การใช้ชีวิตสันโดษเหมาะสำหรับคนอย่างนรบดี ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวเขาแทบจะไม่ใช้ตัวตนที่แท้จริงติดต่อกับใครเลย อดีตนายตำรวจมักสั่งสินค้าอุปโภคและบริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกน้องที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทที่ไม่เคยรู้ประวัติส่วนตัวของเขามาก่อน ทุกคนรู้เพียงว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าและส่งออกอุปกรณ์เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เท่านั้น
นรบดีได้ดัดแปลงโกดังเก่าในย่านคลองเตยให้เป็นอาคารขนาดย่อม โดยได้รวมชีวิตส่วนตัวและการทำงานไว้ในสถานที่เดียวกัน เขาออกแบบสถานที่เป็นสไตล์ลอฟต์ (Loft) โดยเป็นอาคารที่ได้ผสมผสานปูนเปลือยเข้ากับโครงเหล็กหนา เพดานสูง และห้องพักส่วนตัวที่แยกตัวออกมาด้านข้างของอาคารสำนักงานนั้นก็ถูกตกแต่งในสไตล์เดียวกันด้วย
ชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นตรงหัวคิ้วกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาเบดและดูแผนผังอะไรบางอย่างในมือ เขาใช้นิ้วไล้ลงบนแผ่นกระดาษช้าๆ เหมือนกำลังใช้จินตนาการไปยังสถานที่จริง นรบดีชอบวางแผนการทำงานตามลำพัง เขามีทีมก็จริงแต่ทีมมีหน้าที่รับฟังคำสั่งจากเขาเท่านั้น ทุกคนจะเป็นเพียงมือเท้าให้กับเขา ส่วนสมองมีเขาคนเดียวที่จัดการทุกอย่างได้ถูกใจศิวากร
บริษัทที่นรบดีมีชื่อเป็นเจ้าของอยู่นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่มันดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายจริง และในไม่ช้าบริษัทก็จะจัดงานใหญ่เพื่อโปรโมตสินค้าและธุรกิจของตนให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น พวกเขามีแผนธุรกิจที่จะขยายไปที่กลุ่มวัยรุ่น โดยเฉพาะพวกที่ชอบเล่นเกมออนไลน์ นรบดีจึงกำลังเตรียมการเรื่องนี้อยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนที่กำลังจดบันทึกลงไปในแผนผังว่าควรจะตั้งซุ้มสินค้าอะไรไว้ตรงจุดไหนบ้าง เขาเหลือบมองมือถือที่วางอยู่ข้างตัว เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เรียกสายเข้ามาเขาก็ตัดสินใจรับ แม้ไม่กระตือรือร้นแต่ก็พอจะแบ่งเวลาให้ได้
“ฮัลโหล”
“มีข่าวมารายงานนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร…”
“เมื่อเช้าในห้องประชุม ทีม NIC ส่งรายงานบางอย่างเข้ามาให้หัวหน้าของพวกเขา”
“รายงานอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเจ้าหัสดูมันอย่างสนใจ นายว่าจะเกี่ยวกับพวกเราไหม”
“แล้วนายคิดว่าเป็นเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เกี่ยวกับเครือข่าย เอ่อ ของเรา”
นรบดีแสยะยิ้ม “ฉันไม่มีเครือข่ายนะ ถ้านายมีก็อย่าใช้คำว่า ‘ของเรา’ เพราะฉันไม่เกี่ยว”
“อย่าทำอย่างนี้น่า ฉันหาข้อมูลให้นายก็หลายเรื่อง”
“ใช่ แต่นายทำเพื่อตัวเอง ไม่เห็นจะเกี่ยวกับฉัน”
เสียงหายใจฟึดฟัดอย่างขัดใจดังเข้ามาในสาย คนทางนั้นไม่พอใจคำตอบของนรบดีแน่ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการแสดงออกทางน้ำเสียง
“ถ้านายไม่รู้ว่าเอกสารนั้นเป็นอะไรแล้วนายจะกังวลทำไม”
“ก็มันทำท่าว่าสำคัญ นายไม่กลัวรึไง NIC มันมีข้อมูลเยอะจะตายไป ถ้าพวกมันสืบได้ว่าพวกเราเล่นงานท่านกัมปนาท มันต้องจัดการเราแน่”
“จัดการยังไง”
“นี่นายอย่าพูดจาเห็นแก่ตัวแบบนั้นสิ มันไม่สวยนะ นายลาออกไปแล้วแต่ฉันยังอยู่นะโว้ย ถ้าฉันโดนบีบให้ออกจากตำรวจ ฉันก็ซวยน่ะสิ”
“ฟุ้งซ่าน…มันจะไม่มีใครรู้จักเรา ถ้านายไม่ปอดแหกไปยอมรับกับคนอื่นซะก่อน”
“ใครจะโง่ไปยอมรับวะ”
“ฉลาดบ้างก็ดี”
“ไอ้นี่…”
“อย่าเพิ่งโมโห เล่าต่อซิว่ามันได้เอกสารมาแล้วมันทำอะไรต่อ”
“ก็ไม่เห็นจะทำอะไร มันก็หันไปซุบซิบกับไอ้โอบ แล้วตอนประชุมก็รายงานเรื่องการปฏิบัติงานของ NIC ตามปกติ”
“อื้ม…นายบอกเองว่าไม่มีอะไร งั้นก็ไม่ต้องกังวล แค่นี้ใช่ไหม”
“เอ่อ ใช่”
“ขอบใจที่โทรมาบอก พยายามทำตัวให้ปกติ แค่นี้ก็จะไม่มีใครรู้จักหรือสงสัยนายแล้ว เข้าใจไหมพันฤทธิ์”
“เออ”
นรบดีวางหูก่อนพันฤทธิ์ เขาค่อนข้างเบื่อคนที่อ่อนไหวเกินไป นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ชอบทำงานร่วมกับใคร การคอยรับอารมณ์ของเพื่อนร่วมทีมไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ในกรณีนี้คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังจำเป็นสำหรับเขาอยู่ อย่างน้อยคนพวกนี้จะคอยเป็นหูเป็นตาให้กับเขา หัสยุทธเองเป็นหมากที่ควบคุมและคาดเดาได้ยาก ในความเป็นจริงเขาก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอดีตเพื่อนร่วมรุ่นคนนี้อยู่เหมือนกัน