“ศิวากร-ขจร-พุฒิสรรค์” วุฒิภาศอ่านชื่ออดีต ผบ.ตร. ที่เห็นในแต่ละกล่องนั้น “ท่านศิวากรนี่เกษียณไปนานมากแล้วนะครับ หลังจากเกษียณยังไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจกับธนาคารอีกหลายแห่งด้วย แต่ปัจจุบันก็ยังมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือท่านอยู่มาก”
“ในยุคของท่านมีคนใกล้ชิดมากมายที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อท่านหมดอำนาจไปคนพวกนั้นก็แทบจะหายไปด้วย เห็นได้ชัดมากในตอนที่ท่านขจรขึ้นดำรงตำแหน่ง คนที่เคยทำงานใกล้ชิดท่านศิวากรถูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดแทบทั้งนั้นเลยครับ”
“อืม” หัสยุทธพยักหน้า “การขึ้นเป็นผู้นำต้องมีบริวารอยู่ข้างตัว ถ้าคนไหนเขาไม่ไว้ใจก็จำเป็นต้องเอาออกไปให้ห่างที่สุด นายเก่งมากที่จับประเด็นเรื่องนี้ได้รุสก์”
“ขอบคุณครับ” ปารุสก์ยิ้มเขิน “แล้วความสัมพันธ์ของบุคคลในแต่ละกลุ่มยังถูกเชื่อมโยงด้วยโครงการต่างๆ มากมายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับ นั่นหมายถึงเม็ดเงินก้อนโตที่ถูกเบิกจ่ายไปเพื่อโครงการเหล่านั้นด้วย บางโครงการตัวเลขสูงมากจนผมตกใจ…”
“แต่ละปีมีการตั้งงบประมาณไว้เป็นพันล้าน ถ้าคนขออนุมัติกับคนเซ็นอนุมัติเป็นพวกเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณก็จะทำได้ง่ายขึ้น” หัสยุทธถอนใจ “ทีนี้ลองเอาเรื่องของท่านกัมปนาทแทรกเข้ามาในประเด็นที่เรากำลังคุยกันอยู่ซิ พวกนายเห็นอะไรบ้าง”
วุฒิภาศ อาสดา ปารุสก์ยังมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างคนที่กำลังใช้สมองอย่างหนัก แต่กับโอบเกียรติกลับมีแต่แววตาใส เขาไม่เข้าใจว่าพวก NIC กำลังทำอะไรอยู่
“อาฉันทำไม”
“ใช่! ถ้าท่านกัมปนาทเจริญรุ่งเรืองในยุคนี้ สามารถเข้านอกออกในทุกหน่วยงาน แล้วยังมีอำนาจสั่งการคนไปทั่วอีก งั้นก็แสดงว่าท่านเป็นคนของ ผบ.ตร. คนนี้” อาสดาสรุป
“ท่านพุฒิสรรค์…แม้จะมีบทลงโทษกับความผิดที่ได้ทำลงไป แต่ก็ไม่ถึงกับเอาท่านกัมปนาทออกจากราชการ ที่เจ้าอาสพูดมาก็มีเหตุผล” วุฒิภาศเห็นด้วย
“ยังมีอีกเรื่องครับ แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าจะบอกดีไหม มันไม่ค่อยจะชัวร์ ถ้ารอให้มีการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนต่อไปก่อน บางทีมันอาจจะช่วยตอบข้อสงสัยของผมได้”
“ว่ามารุสก์ อย่ารำพันคนเดียว” หัสยุทธกระตุ้นเตือนคนที่เอาแต่พึมพำ
“เอ่อ ผมว่าคนในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้สลับกันขึ้นครองตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ”
“สลับกันแบบสม่ำเสมอไหม”
“นั่นแหละครับที่ผมบอกว่าไม่มั่นใจ คือถ้านับตั้งแต่ช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลุ่มพวกเขาทั้งหมดก็ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. กันครบแล้ว หากเรารู้ว่าคนต่อไปเป็นคนของใคร ผมก็อาจจะสรุปเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น”
“แล้วไง ไม่เข้าใจ” โอบเกียรติยอมรับ
“ทฤษฎีสมคบคิด ผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชันเชิงนโยบาย การเมืองในหน่วยงานตำรวจ แกเติบโตมากับเรื่องพวกนี้นะไอ้โอบ”
“คืออะไร คือการที่ฉันเกิดมาเป็นลูกตำรวจงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงสถาบันตำรวจที่แกรู้จักตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ รุ่นพ่อ จนถึงรุ่นของแกนี่แหละ เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นนานจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว สถาบันของเรานอกจากจะแบ่งเป็นชั้นแล้วยังถูกหั่นเป็นกลุ่มก้อนด้วย คนที่อยากเติบโตไวก็ต้องเลือกอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง”
“มันก็เรื่องปกติมั้ยวะ”
“ถ้าแกเป็นส่วนหนึ่งของระบบพวกนั้นมันก็คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าแกเป็นคนนอกล่ะ ถ้าแกไม่ได้อยู่ข้างใครเลย มันจะยุติธรรมไหมหากทรัพยากรขององค์กรจะตกไปเป็นของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่งบประมาณของสถาบันตำรวจควรจะได้รับการบริหารและจัดการเพื่อผลประโยชน์สูงสุดเพื่อประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อพวกพ้องของตัวเอง”
โอบเกียรตินิ่ง ชีวิตของเขาสุขสบายเกินไปจนไม่มีโอกาสคิดถึงความยากลำบากของคนอื่น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องผิดแต่มันก็น่าละอายถ้าจะปฏิเสธว่าสิ่งที่หัสยุทธพูดถึงนั้นไม่เป็นความจริง เขาสลดลงไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงมีคำถามต่อ
“แล้วแกแบ่งกลุ่มเพื่ออะไร”
“จับตัวคนที่คิดจะจัดการฉัน ต้องหาตัวมันให้เจอก่อนที่มันจะลงมือทำอะไรอีก”
โอบเกียรติขยับเก้าอี้เข้าใกล้หัสยุทธ “นี่จริงจังหรือพูดเล่น”