Jamsai
ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 6
บทที่ 6
เวรแล้ว! เวรแล้ว! เวรแล้ว!
ชายหนุ่มเสยผมที่เปียกชื้นกลางสายฝน ความโมโหและยึดมั่นในตัวเองที่น่ารังเกียจคุกกรุ่นอยู่ในอก เขาไม่ควรพูดแบบนั้นออกไป เขาไม่ควรประชดเธอ
‘ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด’
เธอพูด
‘ฉันไม่ได้ฆ่าคน’
ผู้หญิงคนนั้นไม่เข้าใจสถานการณ์ เธอไม่เข้าใจว่าเขาโกรธอะไร ก็เหมือนกับที่เธอไม่เข้าใจว่าเธอจะดูแลตัวเองปกป้องตัวเองอย่างไร
ในอดีตเธอเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ถูกปิดกั้น ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยก หลายปีนี้เธอพยายามจะเรียนรู้ แต่เรื่องบางเรื่องเธอก็เหมือนกับเด็กเล็กๆ
เธอบอกว่าเธอไม่ได้โง่ จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ เธอแค่โง่เรื่องความรัก แล้วหลายปีที่ผ่านมาเขาก็ตั้งใจทำให้เธอเป็นแบบนี้
เพราะแบบนี้ถึงจะปลอดภัยที่สุด ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขา
เขาต้องกันไม่ให้ตัวเองเข้าไปใกล้ชิดเธอมาก พยายามรักษาความสัมพันธ์ด้านการทำงานไว้
เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะเปลี่ยนมาเอาใจใส่ มีสักวันที่เรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเขา
เขาแอบสบถทีนึง แล้วก็ลงจากต้นไม้ไป ตามเธอก่อนที่เธอจะหายไปได้ทัน
เธอไม่ได้หยุดฝีเท้ายังคงเดินต่อไป
“ฉันไม่ได้ขอร้องให้คุณมาปกป้อง ฉันไม่ได้ขอร้องให้คุณมาที่นี่”
เธอไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ควรเดินหนีไป ไม่ควรพูดกับเขาแบบนี้ ไม่ควรโมโหใส่เขา แต่ก้อนแข็งๆ ที่ติดอยู่ในใจทำให้เธอพูดออกมา
เธอควรจะควบคุมตัวเองให้ได้ การฝึกของเธอทั้งหมดก็เพื่อให้เธอทำเรื่องพวกนี้ เธอต้องสงบนิ่ง แม่นยำ ไร้ความรู้สึก หลายปีที่ผ่านมาเธอสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
จนกระทั่งตอนนี้
เธอทั้งเหนื่อยและหิว ตอนที่เธอรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ ตอนที่เธอรู้ว่าเขามาหาเธอ ตอนนั้นเธอรู้สึก…ดีใจมาก
ถูกต้อง เธอควรจะดีใจมากสิ ดีใจเหมือนที่เขาให้ลูกอมมิ้นต์กับเธอทุกปี
หลายวันที่ผ่านมาเธออยากจะเจอเขามาก
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้เลยว่าเขาครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในหัวใจของเธอไปแล้ว
ตอนที่เธอรู้ว่ามีระเบิดติดตัวอยู่ เธอคิดว่าตัวเองจะไม่กลัว แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยหวาดกลัว ความหวาดกลัวไม่มีประโยชน์ ความหวาดกลัวคือสิ่งที่ขัดขวางการทำงาน แต่เมื่อภาพของเขาโผล่เข้ามาในหัว เธอก็รู้ว่าไม่ว่าเธอจะพยายามยังไงก็ไม่อาจลบเขาออกจากหัวใจเธอหมดสิ้นได้
ในเวลานั้นเธอถึงรู้ว่า…แท้จริงแล้วเธอก็กลัวเป็น
เธอกลัวว่าจะไม่ได้เจอเขาอีก กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปที่บ้านเรือนั่นอีก
ความหวาดกลัวแล่นผ่านเข้ามา เข้าไปเกาะกุมในหัวใจ กำลังยื้อยุดเธอ แต่เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นจริงๆ กลับมีแต่คำด่าว่า
อารมณ์หงุดหงิดที่อัดแน่นอยู่ในใจเธอพยายามกดไว้แต่ก็กดไม่อยู่ ทันใดนั้นไอร้อนผะผ่าวก็พุ่งขึ้นมาถึงดวงตา
อะไรกันนี่
เธอตกใจนิ่ง รีบยกมือขึ้นเช็ดออก ตั้งใจจะให้น้ำตาหยุดไหล แต่น้ำอุ่นๆ นั่นกลับไม่เป็นไปอย่างใจเธอ มันไหลออกมาไม่ได้หยุด
เมื่อเป็นแบบนี้เธอจึงรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้น เดินย่ำไปบนพื้นโคลนอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หลุดปากด้วยความโมโหว่า
“ฉันทำเรื่องที่อยากจะทำ เรื่องที่สมควรจะทำ ถ้ามันทำให้คุณไม่พอใจ คุณก็ไล่ฉันออก กลับไปหาคนบ้าที่โง่เง่าและมุทะลุทางอินเตอร์เน็ตเถอะ”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นจัด ชายหนุ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ แล้วให้ตายสิ! ในเสียงที่แหบนั่นยังแอบซ่อนความรู้สึก…
ไม่ เป็นไปไม่ได้ เธอไม่เป็นอย่างนั้นหรอก
“ผมไม่ได้อยากจะหาคนบ้าที่งี่เง่าแล้วก็มุทะลุอีกคน” เขาก้าวยาวๆ ตามเธอทัน ยื่นแขนไปคว้าตัวเอาไว้ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
พื้นดินลื่นอยู่แล้วตอนที่เธอถูกเขาดึงจึงทำให้เสียหลัก เธอรีบคว้าตัวเขาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป เขายื่นมือทั้งสองดึงเธอเข้ามาแนบอก ศีรษะเธอกระแทกโดนกับอกเขา ตอนนี้เองที่เขาเห็นใบหน้าเธอเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างชัดเจน
บ้าเอ๊ย ให้ตายสิ
เขาหงุดหงิด หัวใจกระตุก
เธอผงะถอยหลังอย่างรวดเร็ว แต่เขาโอบแขนทั้งสองข้างกอดเธอให้แน่นขึ้น
เธอตกใจยืนนิ่ง คิดจะดิ้นรนแต่ก็กลัวว่าจะทำให้เขาล้ม จากที่เดินมาทั้งบ่ายทำให้เธอรู้ว่าพื้นดินในป่าดิบชื้นแห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนหิน โคลน และใบไม้เน่าเปื่อย
หากลื่นล้มในความมืด ศีรษะกระแทกจนเลือดออกก็คงไม่แปลก
เธอจึงได้แต่ยืนรอให้เขาปล่อยมือ แต่เขาไม่เพียงไม่ยอมปล่อยมือ ยังกดศีรษะเธอให้ซุกเข้าไปที่หน้าอกเขาอีก
หัวใจเธอเต้นแรง หน้าร้อนฉ่า แต่เธอก็บอกตัวเองว่าเขามองไม่เห็น
“ฉันยืนได้แล้ว” เธอเบี่ยงหน้าออกร้องเตือนเขา
“ผมรู้” เสียงแหบห้าวตอบ
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ยังกดศีรษะของเธอไว้จนใบหน้าด้านหนึ่งของเธอแนบติดอยู่ที่หน้าอกอบอุ่น ได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น
ทั้งสองคนยืนเปียกปอนท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
ตั้งแต่รู้จักเธอมา มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เธอจะแสดงอารมณ์ เธอถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เขาไม่เคยเห็นเธอร้องไห้มาก่อน ไม่เคยเห็นเธอน้ำตาไหล เมื่อเขารู้สึกได้ถึงน้ำตาของเธอ เมื่อเขาแน่ใจว่ามันคือน้ำตา เขารู้สึกว่าจิตใจสับสนยิ่งนัก
เขากอดหญิงสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก รู้สึกถึงอารมณ์สับสนมากมายที่ตีกันอยู่ในอก หงุดหงิด โมโห ไม่สบอารมณ์ สงสาร หวาดกลัว แต่ก็ยังมีความสบายใจอย่างประหลาด เหมือนกับน้ำแกงหม้อใหญ่ที่กำลังเดือดพล่าน เครื่องปรุงต่างๆ ผสมปนเปกัน มันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
ไม่ควรจะเป็นแบบนี้…
เขาคิดอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อเธอเข้ามาในอ้อมกอด รู้สึกถึงความอบอุ่นของเธอ เสียงหัวใจเต้นของเธอ ได้กลิ่นของเธอที่คุ้ยเคยมานาน ความไม่สบายใจในหลายวันที่ผ่านมาในที่สุดก็สงบลง
ไม่ควรจะเป็นแบบนี้…
เขาหลับตาลงพลางคิด อดที่จะก้มหน้าลงสูดกลิ่นกายของเธอเข้าไปในปอดไม่ได้ รู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นของเธอที่แนบกับหน้าอกเขา สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวเธอ
หญิงสาวกัดริมฝีปาก กลั้นน้ำตา ใจเต้นรัว ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่รู้ว่าตกลงเขาเป็นอะไร ความรู้สึกโมโหและหงุดหงิดกลับลดลงเพียงเพราะเขาไม่ยอมปล่อยมือ
เธอซุกหน้าเข้าที่อกเขา แอบดึงเสื้อที่เปียกชื้นของเขาอย่างไม่รู้ตัว ซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายเขา
น้ำตายังคงคลอเบ้า ผสมกับสายฝน แต่ก็ถือว่าค่อยๆ หยุดลงแล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของเขาและเธอที่ค่อยๆเต้นช้าลง อารมณ์ตื่นเต้นค่อยๆ สงบลง อาจเป็นเพราะความหนาวเหน็บ ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวดและความหิวโหยที่เริ่มแสดงฤทธิ์เดชอีกครั้ง
จังหวะเดียวกับตัวเธอเริ่มสั่นเพราะความหนาว เขาก็อุ้มเธอขึ้นมาและพาเธอกลับไป
เธอเกร็งตัวเล็กน้อย กำลังคิดจะเอ่ยปากให้เขาปล่อยเธอลง เธอไม่ชินที่จะให้ใครมาอุ้มแบบนี้ แต่เธอเหนื่อยแล้ว และเธอไม่อยากทำให้เขาโมโหอีก ร่างกายเขาช่างอบอุ่น เธอจึงเกาะมือไปที่ไหล่เขา ให้เขาอุ้มเธอได้ตามสบาย
เขาพาเธอไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีใบหนาทึบ รากต้นไม้ใหญ่โตมาก เหมือนกับไม้กระดานที่ตั้งสูงหลายสิบเซ็น ยิ่งบริเวณที่ใกล้ลำต้นก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าต้นขาเธอซะอีก ดูเหมือนกับกำแพงไม้ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
เขาให้เธอนั่งอยู่ด้านบน ล้วงเอาอาหารอัดแท่งจากกระเป๋าส่งให้ เธอคลำเพื่อฉีกห่ออาหารในความมืด กัดเข้าไปคําหนึ่งแล้วค่อยๆ เคี้ยว
ในขณะที่เธอกำลังกินอาหาร ฝนก็ค่อยๆ หยุดตก เขาหันหลังเดินจากไป แต่ไม่นานนักก็กลับมา
วินาทีถัดมา บริเวณเท้าของเธอมีแสงสลัวๆ ขึ้น เขานั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น มือก็หยิบผ้าขนหนูออกมาจากเป้กันน้ำสีเขียวเข้มส่งให้เธอ
เธอรู้ว่าเขากลัวว่าจะถูกค้นพบเข้าจึงไม่ได้เปิดไฟให้สว่างมากนัก ร่างกายของพวกเขาทั้งสองกับความสูงของต้นไม้ช่วยปิดบังแสงไฟส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำให้แสงสลัวนี้ลอดออกไป
พอไฟสว่างขึ้นเขาถึงได้เห็นเธอชัดเจน
ผู้หญิงตรงหน้านี้ก็เหมือนกับแมวที่ตกน้ำ ซูบผอม ซีดเซียว และเปียกปอนไปทั้งตัว
หลังจากผ่านความทรมานมาหลายวัน กระดุมเสื้อเชิ้ตเธอหลุดไปหลายเม็ด แขนขาและใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล หน้าผากบริเวณไรผมของเธอยังเห็นรอยบาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีเลือดซึมออกมาบ้าง เสื้อเชิ้ตตรงเอวขวามีรอยฉีกขาดและยังเปื้อนเลือดอีกด้วย
เธอยังคงก้มหน้าค่อยๆ เคี้ยวอาหารแท่งที่รสชาติแย่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา
ชายหนุ่มหยิบกระเป๋ายาออกจากเป้กันน้ำ ทำความสะอาดและใส่ยาที่แผลบนหน้าผากให้เธอ
เธอไม่ได้ขัดขืน ไม่แม้แต่จะชะงัก ตอนที่เขาพยายามจะถอดเสื้อของเธอออก เธอก็ยกแขนขึ้นถอดเสื้อตัวนั้นเอง แล้วยื่นมือมารับกระเป๋ายาจากเขา ลงมือทำความสะอาดบาดแผลตัวเอง
เธอยังสวมเสื้อชั้นในอีกตัวหนึ่ง ไม่ได้เปลือยท่อนบน แต่การที่เธอถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขาอย่างสบายๆ มันทำให้มุมปากเขากระตุก
เขาสงสัยว่าเธอไม่ได้รู้เลยว่าไม่ควรทำอะไรบ้างต่อหน้าผู้ชาย บางทีเขาไม่ควรจะสนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้หญิงโป๊ เขาทำงานสายนี้ไม่ว่าจะคนระดับไหนเขาก็รู้จัก ผู้หญิงที่เปลือยทั้งตัวเขาก็เห็นมาไม่น้อย แต่สำหรับเธอที่ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง กลับเป็นความอึดอัดของเขาในหลายปีนี้
ตอนนี้เองเขาสังเกตไหล่ขวาของเธอมีรอยบวมแดงขนาดใหญ่ เขารู้ดีว่าอาการบาดเจ็บแบบนี้อีกสองวันก็จะกลายเป็นรอยช้ำเขียวน่ากลัว
ความกังวลใจก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หนังตากระตุก เขากำมือแน่น สูดลมหายใจลึกระงับอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกกลับลงไป
มันเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าโมโหใส่เธอก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่อารมณ์โมโหของเขา
เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอใส่ยาเรียบร้อยก็จะสวมเสื้อเชิ้ตที่ขาดวิ่นตัวนั้นกลับไป เขาออกปากรั้งเธอ
“หันหลังไปถอดเสื้อชั้นในออก แล้วเช็ดตัวให้แห้งซะ”
เธอมองเขาครู่หนึ่งแล้วทำตามที่เขาบอก เอาผ้าขนหนูที่อยู่บนศีรษะมาเช็ดตัวให้แห้ง
ด้านหลังของเธอมีรอยจ้ำแดงขนาดใหญ่ซึ่งจะเขียวช้ำในไม่ช้า และก็อยู่ที่ตำแหน่งไหล่ขวา นอกจากรอยบวมแดงยังมีบาดแผลอีกด้วย
“หัวไหล่โดนอะไรมา”
“โดนกระแทก” เธอตอบง่ายๆ
เขาขมวดคิ้ว “โดนกระแทกทั้งหน้าทั้งหลังเลย?”
เธอตอบง่ายๆ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก “ตอนที่ฉันได้สติขึ้นมาก็อยู่ริมน้ำ บนภูเขามีฝนตกหนัก น้ำไหลบ่ามาเร็วจนขึ้นฝั่งไม่ทัน ตอนที่อยู่ในน้ำโดนท่อนไม้ที่ลอยมากระแทกไหล่หลุด แล้วฉันก็ยังต้องการใช้มือขวา ก็เลยหาวิธีกระแทกให้มันกลับมาเหมือนเดิม”
คำตอบของเธอทำให้เขาเม้มปากแน่น หนังตากระตุก
เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เพราะคำถามของเขาทำให้เธอคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“คุณตามหาฉันเจอได้ยังไง” คอนแทกเลนส์พิเศษที่เกาอี้ให้ลอยไปกับน้ำแล้ว เธอยังคิดว่าคนของเรดอายไม่น่าจะรู้ตำแหน่งของเธอ
“ผมเป็นนักสืบ” เขาพูดเรียบๆ “ผมมีความสามารถในการหาคน”
เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักสืบ แล้วก็รู้ด้วยว่าเขามีความสามารถในการหาคน แต่เธอคิดว่านั่นมันเฉพาะในเมือง ที่นี่ไม่ใช่เมือง ไม่ได้มีผู้คนมากมายให้เขาไปสอบถามหรือสืบหา
เธอยังอยากจะถามต่อไปอีก แต่ชายหนุ่มกลับพูดต่อว่า “พวกเราต้องขึ้นไปบนต้นไม้ ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
เธอเห็นด้วยจึงได้สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้นแล้วใส่ไม่สบายตัว แต่ดีกว่าไม่มีใส่
เพราะไม่อยากให้เสื้อที่เปียกแนบไปตามตัวเธอจึงไม่ได้ติดกระดุม เพียงแค่ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วดึงชายเสื้อมาผูกเป็นปมไว้ด้านหน้า
เมื่อเธอสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วหันกลับมา เขาสะพายเป้นั่งยองๆ ลงที่พื้น สองมือประสานกันไว้ด้านหน้า ท่าทางที่บอกให้เธอเหยียบมือเขาขึ้นไป
เธอก้าวเท้าไปที่มือนั่น เขาช่วยส่งตัวเธอขึ้นไปบนต้นไม้ เมื่อจับกิ่งไม้ได้เธอม้วนตัวขึ้นอย่างคล่องแคล่ว จับกิ่งไม้ที่ใหญ่กว่าเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่อีกต้น
เธอหันกลับมามอง เห็นเขาไม่ได้ตามขึ้นมา ยังคงนั่งอยู่ที่พื้น แต่แล้วเพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็ปีนขึ้นต้นไม้มา เธอจึงเห็นว่าเขาเกลี่ยใบไม้ที่เน่าเปื่อยเพื่อกำจัดร่องรอยของทั้งคู่ที่เหลืออยู่ในบริเวณนั้น และที่เมื่อครู่เขานั่งยองๆ อยู่ที่พื้นก็เพื่อทำเรื่องเดียวกันนี้
ต่อมาเขาก็ดับไฟสลัวนั่น
บริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความมืดมิด เธอหยุดรอ เขามาอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว อยู่ข้างหลังเธอ เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจและไออุ่นจากร่างกายเขา
และก็เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่ไหน เธอมั่นใจว่าตอนที่เขาดับไฟนั้นเขาไม่เห็นเธอ เธอเองก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรด้วย
แต่เขาก็หาเธอพบ เหมือนกับครั้งที่แล้ว
“ตามผมมา”
เขาบอกกับเธอเสียงเบา ผ่านหน้าเธอไปเหมือนกับเป็นวิญญาณ
เธอมองไม่เห็น ไม่เข้าใจว่าเขาสามารถเคลื่อนไหวในความมืดได้อย่างไร แต่เธอก็ตามไป เธอมีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ดีมาก ต่อมาถูกฝึกฝนจนยอดเยี่ยม การเคลื่อนไหวในความมืดสำหรับเธอแล้วไม่ใช่เรื่องยาก แต่เคลื่อนไหวบนต้นไม้ในความมืดก็ย่อมมีความลำบากอยู่บ้าง
ถึงแม้ต้นไม้จะมีขนาดใหญ่ ทว่าก็มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ไม่น้อย มันทั้งชื้นและลื่น เธอไม่อาจเดินต่อไปได้เร็วนัก แตกต่างกับเขาที่เคลื่อนไหวบนต้นไม้ได้คล่องแคล่วเหมือนนี่เป็นสวนหลังบ้านของเขา ทุกครั้งที่เธอเริ่มจะตามเขาไม่ทัน เขาก็จะหยุดรอเธอ
เมื่อเธอเหยียบไปที่ตะไคร่น้ำจนเสียหลัก เขาก็หันมาดึงเธอไว้ได้ทันราวกับว่ามีตาหลัง
เธอค่อยๆ เห็นเงารางๆ แล้วก็เห็นกิ่งไม้ที่อยู่ใต้เท้า เธอค่อยๆ ปรับสายตาเข้ากับความมืดแล้วจึงพบว่าบนต้นไม้สูงแบบนี้ไม่เหมือนป่าดิบชื้นด้านล่าง ข้างบนนี้ไม่ได้มืดมิดเสียทั้งหมด
เมฆบนท้องฟ้าเริ่มสลายตัว พระจันทร์ถูกเมฆที่ยังหลงเหลืออยู่บดบังเห็นเพียงเงารางๆ ส่องแสงสลัวๆ ออกมา
จากนั้นเขาก็หยุดอยู่ตรงรอยแยกของกิ่งไม้ที่กว้างพอให้คนนั่งห้อยขาได้อย่างสบายๆ ด้านหลังยังมีลำต้นให้พิง ที่นี่สบายกว่าที่ที่เธอหาเจอเมื่อครู่มากนัก ใหญ่กว่า มั่นคงกว่า แล้วก็ปลอดภัยกว่า
คืนนี้อากาศออกจะชื้นและน่าอึดอัด
เขาปลดเป้นั่งลงแล้วมือยื่นมาหาเธอ
เธอไม่ควรที่จะใกล้ชิดกับใครสักคนขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยชิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะเลือกอะไรได้ ดังนั้นเธอจึงขยับตัวไปจับมือของเขาไว้แน่น
เขาให้เธอนั่งอยู่ด้านหน้าเขา เธอนั่งลงบนเป้กันน้ำ แต่แล้วเขาก็ยื่นมือดึงให้เธอนั่งถอยหลังมาอีก
เธอไม่ได้ขัดขืน กระเถิบเข้าไปพิงเขาไว้อย่างตามที่เขาต้องการ แล้วก็รู้สึกว่านั่งท่านี้ไม่เลว เหมือนกับกึ่งนั่งกึ่งนอน
เขาพิงอยู่กับต้นไม้ ส่วนเธอพิงเขาไว้
จากมุมนี้เธอสามารถมองผ่านใบไม้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน มองเห็นเมฆและดวงจันทร์รางๆ
แล้วเขาก็ยื่นมือมาปิดตาเธอ
“นอนซะ”
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นเบาๆ ข้างหู
แม้จะสงสัยว่าตัวเองจะนอนหลับได้ไหม แต่เธอก็เอียงหน้าเล็กน้อยแล้วหลับตาลง
เสียงหัวใจเต้นของเขาดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้รู้ตัวว่าใบหน้าของตนแนบสนิทอยู่กับหน้าอกเขา ไม่รู้ว่าเขาถอดเสื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าเขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อตั้งแต่ต้นกันแน่?
เธอนึกไม่ออก
เธออยากจะถอดเสื้อและเสื้อชั้นในที่เปียกชื้นนี่ออก แล้วยังกางเกงที่เปียกจนแนบติดลำตัวนี่ด้วย แต่ที่เธอไม่ชอบมากกว่าก็คือโดนยุงกัด
เธอขยับตัวเอนลงนอนตะแคง หาท่าที่สบายขึ้นและระบายอากาศได้ดีขึ้น
เขาปล่อยเธอตามสบาย เพียงแค่ยื่นมือโอบเอวเธอไว้เพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะไม่ตกลงไป
พอได้นอนตะแตงแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก ด้านล่างไม่มีลมพัดเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากบนนี้ที่มีลมพัดมาเบาๆ เป็นครั้งคราว ซึ่งดีกว่าไม่มีเลย
เธอแอบถอนใจเบาๆ อยู่ๆ ก็คิดถึงการกระทำของเขาเมื่อครู่
“คุณตามหาฉันเจอได้ยังไง”
เขาไม่ได้ตอบ มีเพียงแต่เสียงหัวใจเต้นของเขาที่ดังอยู่ข้างหูเธอ
เธอคิดว่าเขาจะไม่พูดอะไร แต่เมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ยินเขาเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “อาเจิ้นบอกสัญญาณตำแหน่งสุดท้ายของคุณให้ผมรู้ เมื่อผมไปที่ฝั่งน้ำนั้นผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้น”
เธออึ้งไปเล็กน้อยก่อนบอกกับเขาด้วยเสียงแหบหน่อยๆ
“คนของหน่วยเนวี่ซีล”
“ผมเห็นแล้ว”
แขนเขาพาดอยู่ที่เอวของเธอ เธอรับรู้ได้ว่าเขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์โกรธ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ
เธอเข้าใจเรื่องที่เขาไล่ตามเสียงจนหาชายคนนั้นเจอ แต่มันก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าหลังจากนั้นเขาหาเธอเจอได้อย่างไร แล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่คาใจเธออยู่
ถ้าเขาหาตัวเธอเจอได้ นั่นก็หมายถึงคนอื่นก็อาจจะหาเจอได้เหมือนกัน
“มืดขนาดนี้ทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน”
เขามองเมฆและดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามค่ำคืน นิ่งไปครู่ เขารับรู้ถึงความกังวลใจของเธอ หากไม่ได้คำตอบเธอไม่อาจวางใจ
“ผมโตมาบนภูเขา” เขาบอกกับเธอ “พ่อผมเป็นนายพราน พ่อสอนให้ผมตามรอยสัตว์ สอนให้ล่าสัตว์ที่วิ่งอยู่บนพื้น ว่ายอยู่ในน้ำ บินอยู่บนท้องฟ้า แล้วก็สัตว์ป่าที่มีความปราดเปรียวว่องไว สำหรับร่องรอยของคน…ยิ่งเห็นได้ง่ายมาก”
นี่อธิบายได้เพียงบางเรื่อง
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เธอไม่อาจเชื่อใจใครได้ ดังนั้นจึงระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นเขาก็เหมือนกัน นิสัยนี้มันไม่ดีเลย ทำร้ายจิตใจคนได้ เธอรู้ แต่เธอเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เมื่อคิดทบทวน ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับของตัวเอง
“คุณไม่ได้ทำอะไรผิด” เขาใช้นิ้วสางผมชื้นเล็กน้อยของเธอ แล้วพูดอย่างเปิดอก “ผมใช้เวลานานกว่าปกติในการตามหาตัวคุณเจอ”
เธออึ้งไปเล็กน้อย ก้อนแข็งๆ ที่ติดแน่นอยู่ในอกอยู่ๆ ก็สลายไป เธอค่อยๆ สูดลมหายใจแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ร่างกายผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว
เธอได้ยินเสียงหัวใจเขาที่กำลังเต้นอย่างสม่ำเสมอ รู้สึกได้ถึงผิวอันอบอุ่นของเขา
ลมพัดมาอีก ทำให้เธอผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
เขารับรู้ได้ว่าเธอผ่อนคลายลง กล้ามเนื้อคลายตัว ลมหายใจค่อยๆ ช้าลงและยาวขึ้น เธอไม่ได้นอนหลับไปจริงๆ เขารู้ว่าเธอนอนหลับไม่ลึก ยังคงมีสติรับรู้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะอยู่ในบ้านเรือก็เหมือนกัน
กลิ่นเลือดจางๆ ยังติดปลายจมูก
เธอมีแผลมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เขาไม่ชอบแบบนี้เลย
อยู่ๆ เสียงระเบิดเมื่อตอนบ่ายก็ผุดขึ้นมาในสมอง หัวใจเขากระตุก หางตาก็กระตุกขึ้นเช่นกัน
ตอนนั้น ในวินาทีนั้นเขารู้ว่าอาจจะเป็นเธอก็ได้
นกบินหนีเพราะตกใจเสียงระเบิด กลิ่นควันระเบิดเหม็นคลุ้งไปทั่วทุกทิศทาง
เขาไม่กล้าคิดอะไร ทำได้เพียงไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด บริเวณนั้นถูกระเบิดจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ อยู่ท่ามกลางกองเพลิง คนที่ถูกระเบิดจนร่างกายกระจัดกระจายมองรูปร่างหน้าตาไม่ออก แต่ท่อนขาที่ขาดนั้นเป็นขาของผู้ชายและสวมรองเท้าบูตของผู้ชายด้วย ซึ่งไม่ใช่ขนาดของเธอ
หัวใจเขาเต้นแรง เหงื่อไหลออกมา
มันอาจจะเป็นเธอก็ได้
ดวงจันทร์มองเห็นได้รำไรจากในหมู่เมฆ ผู้หญิงในอ้อมอกขยับตัวเล็กน้อย เขาดึงสติกลับมาถึงได้รู้ว่าตัวเองกำหมัดแน่น ดึงเส้นผมเธออย่างไม่รู้ตัว
เขาบังคับตัวเองให้คลายกำปั้นออก ก้มหน้าลงมองเธอ เธอยังคงหลับตาอยู่ มือซ้ายที่สวมกำไลข้อมือและนาฬิกาวางไว้อยู่บนอกเขา มือขวาที่ซุกไว้ยังกำมีดสั้นที่บริเวณเอวไว้แน่น
แม้จะนอนหลับ แต่ใจกลับไม่สงบ
แม้ว่าจะเป็นเขา เธอก็ยังไม่วางใจ
เขายกมือกุมมือของเธอที่วางอยู่บนอกเขาอย่างไม่ทันรู้ตัว
นิ้วมือของเธอกระตุกเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมรับการกุมมือของเขา
มือข้างนั้นเต็มไปด้วยแผลเป็น หว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้มีรอยด้านที่เกิดจากการถือปืนไม่ต่างกับเขา
ห้าปีแล้ว เขาคิดว่ารอยด้านนั้นจะหายไป แต่ไม่เลย
‘เธอมีปัญหาของตัวเองที่จะต้องเผชิญหน้า…เรื่องพวกนี้มันไม่พอหรอก สำหรับเธอแล้วมันไม่พอ…’
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้ดีว่าหานอู่ฉีพูดถูก
เธอไม่อาจจะปล่อยวางได้ ไม่อาจลืมเรื่องที่ผ่านมา จึงไม่สามารถเปลี่ยนความเคยชินเก่าๆ นี้ได้ เธอใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายบนบ้านเรือมากกว่าเขาเสียอีก
เขากุมมือเธอเบาๆ รู้สึกได้ถึงความเย็นจากมือเล็กๆ ของเธอที่ใหญ่ไม่ได้ครึ่งของเขา
เล็กจัง
จริงๆ แล้วก็เล็กแค่นี้
มือเล็กซีดขาวนี้ไม่สวยเลยสักนิด ข้อนิ้วก็โปนออกมา มีรอยแผลเป็นทั้งเก่าและใหม่เต็มไปหมด มันควรเป็นมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม แต่การฝึกมาหลายปีทำมือคู่นี้ให้ทั้งหยาบและแข็งกระด้าง
ไม่เหมือนมือที่ผู้หญิงควรจะมี
หลายปีที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้มองเธอเป็นผู้หญิง เป็นแค่คู่หู แค่ผู้ช่วย เธอสามารถดูแลตัวเองได้ เธอไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นเธอเรียกร้องไม่เป็น
เธอไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปเข้าใจ เธอไม่รู้จักแต่งตัว ไม่รู้จักแต่งหน้า ไม่รู้จักแสดงออกถึงความอ่อนแอ ไม่รู้จักงอน ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะยังไง
ตั้งแต่เด็กเธอถูกฝึกฝนให้กลายเป็นคนที่แข็งยิ่งกว่าเหล็ก มีความเฉียบคม เมื่อคนเห็นถึงความแตกต่างในตัวเธอก็รู้ว่าเธอมีความสามารถทำได้ถึงระดับไหน ทำให้คนลืมไปว่าเธอก็มีเลือดเนื้อ มีน้ำตา เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงบอบบางตัวเล็กๆ
กลางดึกคืนนั้น เมฆและฝนสลายไปหมด ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะ
เขามองเห็นหน้าเธอได้อย่างชัดเจน แล้วก็มองเห็นแผลบนใบหน้าซีดขาวนั่นด้วย
เธอทั้งบอบบางและโง่งม
ตอนที่เขาตามเสียงปืนนั่นไป เขาเห็นหน่วยเนวี่ซีลนั่น เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาว่าเธอเพียงแต่จับผู้ชายคนนั้นมัดไขว้หลังแล้วโยนทิ้งไว้ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าเธอไม่เพียงจัดการคนพวกนั้นได้โดยลำพัง แต่เธอยังไว้ชีวิตพวกเขาอีกด้วย
‘ฉันไม่ได้ฆ่าคน’
เสียงตอบโต้ของเธอยังดังอยู่ข้างหู เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก แต่ไม่อาจกดความหวาดกลัวกลับลงไปได้
เคยเข้าใจว่าเขาไม่สนใจ เคยคิดว่าจะไม่สนใจใคร
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเก็บเรื่องของเธอไว้ในส่วนลึกจิตใจ
ฟังเสียงหายใจของเธอ เขาค่อยๆ กระชับมือเล็กที่อยู่ในอุ้งมือตัวเองแล้วเลื่อนขึ้นวางทับไว้ที่ตำแหน่งของหัวใจ