X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงกลางเมฆามากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บทเพลงกลางเมฆา เล่ม 1 บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 17

บทที่ 2 เมธีงามสง่า ล้ำค่าประหนึ่งหยกพิธี

 

กาลเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แต่ละปีบุปผายังคงโรยราเหมือนเก่า แต่คนกลับไม่เหมือนดังเดิม

ฤดูแล้วฤดูเล่า จากเด็กหญิงใสซื่อบริสุทธิ์ในวันนั้น ยามนี้ย่างเข้าสู่วัยปักปิ่น* แล้ว

 

เรือนพำนักสว่างไสว แม้จะมีเพียงห้องเดียว แต่กลับใหญ่โตกว่าเรือนพำนักของผู้คนทั่วไปหลายเท่าตัว

เพราะมีการสุมไฟไว้ที่ใต้ดิน ดังนั้นแม้ภายนอกอากาศจะยังคงหนาวเหน็บ แต่ภายในเรือนกลับอบอุ่นราวอากาศเดือนสามยามวสันตฤดู

บนหน้าต่างมีม่านโปร่งสีเขียวแขวนประดับ ส่วนภายในห้องก็มีโต๊ะหยกวางตั้งอยู่ ข้างๆ คือโกร่งบดยาหินคราม มีมุกเม็ดสวยจากทะเลตงไห่เรียงรายอยู่ภายใน

เสียงหัวเราะชวนฟังของดรุณีน้อยแว่วดัง

แม้จะได้ยินเสียงคน แต่เมื่อมองผ่านประตูเข้าไปกลับมองไม่เห็นผู้ใด

จะเห็นก็แต่เพียงชั้นไม้จันทน์ที่วางสูงต่ำสลับกันไปมาอย่างน่าสนใจ ด้านบนเต็มไปด้วยไม้กระถางนานาพรรณ

บ้างก็ออกดอกสีแดงอยู่ด้วยกันเป็นกระจุก บ้างก็ออกดอกขาวบานสะพรั่งขนาดเท่าปากชาม บ้างก็มีแต่สีเขียวเพียงสีเดียว ไหลเลื้อยจากบนชั้นลงสู่พื้นราวกับเป็นม่านน้ำตกสีเขียว บ้างก็พันเลื้อยไต่ตามชั้นขึ้นไปจนถึงหลังคา ออกดอกเป็นรูปดาวแดงฉานประหนึ่งเปลวเพลิง

ในความเขียวชอุ่ม ดอกไม้ใบหญ้าแปลกตานานาพรรณต่างพากันอวดโฉมประชันขันแข่ง ท่ามกลางไออุ่น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแมกไม้นานาชนิดอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

แม้จะเป็นเพียงเรือนพำนักชั้นเดียว แต่กลับเหมือนคนละโลกคนละภพ หากผลีผลามเข้าไปอาจหลงคิดไปว่าที่นี่เป็นตำหนักเซียน

เมื่อเดินลึกต่อเข้าไปด้านใน อ้อมผ่านพันธุ์ไม้หอมนานาก็จะพบเตาหินขัดปรากฏขึ้นตรงหน้า ใครที่มองเห็นย่อมไม่แคล้วนึกสงสัยว่าตนเองกำลังตาลายอยู่เป็นแน่

เตาหินขัดนี้แม้จะดูไม่ธรรมดา และไม่ควรปรากฏอยู่กลางเรือนเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะมองเช่นไรที่แห่งนี้ก็ไม่อาจเป็นอื่นนอกจากห้องครัว ยามนี้สตรีชุดดำมีผ้าโปร่งคลุมหน้านางหนึ่งกำลังทำอาหารอยู่

อวิ๋นเกอนั่งเอนกายอยู่บนขอบหน้าต่าง เท้าทั้งสองข้างลอยอยู่เหนือพื้น แกว่งไกวไปมาอย่างสบายอารมณ์

นางขบเมล็ดแตงพลางดูอาจู๋ทำกับข้าว “อาจู๋ เจ้ากำลังทำกับข้าว ไม่ใช่ฝึกกระบี่ เบามือลงอีกหน่อย! ทำอาหารไม่มีกระบวนท่า ไม่มีกฎเกณฑ์ ใช้ก็เพียงใจกับความรู้สึกเท่านั้น”

แต่อาจู๋กลับยังคงจริงจังเต็มที่ ก้มมองดูมีดหั่นผักในมือ ผักที่หั่นออกมาแต่ละใบล้วนมีขนาดเล็กใหญ่หนาบางเท่ากันหมด

อวิ๋นเกอไม่ต้องไปวัดดูก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรต่างไปจากครั้งแรกที่นางสาธิตวิธีการหั่นผักให้อาจู๋ดู

พอคิดว่าอีกสักครู่ตอนอาจู๋ลงมือทำกับข้าว ท่าทางการเคลื่อนไหวทุกอย่างของนางจะเหมือนกับตนเองไม่มีผิด แม้แต่จังหวะขยับมือไม้ อาจู๋ก็ยังสามารถเลียนแบบซ้ำได้โดยไม่ผิดเพี้ยน อวิ๋นเกอก็ได้แต่ส่ายหน้าจนใจ

* วัยปักปิ่น หมายถึงสตรีที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยจะปักปิ่นปักผมเพื่อบอกให้รู้ว่าถึงวัยที่พร้อมจะแต่งงานแล้ว

อวิ๋นเกอแอบนึกตำหนิพี่สามอยู่ในใจ ทำไมถึงบังคับมือกระบี่ชั้นยอดคนหนึ่งให้มาเข้าครัวเช่นนี้ ทันใดนั้น จู่ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งร้อนรนมาถึงหน้าประตูพร้อมเอ่ยปากร้องตะโกน “คุณหนู มีพวกไม่กลัวตายมาสู่ขอคุณหนูอีกแล้ว”

อวิ๋นเกอส่งเสียงประชดออกจมูกคราหนึ่ง “รอให้ท่านแม่ไล่คนพวกนั้นไปก่อน แล้วเจ้าค่อยมาเรียกให้ข้าไปดูเรื่องสนุก”

สาวใช้ยิ้มแล้ววิ่งจากไป แต่สุดท้ายคนก็หาได้ย้อนกลับมาให้เห็นอีก

อวิ๋นเกอชักนึกสงสัย นางหันไปบอกกับอาจู๋ “ข้าแวะไปโถงหน้าสักครู่ ไม่นานก็กลับ”

อาจู๋พยักหน้า แต่นึกไม่ถึงว่าคำว่าไม่นานก็กลับของอวิ๋นเกอจะกลายเป็นไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลย

อาจู๋ยืนรออยู่ในครัวจนค่ำก็ไม่เห็นแม้แต่เงาร่างของอวิ๋นเกอ

 

อวิ๋นเกอแบกห่อสัมภาระขึ้นหลัง อาศัยความมืดมิดแอบปีนกำแพงสวนออกไปเงียบๆ

นางหันกลับมามองอยู่สองสามทีคล้ายนึกลังเล แต่สุดท้ายก็สาวเท้ายาวๆ วิ่งจากไป

ภายในเงามืดที่อยู่ทางด้านหลัง มีเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น “เหมือนอย่างที่ท่านพ่อคิดไว้ไม่มีผิด แค่ข้าพูดยั่วยุไม่กี่ประโยค นางก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีออกจากบ้านไปจริงๆ ในเมื่อคนก็ไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นผู้ที่มาสู่ขอก็คงกลับไปได้เสียที ท่านแม่เองจะได้ไม่ต้องหาเรื่องแกล้งเขาอีก ท่านพ่อ จะปล่อยนางไปสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยให้ข้าไปตามจับตัวนางกลับมาหรือไม่”

อีกเสียงถอนหายใจแผ่ว สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายอาลัยอาวรณ์ “หากข้าเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของเจ้าเพราะเป็นห่วง เจ้าจะพอใจหรือไม่”

ชายหนุ่มไม่ตอบ

“ลูกนกอินทรีเมื่อเติบใหญ่ย่อมต้องบินจากรังรวง พ่อแม่ของมันไม่มีทางคอยเฝ้าดูแลพวกมันไปตลอดชีวิต อวิ๋นเกอเองก็ต้องหัดรู้จักดูแลตัวเองเช่นกัน ปล่อยนางไปเถอะ! ลูกสาวของข้ามีหรือจะดูแลตัวเองไม่ได้”

“หมายความว่าพวกเราไม่ต้องสนใจนางกระนั้นหรือ” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่ใบหน้าเขากลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ

“…”

หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เสียงถอนหายใจเย้ยหยันตัวเองก็ดังขึ้น “เหตุผลก็เรื่องหนึ่ง ความจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง กว่าจะมีแก้วตาดวงใจเป็นลูกสาวสักคน ข้าต้องรอจนอายุสี่สิบกว่า และก็ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอดเอ็นดูนางเป็นพิเศษไม่ได้ และมักคิดอยู่เสมอว่าอวิ๋นเกอยังเด็กอยู่ ถ้ามีเวลา เจ้าเองก็ช่วยข้าสอดส่องดูแลนางบ้างก็แล้วกัน”

“แล้วท่านพ่อเล่า ท่านจะออกเดินทางไปกับท่านแม่อีกกระนั้นหรือ”

น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสุข “กว่าจะรอจนพวกเจ้าเติบใหญ่ไม่ใช่ง่าย แน่นอนว่ายามนี้ถึงเวลาที่ข้าควรออกไปทำในสิ่งที่ควรกระทำแล้ว”

ชายหนุ่มเองก็หัวเราะเช่นกัน น้ำเสียงของคนทั้งคู่ฟังดูคล้ายมิตรสหายกำลังพูดคุยกันมากกว่าพ่อลูก “อวิ๋นเกอเกาะติดพวกท่านแจ ท่านพ่อ ที่ท่านไม่ปฏิเสธการสู่ขอในครั้งนี้คงไม่ใช่ว่าตั้งใจยั่วเจ้าหางน้อย* อวิ๋นเกอให้โกรธจนหนีออกจากบ้านไปกระมัง”

สายลมพัดโชยแผ่ว เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่แว่วดัง

* เจ้าหางน้อย ใช้เรียกคนที่ทำตัวเกาะติดอยู่กับอีกคนจนจับแยกออกมาไม่ได้

แต่แม้เช่นนั้นเขากลับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่อาจบอกแน่ชัด ในสายตาที่ยังคงคมกริบราวกับพญาอินทรีของผู้เป็นบิดาคล้ายกับกำลังนึกถึงสหายเก่าในอดีต

ชายหนุ่มลอบสงสัยอยู่ในใจ ต่อให้ฟ้าถล่ม อย่างมากผู้เป็นบิดาก็คงแค่ปัดเศษธุลีบนแขนเสื้อออกเท่านั้น เขานึกไม่ออกเลยว่ายังจะมีผู้ใดที่ทำให้ผู้เป็นบิดามีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ได้

 

แม้จะหนีออกจากบ้านมาหลายวันแล้วก็ตาม แต่ใจอวิ๋นเกอกลับยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกกล้ำกลืน

นางไม่เข้าใจว่าทำไมท่านพ่อท่านแม่ที่เอ็นดูนางมาโดยตลอดถึงไม่ไล่ตะเพิดผู้ที่มาสู่ขอนางถึงบ้านไป ไม่เพียงไม่ไล่ พวกสาวใช้ยังบอกอีกว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางยังต้อนรับชายผู้นั้นเป็นอย่างดีอีกด้วย

พี่สามยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เพียงไม่ช่วยนางออกความคิดเห็น หนำซ้ำยังทำทีเหมือนรำคาญนางเป็นที่สุดอีกต่างหาก

วาจาท่าทีของพี่สามยโสโอหังมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งในตอนนั้นก็ยิ่งเหมือนปรารถนาจะเห็นนางแต่งออกไปโดยเร็ว

เพราะไม่รู้จะไประบายความรู้สึกกล้ำกลืนที่มีอยู่เต็มอกนี้กับใคร ผนวกกับความรู้สึกโกรธแค้นเจ็บปวด คืนนั้นอวิ๋นเกอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้าน

คนก็ไม่อยู่แล้ว ดูซิพวกเขายังจะทำอะไรได้ จะแต่งก็แต่งกันเอาเอง หัวเด็ดตีนขาดยังไงนางก็ไม่มีทางยอมแต่งออกไปเด็ดขาด

ทุกคนอาจคิดว่านางลืมไปสิ้นแล้ว ท่านพ่อท่านแม่เองก็คงคิดว่านางลืมไปแล้วเช่นกัน แต่ความจริงแล้วนางกลับไม่เคยลืมเลือน

นางจดจำคำสัญญาที่นางเคยให้ไว้ได้ดี

วันนั้นหลังจากที่นางพาจ้าวพั่วหนูออกจากทะเลทรายแล้ว พอกลับถึงบ้านท่านพ่อท่านแม่เห็นเครื่องประดับบนคอนาง พวกเขาก็ถามว่านางไปเอามาจากที่ไหน ครั้นบอกความจริงออกไปก็นึกไม่ถึงว่าสีหน้าของท่านพ่อท่านแม่จะกลับกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง

เพราะตื่นกลัว นางจึงไม่กล้าเล่าเรื่องสัญญานัดหมายกับเรื่องมอบรองเท้าแก่ผู้อื่นให้ท่านพ่อท่านแม่ได้รับรู้

ท่านแม่ริบเชือกที่ถักจากเส้นผมเส้นนั้นเอาไว้ ทั้งยังกำชับให้นางสาบานว่าจะไม่คิดไปหาพี่หลิงอีก นางร้องไห้โวยวายไม่ยอมรับปาก นั่นเป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่ยอมตามใจนาง

สุดท้ายท่านแม่ก็ทนดูนางร้องไห้ไม่ได้ แม้จะไม่บังคับให้นางสาบาน แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ก็ไม่ยอมคืนเชือกที่ถักจากเส้นผมนั้นให้กับนาง

ต่อมานางแอบไปรบเร้าท่านพ่อ คิดจะอ้อนเอาเชือกถักเส้นนั้นกลับคืน แต่นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อผู้ที่นางเข้าใจว่าแม้ภูผาถล่มลงตรงหน้าก็ไม่มีทางแม้แต่จะขมวดคิ้วกลับถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ยปากบอกนาง ‘อวิ๋นเกอ ท่านแม่ทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้า อย่าทำให้ท่านแม่ต้องลำบากใจเลย’

ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี ใบหน้าของพี่หลิงจะเลือนรางจากความทรงจำของนางไป แต่รอยยิ้มใต้แสงดาวพร่างพรายนั้นกลับคอยย้ำเตือนนางอยู่ตลอด เตือนให้นางระลึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้

ครั้นนางเข้าใจถึงเนื้อหาในหนังสือได้เป็นครั้งแรก และรู้ว่าที่แท้การที่สตรีมอบรองเท้าให้กับบุรุษนั้นคือการหมั้นหมายกันเอง ใจนางก็เต้นรัวแทบกระเด็นหลุดออกจากอก ทั้งที่รอบข้างไม่มีใครอยู่ แต่นางกลับรีบปิดหนังสือราวกับกระทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป

วันนั้นทั้งวันนางได้แต่เหม่อลอย ท่าทางคล้ายมีความสุขแต่ก็คล้ายมีความทุกข์ ตกค่ำไม่อาจข่มตาหลับ ได้แต่วิ่งขึ้นไปดูดาวอยู่บนหลังคา

แสงดาวสุกสกาวบนฟากฟ้าไม่ต่างอะไรกับคืนวันนั้น นัยน์ตาดำขลับราวรัตติกาลมืดมิดของเขาสุกสกาวเป็นประกาย

นางเข้าใจความหมายที่เขาพูดในวันนั้นได้ทันที ‘ข้ารับมันไว้แล้ว อวิ๋นเกอ เจ้าจงจำไว้ให้ดี!’

เขารับมันไว้แล้ว เขาให้คำสัญญาแล้ว

อวิ๋นเกอหวนนึกถึงทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับพี่หลิง สหายเพียงหนึ่งเดียวนับแต่เล็กจนโตของนาง

ใต้ทางช้างเผือกที่ส่องแสงแวววับจับตา อวิ๋นเกอนอนนึกไปว่าไม่แน่พี่หลิงที่อยู่ฉางอันอาจกำลังมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนี้เช่นเดียวกันกับนาง ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างก่อเกิดขึ้นในใจ อวิ๋นเกอมั่นใจว่าเขาในเวลานี้ต้องกำลังมองดูท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว หวนระลึกถึงคำมั่นสัญญา และเฝ้ารอความปลื้มปีติที่จะบังเกิดยามได้พบหน้ากันอีกคราวอยู่เงียบๆ เช่นกัน

ความทุกข์ในใจนางเลือนหายไปทีละน้อย ความสุขยากจะบรรยายพลันก่อตัวขึ้นช้าๆ

อวิ๋นเกอนอนอยู่บนหลังคา กระซิบพูดกับดวงดาวบนท้องฟ้า “ข้าจำได้! มีดวงดาวเต็มท้องฟ้าเป็นสักขีพยานเช่นนั้น แล้วมีหรือข้าจะกล้าลืมคำสัญญา”

นับแต่นั้นอวิ๋นเกอก็มีความลับใหญ่หลวงเรื่องหนึ่งเก็บงำอยู่ในใจ

ยามอยู่ลำพัง นางก็อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้ม สตรีที่กลัวความเงียบเหงา ชอบความคึกคัก จู่ๆ ก็กลายเป็นคนเก็บตัว คอยเหม่อมองดูท้องฟ้าดารดาษด้วยดวงดาวยามค่ำเพียงลำพังอยู่เป็นประจำ ยามได้ยินเสียงมโหรีขับขาน ‘แต่งสะใภ้ ใส่ชุดแดง’ นางก็มักหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หนำซ้ำยังไม่ยอมสวมใส่อาภรณ์แดงใดๆ เพราะนางแอบคิดอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งนางจะสวมมันให้คนผู้หนึ่งดู

นางคิดเตรียมการมาโดยตลอดว่าจะไปหาพี่หลิงเมื่อใด ตอนแรกนางยังนึกกลุ้มใจว่าจะหาเหตุอันใดอ้างไปฉางอันโดยที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่นึกระแวงสงสัย แต่นึกไม่ถึงว่าท่านพ่อท่านแม่จู่ๆ ก็จับคู่ให้นาง ในเมื่อพวกเขาไม่ปรารถนาจะให้นางอยู่ด้วยอีกต่อไป เช่นนั้นนางก็ใช้โอกาสนี้หนีออกจากบ้านไปตามหาพี่หลิงที่ฉางอันเสียเลย

เพียงแต่เมื่อไม่มีเชือกที่ถักจากเส้นผมที่พี่หลิงมอบให้นางเส้นนั้น นางยังจะหาเขาพบได้อีกหรือ แล้วหากพบกัน นางจะอธิบายกับเขาเช่นไร บอกเขาว่าของสำคัญที่เขาให้นางถูกท่านแม่ริบไปแล้วกระนั้นหรือ

อวิ๋นเกอนึกถอนหายใจ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดกังวลเรื่องพวกนี้ ไว้ไปถึงฉางอันก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน! ทุกสิ่งย่อมต้องมีหนทางของมันเสมอ

 

ตลอดการเดินทางไปยังดินแดนทิศตะวันออก อวิ๋นเกอได้แต่เฝ้านึกชื่นชม มิน่าเล่าต้าฮั่นถึงได้ถูกยกย่องให้เป็นสวรรค์ ตลาดค้าขายคึกคักเกินกว่าแคว้นไหนจะเทียบได้ สิ่งแปลกตามีให้เห็นทั่วทุกหัวระแหง

ด้วยท่านพ่อท่านแม่และพี่ๆ ของนางต่างไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับสิ่งของนอกกาย ซ้ำนางเคยเห็นสมบัติล้ำค่ามานับไม่ถ้วนตั้งแต่เด็ก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นของวิเศษหายากสักเพียงใด อย่างมากนางก็แค่มองซ้ำอีกรอบเท่านั้น สำหรับนางแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนเป็นของนอกกาย ที่นางใส่ใจที่สุดตลอดการเดินทางกลับเป็นอาหารในแต่ละมื้อ หากได้ยินว่าโรงเตี๊ยมไหนมีอาหารอร่อยแล้วล่ะก็ นางเป็นต้องดั้นด้นไปลองลิ้มชิมรสให้ได้

เฮ้อ! ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ล้วนไม่ต้องการนางแล้ว แล้วนางยังจะหัดทำอาหารเพื่อพวกเขาไปทำไมกัน

ถึงแม้ในใจจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกทุกข์ระทม แต่ความเคยชินตั้งแต่เล็กจนโต ไหนเลยจะบอกว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้โดยง่าย

อวิ๋นเกออดไม่ได้ที่จะวิ่งไปตามโรงเตี๊ยมต่างๆ ในทุกๆ ที่ที่นางแวะผ่าน

ครั้นพบเครื่องปรุงชั้นเลิศนางก็มักห้ามใจไม่อยู่ต้องซื้อพกติดตัวไว้เสมอ

แม้ใจจะเป็นทุกข์ แต่นางก็ไม่วายหน้าแดงคิด ไม่ได้ทำให้พี่สามกิน นางทำให้พี่หลิงกินก็ได้

นางมักเลือกแต่งตัวเป็นขอทาน เหตุผลก็มีทั้งนึกสนุก และเพราะเป็นทุกข์โกรธเคืองท่านพ่อท่านแม่ไม่หาย นางรู้สึกว่ายิ่งทำตัวตกอับสกปรกมอมแมมมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นทุกข์ได้มากเท่านั้น หนำซ้ำยังช่วยบรรเทาความทุกข์ใจของนางได้อีกด้วย

ตอนออกจากบ้าน สภาพอากาศยังคงหนาวเหน็บ แผ่นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง กว่าจะเที่ยวเล่นมาจนถึงฉางอัน อากาศก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน ฤดูกาลผันผ่านย่างเข้าสู่วสันตฤดูแล้ว

 

มาถึงที่ราบเซ่าหลิงนอกเมืองฉางอันได้ไม่ทันไร อวิ๋นเกอก็ได้ยินว่าสุราของหอสุราชีหลี่เซียง (หอมเจ็ดลี้) มีชื่อเสียงโด่งดังมิใช่น้อยจึงตัดสินใจที่จะไปลิ้มลองรสชาติ ดูซิว่าหอมไกลถึงเจ็ดลี้แบบไหนประการใด

ยังไม่ทันถึง นางก็เห็นผู้คนมากมายยืนห้อมล้อมหน้าหอสุราอยู่ก่อนแล้ว อวิ๋นเกอนึกดีใจที่มีเรื่องสนุกให้ดู!

ไม่ว่าใครก็ชอบดูเรื่องสนุกๆ ด้วยกันทั้งนั้น แต่ละคนต่างเบียดเสียดชะเง้อคอมองเข้าไปยังด้านใน ถึงจะกระโดดโลดเต้นอยู่นาน นางก็ยังคงไม่อาจมองเห็นว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

เห็นด้านในมีคนล้อมแปดชั้นด้านนอกอีกแปดชั้นเช่นนั้น อวิ๋นเกอก็เม้มปากยิ้ม ล้วงเข้าไปในถุงหยิบเอาหญ้าคาวปลา* ที่เมื่อวานนางเพิ่งเก็บออกมา ขยี้มันจนแหลก ใช้น้ำที่ได้จากหญ้านั้นชโลมลงบนมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นก็สอดมือผ่านเข้าไปกลางฝูงชน

หญ้าคาวปลา แค่เพียงชื่อก็รู้ได้แล้วว่ากลิ่นของมันไม่น่าอภิรมย์ขนาดไหน คนที่อยู่ด้านหน้าครั้นได้กลิ่นแปลกๆ หันกลับมามอง พอเห็นเสื้อผ้าเนื้อตัวสกปรกของอวิ๋นเกอก็ต่างพากันย่นจมูก ขยับตัวหนีพลางพึมพำร้องด่า

ในที่สุดอวิ๋นเกอก็เข้าไปครอบครองตำแหน่งดีที่สุดได้โดยสะดวก หนำซ้ำยังไม่มีใครกล้าเบียดกับนางอีกต่างหาก

นางโยนพุทราเปรี้ยวผลหนึ่งเข้าปาก รวบมือทั้งสองข้างเข้าหากัน เบิกตากว้าง เตรียมตั้งอกตั้งใจดูเรื่องสนุก

สตรีอายุมากกว่าอวิ๋นเกอไม่กี่ปีนางหนึ่ง ใบหน้างดงามสว่างไสว สีหน้าแววตาดุดัน เวลานี้กำลังตวาดด่าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่านางเล็กน้อย มือของสตรีนางนั้นข้างหนึ่งถือคานหาม ข้างหนึ่งบิดหูของเด็กหนุ่มไว้ “ดูซิคราวนี้เจ้าจะยังกล้าขโมยเงินอีกหรือไม่”

เด็กหนุ่มเสื้อผ้าขาดวิ่น รูปร่างผอมบาง ถูกสตรีนางนั้นข่มขู่เสียจนขวัญหนีดีฝ่อ เนื้อตัวสั่นระริก ได้แต่เอ่ยปากร้องขอความเมตตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่สวี่เห็นแก่ที่ข้าตัวคนเดียว ไม่มีแม่แก่เฒ่าอายุแปดสิบ ไม่มีลูกน้อยวัยแปดขวบ เมตตาปล่อยข้าสักครั้ง…”

สตรีนางนั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว ตะคอกด่าเด็กหนุ่มไม่หยุดปาก นางไม่เพียงด่า หนำซ้ำยังใช้คานหามหวดเด็กหนุ่มเสียหลายที

เด็กหนุ่มใบหูแดงก่ำราวกับจะถูกดึงหลุดในอีกไม่ช้า เจ้าของทรัพย์คิดจะเอ่ยปากอ้อนวอนแทน แต่กลับถูกความห้าวหาญของนางผู้นั้นทำเอาขวัญผวา ได้แต่พึมพำพูด ‘พอแล้วๆ’

ตลอดการเดินทาง อวิ๋นเกอที่ปลอมตัวเป็นขอทานพบเจอกับสายตาหยามเหยียดดูแคลนของผู้คนมาไม่ใช่น้อย ยามนี้พอเห็นท่าทางของเด็กหนุ่ม ผนวกกับคำว่าลำพังตัวคนเดียว นางจึงอดนึกเห็นใจคนหัวอกเดียวกันขึ้นมาไม่ได้

* หญ้าคาวปลาหรือหญ้าอวี๋ซิง (Houttuynia cordata) คนไทยรู้จักกันในชื่อผักคาวปลา หรือพลูคาว เป็นพืชสมนุไพรชนิดหนึ่ง มีกลิ่นคาว นำมาประกอบอาหารและเป็นยารักษาโรคสตรี แก้บวมน้ำ ลดอาการอักเสบได้

ขณะกำลังคิดว่าจะช่วยเด็กหนุ่มเช่นไรอยู่นั้นเอง เถ้าแก่เจ้าของหอสุราชีหลี่เซียงก็เดินออกมา เพราะผู้คนเบียดเสียดออกันอยู่หน้าหอสุราเขาเต็มไปหมด สร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อการค้า ดังนั้นเถ้าแก่เจ้าของหอสุราจึงออกมาช่วยเอ่ยปากขอร้อง

สตรีนางนั้นเหมือนจะคุ้นเคยกับเถ้าแก่เจ้าของหอสุราเป็นอย่างดีจึงไม่แสดงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงอันใดอีก นางถลึงตาใส่เด็กหนุ่มสองสามที ก่อนจะปล่อยตัวเขาไปอย่างไม่สู้เต็มใจนัก

นางเอาสุราที่แบกมาขายให้กับเถ้าแก่เจ้าของหอสุรา นับเงินที่ได้มาอย่างละเอียด เสร็จแล้วก็เก็บมันเข้าอกเสื้อ ถือคานหามเดินจากไป

อวิ๋นเกอกลอกตาไปมาสองสามที นางตัดสินใจเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

อวิ๋นเกอคิดว่าไม่มีใครสนใจนาง แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าขณะที่ตัวเองกำลังดูชาวบ้านมีเรื่องกันอยู่ด้านนอกนั้น บนหอสุรา บุรุษในอาภรณ์ไหมสวมงอบสีดำปิดบังใบหน้าที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างนั้นคอยจ้องมองดูนางอยู่ตลอด พอเห็นนางจากไป เขาก็รีบลงจากชั้นบน เดินตามนางอยู่ทางด้านหลังไม่ห่าง

อวิ๋นเกอตามนางผู้นั้นไปได้ระยะหนึ่งจนมาถึงตรอกเล็กๆ สงบเงียบห่างไกลผู้คน ครั้นมองซ้ายมองขวาพบว่าไม่มีใคร ขณะที่คิดจะลงมือนั้นเอง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเรียก ‘ผิงจวิน’ ดังขึ้น อวิ๋นเกอกินปูนร้อนท้อง รีบหดตัวหลบเข้าไปอยู่หลังมุมกำแพง

ชายรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหล่าคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล

อาภรณ์ยาวสีดำบนร่างถูกซักจนซีดกลายเป็นสีเทา รองเท้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน ไก่ที่อยู่ในวงแขนขนหลุดร่วงแทบสิ้น

แม้อาภรณ์ที่สวมใส่จะดูยากจนข้นแค้นไร้สิ้นสง่าราศี แต่คนกลับมิได้เป็นเช่นนั้น กิริยาท่าทางของเขาดูเกียจคร้านเอาแต่ใจประหนึ่งราชสีห์ แววตาเมินเฉยคล้ายไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับรื่นเริงเบิกบาน อบอุ่นเฉกชาวบ้านต้อยต่ำทั่วไป

สูงส่ง ต่ำต้อย เย็นชา อบอุ่น ท่วงทำนองย้อนแย้งกันโดยสิ้นเชิงเหล่านี้กลับผสมผสานซ่อนแฝงอยู่ในร่างชายคนดังกล่าว

อวิ๋นเกอถลึงตามองไปยังชายที่อุ้มไก่ไว้ในอ้อมแขน ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

ถึงแม้รอยยิ้มอากัปกิริยาจะไม่เหมือนกัน แต่ดวงตาคู่นั้น…กลับคุ้นตายิ่งนัก!

ต่อให้อยู่ใต้แสงตะวันสุกสว่าง ต่อให้ริมฝีปากยกยิ้ม แต่ความรู้สึกก็ยังอึมครึมเย็นชาอยู่ดี แต่อวิ๋นเกอรู้ หากดวงตาคู่นั้นยิ้มด้วยแล้วล่ะก็ แม้แต่ดวงดาวยามค่ำคืนก็ยังไม่อาจเทียบเคียง

สตรีที่ชื่อผิงจวินล้วงเอาเงินที่ซ่อนไว้ในอกเสื้อออกมานับครึ่งหนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งให้กับชายที่กำลังอุ้มไก่ “เอาไป!”

ชายหนุ่มไม่ยอมรับ “วันนี้ข้าชนไก่ชนะ ได้เงินมาก้อนหนึ่ง”

“เงินที่แข่งชนะมายังต้องเอาไปใช้หนี้เมื่อหลายวันก่อน นี่เป็นเงินที่เหลือจากการขายเหล้า แม่ข้าไม่มีทางรู้ เจ้าไม่ต้องวิตกว่านางจะพูดมาก อีกอย่าง…” ผิงจวินเลิกคิ้วยิ้ม ล้วงเอาหยกประดับชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ปล่อยมันหมุนแกว่งไกวไปมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเก็บมันกลับเข้าอกเสื้อโดยเร็ว “ในเมื่อเจ้าเอาของมาค้ำประกันไว้กับข้า แล้วทำไมข้ายังจะต้องกลัวเจ้าไม่ยอมใช้คืนด้วย หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ถึงตอนนั้นข้าจะคิดทั้งต้นทั้งดอกพร้อมกันเลย”

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง น้ำเสียงเบิกบาน เขารับเงินไว้ ยัดเก็บเข้าในอกเสื้อ ไม่ดึงดันปฏิเสธอีก หลังจากนั้นก็รับเอาคานหามจากมือผิงจวินมาถือไว้ ทั้งสองพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก เดินเคียงไหล่ไปตลอดทาง

อวิ๋นเกอสติเลอะเลือน หยกประดับชิ้นนั้น? หยกประดับชิ้นนั้น! ภาพมังกรสลักใต้แสงตะวันไม่ต่างอะไรกับยามมันอยู่ใต้แสงดาวในคืนวันนั้นเลยแม้แต่น้อย

นางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ล้วงเอาขิงสดที่พกติดตัวเสมอถูลงบนตา นัยน์ตาของนางแดงก่ำขึ้นมาทันที น้ำตาไหลเป็นทางยาว

อวิ๋นเกอสาวเท้ารวดเร็วมุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังคนทั้งคู่ที่กำลังเดินเคียงไหล่กันอยู่ ชายหนุ่มปฏิกิริยาฉับไว พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็รีบหันหน้ากลับ นัยน์ตาระแวดระวังเต็มเปี่ยม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจยับยั้งอะไรได้ทัน ผิงจวินถูกอวิ๋นเกอชนเข้าอย่างจัง

ชายหนุ่มจับแขนของอวิ๋นเกอไว้ ขณะกำลังคิดจะเอ่ยปากตำหนิ พอเห็นหน้าลายๆ ของขอทานน้อย นัยน์ตาดำขลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา จู่ๆ เขาก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อขึ้นมาอย่างประหลาด คำพูดชะงักค้างติดอยู่ที่ปลายลิ้น มือเผลอคลายออกโดยไม่รู้ตัว

อวิ๋นเกอรีบชักมือกลับ นางมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง ก่อนจะกดเสียงเอ่ยปากกับผิงจวิน “ขอโทษ” หลังจากนั้นโซซัดโซเซเร่งร้อนวิ่งจากไป

ผิงจวินถูกอวิ๋นเกอชนเข้าที่หน้าอกพอดี นางทั้งอายทั้งโมโห แต่พอเห็นท่าทางของอวิ๋นเกอแบบนั้น นางก็รีบตะโกนถาม ไม่นึกสนใจอะไรอีก “น้องชาย ใครรังแกเจ้า” แต่ยังไม่ทันพูดจบ เงาร่างของอวิ๋นเกอก็หายลับไปเสียก่อน

ชายหนุ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที “ผิงจวิน รีบตรวจดู ในตัวเจ้ามีข้าวของอะไรหายบ้างหรือไม่”

ผิงจวินล้วงเข้าไปในอกเสื้อ นางกระทืบเท้า ทั้งโมโห ทั้งขำ ทั้งร้อนใจ “ถึงกับมีคนกล้าขุดดินบนหัวเจ้าที่*! หลิวปิ้งอี่ นึกไม่ถึงว่าหัวหน้าจอมยุทธ์พเนจรแห่งที่ราบเซ่าหลิงเช่นเจ้าก็มีวันนี้ด้วย! ผู้คนต่างโจษขานว่าคนพวกนี้ล้วนอยู่ใต้อุ้งมือเจ้ามิใช่หรือไรกัน”

 

อวิ๋นเกอเท้าคาง นั่งยองๆ อยู่ใต้ร่มไม้ มองหยกประดับบนพื้นนิ่ง

แม้จะผ่านไปหลายชั่วยาม แต่คนก็ยังคงไม่ขยับ

เดิมทีนางยังนึกกังวลว่าเมื่อเข้าไปถึงฉางอันแล้ว หากไม่มีเชือกที่ถักจากเส้นผมของพี่หลิง นางจะหาคนเจอได้เช่นไร แต่นึกไม่ถึงว่าเหยียบเข้าหมู่บ้านนอกเมืองฉางอันไม่ทันไรก็บังเอิญได้พบกับเขาเข้าพอดี

รูปร่างหน้าตาคนเราอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่หยกประดับไม่มีวันเปลี่ยน

หยกประดับชิ้นนี้ไม่ต่างอะไรกับหยกประดับที่พี่หลิงแขวนห้อยไว้ข้างเอว ไม่ผิดแน่! เครื่องหยกไม่เหมือนกับสิ่งอื่น เครื่องประดับเงินทองอาจมีรูปแบบซ้ำกันได้ แต่เครื่องหยกนอกจากจะใช้หยกชิ้นเดียวกัน แกะสลักจากช่างฝีมือคนเดียวกันแล้ว อย่างไรมันก็ไม่มีทางเหมือนกันเช่นนี้ได้เด็ดขาด

ยังมีดวงตาที่นางจดจำได้ไม่ลืมคู่นั้น

ก่อนมาถึงฉางอัน นางเคยนึกสมมติไปมากมายร้อยแปด บางทีนางอาจหาพี่หลิงไม่พบ บางทีพี่หลิงอาจไม่อยู่ฉางอันแล้วก็เป็นได้ แต่ที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือพี่หลิงจะลืมนาง

แต่ตอนนี้นางไม่มั่นใจอีกแล้วว่าพี่หลิงจะยังจำคำสัญญาในตอนนั้น จำเรื่องเก่าที่ผ่านมาหลายร้อยหลายพันวันได้อีก

ยิ่งไปกว่านั้นหยกประดับที่เขาไม่ยอมให้นางในตอนนั้น เวลานี้กลับอยู่ในมือของสตรีอีกนาง

* ขุดดินบนหัวเจ้าที่ เป็นสำนวน หมายถึงกล้าล่วงเกินผู้มีอำนาจและอิทธิพล ไม่รู้จักกลัวตาย

อวิ๋นเกอในยามนี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังบุกบั่นอยู่กลางทะเลทรายเพียงลำพัง คิดว่าเมื่อเดินทางไปถึงที่ที่หนึ่งแล้วจะได้พบกับธารน้ำ แต่ครั้นไปถึงกลับพบว่าที่แห่งนั้นแท้จริงแล้วก็เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างเช่นเดียวกัน

ท่ามกลางความงุนงงสงสัย นางรู้สึกเหมือนสมองจะไม่อาจใช้การอันใดได้อีก อวิ๋นเกอพูดซ้ำกับตัวเองไปมา “พี่หลิงไม่มีทางลืมข้า ไม่มีทาง” ขณะเดียวกันก็เหมือนมีเสียงเล็กๆ พร่ำพูดบอกนางไม่หยุด…เขาลืมเจ้าแล้ว เขาลืมเจ้าสิ้นแล้ว

อวิ๋นเกอนิ่งอยู่นาน ครั้นพอท้องร้องนางถึงนึกขึ้นได้ว่าเดิมทีตั้งใจจะไปกินอาหารที่หอสุราชีหลี่เซียง แต่เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับเรื่องต่างๆ สุดท้ายน้ำสักหยดก็ไม่มีตกถึงท้อง

นางลากขา เดินเข้าไปในร้านขายบะหมี่ ตัดสินใจสั่งอะไรบางอย่างมากินก่อน

เห็นนางแต่งตัวเช่นนั้น เถ้าแก่เจ้าของร้านก็แสดงทีท่าไม่อยากต้อนรับ อวิ๋นเกอยามนี้กำลังวุ่นวายใจ จึงไม่มีอารมณ์อยากกลั่นแกล้งผู้ใด นางยกมือโปรยเงินมากกว่าค่าบะหมี่หลายเท่าตัวให้กับเถ้าแก่เจ้าของร้าน ท่าทีของอีกฝ่ายพลันเปลี่ยนไปทันที ไม่ว่านางจะสั่งอะไรก็ล้วนได้ดั่งใจหมาย

รสชาติบะหมี่ธรรมดายิ่งกว่าธรรมดา ผนวกกับอารมณ์หงุดหงิดที่ท่วมท้นอยู่ในใจ แม้จะหิว แต่อวิ๋นเกอกลับกินไม่ค่อยจะลง ขณะที่นางกำลังก้มหน้า คีบบะหมี่กินทีละเส้น บรรยากาศภายในร้านที่เคยอึกทึกจู่ๆ ก็พลันเงียบสงัด เงียบเสียจนแม้แต่เสียงเข็มตกลงพื้นก็คงได้ยิน

ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็ตกตะลึง

ชายในอาภรณ์ไหมผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูร้าน งอบไผ่สีดำบนศีรษะถูกปลดลงอย่างช้าๆ

เพียงการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่พอเขาเป็นผู้กระทำกลับดูงามสง่าอย่างน่าประหลาดราวกับนักพรตผู้สันโดษ ร่างกายประหนึ่งมีแสงสว่างไหลอาบอยู่โดยรอบจนคนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ

เส้นผมดำขลับถูกรัดไว้ด้วยหยกขาวนั้นดำสนิทกว่าท้องฟ้ายามราตรี เรียบลื่นกว่าแพรไหม ส่องประกายเหนืออัญมณีทั้งปวง

ใบหน้าของเขายากจะแยกว่าเป็นชาวฮั่นหรือชนต่างเผ่า เหลี่ยมมุมดูแข็งแรงกว่าชาวฮั่นหลายส่วน แต่ขณะเดียวกันก็ดูนุ่มนวลกว่าชนต่างเผ่าหลายส่วนเช่นกัน งดงามราวหยกสลัก

คนลักษณะนี้ไม่คู่ควรกับร้านบะหมี่โกโรโกโส น่าจะเหยียบอยู่บนบันไดหยก จูงมือโฉมสะคราญเดินอยู่หลังม่านเจียระไน แต่เขากลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังยิ้มอบอุ่นสนิทสนม พูดกับเถ้าแก่เจ้าของร้านอย่างสุภาพนอบน้อมราวกับอีกฝ่ายเป็นคนสำคัญ ฐานะสูงส่ง “รบกวนท่านช่วยทำบะหมี่ให้ข้าสักชาม”

เพราะการปรากฏกายของเขา ทุกคนถึงได้หยุดกินบะหมี่แล้วจ้องมองไปที่เขาแทบเป็นตาเดียว อับอายไม่กล้าสู้หน้า คิดจากไปเสียให้พ้นๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดตัดใจชักเท้าเดินจากไปได้

อวิ๋นเกอพบเจอผู้ที่มีบุคลิกโดดเด่นมาก็ไม่น้อย แต่คนผู้นี้กลับงดงามดุจจันทร์กระจ่างกลางสายธาร เคลื่อนไหวประหนึ่งเมฆากลางฟ้าสูง อบอุ่นดั่งสายลมแผ่วยามวสันต์ สดใสเฉกเงาสนสะท้อนในทะเลสาบยามคิมหันต์

แม้นางจะสามารถนึกถ้อยคำต่างๆ ออกมาได้มากมายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีถ้อยคำใดเลยที่จะเหมาะกับชายผู้นี้

หากมองเพียงแวบแรก ความรู้สึกที่ทุกคนมีต่อเขาอาจเหมือนแจ่มชัด แต่เมฆคล้อยไร้หลัก เงาในกระแสธารไร้รูป สายลมพลิ้วไหวไร้ร่องรอย ความรู้สึกแจ่มชัดเพียงชั่วครู่กลับแปรผันยากเกินกว่าจะคาดคะเน

คนเช่นนี้แม้ชั่วชีวิตก็ยากที่จะได้พบพาน

ชายหนุ่มมองดูอวิ๋นเกอที่กำลังจ้องมองเขา นัยน์ตาดำขลับราวหินโมรานั้นส่องประกายขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะหายลับไป

ถึงอวิ๋นเกอจะนึกชื่นชมบุคลิกลักษณะของอีกฝ่าย แต่เพราะนางตระเวนเดินทางร่วมกับท่านพ่อท่านแม่ไปทั่วหล้าตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าจะคนประหลาดเหตุการณ์แปลกๆ เช่นไรนางล้วนเคยพบเห็นมาแล้วทั้งสิ้น สาเหตุที่นางจ้องมองชายหนุ่ม นั่นก็ด้วยเพราะในใจนางรู้สึกหวนประหวัดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาอย่างประหลาดก็เท่านั้น

ราวกับยามออกเดินทางท่องเที่ยว จู่ๆ ก็เห็นทัศนียภาพบางอย่าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่คุ้นตา แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกราวกับเคยมาเยี่ยมเยือนยามหลับฝัน

อวิ๋นเกอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก นางจึงได้แต่ปล่อยมันไป ก้มหน้ากินบะหมี่ในชามต่อ

เฮอะ! พี่สามบ้า เขาก็แค่นกยูงเหม็นตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้เห็นคนคนนี้แล้วจะหลงตัวเองน้อยลงบ้างหรือเปล่า แต่แล้วนางก็นึกขึ้นได้ว่าพี่สามไหนเลยจะมาฉางอันได้ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ล้วนอยู่ไกลออกไปนับพันลี้ ที่นี่มีเพียงแต่นางผู้เดียว ลำพังคนเดียวเท่านั้น…

ชายหนุ่มยิ้มถามอวิ๋นเกอ “ข้านั่งตรงนี้ได้หรือไม่”

อวิ๋นเกอกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ต่อให้ไม่มีที่ว่าง แต่เขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะมาขอนั่งร่วมโต๊ะกับนาง

ตรงนั้นมีโฉมสะคราญนางหนึ่ง ยังมีสตรีหน้าตาสะสวยวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งกระโน้นก็จ้องมองดูเขาอยู่! ทั้งๆ ที่เขาสามารถไปร่วมโต๊ะกับพวกนางได้ แล้วไฉนถึงเลือกมานั่งร่วมโต๊ะกับคนที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบสกปรกเช่นนางเล่า

“ตอนกินข้าวมีคนจ้องมอง ไม่ว่าอาหารจะอร่อยสักเพียงใด รสชาติย่อมต้องกร่อยลงด้วยกันทั้งสิ้น” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจนางได้ ถึงหว่างคิ้วจะแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกจนใจ แต่รอยยิ้มกลับอบอุ่นราวแสงตะวันเดือนสาม

เพราะตลอดการเดินทางนางเอาแต่แต่งกายด้วยชุดขอทานทำให้ถูกผู้คนดูแคลนอยู่เสมอ แต่ในเวลานี้ชายหนุ่มกลับทำเหมือนนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นเลิศ ดังนั้นอวิ๋นเกอจึงอดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ นางพยักหน้าน้อยๆ ให้อีกฝ่าย

ชายหนุ่มประสานมือขอบคุณก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม

ยามสายตาของผู้คนทั้งร้านหยุดรวมกันอยู่บนร่างนาง อวิ๋นเกอก็เริ่มนึกเสียใจที่ดันยอมให้ชายหนุ่มนั่งร่วมโต๊ะด้วย

แต่ว่านึกเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว อดทนไปเถอะ!

เถ้าแก่เจ้าของร้านยกเอาชามที่งดงามไม่เข้ากับบรรยากาศในร้านออกมา แผ่นเนื้อในชามมีจำนวนมากกว่าและดีกว่าของลูกค้าคนอื่น เส้นบะหมี่ก็มีจำนวนมากกว่าด้วย กลิ่นหอมแตะจมูกบอกให้อวิ๋นเกอรู้ชัดว่าบะหมี่ชามนี้รสชาติยอดเยี่ยมกว่าของตัวเองมากมายนัก

อวิ๋นเกอถอนหายใจหนักหน่วง นี่สินะอานุภาพของความงาม! ไม่ได้มีเพียงสตรีรูปร่างหน้าตางดงามเท่านั้นที่ได้เปรียบ แม้แต่บุรุษเองก็เช่นกัน

เห็นอวิ๋นเกอชำเลืองดูบะหมี่ในชามของเขาไปพลางกลืนบะหมี่ในชามตนเองด้วยความยากลำบากไปพลาง ชายหนุ่มก็ยิ้มอบอุ่นพร้อมเลื่อนชามบะหมี่มาตรงหน้านาง “แบ่งไปครึ่งหนึ่งสิ”

อวิ๋นเกอไม่เกรงใจ นางคีบบะหมี่ครึ่งหนึ่งจากชามของอีกฝ่ายมาใส่ชามตนเอง

“ข้าชื่อเมิ่งเจวี๋ย เมิ่งตัวเดียวกับนามของเมิ่งจื่อ และเจวี๋ยที่หมายถึงราชันในหมู่หยก”

อวิ๋นเกอที่กำลังก้มหน้าก้มตาตั้งอกตั้งใจกินบะหมี่ตะลึงไปชั่วขณะกว่าจะเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังแนะนำตัวเองอยู่ นางได้แต่พูดอู้อี้ บะหมี่อัดแน่นอยู่ในปาก “ข้าชื่ออวิ๋นเกอ”

พอกินบะหมี่หมด อวิ๋นเกอก็ถอนหายใจพูด “กระดูกหางวัว พุทราไหมทอง ขิง ใส่ในหม้อดินเหลือง ปิดฝาตุ๋นสามวันจนไขกระดูกละลายเข้าสู่น้ำแกง แม้วัตถุดิบจะไม่ดีเลิศ เลือกใช้เนื้อของวัวที่ค่อนข้างแก่ แต่วิธีทำนับได้ว่าไม่เลว”

เมิ่งเจวี๋ยคีบบะหมี่ พยักหน้ายิ้ม เหมือนกำลังชื่นชมรสชาติบะหมี่เช่นกัน

อวิ๋นเกอถอนหายใจเบาๆ ทำไมแม้แต่ท่าทางกินบะหมี่ของเขาถึงยังน่ามองขนาดนี้นะ

นางเท้าคาง มองดูเมิ่งเจวี๋ยเพลินไม่รู้เนื้อรู้ตัว มืออีกข้างเล่นอยู่กับหยกประดับที่เก็บไว้ในแขนเสื้อ

เป้าหมายการมาฉางอันคือมาหาพี่หลิง แม้จะพบคนแล้ว แต่นางกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไรต่อ

เมิ่งเจวี๋ยมองดูอวิ๋นเกอที่คล้ายกำลังจ้องดูตนเอง แต่แท้จริงกลับไม่ใช่ นัยน์ตาฉายแววทั้งไม่พึงพอใจทั้งโล่งอกอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับลมวสันต์

อวิ๋นเกอยังคงนิ่งตะลึงงันเหมือนเก่า ส่วนเมิ่งเจวี๋ยครั้นชำเลืองเห็นคนที่อยู่นอกร้านก็รีบบอกเถ้าแก่เจ้าของร้านให้เก็บเงิน เขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออยู่นาน แต่กลับควานหาเงินไม่พบ

เถ้าแก่เจ้าของร้านกับผู้คนที่นั่งอยู่ด้านในต่างมีสีหน้าประหลาดใจ เมิ่งเจวี๋ยถอนหายใจแล้วกระซิบ “ขอทานที่ชนข้าเมื่อครู่คงขโมยถุงเงินข้าไปแล้วเป็นแน่”

ได้ยินแบบนั้นอวิ๋นเกอก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที รู้สึกเหมือนกับว่าคนที่เมิ่งเจวี๋ยพูดถึงนั้นคือนาง

โชคดีที่นางหน้าตามอมแมมจนดูไม่ออกว่ากำลังหน้าแดง อวิ๋นเกอล้วงเงินออกมาโยนให้กับเถ้าแก่เจ้าของร้าน “พอหรือไม่”

เถ้าแก่เจ้าของร้านรีบยิ้ม “พอ พอแล้ว!”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้มจางๆ มองดูอวิ๋นเกอล้วงหยิบเงิน ไม่ทั้งเอ่ยปากบอกปัด ไม่ทั้งเอ่ยปากขอบคุณ

ตอนอวิ๋นเกอกับเมิ่งเจวี๋ยเดินออกจากร้านมาด้วยกัน เสียงถอนหายใจหดหู่ของเถ้าแก่เจ้าของร้านดังลอยตามมาจากทางด้านหลัง…

“ถึงเรื่องแปลกประหลาดจะมีกันทุกปี แต่วันนี้กลับเยอะเป็นพิเศษ! เปิดร้านมายี่สิบปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นขอทานเข้ามากินอาหาร และก็เป็นครั้งแรกที่เห็นคุณชายท่าทางราวกับเทพบนสรวงสวรรค์ สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา แต่แค่บะหมี่ชามเดียวกลับไม่มีปัญญาจ่าย ต้องให้ขอทานเนื้อตัวมอมแมมสกปรกจ่ายเงินก้อนโตเลี้ยง”

 

ครั้นอวิ๋นเกอชำเลืองเห็นคนที่เดินอยู่ทางด้านหน้าสองคน นางก็คิดปลีกตัวหลบ แต่เมิ่งเจวี๋ยกลับรั้งแขนนาง เอ่ยปากขอบคุณด้วยกิริยานอบน้อมจริงใจ อวิ๋นเกอพยายามออกแรง แต่ก็ไม่อาจสลัดมือของเมิ่งเจวี๋ยได้สำเร็จ

ใบหน้าของเมิ่งเจวี๋ยดึงดูดสายตาผู้คนมาแต่ไหนแต่ไร ยามนี้ยิ่งมายื้อยุดฉุดกระชากกับขอทานเสื้อผ้าขาดวิ่นก็ยิ่งชวนให้คนที่สัญจรไปมาหยุดเท้ามอง

สวี่ผิงจวินกับหลิวปิ้งอี่ที่เดินอยู่ด้านหน้าก็หันมองมาเช่นกัน พอเห็นว่าเป็นอวิ๋นเกอ พวกเขาก็รีบสาวเท้าเดินดิ่งเข้ามาเร็วรี่

ยังไม่ทันถึง สวี่ผิงจวินก็ตะโกนร้องขึ้นมาก่อน “ขอทานเหม็น! เอาของที่ขโมยไปคืนมาเสียดีๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”

พอได้ยินเช่นนั้นผู้คนบนท้องถนนก็ต่างมองดูอวิ๋นเกอด้วยสายตาดูแคลน เมิ่งเจวี๋ยงุนงงตื่นตระหนก รีบคลายมือที่จับอวิ๋นเกอออก

อวิ๋นเกอคิดวิ่งหนี แต่หลิวปิ้งอี่กลับขวางหน้านางได้ก่อน ใบหน้าเต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือก “ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้า ดูท่าคงจะมาจากที่อื่นกระมัง หากอัตคัดขัดสน ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนก็ไม่เป็นไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรลงมือแล้งน้ำใจเช่นนี้ กฎข้อที่หนึ่ง ไม่ขโมยของจากสตรี ชายหญิงแตกต่าง ขโมยของสตรีมือไม้อาจเผลอล่วงเกินคนเขาได้ กฎข้อที่สอง ไม่ขโมยทรัพย์อันเป็นครุภัณฑ์เครื่องหยก เพราะของเหล่านี้มักเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อกันมา เป็นของที่ระลึกจากรุ่นสู่รุ่น หรือแค่กฎพื้นฐานพวกนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ?”

อวิ๋นเกอเคยนึกถึงภาพยามนางได้พบกับพี่หลิงอีกครั้งทั้งแบบดีใจและรันทดมานับครั้งไม่ถ้วน เคยคิดว่าพี่หลิงจะพูดอะไรกับนางหากได้เจอหน้ากันอีกครา ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยจินตนาการว่าเขาจะพูดกับนางเช่นไรหากนางแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก

แต่ความจริงที่แท้เป็นเช่นนี้…ที่แท้ที่นางได้พบก็คือสายตาเหยียดหยามเอือมระอา ถ้อยวาจาติติงเย็นชา

นางอึ้งมองพี่หลิงที่อยู่ตรงหน้านิ่งเป็นนาน ก่อนจะอ้ำอึ้งถาม “ท่านแซ่หลิวใช่หรือไม่”

วันนั้นพี่หลิงบอกว่าตนเองชื่อจ้าวหลิง ต่อมากลับบอกนางว่านั่นเป็นชื่อปลอม อวิ๋นเกอในเวลานี้มั่นใจก็เพียงพี่หลิงแซ่หลิว ส่วนชื่อไม่รู้ว่าเรียกหลิงจริงหรือไม่

หลิวปิ้งอี่คิดไปว่าอีกฝ่ายรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของตน รู้ว่าตัวเองเป็นหัวหน้าอันธพาลย่านชานเมืองฉางอัน จึงพยักหน้า “ใช่”

“คืนข้ามา!” สวี่ผิงจวินยื่นมือทวงหยกประดับคืนจากอวิ๋นเกอ น้ำเสียงจริงจัง

อวิ๋นเกอกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ค่อยๆ ล้วงหยกประดับออกมาส่งคืนให้กับสวี่ผิงจวิน

สวี่ผิงจวินคว้าหยกประดับหมายเอากลับคืน แต่อวิ๋นเกอกลับเหมือนตัดใจไม่ลง มือยังคงกุมยึดไว้แน่น

กว่าจะดึงออกจากมืออวิ๋นเกอได้ สวี่ผิงจวินก็ต้องออกแรงยื้อ แต่พอเห็นผู้คนจับจ้องมองมาที่พวกนาง นางก็นึกขึ้นได้ว่าหลิวปิ้งอี่เคยกำชับว่าห้ามไม่ให้เอาหยกประดับนี้แสดงให้ผู้ใดเห็นเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่กล้าพิจารณาดู ได้แต่รีบเก็บหยกประดับกลับเข้าแขนเสื้อ แอบลูบคลำตรวจดูอยู่เงียบๆ ครั้นมั่นใจว่าไม่ผิดอัน นางก็คลายความวิตกกังวลที่เกาะกุมใจนางอยู่ครึ่งค่อนวันลง

“อายุยังน้อย มือเท้าก็มี ขอเพียงไม่กลัวลำบาก มีหรือจะหาข้าวกินไม่ได้ นี่อะไร กลับทำตัวนอกลู่นอกทาง ไม่รู้จักใฝ่ดี!” เดิมทีสวี่ผิงจวินรู้สึกโกรธขอทานน้อยที่ลวนลามนาง หนำซ้ำยังขโมยของนางอีก แต่พอเห็นใบหน้าเหม่อลอยเจ็บปวดมีน้ำตาคลอเช่นนั้น แม้ปากยังคงสอนสั่งไม่เลิก แต่ใจนางกลับอ่อนลงก่อนแล้ว

ได้ยินสวี่ผิงจวินสอนสั่งอีกฝ่ายเช่นนั้น หลิวปิ้งอี่ก็กระอักกระอ่วนขึ้นหลายส่วน ได้แต่ยิ้มเจื่อน

ผู้คนที่อยู่รายรอบส่วนมากต่างพากันกลั้นหัวเราะ ด้วยเพราะรู้ดีถึงกิจวัตรประจำวันของหลิวปิ้งอี่ ว่ากันถึงเรื่องไม่รู้จักใฝ่ดี ในที่ราบเซ่าหลิงนอกเมืองฉางอันนี้ยังจะมีใครเหนือกว่าหลิวปิ้งอี่อีก ถึงเจ้าตัวจะไม่ขโมยช่วงชิงของของผู้อื่น แต่หัวขโมยทั้งหลายต่างล้วนเป็นสหายของเขาทั้งสิ้น งานทำไร่ไถนาเลี้ยงวัวเขาล้วนไม่ชำนาญ ต่างจากตีไก่แข่งสุนัขที่ชื่อเสียงดังกระฉ่อน ถึงกับมีเศรษฐีชนชั้นสูงในฉางอันลงทุนเดินทางมุ่งหน้ามาท้าพนันขันแข่งด้วย

อวิ๋นเกอมองดูหลิวปิ้งอี่ลึกซึ้งคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพิจารณาดูสวี่ผิงจวินอย่างถ้วนถี่อีกครา

หยกประดับเขามอบให้ผู้อื่นไปแล้ว นิทานที่เคยเล่าพวกนั้นเขาก็คงลืมสิ้นแล้วกระมัง แม้แต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้ บอกว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามลืม เขาคงลืมไปจนสิ้นแล้ว

มุมปากของอวิ๋นเกอสั่นระริกเหมือนนึกอยากจะเอ่ยบางอย่างอยู่หลายครั้ง แต่พอเห็นสวี่ผิงจวินจ้องมองมา ความรู้สึกเก้อกระดากก็ทำเอาเด็กสาวเช่นนางจนปัญญา ไม่รู้จะพูดเช่นไร

ช่างเถอะ! ในเมื่อนางรักษาสัญญามาพบเขาที่ฉางอันแล้ว แต่เขากลับลืมเรื่องทุกอย่างไปจนสิ้น นางก็คงได้แต่ต้องปล่อยให้มันจบลงเช่นนี้!

อวิ๋นเกอเดินผ่านข้างกายหลิวปิ้งอี่ไปเงียบๆ ท่าทางงุนงงเหมือนคนที่กำลังหลงอยู่กลางทางแยก ไม่รู้ควรเดินไปทิศไหนดี

“ช้าก่อน!”

อวิ๋นเกอใจเต้นระส่ำ นางหันกลับมามองหลิวปิ้งอี่

ความจริงหลิวปิ้งอี่เองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเรียกนาง หลังจากนิ่งไปชั่วขณะ ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหลือประมาณ “อย่าขโมยผู้ใดอีก” พร้อมล้วงเอาเงินที่มีติดตัวออกมายื่นให้อวิ๋นเกอ

สวี่ผิงจวินโมโห ริมฝีปากขยับ แต่สุดท้ายนางก็เลือกที่จะเงียบไว้

อวิ๋นเกอมองดูตาของหลิวปิ้งอี่ “เงินพวกนี้ท่านยังต้องเอาไว้ใช้หนี้ ให้ข้าแล้ว ท่านจะทำเช่นไร”

หลิวปิ้งอี่ยิ้มสบายอกสบายใจเฉกวีรบุรุษผู้กล้า “เงินทองจ่ายไปย่อมมีหนทางได้กลับมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง”

อวิ๋นเกอเอียงคอยิ้ม หากน้ำเสียงสะอึกสะอื้นอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณมาก ท่านยินดีช่วยเหลือข้าเช่นนี้ ข้าดีใจมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รับเงินของท่านไม่ได้”

นางชำเลืองมองสวี่ผิงจวินที่กำลังพยายามระงับความโกรธอย่างเต็มกำลัง ก่อนจะหันหลังชักเท้าออกวิ่ง

เดิมทีหลิวปิ้งอี่ตั้งใจจะรั้งอวิ๋นเกอไว้ แต่พอเห็นสายตาของสวี่ผิงจวินกำลังจ้องมองอยู่ เขาจึงได้แต่เกาหัวยิ้มขอโทษนาง

สวี่ผิงจวินถลึงตาใส่ หันหลังเดินจากไป

หลิวปิ้งอี่รีบไล่ตาม ขณะสวนกับเมิ่งเจวี๋ย พวกเขาก็หันไปพิจารณาดูอีกฝ่ายอยู่ชั่วอึดใจ พยักหน้ายิ้มให้แก่กัน คนหนึ่งยิ้มเฉกบุรุษเปิดเผยตรงไปตรงมา อีกหนึ่งยิ้มอ่อนโยนละมุนละไมเยี่ยงสุภาพชน

ผู้คนบนท้องถนนครั้นเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ดูแล้ว ก็ทยอยแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง

เมิ่งเจวี๋ยยังคงยืนอยู่กับที่ สองมือไขว้หลัง มุมปากยกยิ้ม จ้องไปตามทางที่อวิ๋นเกอวิ่งหายลับไป

แสงตะวันยามเย็นลากเงาเขาเสียจนยาวยืด ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนแม้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใด คนเหล่านั้นถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา

 

อวิ๋นเกอย่ำเท้าเดินเรื่อยเปื่อยไปตามถนน แม้ท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่นางกลับยังคงไม่รู้จะไปไหนดี มีเพียงแต่เดินไปเรื่อยๆ เท่านั้น

“นายท่าน ต้องการห้องพักหรือไม่ ห้องพักของพวกเราสะอาดสะอ้าน ราคายุติธรรม น้ำร้อนน้ำอาบก็มีบริการพร้อมไม่คิดเงินแต่ประการใด” เสี่ยวเอ้อร์ประจำโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ข้างถนนคอยเรียกลูกค้าอยู่ที่หน้าประตู

อวิ๋นเกอชะงักเท้า เดินตรงไปยังโรงเตี๊ยม แต่เสี่ยวเอ้อร์กลับขวางนางไว้ที่หน้าประตู “จะขอทานก็ไปที่ประตูหลัง ที่นั่นมีกับข้าวเหลือๆ แจก”

นางปั้นหน้าเย็นชา ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อล้วงหาเงิน แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

ตอนอยู่บ้าน นางไม่เคยเข้าใจว่าทรัพย์สินเงินทองมีความสำคัญเช่นไร ทว่านับแต่ออกเดินทางมา นางก็เข้าใจแล้วว่าอะไรคือ ‘เงินอีแปะเดียวทำวีรบุรุษถึงตาย’* ในใจเริ่มวิตกกังวล หลังจากคลำดูทั่วทั้งร่าง ไม่เพียงถุงเงินที่หายไป เครื่องประดับของมีค่าที่พกติดตัวก็อันตรธานไปจนสิ้น แม้แต่ห่อเครื่องปรุงต่างๆ ที่นางเก็บไว้ก็ยังไม่เหลือ

นางกลัดกลุ้มถึงขีดสุด ได้แต่ถอนหายใจยิ้มเจื่อน พี่รองพูดอยู่เสมอ ‘สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีมูลเหตุและผลกรรมของมัน’ แต่กรรมนี้ดูเหมือนจะสนองเร็วเกินไปสักหน่อย

เสี่ยวเอ้อร์เหมือนจะใช้ความอดทนหมดไปนานแล้ว เขาผลักอวิ๋นเกอออกไปโดยแรง “ถ้ายังยืนเกะกะอยู่อีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

* เงินอีแปะเดียวทำวีรบุรุษถึงตาย เป็นสำนวนหมายถึงเงินเพียงน้อยนิดก็มีความสำคัญมาก โดยเงินอีแปะหรือเงินเหวินคือเงินสัมฤทธิ์ซึ่งมีลักษณะเป็นเหรียญที่มีรูตรงกลาง เป็นหน่วยเงินที่เล็กที่สุดของเงินตราสมัยโบราณของจีน 1000 เหวินมีค่าเท่ากับ 1 ตำลึง ต่อมาสำนวนนี้ใช้ในความหมายว่าอุปสรรคยากลำบากเพียงเล็กน้อยก็อาจขัดขวางเรื่องใหญ่จนไม่สำเร็จลุล่วง

แต่แล้วสีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์พลันเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ปั้นหน้าประจบประแจง ยิ้มเบิกบานเดินตรงเข้ามาหานาง ขณะที่กำลังแปลกใจ อวิ๋นเกอก็ได้ยินน้ำเสียงอบอุ่นของใครบางคนดังขึ้นทางด้านหลัง “พวกเรามาด้วยกัน”

เสี่ยวเอ้อร์กุลีกุจอรีบหันมาเรียกอวิ๋นเกอ ‘คุณชายน้อย’ อย่างคล่องแคล่วไม่มีกระดากปาก เขารับเงินจากมือเมิ่งเจวี๋ยพร้อมพูดอย่างกระตือรือร้น “คุณชายคงต้องการห้องพักที่ดีที่สุดเป็นแน่ พวกเรามีเรือนพำนักขนาดเล็ก ภายในมีสวนดอกไม้ ห้องครัวส่วนตัว ทั้งงดงามทั้งเงียบสงบ เหมาะจะใช้เป็นที่พำนักประจำ และก็เหมาะที่จะใช้พักผ่อนชั่วคราว…”

ใบหน้าของเมิ่งเจวี๋ยซ่อนอยู่ใต้งอบ ยากจะสังเกตเห็นสีหน้า อวิ๋นเกอชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนจะชักเท้าหลีกทางให้อีกฝ่ายเดินตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปด้านใน

“อวิ๋นเกอ ถือเสียว่าข้าเลี้ยงตอบแทนน้ำใจเจ้าที่เจ้าเลี้ยงอาหารข้าเมื่อบ่าย”

อวิ๋นเกอลังเลไม่พูดไม่จา แต่ด้วยอ่อนล้าทั้งใจกาย ประกอบกับที่ผ่านมานางใช้จ่ายเงินไม่บันยะบันยัง ยามนี้จึงได้แต่ปั้นหน้าเรียบเฉยแล้วพยักหน้า เดินตามเมิ่งเจวี๋ยเข้าไปในโรงเตี๊ยม

 

น้ำร้อนอุ่นสบายอาจชำระฝุ่นละอองคราบสกปรกบนตัวนางออกได้ แต่มิอาจลบล้างความเหนื่อยอ่อนสับสนในใจนาง แม้จะเอนกายนอนอยู่บนตั่งเตียงเป็นนานสองนาน แต่อวิ๋นเกอก็ไม่อาจข่มตาหลับ

เสียงพิณคุ้นหูดังแว่ว ใจของนางสั่นไหว อดไม่ได้ที่จะหยิบเสื้อคลุมขึ้นสวม

ตลอดการเดินทางที่นางเลือกแต่งตัวเป็นชายก็เพียงเพราะนึกสนุก ไม่ได้เจตนาปิดบังเพศของตนเอง ดังนั้นครั้นจัดการผมเผ้าแค่พอเป็นพิธีเสร็จ นางก็เดินออกจากห้องไป

สระน้ำคดเคี้ยว ภูเขาจำลองเรียงรายทับซ้อน ด้านบนปลูกต้นหวายม่วงไว้เป็นพุ่มเขียวชอุ่ม อีกด้านของสระ ระหว่างหินเขียวครามมีไผ่ยืนตระหง่านอยู่หลายกอ ทั้งสูงเตี้ยถี่ห่างสลับกันไปมาน่าสนใจยิ่งนัก

เมิ่งเจวี๋ยอยู่ในอาภรณ์ยาวสีขาวเหลือบฟ้าจาง กำลังนั่งอยู่หน้าไผ่เขียว ปลายนิ้วดีดบรรเลงพิณตามใจปรารถนา เส้นผมดำขลับราวแพรไหมแผ่สยายระแผ่นพื้น

ทัศนียภาพในยามนี้ทำให้อวิ๋นเกอประหวัดนึกถึงบทกวีบทหนึ่งที่เคยอ่าน นางรู้สึกว่าหากนำมาใช้กับเมิ่งเจวี๋ยดูจะเหมาะสมยิ่งนัก…

‘แลดูธารฉีคดเคี้ยว ไผ่เขียวเรียงรายมิสิ้น สุภาพชนงามสง่าเป็นอาจิณ ความรู้แลกเปลี่ยนยิ่งทวี คุณธรรมขัดเกลาสิยิ่งงดงาม’

ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของอวิ๋นเกอ เมิ่งเจวี๋ยก็ช้อนตาขึ้นมอง ดวงตาของเขาเหมือนชักนำให้พระจันทร์สาดแสงนวลส่องลงมายังพื้นพิภพ เพียงชั่วพริบตาทั้งสวนดอกไม้ก็ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงสุกใส

เขาไม่มีทีท่าประหลาดใจต่อรูปลักษณ์สตรีของอวิ๋นเกอเลยแม้แต่น้อย กวาดตามองหน้านางเพียงครู่ ก่อนจะก้มหน้าตั้งอกตั้งใจบรรเลงพิณต่อ

ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเกอจึงไม่จำเป็นต้องปริปากอธิบายอันใด นางนั่งลงบนก้อนหินอีกก้อนเงียบๆ

นางฟังดนตรีมาตั้งแต่ยังเล็ก ความรู้สึกอ่อนล้าในใจยามนี้คลายลงได้หลายส่วน

แม้บทเพลงบรรเลงสิ้นสุด แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ยังคงนั่งนิ่งไม่พูดจา

หลังปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดอวิ๋นเกอก็พูดขึ้น “ ‘หวนประหวัดครั้นออกกรีฑาทัพ หลิวหยางโบกสะบัดพัดไสว วันนี้หวนย้อนกลับจากแดนไกล หิมะไซร้ชโลมลงทั่วแดนดิน’ พี่รองข้าก็ชอบบทเพลงบทนี้ แต่ก่อนเวลาข้าไม่สบายใจ พี่รองมักดีดให้ข้าฟังอยู่เสมอ”

“อืม”

“ข้าไม่ใช่ขโมย ข้าไม่ได้ขโมยหยกของนางผู้นั้น เดิมทีข้าแค่นึกอยากแกล้งนาง ตอนหลังข้าเพียงแค่อยากดูหยกของนางให้ละเอียดก็เท่านั้น”

“ข้ารู้”

อวิ๋นเกอมองดูอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสงสัย เมิ่งเจวี๋ยกวาดตามองใบหน้าของนางปราดหนึ่ง “ตอนแรกข้าเองก็รู้สึกตกใจ แต่พอมาคิดดูให้ดี ไม่ว่าจะคำพูดหรือกิริยาท่าทางของเจ้า ข้าก็พอทายได้ว่าเจ้าต้องเกิดในครอบครัวมีอันจะกิน”

“ท่านคงสงสัย ไม่ใช่ขโมยแล้วทำไมข้าถึงรู้จักวิธีขโมยของใช่หรือไม่ พี่รองข้ามีสหายสนิทคนหนึ่ง เขาชำนาญเรื่องมือไวเป็นที่สุด แต่เขาเป็นคนดีมิใช่คนเลว เพื่อได้ลองลิ้มชิมอาหารที่ข้าทำ เขาจึงยอมรับข้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับข้า แต่เขาเคยคุยโม้ บอกว่าหากเขาเรียกตัวเองว่าเป็นที่สองแล้วล่ะก็ ใต้หล้านี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเรียกขานตนเองว่าเป็นที่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ข้าเป็นศิษย์เขาแท้ๆ แต่กลับถูกคนขโมยเงินไปโดยไม่รู้ตัว วันหน้าหากได้พบกันอีก รับรองข้าจะเยาะเย้ยเขาให้ได้อายเลยทีเดียว คนอะไรขี้โม้ทะลุฟ้าจริงๆ!” อวิ๋นเกอพูดพลางเบ้ปากยิ้ม

ดวงตาหลุบต่ำของเมิ่งเจวี๋ยฉายแววครุ่นคิด แต่มุมปากกลับยังคงแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้ม เขาดีดเส้นเสียงบนพิณเบาๆ เสียงติงตังดังเสนาะเหมาะกับรอยยิ้มของอวิ๋นเกอเป็นที่สุด

“ระยะนี้ข้าโชคร้ายอยู่เรื่อย เดิมทีคิดว่ามาถึงฉางอันแล้วจะสบายใจ แต่นึกไม่ถึงกลับแย่หนักยิ่งกว่าเก่า ได้คุยกับท่านข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาก ปลงตกแล้วด้วย แต่ไหนๆ ก็มาถึงฉางอันแล้ว ข้าคงพำนักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก ในเมื่อตอนนี้ข้ามีบ้านก็กลับไม่ได้ เช่นนั้นก็ถือโอกาสอยู่เที่ยวฉางอันให้หนำใจก่อน จะได้ไม่เสียแรงที่เดินทางไกลนับพันลี้” อวิ๋นเกอปัดฝุ่นบนมืออก ยิ้มลุกขึ้นยืน “ขอบคุณที่ยอมฟังข้าบ่น! ไม่รบกวนท่านแล้ว ข้าขอตัวกลับไปนอนก่อน”

เดินไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ อวิ๋นเกอก็หันกลับมา นึกไม่ถึงว่าจะประสานเข้ากับสายตาของเมิ่งเจวี๋ยที่กำลังจ้องมองดูแผ่นหลังของนางพอดี ดวงตาเขาเหมือนมีประกายแสงเฉียบคมวาดผ่าน อวิ๋นเกออึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มพูด “ข้าชื่ออวิ๋นเกอ อวิ๋นที่หมายถึงเมฆ เกอที่หมายถึงเสียงเพลง ราชันในหมู่หยก ตอนนี้พวกเราเป็นสหายกันจริงๆ แล้ว”

 

อวิ๋นเกอนอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน ครั้นพระอาทิตย์ส่องแสงอาบจนภายในห้องสว่างไปทั่ว นางก็ปรือตาตื่นพลางบิดขี้เกียจอย่างพึงพอใจ “ตะวันแดงลอยสูง หลับใหลไม่รู้โมงยาม!”

พลันน้ำเสียงอบอุ่นดังลอยมาจากนอกหน้าต่าง แฝงไว้ซึ่งอารมณ์ขบขัน “ในเมื่อรู้ว่าหลับใหลไม่รู้โมงยามก็น่าจะรีบลุกได้แล้ว”

อวิ๋นเกอหน้าแดงแทบจะในทันที นางยกมือปิดปาก หัวเราะไร้สุ้มเสียง “เมิ่งเจวี๋ย ท่านจะให้ข้ายืมเงินสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ ข้าอยากซื้อเสื้อผ้าสวมใส่ ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาก ไม่อยากแต่งตัวเป็นขอทานอีกแล้ว”

“ได้! เจ้าล้างหน้าล้างตาเสียก่อน! อีกสักครู่ข้าจะเรียกให้คนเอาเสื้อผ้าเข้ามาให้”

สายตาของเมิ่งเจวี๋ยไม่ได้ทำให้อวิ๋นเกอผิดหวัง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เขาเลือกล้วนประณีตงดงาม แต่ก็มิได้ดูหรูหราเกินสมควร จากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บนตัวเสื้อล้วนบอกให้รู้ว่ามันเป็นงานฝีมือชั้นเลิศ มิหนำซ้ำยังบังเอิญเป็นสีที่นางโปรดปรานที่สุดอีกด้วย

อวิ๋นเก๋อพิจารณาดูตัวเองในกระจก อาภรณ์สีเขียวสดใส สุภาพงดงาม อาบแฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายของสตรีผู้อ่อนช้อย นางทำหน้าทะเล้นใส่ตัวเองในกระจก ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปจากห้อง

 

“เมิ่งเจวี๋ย ท่านเป็นคนฉางอันใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่”

“แล้วเหตุใดท่านถึงมาฉางอัน หรือว่ามาเที่ยวเล่น”

“ข้ามาทำการค้า”

“หืม?” อวิ๋นเกอยิ้มน้อยๆ “ท่านดูไม่เหมือนพ่อค้าสักนิด”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้มถามกลับ “แล้วเจ้าล่ะ มาฉางอันทำไม”

“ข้า? ข้า…คงพอเรียกว่ามาเที่ยวเล่นได้กระมัง! เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเหลือสักอีแปะ คงเที่ยวเล่นไม่ได้แล้ว ข้าตั้งใจจะหาเงินก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากันอีกที”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้มแล้วมองไปที่อวิ๋นเกอ “เจ้าคิดจะหาเงินเช่นไร ที่นี่แม้นเป็นเมืองหลวง แต่เรื่องทำมาหากินก็ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับสตรี มิสู้ให้ข้าช่วย…”

อวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “อย่าได้ดูแคลนข้าเชียว! ขอเพียงใต้หล้าผู้คนยังคงกินข้าว ข้าย่อมมีทางหาเงินได้แน่ อีกไม่นานข้าก็คืนเงินให้ท่านได้หมด ข้าตั้งใจจะไปทำงานที่หอสุราชีหลี่เซียงสักสองสามวันก่อน ศึกษาเรื่องเหล้าของพวกเขา ท่านจะไปกับข้าด้วยหรือไม่”

เมิ่งเจวี๋ยจ้องอวิ๋นเกอเขม็งเหมือนนึกแปลกใจ แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มกลับยังคงมีอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน “ก็ดี จะได้ถือโอกาสไปกินอาหารกลางวันกันเสียเลย”

ตอนอวิ๋นเกอกับเมิ่งเจวี๋ยเดินเคียงไหล่ไปถึง จู่ๆ ทั้งหอสุราก็พลันเงียบสงัดไร้สรรพเสียง

เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงอยู่เป็นนานกว่าจะเดินขึ้นหน้ามาทักทาย ไม่ต้องถามไถ่อันใด เสี่ยวเอ้อร์ก็พาพวกเขาตรงไปนั่งยังที่นั่งที่ดีที่สุด “ไม่ทราบว่านายท่านต้องการกินอะไรขอรับ”

เมิ่งเจวี๋ยมองไปทางอวิ๋นเกอ นางถาม “อะไรก็ได้ใช่หรือไม่”

“หอสุราของพวกเราแม้จะมิอาจเทียบกับหอสุราอี้ผิ่นจวี (เรือนชั้นเลิศ) ที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง แต่หากเป็นรอบนอกเมืองแล้วล่ะก็ ชื่อเสียงของพวกเรามิได้ด้อยกว่าผู้ใด ขนาดเหล่าคุณชายนายท่านที่พำนักอยู่ในตัวเมืองก็ยังมีไม่น้อยที่เดินทางมาลองลิ้มชิมอาหารของพวกเรา เชิญแม่นางสั่งได้ตามสบาย!”

“เช่นนั้นก็ดี! อืม…พิสดารเกินไปคงทำได้ยาก เช่นนั้นก็คงได้แต่เลือกที่ง่ายหน่อยเท่านั้น! เรียกน้ำย่อยด้วย ‘สามกาสารสะท้อนจันทร์’ ก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็เป็น ‘โจวกงคายอาหาร’ ‘ฉางเอ๋อ* เหินจันทร์’ ตบท้ายด้วย ‘เกราะทองคำ’ กาหนึ่งไว้ดับคาว”

เสี่ยวเอ้อร์ปั้นหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากเกราะทองคำกาหนึ่งที่พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับดอกเบญจมาศแล้ว อาหารจานอื่นที่นางสั่งมาไม่มีที่เขารู้จักเลยแม้แต่อย่างเดียว ทว่าในเมื่อคุยโตเสียขนาดนั้นแล้วจะให้คืนคำก็คงไม่เหมาะ เขาจึงได้แต่ฝืนพูด “นายท่านทั้งสองได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปถามในครัวดูก่อนว่ามีวัตถุดิบพร้อมสรรพหรือไม่”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้ม มองดูอวิ๋นเกอด้วยดวงตายั่วเย้า ส่วนอวิ๋นเกอเองก็แลบลิ้นใส่เขา

ครู่ต่อมาเถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวคนหนึ่งก็เดินตรงมาหยุดอยู่ข้างอวิ๋นเกอ น้อมคำนับนบนอบ “ขอแม่นางโปรดอย่าได้ถือสา สำหรับ ‘โจวกงคายอาหาร’ นั้น พวกเรายังพอรู้วิธีทำอยู่บ้าง แต่น่าขายหน้ายิ่งนัก ‘สามกาสารสะท้อนจันทร์’ กับ ‘ฉางเอ๋อเหินจันทร์’ พวกเราสุดที่จะรู้ได้ มิทราบว่าแม่นางพอจะให้ความกระจ่างสักเล็กน้อยได้หรือไม่”

อวิ๋นเกอเม้มริมฝีปากยิ้ม “สามกาสารสะท้อนจันทร์ ใช้น้ำจากแม่น้ำอีซวิ่นที่อยู่นอกด่าน สระเป้าทูที่จี่หนาน และน้ำจากธารน้ำอวี้ที่เยี่ยนเป่ย นำมาต้มปลาพระจันทร์จากธารเจินจูที่อยู่นอกเมืองฉางอันด้วยไฟอ่อนจนกระทั่งเนื้อปลา

* ฉางเอ๋อ คือเทพีแห่งดวงจันทร์ตามตำนานความเชื่อของจีน

ละลายลงไปในน้ำแกงจนหมด หลังจากนั้นก็กรองเอาเศษออกเหลือไว้เพียงน้ำแกงสีขาว ก่อนปรุงรสด้วยกลีบดอกเหมยที่แช่อยู่ในน้ำจากเขาซีไซ่กับเกลืออีกเล็กน้อย ส่วนฉางเอ๋อเหินจันทร์ เลือกใช้ด้ามพู่กันอ่อน หรือก็คือลูกปลาไหลนานั่นเอง ความยาวของมันห้ามไม่ให้ยาวเกินหรือสั้นเกินหนึ่งด้ามพู่กันถึงได้เรียกพวกมันว่าด้ามพู่กันอ่อน เลือกเอาเฉพาะเนื้อสันหลังนำไปผัดลงในกระทะตั้งน้ำมันไฟแรง ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงยี่สิบสี่ชนิด ครั้นยกลงจากเตา เนื้อของมันจะเลื่อมเป็นมันเงา นุ่มละมุนลิ้น กลิ่นหอมอบอวล จัดวางลงบนจานหยกขาว จานที่ใช้ต้องกลมเหมือนจันทร์วันเพ็ญ เนื้อปลาไหลเป็นเส้นเรียวยาว ยามอยู่บนจานจะดูละม้ายคล้ายแขนเสื้อของฉางเอ๋อที่กำลังแผ่กว้าง และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อฉางเอ๋อเหินจันทร์”

น้ำเสียงของอวิ๋นเกอไพเราะเสนาะหู พูดจาคล่องแคล่วไม่มีสะดุดราวกับกรรมวิธีทั้งหมดล้วนง่ายดายเสียจนไม่อาจง่ายดายไปมากกว่านี้ แต่เถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวกลับได้แต่มองหน้ากันไปมา

เถ้าแก่เจ้าของหอสุราน้อมคำนับอวิ๋นเกอ “เสียมารยาทแล้วๆ! แม่นางเชี่ยวชาญยิ่งนัก ‘ฉางเอ๋อเหินจันทร์’ แม้จะกระชั้นชิด แต่พวกเรายังพอทำให้ได้อยู่ แต่ ‘สามกาสารสะท้อนจันทร์’ เกรงว่าจะไม่อาจ”

ยังไม่ทันที่อวิ๋นเกอจะพูดอะไรออกมา วาจาเผ็ดร้อนกล้าได้กล้าเสียของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น ”ฉางเอ๋อเหินจันทร์อะไรกัน ก็แค่ผัดปลาไหลเท่านั้น ทำเป็นพูดเสียยุ่งยาก! ข้าว่าคิดหาเรื่องแกล้งกันมากกว่า!”

อวิ๋นเกอผินหน้ามอง ที่แท้ก็คือสวี่ผิงจวิน นางกำลังแบกไหสุราขนาดใหญ่เดินผ่านข้างโต๊ะไป

เถ้าแก่เจ้าของหอสุราที่อยู่อีกด้านรีบพูด “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก สี กลิ่น รสสัมผัสคือสามหลักใหญ่ในการตัดสินอาหารว่าดีเลวเช่นไร ชื่อเพราะหรือไม่ รูปร่างสีสันชวนมองหรือเปล่า ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”

อวิ๋นเกอยิ้มจางๆ ไม่ต่อปากต่อคำ เอาแต่สูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น “สุรานี้หอมยิ่งนัก! น่าจะเป็นเหล้าเกาเหลียงทั่วไป แต่กลิ่นหอมจรุงยากจะบรรยายเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสุราชั้นเลิศ นี่มันกลิ่นหอมของอะไรกัน ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ และก็ไม่ใช่กลิ่นเครื่องปรุงแต่ง…”

สวี่ผิงจวินหันกลับมามองดูอวิ๋นเกอด้วยความประหลาดใจ แม้จะจำเมิ่งเจวี๋ยได้ แต่ก็ดูไม่ออกว่าอวิ๋นเกอที่เลือกมากเรื่องอาหารการกินนั้นคือคนเดียวกับขอทานตกอับเมื่อวาน นางยิ้มได้ใจ “เจ้าค่อยๆ ทายไปเถอะ! ขนาดเถ้าแก่ทายมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังทายไม่ถูก หากถูกเจ้าทายได้ง่ายๆ แล้วสุราข้ายังจะขายได้อยู่อีกกระนั้นหรือ”

ใบหน้าของอวิ๋นเกอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “สุราทั้งหมดในร้านนี้เจ้าเป็นคนบ่ม?”

สวี่ผิงจวินหันหลังเดินจากไป ไม่สนคำถามของอวิ๋นเกอแม้แต่น้อย

อวิ๋นเกอขมวดคิ้วพินิจพิจารณาถึงกลิ่นหอมของสุรา เถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวได้แต่นิ่งรอฟังคำสั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เมิ่งเจวี๋ยกระซิบเรียกเบาๆ อวิ๋นเกอได้สติ รีบลุกขึ้นคำนับขอขมาเถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวทันที “ความจริงข้ามาวันนี้ เรื่องกินอาหารเป็นเรื่องรอง เหตุผลหลักคือข้าต้องการหางานทำ ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการพ่อครัวหรือไม่”

เถ้าแก่ตกใจสงสัย พิจารณาดูอวิ๋นเกอไม่วางตา ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าอวิ๋นเกอเข้าใจเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูไม่ออกว่านางต้องการหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพ่อครัว

อวิ๋นเกอยิ้ม ชี้ไปที่เมิ่งเจวี๋ย “เสื้อผ้าอาภรณ์ของข้าล้วนเป็นเขาซื้อให้ ตอนนี้ข้ายังติดค้างเงินเขาอยู่เลย! เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะทำ ‘ฉางเอ๋อเหินจันทร์’ กับ ‘โจวกงคายอาหาร’ ให้พวกท่านดู หากเถ้าแก่เห็นว่าข้าทำอาหารพอกินได้ ท่านก็รับข้าไว้ แต่หากไม่ได้ พวกเราจะจ่ายเงินค่าอาหารให้”

พ่อครัวสูงวัยถลึงตาใส่เมิ่งเจวี๋ย เหมือนจะไม่พอใจที่ชายหนุ่มท่าทางมีเงินเช่นเขาปล่อยให้สตรีบอบบางประหนึ่งต้นหอมน้ำอย่างอวิ๋นเกอต้องออกมาดิ้นรนทำงานหาเงิน เมิ่งเจวี๋ยได้แต่ยิ้มเจื่อน

เถ้าแก่เจ้าของหอสุราแอบดีดรางลูกคิดอยู่เงียบๆ ในใจ พ่อครัวชั้นยอดแม้จะหาตัวไม่ยาก แต่ใช่จะเชื้อเชิญกันได้โดยง่าย หากพลาดหลุดมือไป ต่อให้นึกเสียใจสักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็เฝ้าครุ่นคิดหาทางเข้าไปเทียบชั้นกับหอสุราอี้ผิ่นจวีที่อยู่ในตัวเมืองฉางอันอยู่ตลอด สตรีนางนี้ดูเหมือนจะเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้เขา

“ตกลง! อาหารสองจานนี้ที่แม่นางเลือกมาล้วนสามารถทดสอบฝีมือได้ทั้งสิ้น ‘โจวกงคายอาหาร’ แม้วัตถุดิบจะธรรมดา แต่ก็เหมาะกับการทดสอบฝีมือปรุงรสว่าจะสามารถดึงจุดเด่นออกจากวัตถุดิบธรรมดาๆ ได้หรือไม่ ส่วนฉางเอ๋อเหินจันทร์ก็เหมาะที่จะทดสอบฝีมือใช้มีดและการจัดวาง อาหารจานนี้จะได้ชื่อว่าฉางเอ๋อเหินจันทร์หรือผัดปลาไหล ทั้งหมดต้องดูฝีมือการใช้มีดของผู้เป็นพ่อครัวแล้ว”

อวิ๋นเกอยิ้มสดใสให้กับเมิ่งเจวี๋ย “ลูกค้าคนแรกของข้าคงไม่แคล้วต้องเป็นคุณชายเมิ่ง ขอบคุณยิ่งที่ให้เกียรติ!” นางลุกขึ้นยืน เดินตามพ่อครัวเข้าไปยังโถงด้านใน

ช่วงเวลาหนึ่งข้าวสุก ถึงอาหารยังมาไม่ถึง แต่กลิ่นหอมยวนใจของมันกลับมาถึงก่อน ผู้คนทั้งหอสุราต่างพากันสูดจมูกชะเง้อคอมองไปยังโถงด้านใน

‘โจวกงคายอาหาร’ ไม่ได้จัดวางลงบนเครื่องกระเบื้องทั่วไป แต่กลับใส่อยู่ในลูกฟักขนาดพอเหมาะที่ถูกคว้านเอาเนื้อในออก เสี่ยวเอ้อร์จงใจค่อยๆ ย่างเท้าเดินทีละก้าวๆ

ผิวด้านนอกของลูกฟักถูกสลักเป็นรูป ‘โจวกงคายอาหาร โลกจึงบังคม’* โดยมีเปลือกสีเขียวเป็นพื้น เนื้อสีขาวเป็นภาพ สีเขียวขาวขับเน้นซึ่งกันและกัน งดงามราวกับงานศิลป์ มิใช่อาหาร

อาหารเคลื่อนผ่าน กลิ่นหอมกำจาย ผู้คนเอ่ยปากชมไม่ขาดสาย

เสี่ยวเอ้อร์อีกคนประคองถือจานหยกขาว เนื้อปลาไหลที่จัดวางอยู่ด้านบนดูราวแขนเสื้อกว้างของสตรี แต่หากมองจากด้านข้างจะพบว่ามันดูคล้ายลายพลิ้วของแขนเสื้อที่กำลังสะบัดไหว อ่อนช้อยอรชร ยากเกินบรรยาย

“โจวกงคายอาหาร”

“ฉางเอ๋อเหินจันทร์”

ทันทีที่เสี่ยวเอ้อร์ประกาศชื่ออาหารเสร็จก็มีคนตะโกนร้องต้องการสั่งอาหารทั้งสองจานขึ้นมาทันที

เถ้าแก่เจ้าของหอสุรายิ้มหน้าบาน “พ่อครัวใหญ่ที่หอสุราเรารับมาใหม่ ในหนึ่งวันจะทำอาหารให้แขกเพียงท่านเดียวเท่านั้น วันนี้จำนวนคนครบถ้วนตามกำหนดแล้ว หากท่านใดต้องการลองลิ้ม พรุ่งนี้ก็ขอได้โปรดมาแต่เช้า!”

อวิ๋นเกอหัวเราะคิกคักนั่งลงฝั่งตรงข้ามเมิ่งเจวี๋ย เมิ่งเจวี๋ยรินชาให้นางถ้วยหนึ่ง “ยินดีด้วย!”

“เป็นอย่างไรบ้าง”

อวิ๋นเกอกะพริบตาปริบๆ มองดูเมิ่งเจวี๋ย เขาชิมลูกชิ้นที่บรรจุอยู่ในฟักแกะสลักก่อนคำหนึ่ง ก่อนจะคีบเนื้อปลาไหลขึ้นมาเคี้ยวช้าๆ “อืม เยี่ยม นับว่าอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมา หนำซ้ำยังเป็นตุ๋นลูกชิ้นและผัดปลาไหลที่งดงามที่สุดอีกด้วย”

เสียงหัวเราะของใครบางคนดังขึ้นจากทางด้านหลังของอวิ๋นเกอ คิดว่าคงเป็นสวี่ผิงจวินที่ได้ยินคำพูดของเมิ่งเจวี๋ยว่า ‘เป็นตุ๋นลูกชิ้นและผัดปลาไหลที่งดงามที่สุด’ ซึ่งก็ตรงกับใจนางพอดี นางจึงอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้

อวิ๋นเกอเอียงคอมองสวี่ผิงจวิน สวี่ผิงจวินเลิกคิ้ว นัยน์ตาฉายแววท้าทายอยู่หลายส่วน แต่อวิ๋นเกอกลับทำเพียงส่งยิ้มจางๆ ให้นาง ครั้นหันกลับมาเห็นตะเกียบของเมิ่งเจวี๋ยกำลังคีบลูกชิ้นอยู่ อวิ๋นเกอก็พลันยิ้มกว้าง

* ‘โจวกงคายอาหาร โลกจึงบังคม’ เป็นความในวรรคสุดท้ายของบทกวีต่วนเกอสิงของโจโฉ เป็นเรื่องของโจวกงที่เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมือง และมีความนอบน้อมต่อผู้อื่น ไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ถือตนว่าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก หากมีแขกมาพบในเวลากินข้าว โจวกงจะคายข้าว แล้วออกไปพบแขกก่อน สมควรได้รับการเคารพยกย่องจากทั่วหล้า

สวี่ผิงจวินตะลึง เสียงหัวเราะเยาะเย้ยถากถางเบาแผ่วลง นางยกไหสุราวางลงบนโต๊ะอวิ๋นเกอ “ได้ยินท่านอาฉางบอกว่าต่อไปเจ้าจะมาทำงานอยู่ที่หอสุราชีหลี่เซียง วันนี้พวกเราพบกันครั้งแรก ถือเสียว่าข้าเลี้ยงเจ้าก็แล้วกัน”

อวิ๋นเกอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะส่งยิ้มให้กับสวี่ผิงจวิน “ขอบคุณมาก”

เมิ่งเจวี๋ยยิ้ม มองดูอวิ๋นเกอกับสวี่ผิงจวินสองคน “วันนี้นับว่ามีลาภปากไม่ใช่น้อย ไม่เพียงอาหารชั้นเลิศ ยังมีสุราชั้นยอดอีก”

ขณะที่พวกเขาทั้งสามกำลังพูดคุยกัน เด็กหนุ่มที่ถูกสวี่ผิงจวินบิดหูด่าก็วิ่งตรงเข้ามาราวกับพายุหมุน แขนเสื้อเปื้อนเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “พี่สวี่ๆ แย่แล้ว! พวกข้าฆ่าคนตาย ทางการจับตัวพี่ใหญ่ไปแล้ว!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 17

Comments

comments

Jamsai Editor: