพทย์นิดหน่อยครับ เนื่องจากเจ้าของเป็นหมอ ท่านมีไอเดียว่าจะทำแหล่งพักพิงสุดท้ายสำหรับคนสูงอายุที่มีกำลังทรัพย์พอสมควร เหมือนบ้านพักคนชราของเอกชนนั่นแหละครับ เมื่อยี่สิบปีก่อนท่านได้ช่วยเหลือชาวบ้านที่ต้องการขายที่ดินแปลงใหญ่ ท่านรับซื้อไว้ในราคาที่ไม่แพงมากนัก แต่สิบปีต่อมาที่ดินถูกพัฒนาจนมีราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว ท่านเลยคิดทำธุรกิจนี้หลังเกษียณ อาจารย์หมอท่านนี้เคยสอนผมด้วยครับ”
“แล้วเตรียมตัวตายคืออะไร ฟังดูน่ากลัว”
แพรอรยิ้มแล้วช่วยสามีตอบ “ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ มันหมายถึงการมีชีวิตที่มีความสุข ไม่เป็นภาระของลูกหลานในตอนใกล้ตายน่ะค่ะ ซึ่งคนที่ไปอยู่ในบ้านแสงเย็นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่ไม่มีครอบครัวนะคะ ผู้สูงอายุบางรายก็ยินดีที่จะเข้าไปอยู่เพราะไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาคอยดูแลในตอนที่ตัวเองต้องนอนติดเตียง แถมในนั้นมีทั้งเพื่อน ทั้งกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย แล้วยังมีแพทย์ พยาบาลคอยดูแลเรื่องสุขภาพอย่างใกล้ชิดด้วย เป็นสถานที่ที่ดีเชียวค่ะ เพียงแต่ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายก้อนโตไว้สักหน่อย”