วันนี้ภายในบ้านหลังใหญ่ของขจรกลายเป็นที่ประชุมชั่วคราวสำหรับสมาชิกพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งของประเทศ โดยเจ้าของบ้านได้เชื้อเชิญสมาชิกพรรคบางส่วนซึ่งเคารพนับถือกันตั้งแต่สมัยตนเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาพูดคุยกันถึงความหวัง ความฝัน และอุดมการณ์ที่จะสร้างมันขึ้นมาร่วมกันผ่านการทำงานในระบบพรรคการเมือง ส่วนใหญ่บุคคลเหล่านี้เป็นนักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ และข้าราชการ แม้ตัวขจรเองจะไม่ได้เสนอตัวเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาใช้อำนาจและการบังคับบัญชาผ่านปราบอรินทร์ บุตรชายซึ่งคอยเป็นคนทำงานเบื้องหน้าแทนพ่อ ขจรใช้เงินส่วนตัวไปเป็นจำนวนมากเพื่องานการเมืองของบุตรชาย ดังนั้นเขาย่อมหวังผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมวันนี้จึงรับฟังชายผู้อยู่เบื้องหลังอย่างตั้งใจ…
“หลังจากงานเลี้ยงเพื่อระดมทุนของพรรคสิ้นสุดลง คณะกรรมการบริหารพรรคจะเห็นว่าท่อน้ำเลี้ยงใหญ่มาจากฝั่งของเรา ดังนั้นเราต้องใช้โอกาสนี้เพื่อต่อรองตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรค รวมถึงการวางคนของเราเข้าไปชิงที่นั่งผู้สมัคร ส.ส. ในแต่ละเขตด้วย”
“รูปแบบของงานจะเป็นการประมูลของมีค่าใช่ไหมครับท่าน”
“ใช่ ผมบริจาคเครื่องเพชร แจกันโบราณ กับภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินชาวฝรั่งเศสไป หวังว่าจะได้เงินมากพอ”
“ถ้าให้ประมาณตัวเลขคร่าวๆ คงได้ไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่ มันจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้สนับสนุนการทำงานของพรรค เพราะฉะนั้นเรื่องที่ท่านหวังไว้ก็คงจะเป็นไปได้ไม่ยากครับ” คนช่างประจบรีบบอก
“ยังไงก็ต้องฝากทุกคนให้ผนึกกำลังกันไว้ให้ดี ช่วยเป็นกองหนุนให้ปราบอรินทร์ด้วย”
“แน่นอนครับท่าน เราก็ไม่เห็นใครที่จะเหมาะสมมากไปกว่าคุณปราบแล้วครับ อีกไม่กี่ปีคงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคอย่างแน่นอน”
“จุ๊ๆๆ” แม้จะจุปากห้าม แต่สายตากลับแสดงออกถึงความยินดีในคำเยินยอนั้น “อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนกันไป ปราบเพิ่งเริ่มงานทางการเมือง ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า”
“แหม มีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษาดีๆ อย่างนี้ ยังไงตำแหน่งนั้นก็ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ”
ทุกคนหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น บุตรชายของขจรยิ้มน้อยๆ ให้ทุกคนรอบโต๊ะด้วยใบหน้าอิ่มเอม ทุกอย่างถูกปูทางให้เขาไว้หมดแล้วตั้งแต่เขายังศึกษาอยู่ เขาแค่เดินตามทางที่พ่อบอก แค่นี้ก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้นอนาคตที่สดใสได้ ปราบอรินทร์เป็นหนุ่มนักเรียนนอกที่บิดาวางแผนการศึกษาให้เขาตั้งแต่ต้นเพื่อลงเล่นการเมืองโดยเฉพาะ เขาเรียนกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถจบมหาวิทยาลัยเอกชนมาได้ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยไม่มีใครสนใจถามผลการเรียนของเขา เพราะสื่อต่างๆ ในหน้าสังคมได้ให้สมญานามเขาไปแล้วว่า ‘นักการเมืองหนุ่มหน้าหยก’ ทุกคนจึงพุ่งความสนใจไปที่หน้าตา ชาติตระกูล ทรัพย์สินเงินทอง และโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าคนอื่นแทน
“ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละเวลามาพูดคุยกันในวันนี้ แล้วเจอกันอีกครั้งในงานเลี้ยงนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ”
ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนแล้วยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ขยับรถวีลแชร์ไฟฟ้าก่อนหน้า จากนั้นขจรก็หันไปทางผู้ช่วยร่างใหญ่ของเขา ชายคนนั้นพยักหน้ารับแม้เพียงสบสายตากัน ผู้ช่วยหันหลังออกไปแล้วกลับเข้ามาในห้องประชุมชั่วคราวอีกครั้งพร้อมด้วยชั้นวางของที่มีล้อหมุน ซึ่งบนนั้นมีถุงหูหิ้วสีขาววางอยู่เท่าจำนวนคนในห้องประชุม ขจรหันมายิ้มให้ทุกคนก่อนบอก
“นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผมนะ รับไปไม่ต้องคิดอะไรมาก”
ทุกคนยิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ขจรอีกครั้ง จากนั้นปราบอรินทร์ก็เข็นรถให้บิดาของเขาออกจากห้องไป ปล่อยให้ผู้ช่วยของพ่อเป็นคนมอบของขวัญให้แขกทุกคนเอง ดูเหมือนภายในถุงนั้นจะเป็นของกำนัลที่มีมูลค่ามากพอดู เพราะเมื่อทุกคนได้รับมาแล้วต่างก็ร้องอู้หูด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อขจรลงทุนไปมากเท่าไรเขาย่อมหวังผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น คนที่ยอมรับของกำนัลจากเขาในวันนี้ก็ต้องเป็นแขนขาให้เขาตลอดไปจนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายปล่อยคนเหล่านี้ไป การให้ในครั้งนี้ก็เป็นอามิสสินจ้าง สำหรับขจรมันเป็นการวางกับดักไว้รอให้ผู้โชคร้ายเดินเข้ามาในบ่วงแร้วด้วยตัวเอง