บทที่หนึ่ง
อูอีเสวี่ยยืนอยู่บนที่สูงริมหน้าผาก้มลงมองหุบเหวลึกที่เต็มไปด้วยอันตราย หน้าผาที่นางยืนอยู่แห่งนี้มีชื่อเรียกที่ทำให้คนได้ยินแล้วขวัญหนีดีฝ่อว่า ‘หน้าผามัจจุราช’
หน้าผามัจจุราชตั้งอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาหุบปีศาจ เทือกเขาหุบปีศาจมีภูมิลักษณ์สูงชะโงกเงื้อมเต็มไปด้วยอันตราย มีโขดหินและป่าตัดสลับกัน สายน้ำคดเคี้ยววกวน ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนอยู่อาศัยบางตา ในเทือกเขาหุบปีศาจ หน้าผามัจจุราชนับว่ามีชัยภูมิที่อันตรายมากที่สุด สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งร่องรอยของนกและสัตว์เดินเท้า ไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกขึ้นมาแม้แต่ชุ่น เดียว ปีนขึ้นที่สูงมองลงไปมืดครึ้มไม่เห็นก้นเหว ประหนึ่งปากทางเข้าสู่แดนนรก เป็นที่มาของชื่อผาแห่งนี้
ในเทือกเขาหุบปีศาจมีแดนสุขาวดีอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อ ‘หุบเขาหมื่นบุปผา’ ที่มีชื่อเรียกเช่นนี้เพราะมีบุปผานานาพรรณผลิบานสะพรั่ง มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่สามร้อยกว่าคน อูอีเสวี่ยประมุขหุบเขาวัยเยาว์ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งได้สามเดือนมีอายุเพียงแค่สิบหกปี
เจ็ดวันก่อน สำนักใหญ่ต่างๆ ในยุทธภพได้ผนึกกำลังกันบุกเข้าโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผาโดยอ้างว่าต้องการจะขับไล่พรรคมาร และเมื่อสามวันก่อน ปากทางเข้าหุบเขาถูกตีแตก อูอีเสวี่ยฝ่าวงล้อมออกมาภายใต้การคุ้มกันของผู้คุมกฎทั้งสี่ หนีตายจนมาถึงหน้าผามัจจุราช
นางยืนอยู่ริมหน้าผามัจจุราช ดวงตางามคู่นั้นจับจ้องไปที่ด้านล่าง ไม่ว่านางจะพยายามมองอย่างไรก็มองไม่เห็นความลึกของก้นเหว
ลมภูเขาพัดเส้นผมดำของนางปลิวสยาย แสงสุดท้ายยามเย็นส่องกระทบโครงหน้างดงามไร้ราคีของเด็กสาว สะท้อนองคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าที่ประณีตงดงามราวกับหยกสลัก
ช่องเขาแห่งนี้อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก เนื่องจากถูกภูเขาสูงบดบัง แสงอาทิตย์จึงส่องถึงเพียงไหล่เขา ในหุบเขาอบอวลไปด้วยหมอกหนาบดบังสายตาโดยสิ้นเชิง เห็นเพียงความมืดมิด จนทำให้คนอดขนลุกขนพองขึ้นในใจไม่ได้
อาจารย์ไม่ได้หลอกนางกระมัง
กระโดดจากตรงนี้ลงไปไม่ตายจริงหรือ
อูอีเสวี่ยหวนนึกถึงคำสั่งกำชับของอาจารย์ด้วยความอกสั่นขวัญหาย…
‘นางหนูเสวี่ยจำไว้ ถ้าศัตรูโจมตีเข้ามา เจ้าจะต้องพาผู้คุมกฎทั้งสี่กระโดดหน้าผามัจจุราช รักษาชีวิตเอาไว้ อย่าได้ดึงดันสู้ตายกับพวกเขาเป็นอันขาด กระโดดหน้าผาคือทางรอดเพียงทางเดียว เข้าใจหรือไม่’
อูมู่ฉินคืออาจารย์ของนาง และเป็นอดีตประมุขของหุบเขาหมื่นบุปผา ก่อนถึงแก่กรรมได้สั่งกำชับนางเป็นพิเศษด้วยคำพูดเหล่านี้
อูอีเสวี่ยแม้จะแปลกใจ แต่ยังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ‘ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์’ พร้อมกันนั้นก็ถามด้วยความอยากรู้ ‘อาจารย์ เพราะเหตุใดสำนักใหญ่ต่างๆ ต้องโจมตีเรา’
‘เพราะพวกเขาโอ้อวดตนว่าเป็นฝ่ายธรรมะ และเชื่อข่าวลือในยุทธภพ เห็นว่าเราเป็นพรรคมาร’
‘อาจารย์ ในเมื่อเป็นข่าวลือ เหตุใดเราไม่ส่งคนไปชี้แจงกับพวกเขา’
ความไร้เดียงสาของลูกศิษย์ทำให้อูมู่ฉินยิ้มด้วยความเอ็นดู นางลูบไล้ใบหน้านุ่มนิ่มของลูกศิษย์
‘เด็กโง่ ถ้าเพียงขยับปากก็สามารถสลายความเข้าใจผิดได้ ในยุทธภพก็คงไม่มีเรื่องวุ่นวายมากเพียงนี้แล้ว เจ้าต้องเข้าใจ บนโลกนี้คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด คนหูหนวก ตาบอด ใจบอดยิ่งมีมากดุจปลาจี้ข้ามแม่น้ำ คำพูดประโยคหนึ่งพูดออกไป คนร้อยคนฟังแล้วย่อมตีความหมายไปร้อยอย่าง และที่เราทำได้ก็คือไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เขาเขียวยังคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา ที่เรารักษาไว้คือเจตจำนงของหุบเขาหมื่นบุปผา ไม่ใช่หุบเขาแห่งนี้ ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนหุบเขาหมื่นบุปผาก็ยังคงอยู่ เข้าใจหรือไม่’
อูอีเสวี่ยดวงตาสุกใสแวววาว ผงกศีรษะ ‘เจ้าค่ะ ศิษย์เข้าใจแล้ว’
นางเชื่อในคำพูดของอาจารย์อย่างไม่สงสัย แต่นางไม่รู้ว่าอาจารย์บอกเรื่องต่างๆ กับนางมากเพียงนั้น กลับไม่ได้บอกนางเพียงเรื่องเดียว นั่นคือจุดประสงค์แท้จริงที่คนเหล่านั้นมาโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา
นางอาลัยอาวรณ์อาจารย์ดุจลูกที่รักและเคารพพ่อแม่ รอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมงดงามของอาจารย์ในตอนนั้นประทับตราตรึงอยู่กลางใจของนาง หลังจากนั้นอาจารย์ถึงแก่กรรมลง ผู้เฒ่าผู้คุมกฎทั้งสี่ก็ถึงแก่กรรมตามไป นางขึ้นสืบทอดตำแหน่งประมุขหุบเขา ผู้คุมกฎหนุ่มสาวสี่คนก็ขึ้นสืบทอดตำแหน่งแทนผู้คุมกฎคนก่อน และได้สาบานว่าแม้ตายก็จะปกป้องประมุขหุบเขาคนใหม่
หลังจากนั้นสามเดือน สำนักต่างๆ ในยุทธภพจากทางเหนือและทางใต้ รวมทั้งกองกำลังทหารจากราชสำนัก แบ่งเป็นสามทางบุกเข้ามาทางตะวันตกและเข้าโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้คนในหุบเขาหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง อูอีเสวี่ยประมุขคนใหม่พาผู้คุมกฎทั้งสี่ทำตามคำสั่งเสียของอาจารย์ หลอกล่อศัตรูมาที่หน้าผามัจจุราช แผนการหลบภัยมีดังนี้…
แผนการที่หนึ่ง ศัตรูมากเราน้อย อาศัยภูมิลักษณ์ที่ขรุขระสูงๆ ต่ำๆ ของเทือกเขาหุบปีศาจหน่วงเหนี่ยวการรุกโจมตีของศัตรู คัดกรองศิษย์ในสำนักที่วิชาตัวเบาไม่ดีจำนวนหนึ่งไปตัดทอนจำนวนคนของศัตรู
แผนการที่สอง เข้ามาในเทือกเขาก็ไม่ต่างกับเข้ามาในเขาวงกต อาศัยความได้เปรียบด้านชัยภูมิตัดกำลังของศัตรู ลดการบาดเจ็บล้มตายของฝ่ายเรา ช่วงชิงโอกาสที่จะหนีเอาตัวรอดให้มากขึ้น
แผนการที่สาม กระโดดหน้าผามัจจุราชต่อหน้าศัตรู ถือโอกาสนี้แสร้งตาย หายตัวไปจากยุทธภพ
นี่ก็คือสาเหตุที่อูอีเสวี่ยมายืนอยู่ริมหน้าผามัจจุราชในเวลานี้ ดวงตาทั้งสองของนางจับนิ่งไปยังใต้หุบเหวมืดลึกสลัวมองไม่เห็นก้นบึ้ง ภายนอกนางดูสงบนิ่ง ทว่าความจริงแล้วส่วนลึกในใจยังคงหวาดกลัว
ส่วนผู้คุมกฎทั้งสี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เวลานี้กำลังยุ่งกับการถกยุทธวิธีการทำศึกกันอยู่
“ที่นี่ชัยภูมิสูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย แม้สามารถถ่วงฝีเท้าศัตรูให้ช้าลง แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องไล่ตามทัน” ผู้คุมกฎงูพูดพลางงอนิ้วมือคำนวณว่ายังมีเวลาอีกกี่ชั่วยาม
“ข้างหน้าไม่มีหนทางให้ไปต่อ ข้างหลังมีทหารไล่ตามมา อย่างมากเราก็สู้ตายกับพวกเขา!” ผู้คุมกฎเสือดาวกำหมัด ข้อนิ้วดังกร๊อบ ท่าทางดุดันประหนึ่งจะลากคนลงสู่แดนนรก
“เราตายไม่เป็นไร แต่ท่านประมุขจะทำอย่างไร พวกเราได้สาบานต่ออดีตประมุขไว้ว่าจะปกป้องท่านประมุข” ดวงตาคู่งามของผู้คุมกฎจิ้งจอกขึงตามองพวกเขาปราดหนึ่ง
“ไม่ผิด พวกเราใครก็ตายได้ มีเพียงท่านประมุขที่ไม่ได้ ภาระสำคัญในการกอบกู้หุบเขาหมื่นบุปผาขึ้นมาใหม่อีกครั้งอยู่ที่ท่านประมุขแล้ว” ผู้คุมกฎอินทรีเอ่ยเตือนทุกคนด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็นและควบคุมตนเองได้
ผู้คุมกฎทั้งสี่ที่เฝ้าปกป้องอยู่ข้างกายอูอีเสวี่ยแบ่งเป็นเสือดาว งู จิ้งจอก อินทรี เป็นคำขนานนามของพวกเขา และแสดงถึงแนวทางวรยุทธ์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญ เสือดาวแข็งแกร่งห้าวหาญ งูนุ่มนวลลุ่มลึก จิ้งจอกชำนาญการใช้เสน่ห์เย้ายวนใจ อินทรีสร้างตาข่ายกว้างไพศาล
อูอีเสวี่ยหันไปมองพวกเขาสี่คน ศิษย์พี่ชายสองหญิงสองนี้เติบโตมาด้วยกันกับนางตั้งแต่เด็ก ตอนนางขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขหุบเขา พวกเขาก็รับหน้าที่สำคัญเป็นผู้คุมกฎ เป็นองครักษ์ผู้กล้าตายของนาง ทว่าความลับเรื่องกระโดดหน้าผาอาจารย์บอกนางเพียงคนเดียว ผู้คุมกฎทั้งสี่หาได้รู้เรื่องนี้ไม่ นางไม่เพียงต้องรักษาชีวิตตนเอง ยังต้องรักษาชีวิตของผู้คุมกฎทั้งสี่ ถ้าให้พวกเขารู้ว่านางคิดจะกระโดดหน้าผา ผู้คุมกฎทั้งสี่จะต้องขัดขวางสุดกำลังแน่นอน เช่นนั้นแผนการขั้นต่อไปของนางก็คงทำไม่ได้แล้ว
อาจารย์อยู่ที่เทือกเขาหุบปีศาจมาสามสิบกว่าปี ต้นหญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้น ก้อนหินทุกก้อนภูเขาทุกลูก อาจารย์ล้วนรู้กระจ่างราวนิ้วมือตน รวมถึงหน้าผามัจจุราชที่เต็มไปด้วยอันตรายไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกแม้แต่ชุ่นเดียวแห่งนี้ด้วย
อาจารย์บอกหุบเหวด้านล่างของหน้าผามัจจุราชมองดูแล้วลึกมาก ทว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงเพราะลักษณะพื้นภูมิและดินฟ้าอากาศทำให้เกิดภาพลวงตาว่าลึกมองไม่เห็นก้นเหว ความจริงแล้วภายใต้เมฆหมอกของหุบเหวเป็นทะเลต้นไม้สูงผืนใหญ่ที่หนาทึบและอ่อนนุ่มดุจแพรไหม อาจารย์บอกนางไม่ต้องกลัว วางใจโดดลงไป ไม่ตายแน่ กระโดดหน้าผาคือทางรอดทางเดียว คำพูดประโยคนี้ดังก้องอยู่ในสมองของอูอีเสวี่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านประมุขวางใจ พวกข้าสี่คนแม้ตายก็จะปกป้องท่านประมุข” อูเช่อผู้คุมกฎเสือดาวผู้แข็งแกร่งห้าวหาญ เขาเชี่ยวชาญการโจมตี ลงมืออย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง
“ชัยภูมิที่นี่ป้องกันข้าศึกได้ดี เมื่อเข้ามาในภูเขาแห่งนี้ก็เหมือนเข้ามาในเขาวงกต เราครอบครองชัยภูมิที่ได้เปรียบ สามารถไล่โจมตีศัตรูให้แตกพ่ายไปทีละส่วนได้” อูหลันผู้คุมกฎงูผู้หล่อเหลานุ่มนวลลุ่มลึก เชี่ยวชาญการใช้พิษและลอบโจมตี การเคลื่อนไหวลึกลับซับซ้อน
“ข้าวางค่ายกลมาตลอดทาง ต่อให้ไม่อาจกักพวกเขาไว้ในเขาได้ แต่ก็ตัดกำลังของพวกเขาลงได้” อูหลีผู้คุมกฎจิ้งจอกผู้งามเพริศพริ้งและนิ่มนวล ถนัดวางค่ายกลและใช้เสน่ห์เย้ายวนใจคน
“ข้าจัดการลบรอยเท้าแล้ว ทั้งทำร่องรอยปลอม พอจะหน่วงเหนี่ยวฝีเท้าของพวกเขาไว้ได้” อูเจียงผู้คุมกฎอินทรีผู้สุขุมเยือกเย็นดุจสายน้ำ สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดคือสืบสวน หาเบาะแส และหลบซ่อนตัว
อูอีเสวี่ยฟังแล้วคลี่ยิ้ม อาศัยภูมิลักษณ์ของภูเขาและค่ายกลอาจสกัดกั้นชาวยุทธ์ทั่วไปได้ แต่ไม่อาจขัดขวางยอดฝีมือที่แท้จริงได้ มองผู้คุมกฎทั้งสี่ที่มีท่าทีไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายนานแล้ว นางรู้สึกปลื้มใจ และตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้ว สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงก่อนจะตวาดขึ้น “ผู้คุมกฎทั้งสี่ฟังคำสั่ง!”
พอนางวางมาดของประมุขหุบเขา ผู้คุมกฎทั้งสี่ก็รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “ท่านประมุขโปรดสั่งการ!”
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ทันที ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า!”
ทั้งสี่คนต่างตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ไปจากที่นี่ ความหมายของท่านประมุขก็คือให้พวกเขาหนีเอาตัวรอดไปเอง!
“ท่านประมุข…”
“หุบปาก! ข้ายังพูดไม่จบ!”
ภายใต้คำสั่งของนาง ทั้งสี่จำต้องหยุดปาก
ปกติอูอีเสวี่ยเป็นคนมีนิสัยพูดง่าย แต่นางรู้ว่าในเวลาเช่นนี้ถ้าจะให้ผู้คุมกฎทั้งสี่เชื่อฟัง จำเป็นต้องใช้อำนาจของประมุขหุบเขามาออกคำสั่งพวกเขา
“ตั้งแต่สำนักใหญ่ต่างๆ จับตามองหุบเขาหมื่นบุปผา อาจารย์ก็ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์ในวันนี้ไว้ล่วงหน้าและคิดหาวิธีหลบหนีเอาไว้แล้ว และนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่หน้าผามัจจุราช วันนี้จะหนีรอดไปได้โดยปลอดภัยหรือไม่ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าประมุขผู้นี้หรือไม่ เวลานี้ข้าขอถามพวกเจ้า พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าหรือไม่”
ผู้คุมกฎทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี้ก็ส่งเสียงตอบอย่างไม่ลังเลใดๆ “พวกเราเชื่อมั่นในตัวท่านประมุข แม้ตายก็ไม่สงสัย”
“ดีมาก ในเมื่อเชื่อข้าก็จงฟังคำสั่งข้า พวกเจ้าไม่เพียงต้องรักษาชีวิตเอาไว้ ยังต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะหนีรอดออกไป หลังจากนี้หนึ่งเดือน ไปรวมตัวกันที่เมืองชิงหูที่อยู่ทางตะวันออก ข้าจะติดต่อพวกเจ้าไปเอง เข้าใจหรือไม่”
นางน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางมั่นใจไม่กราดเกรี้ยวทว่าน่าครั่นคร้าม คล้ายว่าทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของนางมาตั้งแต่แรกแล้ว
ผู้คุมกฎทั้งสี่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเริ่มมีความหวัง ที่แท้อดีตประมุขได้เตรียมการไว้แล้ว อดีตประมุขแต่ไรมาวางแผนได้รอบคอบคิดการได้ยาวไกล ในเมื่อนางสั่งกำชับประมุขคนใหม่ไว้แล้วย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน
คิดได้ดังนี้ผู้คุมกฎทั้งสี่ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เสียงตอบรับก็ดังก้องกังวานเป็นพิเศษ
“เข้าใจแล้ว!”
อูอีเสวี่ยหยักยกมุมปากเล็กน้อย ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงดังมาแต่ไกล ทำให้รู้ว่าค่ายกลใกล้จะถูกคนทำลายแล้ว หัวใจนางอดบีบรัดไม่ได้ แต่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง เพียงสั่งการผู้คุมกฎทั้งสี่ “ไม่อาจชักช้า รีบไป! หลังจากนี้หนึ่งเดือนไปเจอกันที่เมืองชิงหู ไม่พบไม่เลิกรา!”
ผู้คุมกฎทั้งสี่แม้จะรับคำสั่ง แต่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องทิ้งประมุขหุบเขาไว้ส่วนตนเองฝ่าวงล้อมออกไป จึงอดมีท่าทีลังเลไม่ได้
อูอีเสวี่ยปั้นหน้าขรึม ตวาดเสียงเฉียบขาด “ยังไม่รีบไป! อย่าทำให้งานใหญ่ต้องเสียหาย!”
ผู้คุมกฎทั้งสี่ไม่ลังเลอีกต่อไป ตัดสินใจเด็ดขาด เงาร่างแข็งแรงทรงพลังของคนทั้งสี่แยกย้ายกันไปสี่ทิศด้วยความปราดเปรียวว่องไวราวกับสัตว์ป่า พริบตาเดียวก็หายลับเข้าไปในป่า ไม่เห็นร่องรอย
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว สีหน้าลึกล้ำยากหยั่งถึงบนใบหน้าของอูอีเสวี่ยพลันหายวับไปทันที นางมองลงไปที่หุบเหวด้านล่าง ในใจเริ่มรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาอีกครั้ง กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดกลัว
สูงเพียงนี้…ไม่กลัวก็ประหลาดแล้ว!
ทว่ากลัวก็ส่วนกลัว นางยังคงต้องแข็งใจยืนหยัดไว้ ถัดจากนี้ยังมีละครฉากสำคัญต้องแสดง เป้าหมายของศัตรูคือนาง ขอเพียงนางรั้งเท้าศัตรูไว้ได้ยิ่งนาน โอกาสที่ผู้คุมกฎทั้งสี่จะฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ก็ยิ่งมาก สิ่งที่นางต้องทำในเวลานี้ก็คือรอคอยด้วยความสงบ เพื่อเตรียมรับมือกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ถัดจากนี้ ไม่ผิดจากที่นางคาดการณ์ เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ กลิ่นอายการเข่นฆ่าสังหารก็ลอยมาในอากาศ ตามมาด้วยเสียงตวาดกราดเกรี้ยว “นางมารร้าย! จะหนีไปไหน!”
อูอีเสวี่ยที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนพลันลืมตาขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
มาแล้ว…
แต่ไรมาทั่วทั้งยุทธภพต่างรู้กันว่าเทือกเขาหุบปีศาจที่อยู่ทางตะวันตก ภูมิลักษณ์สูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย เนื่องจากในป่าเขามีไอพิษ มีสัตว์ป่า ทั้งเข้ามาในเทือกเขาก็เหมือนเข้ามาในเขาวงกต คนที่หลงทางในหุบเขาหลังจากตายแล้วก็มักทิ้งกองกระดูกขาวโพลนเอาไว้เสมอ เทือกเขาหุบปีศาจจึงได้ชื่อมาเพราะเหตุนี้
ภูมิลักษณ์ที่ขรุขระสูงต่ำแปลกประหลาดบวกกับค่ายกลที่ผู้คุมกฎจิ้งจอกวางไว้ได้เพิ่มขีดความยากของการเข้ามาในเทือกเขา ทว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน คนที่สามารถฝ่าค่ายกลบุกออกจากเขาวงกตมาได้ ล้วนเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ
ทว่าอย่างไรยอดฝีมือก็เป็นคนส่วนน้อย ฝ่ายศัตรูเดิมมีกำลังคนหลายร้อยคน สุดท้ายที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้กลับมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น แต่เมื่อเจ็ดคนนี้มารวมอยู่ด้วยกันก็เพียงพอที่จะทำให้คนหวาดผวาแล้ว
ยอดฝีมือในยุทธภพทั้งเจ็ดเมื่อได้เห็นหน้าประมุขเยาว์วัยที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งของหุบเขาหมื่นบุปผาเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกเหนือความคาดหมายและประหลาดใจเป็นอันมาก เพียงเพราะนางมารผู้นี้ดูแตกต่างจากที่พวกเขานึกภาพเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
อูมู่ฉินประมุขคนก่อนของหุบเขาหมื่นบุปผามีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงเจืออยู่ในความหมดจดงดงาม แต่ประมุขหุบเขาคนใหม่ผู้นี้กลับคล้ายเด็กสาวที่ไม่แปดเปื้อนละอองฝุ่น กล่าวกันว่านางเพิ่งอายุครบสิบหก ท่วงทีบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี ประหนึ่งเทพธิดาลงมาสู่แดนมนุษย์ ดวงตางามแวววาวคู่นั้นดุจนัยน์ตากวางน้อย ใสกระจ่างสุกสกาว
ใช่แล้ว สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ราคี เมื่อเห็นนาง คำบรรยายเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาโดยปริยาย
“นางมารผู้นี้มีรูปโฉมโนมพรรณที่งดงามอยู่หลายส่วนอย่างแท้จริง” ลิ่นชังโยวที่มาจากเมืองตงหู ดวงตารูปดอกท้อเจือรอยยิ้มคู่นั้นมองประเมินรูปโฉมของฝ่ายตรงข้าม ประกายหวานเยิ้มในดวงตาที่กลอกไปมาเพียงพอที่จะทำให้หญิงสาวจำนวนมากต้องสำลักเสน่ห์ตาย
“ในยุทธภพต่างเล่าลือกันว่าประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาแต่ละยุคในอดีตล้วนรูปโฉมงดงามดุจมาร” ตันหานเลี่ยที่มาจากทุ่งหญ้าทางตอนใต้มองเด็กสาวผู้นั้น ใบหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
“มารหรือ” ลิ่นชังโยวยิ้มพลางมองตันหานเลี่ย น้ำเสียงเจือยั่วเย้า “บนร่างของนางไม่ปรากฏกลิ่นอายมารเลยแม้แต่น้อยนิด ข้ากลับสงสัยว่าพวกเราใช่เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
ตันหานเลี่ยนิ่งคิด จางเสี่ยวเฟิงศิษย์หญิงคนโตของปราสาทเขาปี้เจี้ยนที่อยู่ด้านข้างได้ยินพวกเขาคุยกันก็เอ่ยเสียงไม่อินังขังขอบ “เผยกลิ่นอายมารออกมาให้ปรากฏย่อมเป็นมารชั้นต่ำ พวกที่ไม่เผยกลิ่นอายมารออกมาจึงจะน่ากลัวที่สุด”
ความหมายในคำพูดก็แค่จะบอกว่าอูอีเสวี่ยเป็นนางมารที่ใช้รูปโฉมทำให้ผู้อื่นเคลิบเคลิ้มหูตามัว
ลิ่นชังโยวหันไปมองจางเสี่ยวเฟิง จางเสี่ยวเฟิงผู้นี้ก็เป็นหญิงงามผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นศิษย์คนเก่งที่ประมุขปราสาทเขาปี้เจี้ยนตั้งอกตั้งใจปลูกฝัง ฝีมือกระบี่เลิศล้ำ พูดได้ว่าเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ
“แม่นางจางรูปโฉมงดงามดุจเทพธิดา ไม่ใช่บุปผาทั่วไปเหล่านี้จะเทียบเคียงได้” ลิ่นชังโยวกล่าวยิ้มๆ
“คุณชายลิ่นชมเกินไปแล้ว” จางเสี่ยวเฟิงกล่าว ภายนอกนางดูไม่สนใจไยดี แต่ความจริงในใจลอบยินดี นางแต่ไรมาก็มองตนสูงส่ง ได้รับการให้ความสำคัญจากอาจารย์ ทั้งมีฝีมือยอดเยี่ยมเหนือใครในหมู่ลูกศิษย์ด้วยกัน จึงเป็นธรรมดาที่จะมีความโอหังอวดดี ตั้งแต่ได้พบอูอีเสวี่ย ในใจก็เกิดการเปรียบเทียบ เสียดายต่อให้นางอำพรางดีเพียงใด ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาลิ่นชังโยวกับตันหานเลี่ยไปได้ พวกเขาพบเห็นคนงามมามาก แยกแยะคนได้เฉียบไวทั้งไม่เผยพิรุธ จางเสี่ยวเฟิงแม้จะรูปงาม แต่ไม่เข้าสายตาพวกเขา ทั้งหยิ่งผยองเพราะความงามของตน ยิ่งทำให้ดูพื้นๆ ธรรมดา
อูอีเสวี่ยมองคนที่จ้องจะเล่นงานนางเหล่านี้ ภายนอกดูสงบนิ่ง ความจริงแล้วในใจหวาดผวายิ่ง อย่าเห็นว่านางมีฐานะเป็นประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา ได้ชื่อว่าเป็นนางมารในยุทธภพ ดูเหมือนร้ายกาจยิ่ง ความจริงแล้ววรยุทธ์ของนางสามัญธรรมดา ต่อให้ฝึกฝนไปทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเป็นยอดฝีมือในยุทธภพได้
นางเคยถามอาจารย์ด้วยความสงสัย ในหุบเขาคนที่มีพรสวรรค์กว่านางมีอยู่ไม่น้อย เพราะเหตุใดอาจารย์จึงพึงพอใจนางเพียงคนเดียว
คำตอบของอาจารย์คือ…
‘ใครกำหนดว่าต้องมีวรยุทธ์สูงส่งจึงจะเป็นประมุขหุบเขาได้ ในยุทธภพมีพยัคฆ์มังกรที่ซ่อนแฝงกาย ยังจะขาดยอดฝีมืออีกหรือ ทุกสำนักล้วนเลือกคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดมาเป็นเจ้าสำนัก หากข้าอูมู่ฉินต้องการเลือกคนที่รูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมืองมาเป็นประมุขหุบเขา ยังจะมีอะไรแปลกประหลาด’
ตอนนั้นอูอีเสวี่ยฟังแล้วปากอ้าตาค้าง มองอาจารย์ที่มีท่าทีปีติยินดีภาคภูมิใจอย่างงงงัน
อูมู่ฉินบีบแก้มนวลเนียนของนาง ยิ้มแล้วว่า ‘นางหนูเสวี่ย เจ้าต้องรู้ไว้ ความงามก็เป็นอาวุธอย่างหนึ่ง แม้พื้นฐานวรยุทธ์เจ้าจะไม่ดี แต่กลับมีนิสัยใจคอบริสุทธิ์ดีงาม ไม่ถูกประเพณีนิยมทั่วไปกลืนกลายได้ง่าย พึงรู้ว่าเส้นทางบนโลกนี้น่าหวาดกลัวและอันตราย ทุกแห่งล้วนเป็นอ่างย้อมสี* คนที่สามารถออกจากดินเลนมาได้โดยไม่แปดเปื้อนจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ที่อาจารย์พึงพอใจคือความบริสุทธิ์ดีงามของเจ้า ความงามเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น’
ได้รับคำชมจากอาจารย์ย่อมดีใจ อูอีเสวี่ยจึงเผยรอยยิ้มสดใส
อูมู่ฉินกล่าวต่อไป ‘ในโลกนี้หญิงงามมีมากมายนับไม่ถ้วน แต่หญิงงามที่มีสติปัญญากลับมีน้อยมาก ลำพังเรื่องนี้เจ้าก็เหนือกว่าหญิงงามทุกคนในโลกนี้แล้ว เพราะความงามสามารถดึงดูดได้เพียงบุคคลชั้นรอง ทั้งไม่ยาวนาน แต่สติปัญญากลับสามารถดึงดูดบุคคลชั้นหนึ่ง ต้นน้ำลึกย่อมไหลไปได้ยาวไกล นี่จะเป็นอาวุธสำคัญของเจ้าที่จะใช้รับมือกับยุทธภพที่น่าหวาดกลัวและเต็มไปด้วยอันตราย จำไว้ จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ดีงามนี้ไว้ตลอดไป อย่าลืมเจตนาเดิม’
คำพูดของอาจารย์ยังก้องอยู่ในหู ตอนนี้อูอีเสวี่ยลอบภาวนาอยู่ในใจ หวังว่าคนเหล่านี้จะเห็นแก่ความงามของนาง ไม่โหดเหี้ยมกับนางจนเกินไป เพิ่งคิดเช่นนี้ พลันได้ยินคนผู้หนึ่งตวาดเสียงดัง…
“นางมารร้ายตัวดี! มีใบหน้างดงามชวนให้ผู้คนหลงใหลอย่างแท้จริง ทุกคนอย่าได้ถูกนางทำให้ลุ่มหลงมัวเมา นี่เป็นแผนสกปรกของนาง!”
เสียงพูดปานฟ้าคำราม ทุกคำหนักแน่นทรงพลัง คนผู้นี้ก็คือเหลยหู่ผู้สร้างชื่อในยุทธภพด้วยฝีมือเพลงดาบ เหลยหู่อายุห้าสิบ แต่ดูแลรักษาร่างกายได้ดี รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง ในมือกวัดแกว่งดาบอย่างแคล่วคล่อง
อูอีเสวี่ยมองไปที่เหลยหู่พลางกล่าวอย่างมีมารยาท “ผู้อาวุโสเหลย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ผู้เยาว์หาได้คิดจะทำให้ท่านหลงใหลไม่”
เหลยหู่ได้ยินแล้วงงงัน คิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ฟังแล้วก็อึ้งตะลึง เหลยหู่ได้สติก่อนเห็นว่าตนถูกทำให้อับอายขายหน้า จึงตวาดด้วยความเดือดดาล “เจ้าอย่ามาแสร้งทำเป็นใสซื่อต่อหน้าข้า ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก!”
“เป็นความจริง ท่านมีภรรยาตั้งห้าคนแล้ว หากผู้เยาว์คิดจะหาสามี ย่อมต้องหาคนที่ยังไม่มีภรรยา” อูอีเสวี่ยชี้แจงด้วยความจริงใจ
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา สายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจทุกคู่ต่างจับจ้องไปที่เหลยหู่โดยไม่ได้นัดหมาย เหลยหู่ชะงักค้าง พร้อมกันนั้นก็ชี้หน้านางด่าว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ถึงกับกล้าทำลายชื่อเสียงของข้า!”
อูอีเสวี่ยยังคงตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล ภรรยาเอกของท่านผู้อาวุโสคือเฉินชีเหนียงแห่งสำนักเจิ้นซาน ภรรยาคนที่สองเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของสกุลหลินที่เปิดร้านขายแพรพรรณอยู่เมืองซูโจว ภรรยาคนที่สามคือจางฮวาขุยเถ้าแก่เนี้ยหอเยียนเซี่ยวเมืองหยางโจว ภรรยาคนที่สี่คือ…”
“พอแล้ว!”
เหลยหู่ตวาดออกมาครั้งนี้แม้แต่ตนเองก็อึ้งตะลึง ร้องแย่แล้วอยู่ในใจ เขาร้อนใจตวาดออกไปเช่นนี้ไยมิใช่บอกว่าที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง*
“พรืด…” มีคนกลั้นไม่อยู่หลุดหัวเราะออกมา ซึ่งก็คือลิ่นชังโยวผู้หล่อเหลาสง่างาม เขาคิดไม่ถึงว่าอูอีเสวี่ยผู้นี้พูดออกมาเพียงครั้งจะทำให้คนตื่นตะลึง อีกทั้งพูดได้น่าสนใจมาก
คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นยอดฝีมือของสำนักต่างๆ และเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชน ใครบ้างไม่รู้จักอ่านสายตาคน เหลยหู่ผู้นี้ปกติแสดงท่าทีว่าซื่อสัตย์ตรงไปตรงมายิ่ง ชื่อเสียงด้านรักภรรยาเล่าลือไปทั่วยุทธภพ ที่แท้ก็สร้างเรือนทองคำซ่อนสตรี อยู่ข้างนอก ทั้งยังซ่อนไว้ถึงสี่คน กระเพาะใหญ่ไม่น้อย ดูไม่ออกเลยจริงๆ บุรุษมีภรรยาสามอนุสี่เดิมเป็นเรื่องปกติ แย่ก็ตรงทั้งที่เจ้าชู้แต่ยังแสร้งวางท่าสูงส่ง นี่ย่อมทำให้คนรังเกียจแล้ว
สายตาที่ทุกคนมองเหลยหู่มีทั้งที่เห็นขันและรู้สึกเหยียดหยาม จางเสี่ยวเฟิงยิ่งยิ้มเยาะ นางมองอูอีเสวี่ย มีความรู้สึกที่ดีขึ้นมาเล็กน้อย เสียดายอีกฝ่ายเป็นนางมาร ธรรมะกับอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกัน
เหลยหู่สีหน้าดูไม่ได้ ปากไวเกินไป นึกเสียใจก็ไม่ทันแล้ว เฉินชีเหนียงภรรยาของเขาเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของเจ้าสำนักเจิ้นซาน ใครบ้างไม่รู้ว่าเพลงดาบเจิ้นซานของสำนักนี้แปลกพิสดาร อิทธิพลในยุทธภพยิ่งไม่อาจดูเบา อีกทั้งเฉินชีเหนียงผู้นั้นก็เป็นสิงโตเหอตง* และไหน้ำส้ม ที่ขึ้นชื่อลือนาม ควบคุมเขาอย่างเข้มงวด ถ้าให้เฉินชีเหนียงรู้ว่าเขาเลี้ยงดูสตรีอื่นอยู่ข้างนอกสี่คนล่ะก็…เหลยหู่อดตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้
ความลับที่เขาปิดบังไว้อย่างมิดชิด นางมารผู้นี้ไปรู้มาจากที่ใดกัน เขาลอบแค้นใจ เดิมทีนึกเวทนาสงสารนางอยู่หลายส่วน แต่ตอนนี้แทบอยากจะแยกร่างนางออกเป็นแปดส่วน
“นางมารก็คือนางมาร ดีแต่พูดจาส่งเดช ไม่รู้จักอัปยศอดสูใจ!”
อูอีเสวี่ยเบ้ปากร้องทุกข์ “ข้าไม่ใช่นางมาร เป็นคนปกติธรรมดา และข้าก็ไม่ได้พูดจาส่งเดช ล้วนมีหลักฐาน ผู้อาวุโสไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่วก็เที่ยวด่าคนส่งเดช ทำเช่นนี้ออกจะเสื่อมเสียเกียรติ”
“เจ้า…” เหลยหู่ชี้หน้านาง โมโหจนหน้าแดงคอแดง ส่วนนางกลับสีหน้าใสซื่อไร้ความผิด เบิกนัยน์ตากวางแวววาวมองจ้องเขา คล้ายว่านางต่างหากที่ถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม
เหลยหู่แอบร้องแย่แล้ว แต่ไม่อาจหลงกลนางมาร ครั้นแล้วเขาก็รีบเอ่ยเตือนทุกคน…
“นางมารผู้นี้ปากคมคารมกล้า ทุกคนระวังอย่าหลงกลนาง! วันนี้พวกเราตีค่ายกลแตกมาก็เพื่อจะจับตัวนางมารผู้นี้ ทุกคนคงไม่ลืมกระมัง”
คำพูดประโยคนี้ดึงความสนใจของทุกคนกลับมาได้สำเร็จ ต่างมองหน้ากันแวบหนึ่ง คิดในใจว่าการร่วมมือกันโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผาในครั้งนี้ได้มีข้อตกลงกันไว้แล้ว
“นางมาร เจ้าจนมุมแล้ว ยังคิดจะหนีไปไหนได้อีก” ลิ่นชังโยวแม้จะกล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำนุ่มหู
“นางมาร ไยต้องต่อสู้แบบสุนัขจนตรอก แนะนำให้เจ้ายอมจำนนเสียดีกว่าเถิด” ตันหานเลี่ยยังคงมีท่าทีรอบคอบระมัดระวัง ทำให้คนมองความคิดไม่ออก
เหลยหู่หัวเราะฮ่าๆ ด่าว่า “นางมาร! ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้วยังมีอะไรจะกล่าวหรือไม่” เขาก็แค่ถามไปอย่างนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าอูอีเสวี่ยกลับคว้าคำพูดของเขาไว้ ตอบอย่างจริงจัง
“มี ข้ามีคำพูดมากมายจะกล่าว”
ในเมื่อมีคนถามว่านางมีอะไรจะพูด นางไม่พูดย่อมเสียโอกาสไปเปล่าๆ ครั้นแล้วนางจึงเริ่มพูดตั้งแต่ต้น บอกชั่วชีวิตนี้นางยังไม่เคยสังหารคน และไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย ยังบอกอีกว่าตั้งแต่เล็กอาจารย์สั่งสอนนางให้เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ กับคนอ่อนแอและเด็กต้องให้เกียรติ เก็บเงินทองของผู้อื่นได้ต้องไม่ปกปิดไว้ ทำอะไรต้องมีความเที่ยงธรรม การจัดการเรื่องราวและปฏิบัติตัวต่อคนอื่นต้องยึดมโนธรรม พอเริ่มเปิดปากก็พูดไม่จบไม่สิ้น
เสียงของนางนุ่มนวลแผ่วเบา กังวานใสชวนฟัง ดุจนกขมิ้นส่งเสียงร้องขับขานอยู่ในหุบเขา คล้ายเห็นคนเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสที่ต้องเคารพนบนอบ บอกเล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ทั่วไปให้ฟังด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช้าก่อน!” จางเสี่ยวเฟิงยับยั้งนางไม่ให้พูดต่อ เอ่ยเตือนเสียงเฉียบขาด “นางมาร อย่าได้คิดถ่วงเวลา เห็นแก่ที่เจ้ามีเพียงลำพังตัวคนเดียว และเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งประมุขหุบเขา ถ้าเจ้ายอมให้จับตัวแต่โดยดี ข้าอาจช่วยขอร้องแทนเจ้าให้ทุกคนเปิดทางรอดให้”
อูอีเสวี่ยถามจางเสี่ยวเฟิงด้วยความฉงน “ข้าไม่เคยทำเรื่องเลวร้าย จะให้ยอมรับผิดอะไร”
“หุบเขาหมื่นบุปผารับตัวผู้กระทำผิดไว้ไม่น้อย เจ้าในฐานะประมุขหุบเขาย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้”
“มีความแค้นย่อมมีต้นเหตุ มีหนี้สินย่อมมีเจ้าหนี้ ผู้เยาว์เพิ่งรับตำแหน่งประมุขหุบเขาได้สามเดือน ไม่รู้อย่างสิ้นเชิงว่าใครคือผู้กระทำผิด อย่าว่าแต่รับตัวคนไว้ คิดจะทำเรื่องเลวร้ายก็ยังไม่ทันเลย”
จางเสี่ยวเฟิงถูกคำพูดของนางทำเอาชะงักอึ้ง ลิ่นชังโยวที่อยู่ด้านข้างกลั้นไม่อยู่หัวเราะพรืดออกมาคำหนึ่ง ครั้งนี้แม้แต่ตันหานเลี่ยก็กำมือขึ้นมาไว้ข้างปาก ปิดบังรอยยิ้มที่ห้ามไม่อยู่ ลิ่นชังโยวเกิดความสนใจในตัวอูอีเสวี่ยขึ้นมาอย่างมาก นางแม้จะอายุน้อย ดูเหมือนอ่อนแอไร้เดียงสา แต่ลักษณะท่าทางในยามพูดไม่รีบไม่ร้อน ไม่ขวยอายไม่เดือดดาล เวลาถูกด่าว่าก็ยังมีท่าทีใสซื่อไร้ความผิด ทำให้คนรู้สึกชื่นชอบอย่างแท้จริง
“พี่หานเลี่ย ข้าเห็นว่าที่อูอีเสวี่ยพูดมีเหตุผลอย่างมาก”
ตันหานเลี่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ยกมุมปากยิ้มจางๆ พลางกล่าวหยอกล้อ “อย่างไร คุณชายลิ่น เกิดจิตใจที่จะถนอมพฤกษาอาลัยหยก กับนางขึ้นมาแล้วหรือ”
ลิ่นชังโยวยิ้มจนนัยน์ตารูปดอกท้อคู่นั้นชวนลุ่มหลงยิ่งกว่าเดิม “นางเพิ่งรับตำแหน่งประมุขหุบเขาได้สามเดือน วันนี้เป็นวันที่นางก้าวออกสู่ยุทธภพเป็นวันแรกก็ต้องเผชิญหน้ากับศึกใหญ่เช่นนี้ พวกเราคนมากรังแกนางคนเดียว ดูจะไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรม”
เหลยหู่มีความแค้นแน่นอกไม่มีที่ให้ระบาย ได้ยินแล้วก็เอ่ยขึ้น “นั่นกลับไม่แน่ บางครั้งสตรียิ่งงดงามกลับยิ่งชั่วร้าย อย่างอูมู่ฉินประมุขคนก่อน นางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เจ้าคิดว่านางจะเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งส่งเดชหรือ”
ลิ่นชังโยวเลิกคิ้ว “คำพูดนี้ก็มีเหตุผล”
เหลยหู่แค่นเสียงเย็นชา “ประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาแต่ละยุคสมัยล้วนรูปโฉมงดงาม ที่พวกนางดูอ่อนเยาว์เพราะฝึกวรยุทธ์มารไว้ยั่วยวนบุรุษโดยเฉพาะ พวกเจ้าอย่าหลงมัวเมา ปล่อยให้รูปโฉมภายนอกปิดบังตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุบเขาหมื่นบุปผาเป็นภัยต่อผู้คนมานาน ผิดหลักธรรมสวรรค์ไม่อาจให้อภัย!”
ลิ่นชังโยวเพียงแต่ยิ้มๆ ตันหานเลี่ยยังคงเคร่งขรึม เหลยหู่เห็นพวกเขาสองคนไม่ได้โต้แย้งก็เข้าใจว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของตน จึงรู้สึกกอบกู้หน้ากลับคืนมาได้บ้าง
อูอีเสวี่ยทอดถอนใจ “ผู้อาวุโสเหลย ท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว คนในหุบเขาหมื่นบุปผาล้วนเป็นคนดี เพียงแต่นิสัยประหลาด ค่อนข้างทำอะไรตามอำเภอใจตนเอง ถ้าเป็นคนเลวจริง อาจารย์ข้าไม่มีทางรับพวกเขาไว้”
“ฮึ! คำพูดเหลวไหลกล่าวให้น้อยหน่อย เห็นแก่เจ้าที่อายุยังน้อย ทั้งยังเป็นอิสตรี ข้าผู้เฒ่าไม่อยากเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย จะออมมือให้เจ้าสามสิบกระบวนท่าก็แล้วกัน!”
อูอีเสวี่ยย้อนถาม “ผู้อาวุโสเหลย ท่านพูดเล่นกระมัง พวกท่านคนมากเช่นนี้ร่วมมือกันบุกโจมตีเข้ามา ทั้งไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อนก็ลอบโจมตีหุบเขาหมื่นบุปผา นี่ก็เท่ากับผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยแล้ว”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ครั้งนี้แม้แต่จางเสี่ยวเฟิงก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้
“เจ้า…” เหลยหู่โกรธจนด่าทอขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งท่วงทีของผู้อาวุโสก็ไม่มีแล้ว “สุราคารวะไม่ดื่มจะดื่มสุราทัณฑ์ ข้าจะจับตัวนางหนูหน้าเหม็นผู้นี้เดี๋ยวนี้!” ครั้งนี้ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็จะไม่หลงกล!
“ช้าก่อน!”
เหลยหู่กำลังจะเงื้อดาบก็ถูกตวาดห้ามกะทันหัน ฝีเท้าแทบจะสับสน เขาร้องด่าด้วยความเดือดดาล “ใครมาขัดจังหวะข้าอีกแล้ว!”
ทุกคนมองไปทางที่มาของเสียงก็เห็นคนผู้หนึ่งทะยานมาจากกลางอากาศ ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง เห็นชัดถึงวิชาตัวเบาอันสูงส่ง
อูอีเสวี่ยมองไปยังคนที่แปดที่ฝ่าค่ายกลออกมาได้และควานหารายชื่อจากความทรงจำ เพื่อจะให้นางจดจำรูปโฉมของยอดฝีมือสำนักต่างๆ ในยุทธภพ อาจารย์ได้รวบรวมภาพวาดของคนเหล่านั้นไว้ไม่น้อย แต่กับคนผู้นี้นางเพียงรู้สึกคุ้นหน้า ยามกะทันหันคิดไม่ออกว่าเป็นใคร
นางบอกตนเองว่าไม่เป็นไร ย่อมต้องมีคนเรียกชื่อคนผู้นี้ออกมา
“ใต้เท้าสิง” เหลยหู่พอเห็นอีกฝ่ายก็รีบประสานมือกล่าวทักทาย
ใต้เท้าสิง?
อ้อ…นางนึกออกแล้ว คนผู้นี้ชื่อสิงฟู่อวี่ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของราชสำนัก ปีที่แล้วได้เลื่อนตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ขั้นสาม รับหน้าที่คุ้มกันและปฏิบัติภารกิจให้ฮ่องเต้ ที่แท้กองกำลังทหารของราชสำนักที่ยกมาครั้งนี้ คนแซ่สิงรับหน้าที่บัญชาการทัพ
สิงฟู่อวี่สีหน้าเฉยเมย ไม่เหลือบตามองเหลยหู่แม้แต่แวบเดียว สายตาจับนิ่งอยู่ที่อูอีเสวี่ย
“ข้ารับพระบัญชาจากฮ่องเต้ให้จับกุมนางมารอูอีเสวี่ยพากลับไปรายงานตัวที่เมืองหลวง คนอื่นไม่อาจสอดมือเข้ามาก้าวก่าย”
สำนักในยุทธภพใหญ่โตปานใดก็เทียบกองกำลังทหารนับหมื่นของราชสำนักไม่ได้ เหลยหู่ไม่กล้าเป็นศัตรูกับสิงฟู่อวี่ รีบประสานมือกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ใต้เท้าสิงกล่าวได้ถูกต้อง”
“ฝ่าค่ายกลออกมาไม่ง่าย ใต้เท้าสิงต้องลำบากแล้ว ไยไม่พักผ่อนสักครู่ เรื่องจับคนก็มอบให้เราทำแทนเป็นอย่างไร” ลิ่นชังโยวแย้มยิ้มสง่างาม ความหมายในคำพูดจะบอกว่าเขายอดฝีมือแห่งราชสำนักผู้นี้กระทั่งตีฝ่าค่ายกลยังพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา มาถึงก็คิดจะออกคำสั่ง ที่นี่ไม่ใช่ในราชสำนัก ตนหาได้กลัวเขาไม่
ตันหานเลี่ยที่อยู่ด้านข้างกลับเพียงมองสิงฟู่อวี่แวบหนึ่ง ยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
สิงฟู่อวี่มองลิ่นชังโยว ไม่ใส่ใจในคำหยอกล้อของอีกฝ่าย กลับคลี่ยิ้มหยันจางๆ “ทุกท่านดูสุขสบายเสียจริง คนมากเพียงนี้ไล่จับสตรีเพียงคนเดียว ข้าอยู่ข้างหลังต้องเหน็ดเหนื่อยกับการทอดแหจับปลา รับมือกับผู้คุมกฎทั้งสี่ ลำบากมากทีเดียว”
คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ลิ่นชังโยวกับตันหานเลี่ยก็ฟังเข้าใจแล้ว ผู้คุมกฎทั้งสี่เป็นองครักษ์กล้าตายของประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา เวลานี้กลับไม่เห็นเงาร่าง พวกเขาหันไปมองอูอีเสวี่ยถึงได้ตระหนักว่าที่นางพูดออกมามากมายเพียงนั้นเป็นวิธีบดบังสายตาให้พวกเขามองข้ามเรื่องนี้ไป พร้อมกันนั้นทุกคนก็เกิดตื่นตัวขึ้นมา ผู้คุมกฎทั้งสี่ไม่อยู่ข้างกายนางมาร หรือจะมีแผนลวง
ไม่รอพวกเขาซักถามสิงฟู่อวี่ก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “ฮึ ผู้คุมกฎทั้งสี่หนีไปแล้ว ข้าได้แต่ต้องจับกุมนางมารก่อน ค่อยบีบให้ผู้คุมกฎปรากฏตัวออกมาก็ไม่สาย”
อูอีเสวี่ยเม้มมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน นางมารหรือ บางทีในเวลานี้คำว่านางมารอาจนำมาสั่นสะเทือนและสยบจิตใจพวกเขาได้ อย่างไรเสียผู้คุมกฎทั้งสี่ก็หนีไปได้โดยราบรื่น จุดประสงค์ของนางบรรลุแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดจาไร้สาระหน่วงเหนี่ยวเวลากับคนพวกนี้แล้ว
“ระวัง! นางมารจะลงมือแล้ว”
ขณะที่ทุกคนส่งเสียงเตือนด้วยความตื่นตระหนก อูอีเสวี่ยก็โปรยกลีบบุปผาในมือออกไปเต็มท้องฟ้า กลีบบุปผามีกลิ่นหอมกรุ่นโชยมาเข้าจมูกทำให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ระวังมีพิษ!”
ทุกคนพากันปิดปากปิดจมูกถอยหลังไปหลายก้าว ยกเว้นเพียงคนเดียว
สิงฟู่อวี่ยกฝ่ามือขึ้นเป็นกรงเล็บแล้วกระโจนเข้าใส่อูอีเสวี่ย จับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ความตั้งใจของเขาชัดเจน อูอีเสวี่ยจำต้องรับกระบวนท่า ฉับพลันนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันชุลมุน
อูอีเสวี่ยคาดการณ์ว่าไม่ถึงร้อยกระบวนท่าตนต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ไม่อาจให้พวกเขารู้ว่าวรยุทธ์ของตนพื้นธรรมดาสามัญ ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสตอนสิงฟู่อวี่ซัดฝ่ามือเข้าใส่นางรีบพลิกฝ่ามือโต้ตอบกลับ ในใจกลับคิดคำนวณไว้แล้วว่าจะฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายซัดฝ่ามือมาทำให้ร่างตนกระเด็นไปหลายจั้ง* เช่นนี้ก็จะร่วงหล่นลงไปในหุบเหวได้โดยไม่มีใครเห็นพิรุธ
ใครเลยจะคาดคิด พอฝ่ามือของทั้งสองสัมผัสถูกกัน นางไม่ได้ถูกซัดกระเด็นออกไป แต่กลับถูกพลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งดึงดูดไว้ จึงอดตื่นตระหนกไม่ได้
นี่เป็นวรยุทธ์อะไรกัน
นางคิดจะหยิบยืมพลังมาใช้แต่ไม่สำเร็จ กลับถูกพลังขุมหนึ่งพันธนาการไว้แน่นหนา ตอนฝ่ามือคนทั้งสองสัมผัสกันพลันมีกระแสความร้อนขุมหนึ่งไหลผ่านฝ่ามือเข้ามาในร่างกายของนาง คล้ายมีเข็มจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ามา ทำให้ผิวหนังทั่วร่างของนางรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งประมือกับเขานานนางก็ยิ่งรู้สึกว่าจุดตันเถียน ว่างเปล่า…ไม่ถูก! นี่เขากำลังดูดพลังวัตรของนาง! เขาคิดจะทำลายวรยุทธ์ของนาง!
อูอีเสวี่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนรุนแรง รีบรวบรวมพลังปกป้องจุดตันเถียน ทว่าฝ่ายตรงข้ามพลังวัตรกล้าแข็ง พลังของนางไหลทะลักออกไปไม่หยุดประหนึ่งน้ำบ่าเช่นนั้น ไม่นานหน้าผากของนางก็มีเหงื่อเย็นซึมออกมา รู้ว่าขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะต้องสูญเปล่า
ไม่! นางไม่อาจให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุผล ตัดสินใจจะทุ่มเดิมพันสุดตัว!
อูอีเสวี่ยทุ่มเทพลังทั้งหมดออกไปทันที ใช้วิธีการต่อสู้อย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น พร้อมจะพังพินาศไปด้วยกัน นางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าฝ่ายตรงข้ามไม่คิดจะตายตกไปด้วยกันกับนาง เขาเป็นขุนนางที่ราชสำนักแต่งตั้งมา ไม่จำเป็นต้องเสียสละชีวิตของตนเพื่อจับกุมนาง
ความเป็นจริงพิสูจน์ให้เห็นว่านางเดิมพันถูกแล้ว สิงฟู่อวี่ย่นหัวคิ้ว พอรู้ว่านางคิดจะตายตกไปด้วยกันก็รีบซัดนางกระเด็นไป
ฝ่ามือนี้ซัดอูอีเสวี่ยกระเด็นออกมาสิบจั้ง หลุดพ้นจากแรงดึงดูดที่พันธนาการไว้ สมดังที่นางปรารถนา ถูกซัดออกมาจากหน้าผา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอุทานของทุกคน ร่างของนางร่วงหล่นลงไปในหุบเหวดุจว่าวที่สายป่านขาด
กระโดดหน้าผาคือทางรอดทางเดียว อาจารย์ ศิษย์กระโดดแล้ว ดวงวิญญาณของท่านบนสวรรค์โปรดช่วยคุ้มครองศิษย์ด้วย!
โปรดติดตามตอนต่อไป……
Comments
comments