วันที่แปดเดือนสิบสองนี้ แม้แต่ของหวานในหอไป่เป่าก็ยังเป็นขนมที่ทำจากธัญญาหารจำพวกถั่วหลากชนิด อวิ๋นจ้าวชิมไปสองชิ้น รสชาติสมกับเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมานับร้อยปี อาหารและขนมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ไม่เคยทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าชอบกินขนมพวกนี้ กินให้มากหน่อยล่ะ” ซ่งโหย่วเฉิงยกตะเกียบคีบขนมอบให้นางอีกชิ้น แล้วกล่าวว่า “ข้าก็ไปลิ้มลองอาหารร้านโน้นร้านนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อดูว่ามีอาหารแปลกใหม่บ้างหรือไม่”
“มิน่าเล่าท่านถึงไปหาข้ากับลู่อู๋เซิงอยู่บ่อยๆ” อวิ๋นจ้าวกัดขนมอบเต็มคำ รสชาติหวานละมุนกระจายทั่วปาก รอเขารินน้ำชาให้แล้ว นางก็รู้สึกสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง
ประโยคนี้ของซ่งโหย่วเฉิงฟังแล้วผิดปกติยิ่งนัก
นางช้อนตาขึ้นมองเขา เห็นว่าบุรุษตรงหน้ามีแววตากระตือรือร้น แฝงด้วยความเร่าร้อนอย่างบอกไม่ถูก มองเสียจนโคมไฟในสมองนางส่งเสียง ‘ฟู่’ ฉับพลันก็สว่างวาบ ขนมอบที่ค้างอยู่ในลำคอกลืนยากขึ้นมาทันที เหตุใดนางถึงได้โง่งมเช่นนี้ ซ่งโหย่วเฉิงผู้นี้ชอบนางอยู่แน่นอน!
เขาเป็นสหายร่วมสำนักของลู่อู๋เซิง นับว่ารู้จักกับนางมานานกว่าแปดปีแล้ว เวลาออกไปท่องเที่ยวกัน ฤดูร้อนเขาก็จะมีร่มมาเผื่อ ฤดูหนาวเขามีเตาอุ่นเล็กๆ มาให้ ที่ใดมีอาหารเลิศรสก็จะรีบมาบอกนางอยู่เสมอ ออกเดินทางไปเรียนหนังสือต่างเมืองก็มักจะนำของเล่นท้องถิ่นที่น่าสนใจมาฝาก
นางนับถือเขาเสมือนเป็นพี่ชายมาโดยตลอด และคิดว่าในสายตาเขา นางก็คือน้องสาวหรือไม่ก็เป็นสหายสนิทผู้หนึ่ง แต่มาวันนี้นางไม่ใช่สาวน้อยอีกแล้ว แววตาประเภทนี้เพียงแวบเดียวนางก็มองได้ทะลุปรุโปร่ง
พอคิดว่ารับน้ำใจจากเขาโดยไม่รู้ตัวมานานหลายปี ความรู้สึกในใจอวิ๋นจ้าวจึงผสมปนเปกันไปหมด ขนมอบค้างอยู่ที่ลำคอ ทำอย่างไรก็กลืนไม่ลงแล้วจริงๆ
ซ่งโหย่วเฉิงเห็นสีหน้านางไม่ค่อยดี จึงกระซิบถามว่า “เป็นอะไรไป แม่นางอวิ๋น”
“ไม่มีอะไร” อวิ๋นจ้าวรู้แก่ใจดีว่าไม่อาจมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขา นางอยากแต่งงานกับลู่อู๋เซิง เช่นนั้นก็ไม่ควรสนิทกับสหายของเขาจนเกินพอดี มิฉะนั้นจะไม่เหลวไหลไปกันใหญ่หรือ นางจิบน้ำชาคำหนึ่งพอให้คล่องคอก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายังต้องไปไหว้พระที่วัดกับท่านย่าอีก ต้องขอตัวก่อนแล้ว”
ซ่งโหย่วเฉิงรีบเอ่ยว่า “แต่เจ้ายังไม่ได้ชิมอาหารเลิศรสเลย”
“ไม่กินแล้ว” อวิ๋นจ้าวกำลังจะจากไป หางตาก็เหลือบไปเห็นเขามีสีหน้าเศร้าหมอง คล้ายอยากจะเอ่ยแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา จึงคิดว่าจากไปทั้งแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับจงใจหลบเลี่ยงเขา เหมือนตัดบัวแล้วยังเหลือใย ไม่สู้ดาบเดียวขาดสะบั้น อย่าให้เขามีความคิดฟุ้งซ่านต่อไปอีกจะดีกว่า
ซ่งโหย่วเฉิงเห็นนางยอมนั่งต่อก็รู้สึกดีใจ จิตใจที่ว้าวุ่นถูกนางฉุดรั้งขึ้นลงได้อย่างง่ายดาย รูปโฉมไม่จัดว่าหล่อเหลาโดดเด่นยามนี้กลับมีดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ อวิ๋นจ้าวมองหน้าเขาและตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “คุณชายซ่ง ความจริงข้าไม่อยากไปวัดกับท่านย่าหรอก แต่ข้าอยากไปหาลู่อู๋เซิงมากกว่า”
ซ่งโหย่วเฉิงชะงักงัน “ข้านึกว่าแม่นางอวิ๋นจะแตกต่างจากสตรีบ้านอื่นเสียอีก เจ้าเคยบอกเอาไว้ว่าเจ้าไม่ชอบบุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุ ต้องการคนที่เป็นอย่างท่านพ่อของเจ้า แต่ไม่คิดเลย ทั้งที่พี่ลู่แอบมีความสัมพันธ์กับสตรีอื่นแล้ว เจ้าก็ยังไม่ถือสา ยังคิดจะกลับไปหาเขา?”
“เรื่องนี้จะต้องมีความเข้าใจผิดเป็นแน่” อวิ๋นจ้าวตอบ “ข้าถึงอยากไปถามเขาตรงๆ ให้รู้เรื่อง”
ซ่งโหย่วเฉิงแสดงสีหน้ารังเกียจทันที “แต่เขาตอบจดหมายเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ บอกว่าไม่ชอบให้เจ้าเข้ามาพัวพันวุ่นวาย ต้องการจะตัดสัมพันธ์ หากวันนี้เจ้ายังไปหาเขาอีก คิดจะย่ำยีศักดิ์ศรีของตัวเองไปถึงไหนกัน”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกตกใจอยู่บ้าง นางพอรู้ว่าซ่งโหย่วเฉิงมีนิสัยอย่างไร เขาเป็นคนขี้อาย ไม่เคยพูดจาหยาบคาย ทว่าวันนี้เขาแตกต่างจากซ่งโหย่วเฉิงที่นางรู้จักโดยสิ้นเชิง นางเข้าใจอีกเรื่องแล้ว นี่คงเป็นความอิจฉาและหึงหวงกระมัง
“มีบางเรื่องที่ข้าไม่สะดวกจะพูดกับท่าน แต่ว่าข้าเชื่อใจเขา ทั้งหมดนี้จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่” อวิ๋นจ้าวเห็นว่าเวลาไม่คอยท่า นางต้องไปไหว้พระที่วัดวั่นซานกับท่านย่าแล้ว จึงลุกขึ้นขอตัวกลับ ก่อนจะเดินจากมาก็เห็นสีหน้าซ่งโหย่วเฉิงทั้งบึ้งตึงและจนใจ นางเองก็รู้สึกผิด ต้องโทษที่ไม่เคยสังเกตว่าเขาชอบนางมาก่อน จึงไม่ได้ตัดความคิดฟุ้งซ่านของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ
ใครใช้ให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในสายตาของนางมีแต่ลู่อู๋เซิงคนเดียว จนมองไม่เห็นความดีของคนอื่นกันเล่า
เมื่อเดินออกมาจากหอไป่เป่า เห็นว่าใกล้ได้เวลาไปวัดกับท่านย่าแล้ว นางคงไปหาเขาไม่ทัน ยิ่งนางไม่รู้ว่าเขาออกจากบ้านไปที่ใดด้วย อย่างไรก็กลับบ้านไปก่อน ไปวัดวั่นซานกับท่านย่าดีกว่า รอให้ไหว้พระเสร็จแล้ว ค่อยมาหาเขาอีกครั้ง