ส่วนก่วนซิวเหวินค้อมตัวคำนับอยู่ก่อนแล้ว ปากก็เอ่ยเรียก “เซียนเซิง”* เขาเห็นโหลวเช่อท่าทางเร่งรีบ เดาได้ว่าน่าจะเตรียมเข้าวังอีกแล้วเป็นแน่ ในใจเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา เขาจึงก้มหน้าหลับตาลง ปิดบังความรังเกียจที่ปรากฏในดวงตาของตนเองมิให้อีกฝ่ายเคลือบแคลง
โหลวเช่อเพิ่งจะได้รับรายงานด่วนจากในวัง ฮ่องเต้ทรงพระทัยร้อนเรียกตัวเขาเข้าวัง เห็นทีคงเกี่ยวกับเรื่อง ‘หายนะของแผ่นดิน’ ในใจเขารู้สึกเบื่อหน่ายกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่เมื่อเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ คนเป็นขุนนางจะขัดคำสั่งได้อย่างไร
โหลวเช่อมองชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ก็มักจะคิดถึงตนเองในอดีต ก่วนซิวเหวินมีพรสวรรค์สูงมาก เป็นผู้ที่เหมาะเป็นจ้วงหยวนยิ่ง แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเขากับชายหนุ่มหน้าใสผู้นี้จึงไม่สนิทกันมากพอ แม้ว่าจะมีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์ แต่มักรู้สึกว่าระหว่างสองคนมีกำแพงกั้นอยู่ โหลวเช่อได้แต่ลอบหัวเราะในใจว่าตนเองคิดมากเกินไป ชายหนุ่มผู้นี้ภายหน้าอาจจะกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขาก็ได้ เขาพยักหน้าให้ก่วนซิวเหวินก่อนจะก้าวยาวเดินออกไป
รอจนโหลวเช่อเดินห่างไปไกล พ่อบ้านจึงเงยหน้าขึ้น มองไปยังชายหนุ่มข้างกาย แล้วกลับตกใจจนต้องมองซ้ำให้แน่ใจ เมื่อครู่เขาคงตาลายไปจริงๆ จึงเห็นชายหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านผู้มีรอยยิ้มกลายเป็นคนนิ่งขรึมไร้ความรู้สึกไปเสียได้
ก่วนซิวเหวินเดินตามพ่อบ้านไปที่ลานด้านหน้า ที่นี่เป็นลานด้านหน้าเรือนพักทิศตะวันออก แตกต่างกับสระบัวของลานด้านหน้าเรือนพักทิศตะวันตก ที่นี่คือ ‘เรือนเหมยย่วน’
สีแดงจัดจ้าสะดุดตาท่ามกลางโลกสีขาวโพลน ไม่ว่าบนหิมะ บนกิ่งไม้ และบนมือของสาวใช้ล้วนมีดอกเหมยดอกเล็กๆ หิมะที่ปกคลุมบนกิ่งไม้ขับให้ดอกเหมยยิ่งงามเด่น สีแดงเด่นชัดตัดกับสีขาว เป็นความงามที่ยากจะบรรยาย โลกนี้ก็ดูงดงามราวภาพวาดได้เพราะภาพความงามสีขาวแดงที่ตัดกันนี้ ดอกเหมยยังมีกลิ่นหอมสดชื่น ผสานกับกลิ่นหอมของสุรา สองกลิ่นหอมรวมกันทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม พอเดินเข้าไปสูดกลิ่นใกล้ๆ ก็รู้สึกชื่นใจ
บรรดาสาวใช้เดินอยู่ท่ามกลางต้นเหมย ในมือถือกรรไกร กำลังพูดคุยหัวเราะกัน ก่วนซิวเหวินแทบจะคิดว่าตนเองเดินหลงเข้ามาในแดนสวรรค์จึงยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขามองเข้าไปในดงต้นเหมย ลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ
เสื้อขาวกระโปรงแดง ผมดำราวเส้นไหม คิ้วโก่งเรียวงาม ดวงตาเปล่งประกาย ผิวขาวราวหิมะ รูปโฉมงดงาม ยิ้มบางสดใส ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย
ก่วนซิวเหวินชะงักฝีเท้าลง จับจ้องภาพที่เห็นนี้ จนกระทั่งหญิงสาวอมยิ้มกวักมือเรียก เขาจึงค่อยได้สติแล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ ก่อนจะโค้งคำนับ “ฮูหยิน”
กุยหวั่นมองหน้าชายหนุ่มพลางรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เขาช่างเหมาะสมกับอาภรณ์หรูจริงดังคาด มองเผินๆ ราวกับคุณชายสูงศักดิ์ นางยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “นั่งสิซิวเหวิน” แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่มีความเกี่ยวพันกับนางทางสายเลือด แต่มักจะให้ความรู้สึกเหมือนสนิทกับนางมาก
เมื่อก่วนซิวเหวินนั่งลง สุราดอกเหมยจอกหนึ่งก็ถูกสาวใช้ยกมาตรงหน้า เขายื่นมือไปรับแล้วดมดู มันหอมอ่อนสดชื่น ทำให้คนหวั่นไหวได้จริงๆ เห็นท่าทางหลงใหลของเขาแล้ว กุยหวั่นก็หัวเราะออกมาแล้วพูดหยอก “เป็นอย่างไร ไม่เสียทีที่มาใช่หรือไม่”
ก่วนซิวเหวินเพียงยิ้มไม่พูดจา แล้วจิบสุราหนึ่งอึก รสสุราบางเบาแต่ไม่จืด กลิ่มหอมติดอยู่ในปากนานไม่จางไป “เป็นของที่สุดยอดจริงๆ”
* เซียนเซิง (ซิงแซหรือซินแส) เป็นคำเรียกปัญญาชนในสมัยโบราณ เพื่อแสดงความยกย่องผู้มีความรู้ จึงมักใช้เรียกครูบาอาจารย์ หมอรักษาโรค หมอดู นอกจากนี้ยังใช้กล่าวถึงผู้เป็นสามี ปัจจุบันคำนี้ยังใช้ในความหมายว่า Mister ด้วย