บทที่สาม
อูอีเสวี่ยถูกกลิ่นหอมของเนื้อย่างชักนำมา หลังจากกินผักผลไม้บนป่าเขามาหลายวัน กลิ่นหอมของเนื้อย่างก็กลายเป็นอาหารโอชะที่คนไม่อาจต่อต้านขัดขืนได้
นางซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล ลอบจับตามองบุรุษที่นั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟเงียบๆ บนร่างของพวกเขามีกลิ่นอายความป่าเถื่อนเข้มข้น เพียงดูก็รู้ว่าเป็นพวกเดนตายกลุ่มหนึ่ง
บุรุษหกคนนั่งอยู่รอบกองไฟ ที่ดื่มสุราก็ดื่มสุรา ที่พูดคุยเล่นก็พูดคุยเล่น ทางซ้ายของกองไฟมีกรงไม้ไผ่อยู่กรงหนึ่ง ในกรงขังเด็กอยู่กลุ่มหนึ่ง บนร่างของเด็กเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าเก่าขาดสกปรก เปลวไฟส่องสะท้อนให้เห็นรูปร่างที่ผ่ายผอมอ่อนแอยิ่งของพวกเขา
ยามดึกบนภูเขาน้ำค้างแรง เด็กที่น่าสงสารกลุ่มนี้เบียดอออยู่ด้วยกันเพื่อหาความอบอุ่น มองเนื้อหมูป่าที่เสียบไม้ย่างอยู่บนกองไฟตาปริบๆ ไขมันจากเนื้อหมูป่าหอมกรุ่นหยดลงบนกองไฟส่งเสียงดังฉี่ๆ กลิ่นหอมโชยไปทั่วบริเวณ ก่อกวนจนหนอนหิวโหยในศาลเจ้าอวัยวะภายในทั้งห้า ของอูอีเสวี่ยไม่สงบสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ กลุ่มนั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้กินอิ่มมานานมากแล้ว
จากนั้นอูอีเสวี่ยก็สังเกตเห็นลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากกรงไม้ไผ่ราวห้าก้าวมีโซ่ล่ามอยู่ ปลายโซ่อีกด้านล่ามเด็กผู้ชายคนหนึ่งไว้
เด็กผู้ชายคนนี้อายุราวสิบขวบ เสื้อผ้าบนร่างเก่าขาด ทั้งเนื้อทั้งตัวสกปรกมอมแมมราวกับขอทาน ไม่สิ เทียบไม่ได้แม้แต่กับขอทาน เพราะโซ่นั่นคล้องอยู่ที่คอของเขา ราวทำกับสัตว์ตัวหนึ่ง
คนพวกนี้จับเด็กกลุ่มนี้มา คงตั้งใจจะเอาพวกเขาไปขายเป็นทาสเพื่อมุ่งแสวงหาผลกำไรมหาศาล ด้วยเหตุนี้จึงได้เลือกพักค้างแรมในป่าเขาที่ไร้ผู้คนอยู่อาศัย
อูอีเสวี่ยซ่อนตัวอยู่ในร่องหินแคบเล็ก อาศัยพงหญ้ารอบด้านช่วยกำบัง ลอบเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้น
นางสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้วจับจ้องไปที่เป้าหมายเดียว จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
“มารดามันเถอะ สุรานี่รสชาติแย่เสียจริง!” ถูเหล่าลิ่วถ่มสุราในปากไปที่พื้นแล้วสบถด่า
“มีสุราดื่มก็ไม่เลวแล้ว ยังจะบ่นอีกหรือ!” ถูเหล่าอู่แย่งสุราเขามา กรอกเข้าปากไปคำหนึ่ง
“ครั้งนี้ยอดฝีมือของสำนักใหญ่ต่างๆ จากโม่เป่ย ตงหู และหนานหยวนได้รุดมาก่อกวนที่ซีซาน ทำให้พวกเราคิดจะทำการค้าก็ทำไม่ได้” ถูเหล่าซันใช้ผ้าเช็ดถูดาบใหญ่ในมือ
“ไม่กลัวสำนักใหญ่เหล่านั้น กลัวก็แต่กองกำลังทหารจากราชสำนัก ได้ยินว่าพวกเขาถือโอกาสกวาดล้างหมู่บ้านตามเส้นทางไปหลายหมู่บ้าน มีคนไม่น้อยถูกจับไปไต่สวน ดูเหมือนจะจับโจรสลัดอะไรกระมัง เราหลบพ้นจากการตรวจสอบจับกุมของเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านั้นมาได้ก็นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้ว ถ้าถูกจับได้ล่ะก็ แม้แต่เหล้าก็จะไม่มีให้ดื่ม ทั้งยังต้องถูกถลกหนังออกมาชั้นหนึ่ง” ถูเหล่าเอ้อร์กล่าวเสียงเย็น จากนั้นก็หันไปทางถูเหล่าต้า “พี่ใหญ่ เพื่อจะหลบหลีกพวกทหาร เราไม่อาจเดินทางบนถนนหลวง แต่เลือกเส้นทางบนภูเขาที่ลึกลับเช่นนี้ก็เสียเวลามากเกินไป หรือจะไปทางน้ำ?”
พี่ใหญ่ในบรรดาพี่น้องทั้งหกสั่นหัว “ทางน้ำก็ไม่ปลอดภัย อย่างน้อยเขตภูเขาแห่งนี้เราคุ้นเคย ถ้าเจอกองทหารมาตรวจค้น เราก็ยังหนีได้เร็ว”
ถูเหล่าลิ่วทอดถอนใจ “เดินทางอ้อมเช่นนี้ เราต้องสิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อย นอนกลางดินกินกลางทรายไม่ว่า กระทั่งสตรีก็ไม่มี”
ถูเหล่าอู่เตะเขาไปทีหนึ่ง “กลัวอะไร ขอเพียงเอาสินค้ากลุ่มนี้ส่งถึงมืออีกฝ่าย ขายได้ราคาดี ยังจะกลัวไม่มีเหล้าดีไม่มีสตรีอีกหรือ” สินค้าที่พวกเขาพูดถึงก็คือเด็กเหล่านี้
พูดถึงสตรี ถูเหล่าอู่ก็กรอกสุราเข้าปากอีกคำ อดทอดถอนใจไม่ได้ “ได้ยินว่านางมารนั่นถูกบีบคั้นจนไร้หนทาง ร่วงตกลงไปในหุบเขามัจจุราช ร่างแหลกเหลว น่าเสียดายยิ่งนัก”
“อ้อ? พี่ห้า ท่านรู้จักถนอมพฤกษาอาลัยหยกตั้งแต่เมื่อไร”
“ฮึ เจ้าไม่รู้อะไร นางมารผู้นั้นงามหยาดเยิ้มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยากจะหาใครเทียม ก่อนตายจะต้องเป็นสาวพรหมจารีอยู่แน่นอน ข้าแค่นึกเสียดายแทนนาง”
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วก็ยิ้มลามก “ต่อให้ยังไม่ตายก็เวียนมาไม่ถึงเจ้า ไม่ไปหว่านฉี่ส่องดูหน้าตนเอง”
“เชอะ! หน้าตาข้าแม้จะเทียบไม่ได้กับสามบุรุษรูปงามแห่งยุทธภพ แต่ก็ดีกว่าพวกเจ้ามาก ไม่พูดแล้ว ข้าอยากจะไปหว่านฉี่ขึ้นมาจริงๆ แล้ว”
ถูเหล่าอู่ลุกขึ้นมายืนโงนเงน พาร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราเดินเข้าไปในป่า หลังจากเขาเดินออกไป พุ่มหญ้าใหญ่กอหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามา มือเล็กๆ ข้างหนึ่งหยิบเอาเนื้อหมูป่าของเขาไปอย่างไร้สุ้มเสียง
พอถูเหล่าอู่กลับมา พบว่าเนื้อหมูป่าที่ย่างเสร็จของเขาหายไปแล้วก็อดหันไปมองด้านข้างไม่ได้ ข้างหนึ่งคือเหล่าเอ้อร์ ข้างหนึ่งคือเหล่าซื่อ ทั้งสองคนล้วนมีลำดับศักดิ์สูงกว่าเขา เขาจึงได้แต่ลูบๆ จมูก ยอมรับว่าตนโชคไม่ดี ก็แค่เนื้อก้อนหนึ่ง ไม่ต้องไปสนใจ จะอย่างไรก็ยังมีเนื้อให้กิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถูเหล่าลิ่วก็ไปปลดทุกข์ในป่า พอเขากลับมา เนื้อบนจานก็เหลือแต่กระดูก เขามองไปสองข้าง ข้างหนึ่งคือเหล่าซัน ข้างหนึ่งคือเหล่าต้า เขาไม่อาจต่อว่า ได้แต่ลูบๆ จมูกข่มกลั้นไว้ ไม่เก็บมาใส่ใจ
อูอีเสวี่ยแม้จะสูญเสียพลังวัตร แต่การแอบหยิบเนื้อหลายก้อนมากินโดยไม่ให้ใครพบเห็นยังคงไม่มีปัญหา หลังจากนางกินเนื้อก้อนแรกที่แอบหยิบมาจนอิ่มก็เอากระดูกไปแลกเนื้อก้อนที่สองมา ทว่าเนื้อก้อนนี้นางไม่ได้กิน หากแต่หลบซ่อนตัวเข้าไปในกอหญ้าอีกครั้ง แล้วเคลื่อนตัวไปทางเด็กชายที่ถูกโซ่ล่ามคออยู่เงียบๆ
เด็กชายเอาหน้าซุกอยู่กับหัวเข่าที่งอขึ้นมา ทั้งร่างขดเป็นก้อน ไม่หันมองเนื้อที่ย่างอยู่บนกองไฟ มองแล้วรังแต่จะทำให้ตนเองหิวมากขึ้น เขาพยายามอดทน กระทั่งรู้สึกว่ามีคนสะกิดเขาเบาๆ จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ พอหันไปมองข้างหลังก็อดตะลึงงันไม่ได้
เพียงเห็นในพุ่มหญ้าด้านข้างมีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งถือเนื้อก้อนหนึ่งยื่นมาตรงหน้าเขา
เด็กชายไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เพียงจ้องไปที่พุ่มหญ้ากอนั้น นอกจากมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาแล้วก็ไม่เห็นตัวคนแต่อย่างใด
อูอีเสวี่ยคิดในใจว่าเจ้าหนูนี่คงคิดว่าเจอผีเข้ากระมัง นางจำต้องยื่นหน้าออกไป คลี่ยิ้มหวานให้เขา คล้ายจะบอกว่า ‘เจ้าหนู แบบนี้เจ้าวางใจแล้วกระมัง ข้าแม่นางไม่ใช่ปีศาจร้าย รีบกินตอนยังร้อนเถิด’
พอเด็กชายเห็นนาง ความกังขาในดวงตาหายไปแล้ว เหลือแต่ความประหลาดใจ ทว่าไม่นานเขาก็ได้สติกลับคืนมา รีบคว้าเนื้อมายัดเข้าปาก ดีที่เขาก็นับว่าฉลาด แม้จะหิวโหยก็ยังระมัดระวังตัว เขาขดตัวหันหลังให้พี่น้องสกุลถู ไม่ให้พวกเขาสังเกตเห็นความผิดปกติของตน
เด็กชายกินอย่างตะกละตะกลาม กัดไม่กี่คำก็จัดการเนื้อก้อนโตหมดเกลี้ยง กินหมดแล้วยังไม่สาสมใจ ยังคงกัดแทะไม่หยุด
เขาเห็นมือเล็กยื่นออกมาจากพุ่มหญ้าอีกครั้ง ในมือถือชามไม้ใบหนึ่ง ในชามมีน้ำ เขารีบรับมาดื่มเงียบๆ
พุ่มหญ้าค่อยๆ เคลื่อนถอยเข้าไปอยู่ในกอหญ้าด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง คล้ายไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนเช่นนั้น เขามองจ้องไปที่กอหญ้าไม่ละสายตา ดวงตาที่เดิมไร้ประกายคู่นั้นเวลานี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว
อูอีเสวี่ยรู้ว่าไม่อาจขโมยเนื้อหลายครั้งเกินไป หาไม่จะทำให้พี่น้องสกุลถูเกิดความสงสัย นั่นย่อมทำให้เสียเรื่องแล้ว ดังนั้นนางจึงเอามาให้แค่เด็กชาย แต่ไม่กล้าเอาไปให้เด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในกรงไม้ไผ่ เพราะในกรงไม้ไผ่ขังเด็กไว้หลายคน นางไม่มีอาหารมากเช่นนั้น เกิดให้เนื้อไปจำนวนหนึ่ง เด็กที่หิวโหยเหล่านั้นก็จะแย่งกัน เกรงจะทำให้บุรุษพวกนั้นรู้ตัวและกลายเป็นทำให้เสียเรื่อง
จะช่วยเด็กกลุ่มนี้ไม่อาจรีบร้อนช่วยในเวลาอันสั้น เวลานี้พวกเขาทั้งหิวทั้งอ่อนแอ ต่อให้ขโมยกุญแจมาปลดโซ่ให้พวกเขา พาพวกเขาหนีไป ไม่นานก็ต้องถูกคนกลุ่มนี้จับกลับมา ดังนั้นจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นพี่น้องสกุลถูที่กินอิ่มดื่มกันเต็มคราบยังไม่ตื่น ถูเหล่าต้าเตะพวกเขาให้ตื่นทีละคนอย่างไม่เกรงใจ
“ลุกขึ้น! ยังจะนอนไปถึงเมื่อไร รีบทำงานแล้วออกเดินทาง!”
เหล่าบุรุษที่ถูกเตะจนตื่นร้องโอดโอยพลางลุกขึ้น ที่ไปปลดทุกข์ก็ไปปลดทุกข์ ที่เก็บข้าวของก็เก็บข้าวของ ต้อนเด็กๆ ขึ้นไปบนรถม้าเตรียมออกเดินทาง
พวกเขากลางวันจะเร่งเดินทาง กลางคืนพักนอนกลางแจ้งในป่า แต่ละวันจะแบ่งหมั่นโถวครึ่งลูกกับน้ำหนึ่งถ้วยให้เด็กแต่ละคน ให้พวกเขาไม่ถึงกับหิวตาย แต่ก็กินไม่อิ่ม
ถูเหล่าลิ่วที่รับหน้าที่ดูแลเด็กได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากในรถม้าก็รีบก้าวยาวๆ เข้าไป เลิกม่านรถขึ้น ด่าว่าเสียงดัง “เอะอะอะไรกัน! เงียบๆ หน่อย!”
เห็นเด็กๆ เงียบเสียงลงทันทีเขาก็ปล่อยม่านรถลงด้วยความพอใจ เพิ่งจะเดินออกไปได้ก้าวเดียวพลันรู้สึกผิดสังเกต รีบหันกลับมาเลิกม่านรถขึ้นตรวจดู นับไปมา ทั้งหมดมีเด็กแปดคนไม่ผิด เหตุใดเขาจึงเห็นเป็นเก้าคนไปได้
ไม่ถูก จะต้องเป็นเพราะเมาค้างถึงได้ตาลายเป็นแน่
หลังจากถูเหล่าลิ่วปล่อยม่านรถลงมา เด็กๆ ก็รีบกระเถิบก้นออก เปิดแผ่นกระดานด้านล่างให้อูอีเสวี่ยมุดขึ้นมา
อูอีเสวี่ยปาดเหงื่อ เมื่อครู่หวาดเสียวยิ่ง เกือบถูกจับได้แล้ว โชคดีนางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าจึงเปิดช่องที่ใต้รถม้าไว้ช่องหนึ่ง
นางกระซิบบอกเด็กๆ “อยากกินอิ่มก็ต้องเงียบๆ ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง ไม่ต้องแย่ง หาไม่จะถูกจับได้ ทุกคนก็จะไม่ได้กิน เข้าใจหรือไม่”
เด็กๆ รีบพยักหน้า ครั้งนี้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแล้ว ทุกคนต่างอดทนรอ
เด็กๆ อบรมสั่งสอนได้จริงดังคาด อูอีเสวี่ยพอใจมาก นางแอบเอาอาหารแบ่งให้พวกเขา บางครั้งเป็นผลไม้ บางครั้งเป็นเนื้อสัตว์ กระหายแล้วก็มีน้ำให้ดื่ม
นางเอาดินเลนทาหน้าของตน ทำให้มอมแมมเหมือนกับพวกเขา ปกติก็จะปะปนอยู่ในกลุ่มเด็กๆ เดินทางไปด้วยกันกับรถม้า และได้รับรู้เรื่องราวบางอย่าง
ที่แท้เด็กกลุ่มนี้บางคนเป็นเด็กกำพร้า บางคนถูกจับตัวมา อายุอยู่ระหว่างเจ็ดขวบถึงสิบขวบ ส่วนเจ้าหนูที่ถูกล่ามโซ่ชื่ออาหงอายุสิบขวบ สาเหตุที่ถูกล่ามราวกับสุนัขก็เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะหนี หลังจากถูกจับกลับมาและถูกเฆี่ยนตีแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ถูกล่ามไว้เช่นนั้น
ที่พวกคนเลวเหล่านั้นทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการจะขู่ขวัญคนอื่นที่เหลือ ให้พวกเขารู้ว่าบทลงเอยของการหนีก็คือเช่นนี้
เด็กๆ ยังบอกว่าอาหงกล้าหาญมาก ถูกตีก็ไม่ร้องไห้ และไม่วิงวอนขอร้อง เขาถูกล่ามโซ่ไว้เช่นนี้มาครึ่งเดือนแล้ว
อูอีเสวี่ยฟังแล้วสงสารมาก และพบว่าอาหงเด็กคนนี้มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างมาก แต่โดยทั่วไปแล้วเด็กที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมักดื้อรั้น ตอนกลางวันพี่น้องสกุลถูคนไหนไม่ชอบใจอะไรขึ้นมาก็จะมาทุบตีเขาเล่นราวกับกำลังทารุณสัตว์อย่างไรอย่างนั้น อาหงได้แต่ถลึงตาใส่พวกเขา ไม่วิงวอนและไม่ร้องไห้ ดื้อรั้นหัวแข็งเสียจนทำให้คนนับถือแต่ก็อดสงสารไม่ได้
เด็กๆ บอกว่าพวกเขาเคยเตือนอาหงแล้ว เวลาถูกตีต้องก้มหัวขอความเมตตา ยิ่งไม่ยอมก้มหัว พี่น้องสกุลถูก็ยิ่งข่มเหงรังแกมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ไม่ถูกตีตายก็ต้องถูกตีจนพิการ
อูอีเสวี่ยคิดในใจว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ นางต้องสอนเด็กคนนี้ ครั้นแล้วนางก็ฉวยจังหวะตอนค่ำที่พี่น้องสกุลถูยุ่งอยู่กับการก่อไฟจัดการเรื่องอาหารการกินย่องไปหาอาหง
“ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บหนักเกินไปก็จะไม่อาจหนีไปได้ ต่อให้หนีไปได้ก็หนีได้ไม่ไกล ไม่นานก็จะถูกจับตัวกลับมา ดังนั้นถ้าเจ้าอยากจะหนีก็ต้องหัดฉลาดหน่อย เข้าใจหรือไม่”
ตอนแรกนางคิดว่าคงต้องเปลืองน้ำลายไม่น้อยกว่าจะทำให้เจ้าหนูนี่ยอมรับฟังได้ ใครจะรู้เด็กชายฟังจบก็พยักหน้า
“ข้ารู้แล้ว”
เอ๋? พูดง่ายเพียงนี้เชียว
นางมองเขาด้วยความฉงน “เจ้าเข้าใจแล้วจริงหรือ”
“ครั้งหน้าถ้าพวกเขาตีข้า ข้าจะวิงวอนขอความเมตตาก็แล้วกัน”
นางทำให้เจ้าหนูเห็นด้วยได้อย่างง่ายดายแทบไม่ต้องเหนื่อยแรง ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ดื้อรั้นมากเช่นที่เด็กๆ พูดกัน
สั่งกำชับเรียบร้อยนางก็ผละไปด้วยความพอใจ
แต่นางไหนเลยจะรู้ ที่อาหงพูดง่ายเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนาง นางปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่เขารู้สึกย่ำแย่ที่สุด ในมือยังมีเนื้อย่างที่หอมกรุ่น ตอนนั้นดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววับไปทั้งดวง
หลังจากนั้นเขาก็เห็นนางหลบซ่อนอยู่ข้างกายพี่น้องสกุลถูทั้งหกโดยไม่มีใครจับได้ หยิบขนมโก๋จากตรงนี้ชิ้น หยิบเนื้อย่างจากตรงโน้นชิ้น ทำให้เขาเห็นแล้วอดนับถือไม่ได้ ขณะเดียวกันก็มีความหวังขึ้นมา
เพราะนาง ในใจของเขาจึงมีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไหลหลั่งพรั่งพรูขึ้นมา
เหตุใดเขาที่อายุสิบขวบจึงสู้ไม่ได้แม้แต่นางที่อายุหกขวบ อีกทั้งยามนางกดเสียงลงต่ำกระซิบที่ข้างหูเขา ลมหายใจของนางเป่ารดใบหูเขาเบาๆ เสียงนุ่มนิ่มอ่อนหวานของเด็กผู้หญิงได้สลายความดื้อรั้นในดวงตาของหนุ่มน้อย หัวใจทั้งดวงก็อ่อนยวบลงอย่างประหลาด
หลายวันมานี้ เพราะอูอีเสวี่ยขโมยอาหารมาให้ เด็กๆ กลุ่มนี้ได้กินมากขึ้น จึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดีที่ใบหน้าของพวกเขายังคงมอมแมม ขอเพียงปกติแสร้งแสดงท่าทีไม่มีเรี่ยวมีแรง ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ
วันนี้ถูเหล่าอู่เดินมาที่ข้างกายถูเหล่าลิ่วด้วยสีหน้าครุ่นคิด พลางกระซิบข้างหู “แถวนี้มีลิง”
ถูเหล่าลิ่วฟังแล้วงงงวยจับต้นชนปลายไม่ถูก “หมายความว่าอย่างไร”
“เสบียงกรังของเราน้อยลง” ถูเหล่าอู่รับหน้าที่ดูแลเสบียงกรัง วันนี้ตอนเช้าเขาไปดูยังมีแผ่นแป้งย่างยี่สิบชิ้น เหตุใดพอตอนเที่ยงก็หายไปสองชิ้น
ทว่าเขาไม่มีทางคิดว่าจะมีคนปะปนเข้ามาในขบวน เพียงเห็นว่าที่อาหารขาดหายไปมีเพียงสาเหตุเดียว นั่นคือมีลิงมาขโมยเอาไป เพราะคนย่อมขโมยสิ่งของที่มีค่า จะขโมยของกินได้อย่างไร ที่ขโมยของกินต้องเป็นลิงแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายวันมานี้ถูเหล่าอู่เห็นลิงไม่น้อยอยู่บนต้นไม้ในละแวกใกล้เคียง
“เฝ้าให้ดีหน่อย ระวังพี่ใหญ่รู้เข้าจะถลกหนังเจ้า!”
“ฮึ ถ้าเจ้าลิงตัวนั้นถูกข้าจับได้ล่ะก็ จะต้องถลกหนังมันแล้วเอามาย่างกินเสีย!” ถูเหล่าอู่แค้นใจขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาไม่กล้าบอกพี่ใหญ่ว่าเสบียงน้อยลงแล้ว จำต้องเก็บเรื่องนี้ไว้
รอจนสองคนนั้นเดินไปแล้ว หีบไม้ที่วางอยู่บนพื้นก็ค่อยๆ ยกสูงขึ้น มือที่ยื่นออกมาคว้าแผ่นแป้งย่างไปอีกชิ้น จากนั้นก็หลบกลับเข้าไปในหีบไม้แล้วดอดหนีไปเงียบๆ
อูอีเสวี่ยครุ่นคิด ดูท่าคงไม่อาจขโมยของกินได้อีกแล้ว ต้องคิดหาวิธีอื่น แต่ก็ไม่อาจเอาแต่กินผลไม้กับผักป่า ของพวกนั้นได้แต่แก้หิวไม่ทำให้อิ่ม
ดีที่แอบเอาอาหารให้มาหลายวัน เด็กๆ มีเรี่ยวมีแรงขึ้นมากแล้ว ไม่สู้หาโอกาสพาพวกเขาหนีไปในวันสองวันนี้เลย อูอีเสวี่ยเอาความคิดนี้บอกพวกเด็กๆ ทุกคนรู้แล้วพากันตื่นเต้นดีใจ แต่ละคนถูมือถูไม้ เพียงรอคำสั่งจากอูอีเสวี่ยคำเดียว พวกเขาก็พร้อมจะฟันฝ่าไปกับนางอย่างห้าวหาญ
ค้างคืนกลางแจ้งอยู่ข้างนอกมานานเพียงนั้น พอตกพลบค่ำของวันนี้ขบวนรถของพี่น้องสกุลถูก็เข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่ง มีคนออกมาต้อนรับในทันที ที่แท้ในหุบเขาแห่งนี้มีหมู่บ้านซุกซ่อนอยู่ ดูจากสภาพการณ์ หมู่บ้านแห่งนี้คงจะเป็นค่ายใหญ่ของพวกเดนตายกลุ่มนี้
อูอีเสวี่ยหลบอยู่ใต้รถ ลอบสังเกตสถานการณ์ของศัตรู ในใจแอบร้องแย่แล้ว เดิมมีเพียงพี่น้องสกุลถูหกคน ตอนนี้มาถึงหมู่บ้านแล้ว จำนวนคนมีเป็นร้อยคน ถ้ารู้แต่แรกก็หนีไปก่อนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไหนเลยจะล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ มาบัดนี้มีหูตาเพิ่มขึ้นมามากเพียงนี้ จะพาเด็กๆ หนีไปเกรงว่าคงจะเอาตัวรอดไปได้ไม่ง่าย
ในเมื่อขบวนรถมาถึงหมู่บ้านแล้ว ก็แสดงว่าคืนนี้คงไม่ต้องนอนกลางแจ้งในป่า ก่อนที่อาหงและเด็กคนอื่นๆ จะถูกพาไปขังไว้ในกระท่อมหลังหนึ่งอูอีเสวี่ยก็แอบลงจากรถม้ามาก่อนแล้ว นางหาที่หลบซ่อนตัว รอถึงกลางดึกยามสาม จึงค่อยเริ่มเคลื่อนไหว
ค่ำคืนนี้พี่น้องสกุลถูกับคนในหมู่บ้านดื่มสุราเล่นสนุกกัน เป็นช่วงที่การเฝ้าระวังหย่อนยานที่สุด อูอีเสวี่ยย่องมาที่หน้ากระท่อม ไม่ผิดจากที่คาด ประตูไม้เพียงขัดดาลไว้ กระทั่งคนเฝ้าก็ไม่มี คงเพราะกลับมาถึงถิ่นของตนแล้ว ดังนั้นจึงลดความระแวดระวังลง ทำให้นางมีโอกาสได้ฉกฉวยพอดี
นางแอบถอดดาลประตู หลบเข้าไปในกระท่อม หยิบกุญแจที่แอบขโมยไว้ก่อนหน้าออกมาไขโซ่ที่คออาหงออก และถอดโซ่ที่ล่ามข้อเท้าเด็กคนอื่นๆ ขณะกำลังจะพาทุกคนหนีไปเงียบๆ ข้างนอกก็พลันมีเสียงร้องสังหารดังขึ้น สั่นสะเทือนสยบไปทั้งหมู่บ้าน และสร้างความตื่นตระหนกให้กับพวกนางยิ่ง
แสงไฟที่นอกหน้าต่างและเสียงที่ดังอยู่ข้างนอกทำให้พวกเด็กๆ ต่างตกใจทำอะไรไม่ถูก ทุกคนกอดกันกลมด้วยความหวาดหวั่นขวัญผวา อูอีเสวี่ยขมวดหัวคิ้วฟังเสียงร้องสังหาร คงจะมีคนบุกเข้ามาโจมตีหมู่บ้านแห่งนี้ แต่เป็นผู้ใดกัน
ถ้าเป็นกองกำลังทหารยังดี เกิดเป็นโจรกลุ่มอื่นก็คงไม่ดีแน่ พวกโจรฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ถึงตอนนั้นนอกจากจะช่วยเด็กๆ ไม่ได้แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของตนก็ยังจะรักษาไม่อยู่อีกด้วย
“รีบไป!” นางสั่งการพวกเด็กๆ ส่วนตนเองก็พุ่งนำออกไปก่อนและเจอเข้ากับถูเหล่าอู่ที่วิ่งมาพอดี พอถูเหล่าอู่เห็นนางก็ตะลึงงันไปทั้งร่าง จากนั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้ในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ที่แท้มีขโมยจริงๆ ไม่ใช่ลิง แต่เป็นเจ้า!” เขาตวาดพลางคว้าดาบใหญ่พุ่งเข้ามาที่นาง
ขณะที่อูอีเสวี่ยกำลังจะดึงกระบี่อ่อนที่เอวออกมา อาหงที่อยู่ข้างหลังพลันพุ่งขึ้นมาข้างหน้า ชนถูเหล่าอู่ล้มลง พร้อมกันนั้นก็เอามีดกรีดไปที่หน้าแข้งเขาแผลหนึ่ง ถูเหล่าอู่เจ็บจนร้องโอดโอย บาดแผลที่หน้าแข้งมีโลหิตสดไหลทะลักออกมา ส่วนอาหงไม่รู้มีมีดสั้นอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร
อูอีเสวี่ยคลำไปที่เอว พบว่ามีดสั้นหายไปแล้ว ที่แท้เจ้าหนูนี่พอเห็นถูเหล่าอู่ถือดาบพุ่งเข้ามาก็รีบดึงเอามีดสั้นของนางพุ่งขึ้นไปตัดเส้นเอ็นขาของถูเหล่าอู่ จากนั้นอาหงก็พุ่งกลับมา จูงมือนางแล้ววิ่งออกไปข้างนอก เด็กคนอื่นๆ ก็ตามมา อาศัยช่วงชุลมุนหนีไป
“จับตัวมาให้ข้าให้หมด ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!” เสียงตวาดสั่งการทุ้มหนักโดยใช้พลังจากจุดตันเถียนดังขึ้น แม้จะมีเสียงดาบกระบี่ปะทะกัน เสียงนี้ก็ยังดังกังวานชัดเจน
อูอีเสวี่ยหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ ท่ามกลางแสงไฟนางเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่บนที่สูงกวาดตามองทุกอย่างที่เกิดขึ้น เงาร่างนั่น ใบหน้าดวงนั้น แม้จะอยู่ห่างกันไกลโขนางก็จำได้ในทันที…
สิงฟู่อวี่!
แสงไฟส่องสะท้อนองคาพยพทั้งห้าที่คมเข้มแข็งกระด้างเยียบเย็นของเขาให้เห็นชัดเจน เขายืนอยู่ที่นั่น ก้มลงมองทุกสิ่งด้วยท่าทีเฉยเมย คล้ายว่าเพียงยื่นมือออกไปก็สามารถบงการความเป็นความตายของทุกคนได้
อูอีเสวี่ยเพิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี จู่ๆ ก็เห็นเขาหันมองมา คงเพราะความทรงจำที่หน้าผามัจจุราชแจ่มชัดเกินไป หรือไม่ก็เป็นเพราะสัญชาตญาณในการหนีเอาชีวิตรอด นางดึงมืออาหงหมุนตัวได้ก็ออกวิ่ง
สิงฟู่อวี่หรี่นัยน์ตาลงเล็กน้อย ท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างไม่ทั่วถึง เขาเห็นเงาร่างตะคุ่มๆ สองเงากำลังฉวยโอกาสจะหนีไป จึงรีบยื่นมือไปทางลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง
“เอาธนูมาให้ข้า”
ลูกน้องรีบส่งธนูยาวสีดำให้เขา สิงฟู่อวี่จับคันธนูน้าวสายเล็งไปยังเงาร่างที่กำลังวิ่งหนี เสียงดังขวับ ยิงไปยังเป้าหมาย
อูอีเสวี่ยถูกผลักให้ล้มลง ร่างกลิ้งไปกับพื้นรอบหนึ่งจึงหยุด ที่แท้อาหงจู่ๆ ก็พุ่งเข้ามากอดนางแล้วเหวี่ยงตัวลง ตรงพื้นหญ้าข้างๆ กับที่พวกเขานอนอยู่มีลูกธนูดอกหนึ่งปักอยู่ ขนนกที่ปลายลูกธนูยังสั่นไหวน้อยๆ
อูอีเสวี่ยมองอาหงที่ปกป้องนางอยู่ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา เพราะถูกเขากอดอยู่ ดังนั้นเมื่อล้มลงบนพื้นจึงไม่รู้สึกเจ็บ นางอดซาบซึ้งใจไม่ได้ เจ้าหนูนี่มีคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นตนเสี่ยงต่ออันตรายไปช่วยเขา
อาหงดึงนางขึ้นมาจะหนีต่อ นางรีบห้ามไว้ “หนีไปอาจตาย ไม่หนียังอาจมีชีวิตรอด”
เมื่อครู่นางหุนหันไป ลืมว่าเวลานี้ตนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง สิงฟู่อวี่ไม่มีทางจำนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เขาสั่งให้จับ ไม่ใช่สังหาร ถ้ายังคงคิดหนีเท่ากับบีบบังคับให้อีกฝ่ายลงมือ ลูกธนูดอกนั้นคือการเตือน
อาหงเชื่อมั่นในตัวนางเต็มเปี่ยม ด้วยเหตุนี้พอนางเอ่ยปากเขาก็เชื่อนางอย่างไม่ลังเลใจ
เนื่องจากกำลังความสามารถแตกต่างกันไกล ฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทหารจากราชสำนักที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การต่อสู้ในครั้งนี้จึงปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว กองกำลังทหารจับพวกกเฬวรากกลุ่มนี้ไว้ อูอีเสวี่ยกับพวกเด็กๆ ก็ถูกจับกลับมาด้วย
เด็กๆ จับกลุ่มอยู่ด้วยกันด้วยความหวาดกลัว อาหงดูสงบนิ่งมากที่สุด อูอีเสวี่ยมองเขาแวบหนึ่ง ในใจรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง แอบชมเจ้าหนูนี่ว่ามีอนาคต
หลังจากสงบใจได้แล้วนางเริ่มแยกแยะข้อดีข้อเสีย รู้ว่าเด็กๆ ไม่สร้างความรู้สึกคุกคามต่อผู้ใหญ่ และสิงฟู่อวี่จะไม่ทำอะไรที่เป็นภัยต่อเด็กๆ นั่นหมายความว่านางไม่ต้องห่วงว่าจะมีอันตรายต่อชีวิต
เพียงแต่นางสงสัยยิ่ง พวกค้าทาสกลุ่มนี้มีความสำคัญอันใด ถึงกับทำให้เขาใต้เท้าสิงต้องออกโรงมาจัดการด้วยตนเอง
ทหารทั้งหลายถือกระบี่ถือดาบ หันเข้าใส่พวกโจรที่ถูกจับตัวมาได้แล้วตวาดให้คุกเข่าให้ดี ส่วนสิงฟู่อวี่ก็พาลูกน้องคนอื่นๆ เดินมาทางพวกเขาที่ถูกจับเป็นเชลยกลุ่มนี้
ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้าไปรายงานจำนวนคนที่บาดเจ็บล้มตายและคนที่ถูกจับเป็น หลังจากสิงฟู่อวี่ฟังจบ สายตาก็กวาดมองไปยังใบหน้าคนเหล่านั้น มองประเมินไปทีละคนๆ
ตอนเขาเดินมาถึงเบื้องหน้าเด็กๆ สายตาก็กวาดมองผ่านใบหน้าทุกคน มองมาถึงนางสายตาก็ระผ่านไป ไม่ได้หยุดนิ่งลงแต่อย่างใด
อูอีเสวี่ยอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ นางยืนอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ เขากลับจำนางไม่ได้ นี่ไม่ใช่สวรรค์ให้โอกาสแก่นางหรือ เขาดูดพลังวัตรของนางไป นางก็จะคิดหาวิธีขโมยพลังวัตรคืนมาจากเขาให้ได้
“ใครคือถูเหล่าต้า” เสียงเย็นยะเยือกเปี่ยมอานุภาพน่าเกรงขามของสิงฟู่อวี่ดังขึ้น
ไม่มีใครตอบ และไม่มีใครกล้ายอมรับ ลูกน้องของสิงฟู่อวี่ใช้ดาบชี้ไปที่เชลยคนหนึ่งพลางตวาดขึ้น “ตอบคำถามของใต้เท้า ใครคือถูเหล่าต้า”
บุรุษคนที่ถูกดาบชี้มาที่ลำคอรีบบอก “ใต้เท้าไว้ชีวิต! ถูเหล่าต้าถูกสังหารตายไปแล้ว อยู่ในกองศพนั่น”
อูอีเสวี่ยเลิกคิ้วคิดในใจว่าคนหยาบกระด้างกลุ่มนี้ยังนับว่ามีสมอง รู้ว่าคนตายถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จึงปัดไปให้คนตาย วิธีนี้ทั้งให้ความกระจ่างได้และไม่ต้องขายพวกเดียวกัน
ทหารถามต่อเนื่องไปอีกหลายคน ล้วนตอบเหมือนกัน บอกถูเหล่าต้าตายไปแล้ว
อูอีเสวี่ยกำลังชมละครอยู่ข้างๆ จู่ๆ สิงฟู่อวี่ก็หันหน้ามา สายตาจับนิ่งอยู่ที่ร่างของนาง ทำให้นางอดตัวแข็งไม่ได้
“เจ้า ออกมา” เขาชี้มาที่นาง
อูอีเสวี่ยยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ อาหงที่อยู่ข้างกายก็ออกมายืนขวางหน้านางไว้ คุ้มกันนางไว้ข้างหลัง แววตาดุดันราวกับสุนัขป่าที่กำลังปกป้องลูกของตน
สิงฟู่อวี่หรี่นัยน์ตา ในดวงตามีประกายคมกริบเจือการกล่าวเตือนอย่างเข้มข้น อูอีเสวี่ยแอบร่ำร้องในใจว่าไม่ดีแน่ นางไม่อาจปล่อยให้เขาทำร้ายอาหง ครั้นแล้วนางจึงรีบยื่นใบหน้าน้อยๆ ออกมาจากด้านหลังอาหง
“ท่านอา ท่านเรียกข้าหรือ”
เสียงสดใสอ่อนหวานและท่าทางอ่อนแอบอบบางใสบริสุทธิ์ของนางประสบความสำเร็จในการดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่ และเปิดทางลงให้กับสิงฟู่อวี่ เขาที่เป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่อาจถือสาหาความเด็กน้อยคนหนึ่ง
สิงฟู่อวี่มองนางแล้วเอ่ยถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าถูเหล่าต้าคือใคร”
นอกจากถูเหล่าอู่แล้ว พี่น้องสกุลถูพอเห็นอูอีเสวี่ยต่างตะลึงงันกันไปหมด พวกเขาต่างประหลาดใจว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นใคร โผล่ออกมาจากที่ใดกัน
อูอีเสวี่ยไม่ได้ตอบ กลับหันไปมองถูเหล่าต้า การมองครั้งนี้ทำเอาถูเหล่าต้าเห็นแล้วขนหัวลุกชัน
สิงฟู่อวี่ไม่ได้รอนางตอบก็สั่งการออกไปโดยตรง “เอาตัวเขาไปสอบปากคำ”
“ขอรับใต้เท้า!”
“ไม่! ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยไม่ใช่ถูเหล่าต้า! พวกเราลักพาเด็กจริง แต่ข้าน้อยไม่เคยเห็นนางหนูผู้นี้มาก่อน!” ถูเหล่าต้าลนลานแล้ว ไม่รู้ว่าผีน้อยผู้นี้โผล่มาจากที่ใด
เสียดายไม่ว่าเขาจะร้องตะโกนอย่างไรสิงฟู่อวี่ก็คล้ายไม่ได้ยิน ยังคงให้คนคุมตัวเขาไป อูอีเสวี่ยในใจตื่นตระหนก นางแค่มองไปที่ถูเหล่าต้าแวบเดียว สิงฟู่อวี่ก็ชี้ขาดได้อย่างแม่นยำและออกคำสั่งทันที ทั้งไม่ได้ถามนางว่าจริงหรือเท็จ ในใจของนางรู้สึกหวั่นหวาด ดูท่าสิงฟู่อวี่ผู้นี้รับมือไม่ง่ายเลยทีเดียว
หลังจากถูเหล่าต้าถูกเอาตัวไป อูอีเสวี่ยกับเด็กๆ ทั้งหลายก็ถูกขังไว้ในกระท่อมหลังเดิม นางนั่งครุ่นคิดอยู่ที่พื้น ตอนนี้เด็กๆ ไม่มีอันตรายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรสิงฟู่อวี่ก็เป็นขุนนางที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากราชสำนัก ย่อมต้องจัดการส่งเด็กๆ เหล่านี้ไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม นางไม่จำเป็นต้องกังวล ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งของนางในเวลานี้คือหาวิธีเข้าใกล้สิงฟู่อวี่เพื่อเอาพลังวัตรของนางคืนมา
กองกำลังของสิงฟู่อวี่เข้ายึดครองหมู่บ้าน ตอนกลางคืนในหมู่บ้านมีทหารออกตระเวนตรวจตรา
อูอีเสวี่ยแม้จะเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดในหมู่เด็กๆ แต่หลังจากกินนอนอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่ง เด็กๆ ต่างเห็นนางเป็นผู้นำ และมักจะคอยเดินตามหลังนาง แม้แต่ยามค่ำคืนก็พากันเข้ามาเบียดอยู่ด้วยกันกับนาง เนื่องจากกลางคืนอากาศเย็น ทหารจึงเอาผ้าห่มหนาหลายผืนมาให้พวกเด็กๆ ห่มด้วยกัน
นางพบว่าบนร่างของตนมีผ้าห่มเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่ง จึงหันไปมองอาหงที่อยู่ข้างๆ เพียงเห็นอาหงยกผ้าห่มให้นางทั้งผืน ส่วนตนเองกลับนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างหนึ่ง สองมือกอดอกวางท่าดุจผู้ใหญ่ตัวเล็ก
“ข้าไม่หนาว” อาหงบอก
อูอีเสวี่ยไม่เชื่อ เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน ทั้งดูไม่คล้ายคนฝึกยุทธ์ที่สามารถโคจรพลังลมปราณสร้างความอบอุ่นให้ตนเอง ผ้าห่มนี่ต้องเบียดอยู่ด้วยกันจึงจะพอห่ม เจ้าหนูนี่คงรู้สึกขัดเขินที่จะมาเบียดกับนางกระมัง ครั้นแล้วนางจึงขยับเข้าไปหาเขา ดึงดันจะห่มผ้าร่วมกับเขาสองคน จากนั้นก็เอียงตัวไปซุกอยู่ในอ้อมอกของเขาเพื่อหาความอบอุ่น อาหงก้มลงมองนาง ในดวงตามีประกายอบอุ่น ในที่สุดก็ค่อยๆ ยื่นมือมากอดนางไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนอูอีเสวี่ยตื่นขึ้นมาพบว่าอาหงยังคงนั่งอยู่ไม่ได้ลุกขึ้นมา หลังจากบังคับถามถึงรู้ว่าขาของเขาชาไปหมด ที่แท้เจ้าหนูนี่นั่งอยู่ท่าเดิมมาทั้งคืน กลัวว่าถ้าขยับตัวจะทำให้นางตื่น ทำให้นางทั้งซาบซึ้งใจทั้งนึกขำ
“ข้าจะช่วยนวดให้เจ้า” นางพูดพลางจะเข้าไปช่วยเขานวดขา แต่อาหงกลับไม่ยอมให้นางแตะต้อง
“ไม่ต้องหรอก” สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน
ตอนแรกนางมีสีหน้าฉงน จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ “ฮ่าๆ เจ้ากลัวจั๊กจี้หรือ”
เขารีบโต้แย้ง “ไม่กลัว!”
นางกะพริบตาปริบๆ ยื่นนิ้วมือไปจี้เอวเขาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เมื่อถูกจี้ ตัวเขากระตุกเล็กน้อย รีบคว้ามือนางมาจับไว้แล้วถลึงตาใส่นาง
อูอีเสวี่ยหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆ เจ้ากลัวจั๊กจี้จริงๆ”
เด็กคนอื่นๆ ก็หัวเราะตาม เด็กที่ซุกซนก็คิดจะมาจี้เขาบ้าง ทว่ากลับถูกอาหงถลึงตาใส่อย่างดุดัน ตกใจจนต้องหดมือกลับ เด็กเหล่านี้เดิมก็กลัวอาหงอยู่แล้ว แต่อูอีเสวี่ยไม่ใช่เด็กจริงๆ ดังนั้นนางจึงไม่กลัว หัวเราะฮ่าๆ ต่อไป อาหงดุเพียงใดก็แค่ถลึงตาใส่นางเท่านั้น แต่พอประตูถูกเปิดออก ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา อาหงก็รีบปกป้องนางไว้ข้างหลัง มองจ้องอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง การปกป้องคุ้มครองของเขาทำให้อูอีเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง คิดในใจว่ารอให้วรยุทธ์ของนางฟื้นคืนดังเดิมแล้วจะรับอาหงเป็นลูกศิษย์
“ไปรับแผ่นแป้งย่างที่ห้องโถงใหญ่” ที่แท้ทหารมาเรียกพวกนางไปกินอาหาร
พวกเด็กๆ พอได้ยินว่ามีของกินก็คึกคักขึ้นมา อูอีเสวี่ยจูงมืออาหงไปรับแป้งย่างมากินพร้อมกับทุกคน
อาหารที่พวกเขาได้รับแจกคือแผ่นแป้งย่างไส้หมูสับ เมื่อคืนทุกคนได้รับความตื่นตระหนก ทั้งกลัวว่ามีมื้อนี้แล้วอาจไม่มีมื้อหน้า จึงกินกันอย่างรู้คุณค่า
หลังจากกินอิ่ม ทหารก็พาหญิงสูงอายุคนหนึ่งเข้ามาแล้วสั่งพวกเด็กๆ “เนื้อตัวพวกเจ้าเหม็นมาก ไปชำระล้างให้สะอาดก่อน เด็กผู้หญิงตามท่านยายไป เด็กผู้ชายตามข้ามา”
พอได้ยินว่าในที่สุดก็จะได้อาบน้ำ อูอีเสวี่ยดีใจยิ่งนัก นางกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังจะเดินตามท่านยายไป พลันพบว่ามือถูกรั้งไว้ ที่แท้อาหงกุมมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย
นางมองดวงหน้าน้อยที่ดื้อรั้นของอาหงก็รู้ว่าเขาไม่วางใจ จึงยิ้มแล้วเอ่ยปลอบ “วางใจเถิด ไม่เป็นไร เชื่อข้า”
อาหงมองรอยยิ้มสดใสของนาง ไม่รู้ทำไมเขาจึงเชื่อถือนาง เขาพยักหน้าแล้วจึงปล่อยมือ
หลังอาบน้ำเสร็จ ท่านยายและเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างเห็นดวงหน้าน้อยงดงามอ่อนหวานของอูอีเสวี่ยก็พากันตกตะลึงในความงาม
“นางหนูผู้นี้ช่างสะสวย ใบหน้าดวงนี้งดงามยิ่งนัก ราวกับเทพธิดาตัวน้อยๆ” ท่านยายร้องอุทานไม่หยุด เด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ก็เข้ามาห้อมล้อม มองจ้องนางตาไม่กะพริบ
อูอีเสวี่ยเดิมก็เป็นหญิงงาม นางในวัยเด็กย่อมหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ใครเห็นใครรัก นางส่งยิ้มหวานให้ท่านยาย ทำเอาท่านยายจิตใจเบิกบาน ยิ่งปฏิบัติต่อนางด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนมากขึ้น
“นางหนู เจ้ามาจากที่ใด ชื่อเรียงเสียงใด ที่บ้านยังมีผู้ใดอีกหรือไม่”
“ท่านยาย ข้าชื่ออาเสวี่ย ข้าจะไปเมืองชิงหูหาท่านพ่อท่านแม่ของข้า”
ท่านยายลูบไล้ตัวนางด้วยความรักและสงสาร “นางหนูที่น่าสงสาร ตลอดทางที่ผ่านมาเจ้าคงลำบากไม่น้อย วางใจ คนเลวเหล่านั้นถูกจับขังไว้หมดแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ”
อูอีเสวี่ยมองออก ท่านยายผู้นี้เป็นห่วงนางด้วยความจริงใจ นางจึงขยับเข้าไปซุกอกท่านยาย ท่าทางออดอ้อนน่าสงสารทำให้ท่านยายรักและเอ็นดูหมดหัวใจ ทั้งโอบทั้งกอดนาง เต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร
อูอีเสวี่ยออกมาจากห้องอาบน้ำ รูปร่างหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูดึงดูดความสนใจจากผู้ใหญ่หลายคน ทหารเหล่านั้นต่างมองแม่หนูน้อยผู้นี้ มองแล้วมองอีก เด็กผู้ชายพออาบน้ำเสร็จแล้ววิ่งออกมาเห็นอาเสวี่ย ต่างเบิกตาโตจ้องมองนาง อาหงก็มองนางอย่างตะลึงงัน
อูอีเสวี่ยเห็นอาหง ดวงตางามก็เปล่งประกายวาว หึ ที่แท้เขาก็เป็นเจ้าหนูที่หล่อเหลาคนหนึ่ง แม้จะผอมไปหน่อย ดำไปหน่อย แต่ขอเพียงเลี้ยงดูให้ดี เชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง
เนื่องจากพวกเขายังเป็นเด็ก ทหารทั้งหลายจึงไม่ระแวงพวกเขา พวกเขาสามารถเดินอยู่ในหมู่บ้านได้อย่างมีอิสระ อูอีเสวี่ยจึงฉวยโอกาสนี้เดินดูไปทั่วๆ แต่ปัญหาก็มาแล้ว นางเดินไปที่ใด เด็กๆ ก็ตามถึงที่นั่นเป็นพวง แม้แต่อาหงก็คล้ายเป็นองครักษ์ประจำตัวนางเช่นนั้น คอยปกป้องอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา
ครานี้อูอีเสวี่ยปวดหัวแล้ว มีผู้ติดตามเป็นเรื่องดี แต่เป้าสายตาใหญ่เกินไป เช่นนี้นางจะแอบไปทำธุระได้อย่างไร ทันใดนั้นสมองพลันสว่างวาบ นางนึกวิธีขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง จึงชวนพวกเด็กให้มาเล่นซ่อนหากัน ทุกคนล้วนยังมีจิตใจของเด็ก ทั้งหลุดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจของพวกค้าทาสมาแล้ว กอปรกับทหารเหล่านี้ก็ดีต่อพวกเด็กๆ มาก ดังนั้นพอได้ยินว่าจะเล่นซ่อนหา ทุกคนจึงรับคำด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อาหง เจ้าเป็นผี ปิดตาแล้วตามหาทุกคน นับถึงร้อย ยังนับไม่ครบห้ามแอบมอง” อูอีเสวี่ยสั่งอาหงทันที นางเป็นลูกพี่ของเด็กๆ คำพูดนางมีน้ำหนัก ขอเพียงให้เขาเป็นคนหา ก็ไม่มีทางตามนางไปได้แล้ว
อาหงจนปัญญาจำต้องปิดตาหันหน้าเข้าหาต้นไม้แล้วเริ่มนับ เด็กๆ รีบแยกย้ายกันไป ต่างหาที่ซุกซ่อนตัว อูอีเสวี่ยกลับฉวยโอกาสนี้ดอดหนีไปอย่างเปิดเผย
โปรดติดตามตอนต่อไป วันที่ 24 เม.ย. 62
Comments
comments