บทที่สอง
เมียหม่าหย่งเย็บแก้เสื้ออยู่ใต้แสงตะเกียง หม่าหย่งพลิกตัว แล้วมองท้องฟ้าด้านนอก “แม่จู้จื่อ นอนเถอะ”
“ใกล้จะเสร็จแล้ว…” เมียหม่าหย่งเอาเข็มเขี่ยผม “เสื้อผ้าอาชิวขาดหมดแล้ว เสื้อผ้าของจู้จื่อก็ใหญ่เกินไป นางใส่ของเขาแล้วเสื้อผ้าจะลากพื้นเอา”
หม่าหย่งพลิกตัวแล้วก็ยังนอนไม่หลับ จึงคว่ำหน้าลงบนหมอน แล้วหยิบกล้องยาสูบและถุงยาสูบบนม้านั่งขึ้นมา จากนั้นเติมใบยาสูบจนเต็ม ใช้ตะเกียงจุดไฟ พลางเริ่มสูบมันขึ้นมา
“พ่อตาหนู” เมียหม่าหย่งมองดูหม่าจู้เอ๋อร์ที่กำลังนอนหลับสนิท “หนูน้อยคนนี้หน้าตาดีมาก ข้าว่าจู้จื่อก็ชอบมากเช่นกัน หรือจะให้นางอยู่ที่นี่ ในอนาคตให้เป็นเมียของจู้จื่อ?”
“ข้าไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอก!” หม่าหย่งพ่นควันยาสูบออกมา แล้วโน้มตัวเคาะเถ้ายาสูบตรงฐานที่นอน “ข้าเห็นมือแม่หนูคนนี้ผิวนุ่มละเอียด เดินเหินและทำอะไรดูมีสกุลรุนชาติ ดูก็รู้ว่ามิใช่ชาวบ้านอย่างพวกเราจะอบรมเลี้ยงดูออกมาได้…” เขาอัดใบยาสูบจนเต็มอีกครั้ง “แม่จู้จื่อ นางไม่ใช่คนที่จู้จื่อควรคู่ด้วยสักนิด พวกเราก็เลี้ยงดูนางให้ดีเถิด วันหน้าจะได้ส่งตัวนางกลับไปได้”
เมื่อคิดว่ามู่หวั่นชิวที่ดูหิวขนาดนั้น ก็ยังไม่กินตะกละตะกลามเหมือนอย่างหม่าจู้เอ๋อร์ ทั้งกิริยาตอนกินอาหารก็ยังคงเรียบร้อย เมียหม่าหย่งจึงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนก้มหน้าลงเย็บผ้าต่อ
ทั้งห้องได้ยินเพียงเสียงหม่าหย่งสูบยาสูบ ไม่นานในอากาศก็มีควันลอยฟุ้ง เมียหม่าหย่งวางงานในมือลง ก่อนขยับไปข้างเตียง ยื่นมือไปเปิดประตู และเปิดหน้าต่างอีกหนึ่งบาน จากนั้นจึงกลับมาหยิบเข็มกับด้าย เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงเงยหน้าขึ้นพูดทันที “พ่อตาหนู ข้าว่าแม่หนูคนนี้ไม่เหมือนเพิ่งจะพลัดหลงกับคนทางบ้าน…”
“หมายความว่าอย่างไร” หม่าหย่งหันมาหรี่ตามองนาง
“จู้จื่อเห็นนางเดินเหินไม่กล้าลงแรง จึงเดาว่าเท้าของนางขึ้นตุ่มน้ำ ถึงได้ต้มยาให้นางแช่เท้า…” เมียหม่าหย่งหยุดงานในมือ แล้วมองหน้าหม่าหย่ง “แม่หนูคนนั้นซ่อนเท้าไม่ให้เห็น ข้าเลยดึงมาดู จุๆ เท้าขาวนุ่มนิ่มสองข้างกลับมีตุ่มน้ำเล็กบ้างใหญ่บ้าง ยังมีแผลสดแดงๆ อีก ฝ่าเท้าแทบจะเละอยู่แล้ว ข้าเห็นแล้วก็ยังปวดใจ” เสียงพูดนั้นชะงักไป “ข้าเห็นตุ่มบางตุ่มแห้งตกสะเก็ดแล้ว คิดว่าคงไม่ได้เพิ่งมีในวันสองวันนี้เป็นแน่”
“เฮ้อ เป็นเด็กที่มีชีวิตรันทด…” คิดถึงตอนที่ได้เห็นมู่หวั่นชิวในป่าเป็นครั้งแรก หม่าหย่งก็ถอนหายใจ “ข้ายังคิดว่าเป็นโจร พอยกมือจะฟาดลงไป นางกลับเบิกตาโต แล้วพูดจาน่าสงสารกับข้าว่า ‘ท่านอา ข้าหิว’ ” เขาสูบยาสูบอีกหลายครั้ง “แม่จู้จื่อ เด็กไม่ยอมบอก พวกเราก็อย่าได้ถามเลย”
“พ่อตาหนู แต่ถ้า…” เมียหม่าหย่งเงยหน้าขึ้น ในดวงตามีความกังวล
“เด็กเล็กขนาดนี้จะมีอะไรได้” หม่าหย่งถอนใจพูด “ได้ยินคนในหมู่บ้านพูดบ่อยๆ ว่า คนร่ำรวยในเมืองเหล่านั้น ชอบมีบรรดาเมียเล็กเมียน้อย แต่ละคนก็มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งยังสวยขึ้นเรื่อยๆ บางทีนางอาจจะเป็นลูกของเมียน้อยก็ได้”
“ก็จริง…” เมียหม่าหย่งเข้าใจเรื่องราวในทันที “ไม่แน่ว่าอาจจะถูกแม่เลี้ยงไล่ออกมา แม่หนูคนนั้น…อย่าเห็นว่านางเป็นคนตัวเล็กๆ เป็นอันขาด จริงๆ แล้วนางแข็งแกร่งมาก นิสัยก็ไม่ยอมแพ้ ข้าใช้เข็มสะกิดตุ่มน้ำให้ นางเจ็บจนขบฟันแน่น น้ำตากลิ้งไปมาที่ขอบตา แต่นางกลับทนไม่ยอมให้มันไหลลงมา และไม่ร้องออกมาสักแอะ ข้าเห็นแล้วก็ปวดใจ นางยังเอาแต่ปลอบใจข้า ‘อาหญิง ท่านออกแรงสะกิดเลย ข้าไม่เจ็บหรอก’ “เมียหม่าหย่งจุปาก “นี่เหมือนเด็กอายุสิบสามเสียที่ไหนกัน ข้าว่าเหมือนคนที่ผ่านคลื่นลมครั้งใหญ่มามากกว่า”
“เป็นเด็กที่ไม่มีแม่คอยดูแล!” หม่าหย่งสูบยาสูบอย่างแรง “แม่จู้จื่อ พวกเราอย่าใจร้ายอย่างนั้นเลย เราไม่ได้ขาดอาหาร หากเด็กคนนี้ไม่ขอไป พวกเราก็อย่าไล่นางเลย” โน้มตัวลงเคาะเถ้ายาสูบกับข้างเตียง แล้วยื่นปลายกล้องยาสูบเข้าไปในถุงยาสูบเพื่อใส่ใบยาสูบ เมื่อคิดสักครู่ก็ชักออกมา แล้วใช้เชือกเส้นเล็กบนถุงยาสูบผูกกล้องยาสูบกับถุงยาสูบเข้าด้วยกัน จากนั้นวางไว้บนม้านั่ง “แม่จู้จื่อ นอนเถอะ” แล้วพูดต่อไปว่า “เห็นมือขาวนุ่มนิ่มของนางแล้ว คงไม่ใช่คนที่ทำงานหนักเป็นแน่ พวกเราก็เลี้ยงนางเป็นลูกสาว เจ้าก็อย่าได้บังคับให้นางทำงานหนักนักเล่า”
“ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เด็กน่ารักขนาดนี้ ข้ารักนางแทบไม่ทันด้วยซ้ำ จะให้นางทำงานหนักได้อย่างไร” เมียหม่าหย่งมองค้อนสามี แล้วเก็บเข็มกับด้ายในมือ “ถ้าพวกเรามีลูกสาวน่ารักอย่างนี้อีกสักคนก็ดีสินะ”
หม่าหย่งมองนางแวบหนึ่ง แล้วหันหลังให้นาง นอนกรนหลับไป
ดวงตะวันตกดินแล้ว หลังจากมองดูเงาดำริมขอบฟ้า มู่หวั่นชิวก็กลับห้องไปหยิบข้าวสารกำเล็กจากโอ่งข้าวไปที่กลางลานบ้าน พลางร้องเรียกลูกเจี๊ยบ จากนั้นก็โปรยข้าวสารลงไปในกล่องสี่เหลี่ยมที่ทำจากท่อนไม้ยาวเล็กๆ ลูกเจี๊ยบก็ร้องจิ๊บๆ มาล้อมนางไว้ จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในกล่องไม้ ก้มหน้าลงจิกข้าวสาร มู่หวั่นชิวมองดูลูกเจี๊ยบขนปุยแต่ละตัว ในดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อลองนับดูจนแน่ใจว่าลูกเจี๊ยบกลับมาครบแล้ว จึงใช้มือจับลูกเจี๊ยบที่มีขนยาว กระโดดไปมาตรงริมกล่องอย่างซุกซนลงกล่องไป แล้วใช้ผ้าตาข่ายคลุมไว้ จากนั้นค่อยยกกล่องเดินเข้าห้องไป
มู่หวั่นชิวเจอหม่าจู้เอ๋อร์ที่หอบฟืนกลับมาตรงประตูบ้านพอดี เขารีบวางฟืนลงแล้วยื่นมือมารับไป แล้ววางลงข้างกำแพงทางใต้ของห้องครัว นางเดินเข้าบ้านมาด้วยมือเปล่า เห็นเศษฟืนตกอยู่เต็มพื้น จะยื่นมือไปหยิบไม้กวาด แต่กลับถูกหม่าจู้เอ๋อร์ตัดหน้าแย่งไปเสียก่อน
หม่าจู้เอ๋อร์เป็นน้ำเต้าที่ปิดแน่น* บางครั้งไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน แต่เขาเหมือนจะมีตาอยู่กระทั่งบนหลัง ไม่ว่ามู่หวั่นชิวคิดจะทำอะไร เขาก็จะคอยชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าวเสมอ
มู่หวั่นชิวยู่ปากพลางจ้องหน้าเขา
หม่าจู้เอ๋อร์ไม่ได้เงยหน้าขึ้น ทว่ากลับเอาแต่ก้มหน้ากวาดพื้น แม้แต่คอก็ขึ้นสี มู่หวั่นชิวจึงเงยหน้าขึ้นมองหลังคาบ้าน คานบ้านทำด้วยไม้สนท่อนกลมที่ลอกเอาเปลือกออก ไม่มีไม้ระแนงห้อยลงมา เปิดโล่งจนเห็นด้านนอก ถูกควันน้ำมันรมจนเป็นสีดำขึ้นเงา
“เอ๋?” เห็นบนคานมีแถบผ้าแดงพันอยู่ชิ้นหนึ่ง มู่หวั่นชิวจึงถามอย่างประหลาดใจ “บนหลังคามีผ้าแดงชิ้นหนึ่งหรือ”
หม่าจู้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน “ท่านพ่อบอกว่า นั่นใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย…”
“ขับไล่สิ่งชั่วร้าย?” มู่หวั่นชิวฟังไม่ค่อยเข้าใจ
“คนในหมู่บ้านพวกเราล้วนมีกันทุกคน ในบ้านของเจ้าไม่มีหรือ”
“บ้านข้า?”
ในความทรงจำ ‘บ้าน’ ของนางนั้นขัดขาวสะอาด บนยอดไม้ระแนงสลักเป็นลายเมฆโบตั๋น บนนั้นมีโคมไฟแปดเหลี่ยมแขวนอยู่หลายดวง พอตกกลางคืน โคมไฟทั้งหมดจะถูกจุดไฟ แสงทองพลันสว่างไสว สว่างยิ่งกว่ากลางวันเสียอีก
เรือนพักของนางไม่มีโคมไฟมากเช่นนั้น แต่ยังคงมีไม้ระแนงห้อยลงมา ใช้โคมไฟจำนวนมากแขวนไว้บนนั้นเหมือนเป็นเครื่องประดับ จำได้ว่าที่หน้าต่างยังแขวนกระดิ่งลมไว้ด้วย ยามที่ลมพัดมา จะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งที่เสนาะหู ไพเราะอย่างมาก
มีชีวิตมาสองชาติแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางเห็นไม้ระแนงห้อยโดยที่ไม่มีหลังคาบดบัง
“บ้านของเจ้าไม่เป็นแบบนี้หรือ” เห็นนางนิ่งเงียบไปนาน หม่าจู้เอ๋อร์จึงถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่” เมื่อคิดถึงว่าทางบ้านได้ถูกสังหารไปจนหมดสิ้นแล้ว มู่หวั่นชิวก็ได้แต่ส่ายหน้าเงียบๆ
“ท่านพ่อข้าบอกว่าทางบ้านเจ้าร่ำรวยมาก” หม่าจู้เอ๋อร์กวาดขยะไปในหลุมใต้หม้อ พอเอาแผ่นเหล็กปิดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา “อย่างนั้นหรือ”
ร่ำรวยแล้วอย่างไรล่ะ…
ต้องคอยวางแผนการ และอยู่อย่างหวาดหวั่นระวังตัวกันทุกวี่วัน ทว่าสุดท้ายก็ยังคงหนีไม่พ้นโชคชะตาที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เมื่อคิดดูแล้ว พ่อแม่ของนางยังไม่อิ่มเอมใจเท่ากับครอบครัวของหม่าจู้เอ๋อร์เลย
มู่หวั่นชิวเม้มปากไม่พูดจา
หม่าจู้เอ๋อร์ทำแก้มป่อง หมุนตัวเดินออกไปด้านนอก แต่มาหยุดลงตรงหน้าประตู มือของเขาจับขอบประตูไว้ก่อนจะหมุนตัวกลับมา “ท่านแม่บอกว่าเจ้าถูกแม่เลี้ยงไล่ออกจากบ้าน”
ถูกแม่เลี้ยงไล่ออกจากบ้านหรือ?!
มู่หวั่นชิวตะลึงไป เบิกตาโตมองหน้าหม่าจู้เอ๋อร์ จากนั้นหัวใจก็เจ็บปวดเหมือนถูกบีบจนแหลก
ถูกแม่เลี้ยงไล่ออกจากบ้าน…
นางมีแม่เลี้ยงคนหนึ่งจริงๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยดีกับนางเท่าไรนัก แต่ที่นั่นก็ยังถือว่าเป็นบ้าน เป็นสถานที่ที่นางสามารถกลับไปได้เมื่อเหนื่อย สถานที่ที่สามารถพักผ่อนได้เมื่ออ่อนล้า ตอนนี้นางที่เป็นเด็กกำพร้าร่อนเร่ไปทั่วเช่นนี้ ยังมีที่ใดที่จะถือเป็นบ้านได้อีก…
มองเห็นดวงตากลมโตเลื่อนลอยของนางค่อยๆ ปกคลุมด้วยม่านน้ำ หม่าจู้เอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาพูดอึกอักจนหน้าแดง “เจ้าอย่าร้อง…เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ท่านแม่ไม่ให้ข้าพูด แต่ข้า…” เขาออกแรงถูมือทั้งสองข้างที่ขึ้นเนื้อด้านเต็มไปหมด “ข้าแค่สงสัย ท่านแม่บอกว่า แม่เลี้ยงเจ้าไม่ต้องการเจ้า แต่ท่านแม่ข้าต้องการเจ้า และจะไม่ไล่เจ้าไปไหนเด็ดขาด ถ้าหากเจ้าชอบ ก็อยู่ที่นี่ได้ชั่วชีวิต มาเป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้า”
“จริงหรือ!” มู่หวั่นชิวน้ำเสียงประหลาดใจ อยู่ด้วยกันมาหลายวัน นางชอบชีวิตชาวป่าชาวเขาที่เรียบง่ายแบบนี้เข้าแล้ว
แม้ว่าจะทุกข์ไปสักหน่อย แต่ก็อิ่มเอมใจ
“อืม…เจ้า…”
“จู้จื่อ…”
หม่าจู้เอ๋อร์พยักหน้าอย่างแรง กำลังจะพูดอะไร เมียหม่าหย่งที่อยู่ในแปลงผัก ห่างเพียงกำแพงไม้กั้นนั้น ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา “รีบไปรับพ่อเจ้าเร็วเข้า! ท่านปู่จางของเจ้าบอกว่า พ่อเจ้าล่าชะมดเช็ดได้ตัวหนึ่ง กำลังพักอยู่บนทางภูเขานั่น”
ชะมดเช็ด!
หม่าจู้เอ๋อร์ตะลึงไป จากนั้นดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกาย รับคำเสียงดัง แล้วก้าวขาออกวิ่งไปทันที
มู่หวั่นชิวก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน ทว่านางกลับเตะเข้ากับธรณีประตู ร่างพลันโผไปข้างหน้า หม่าจู้เอ๋อร์เหมือนมีตาหลัง เขารีบหันกลับมาประคองนางเอาไว้ “ระวังเดี๋ยวจะหกล้ม เจ้าไม่ต้องรีบร้อนเช่นนี้หรอก พวกเราไม่ได้จะกินเนื้อชะมดเช็ดเสียหน่อย”
“ทำไมเล่า” มู่หวั่นชิวถามหน้าซื่อ
“ชะมดเช็ดแพงมาก พ่อข้าจะต้องเอาไปขายแลกเงินที่ตลาดแน่นอน” หม่าจู้เอ๋อร์หัวเราะแหะๆ
มู่หวั่นชิวเพิ่งจะพบว่า ในคำพูดของเขา เหมือนนางตะกละอยากกินเนื้อชะมดเช็ดมาก ใบหน้าจึงขึ้นสีทันใด “ข้าแค่ไม่เคยเห็นว่าชะมดเช็ดมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
“จริงหรือ!” หม่าจู้เอ๋อร์เบิกตาโตอย่างสงสัย จากนั้นก็หัวเราะแหะๆ ขึ้นมา
ที่แท้นางก็ไม่เคยพบเคยเห็นชะมดเช็ดมาก่อนนี่เอง
มู่หวั่นชิวหยิบดาบตัดวิญญาณยาวสามชุ่นนั้นออกมา มือเล็กของนางกดที่สะดือของชะมดเช็ดอย่างระมัดระวัง เมื่อคลำหาตำแหน่งถูกต้องแล้ว ก็ลงดาบตัดวิญญาณไปอย่างช้าๆ
“เจ้าทำอะไร!” เสียงของหม่าจู้เอ๋อร์พลันดังขึ้นเหนือหัว
มู่หวั่นชิวตัวสั่น ดาบหวิดจะกรีดโดนมือ
พอเห็นว่าเป็นหม่าจู้เอ๋อร์ นางก็ถอนหายใจยาว แล้วเหลือบมองเขาอย่างไม่พอใจ “พี่จู้จื่อทำข้าตกใจหมดเลย” จากนั้นก็ก้มหน้าลงกดตัวชะมดเช็ดอีกครั้ง “ข้ากำลังจะเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดออก”
“ต่อมกลิ่นชะมดเช็ด?” หม่าจู้เอ๋อร์ย่อตัวลง “อะไรคือต่อมกลิ่นชะมดเช็ด เอ๋…” พอย่อตัวลงจึงได้เห็นดาบตัดวิญญาณในมือของมู่หวั่นชิว เขาจึงยื่นมือเข้าไปหยิบมา “เจ้าไปเอามาจากที่ใด”
ดาบสั้นยาวสามชุ่น ตัวมีดวาววับ เปล่งประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ระยิบระยับจนลืมตาไม่ขึ้น ด้ามดาบเป็นหยกสีเขียวเข้มชิ้นหนึ่ง สลักลายดอกโบตั๋นเบ่งบานไว้ดอกหนึ่ง ยามที่ถูกกุมอยู่ในมือ ดูนุ่มนวลลื่นมือ หม่าจู้เอ๋อร์พลิกดูอย่างชอบใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม
“เป็นของที่ท่านพ่อมอบให้ข้า”
“สวยจริง” หม่าจู้เอ๋อร์เลียริมฝีปาก ยื่นดาบคืนให้มู่หวั่นชิวอย่างอาวรณ์
มู่หวั่นชิวรับมา แล้วก้มหน้าลงกดสะดือของชะมดเช็ดอีกครั้ง
หม่าจู้เอ๋อร์ย่อตัวลงอยู่ข้างๆ “เจ้าจะเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดไปทำอะไร ชะมดเช็ดตัวนี้ถูกกรีดหนัง ขายไม่ได้ราคาแล้ว”
“ขายไม่ได้ราคาหรือ” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ใช้มือทาบ “ไม่เห็นจะใหญ่เกินไป แผลแค่นี้เอง”
“เจ้าไม่รู้หรอก พวกซื้อสัตว์ป่าในตลาดพวกนั้นเรื่องมาก…” หม่าจู้เอ๋อร์เอ่ยปากพูด “ทุกครั้งที่ข้ากับท่านพ่อไปขายของที่ตลาด พวกเขาก็พลิกเลือกไปมา แค่เห็นว่ามีตำหนิเล็กน้อย ก็กดราคาจนต่ำมาก ถ้าไม่กลัวว่าต้องแบกกลับมาไกลแล้วจะเหนื่อยเกินไป ท่านพ่อคงไม่ยอมขาย…”
“อย่างนั้นหรือ” มู่หวั่นชิวเบิกตาโต นางไม่เคยค้าขายมาก่อน เลยไม่รู้รายละเอียดเรื่องเหล่านี้จริงๆ “ถ้าอย่างนั้น” นางกะพริบตา “ชะมดเช็ดตัวนี้จะขายได้เท่าใด”
นางรู้สึกเสียดายโอกาสดีในการเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้
ชาติก่อนไม่เคยได้เข้าไปสัมผัส นางจึงไม่เคยสนใจเรื่องวัตถุดิบเครื่องหอมเลยสักนิด ทว่าชาติก่อนยามที่ถูกขายเข้าไปในหอคณิกานางกลับคุ้นเคยกับกลิ่นชะมดเช็ดนี้
ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดเป็นต่อมจากชะมดเช็ดตัวผู้ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าเป็นต่อมกลิ่นตรงหว่างขาหลัง มีกลิ่นหอมพิเศษ สามารถทำเป็นวัตถุดิบเครื่องหอมได้ ทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังมาก กลิ่นหอมทนนานไม่จางหาย ลือกันว่าหากสตรีพกถุงหอมที่ทำด้วยต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้เป็นประจำ จะสามารถทำให้กลิ่นหอมนี้กลายมาเป็นกลิ่นกายของตนเองได้ เมื่อบุรุษได้กลิ่นก็จะพากันหลงใหลจนอ่อนระทวยทุกคน หากจะพูดให้ชัดเจน มันก็เหมือนเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่ง
และด้วยเหตุนี้ ชาติก่อนบรรดาพี่น้องในหอชุนเซียงจึงไม่เสียดายที่จะใช้เงินมากมายไปกับมัน
ไม่เพียงแค่หอคณิกาเท่านั้น แม้แต่บุตรสาวตระกูลสูงศักดิ์ที่มีความพร้อมหน่อย ตอนแต่งงานก็ยังคิดหาวิธีเพื่อให้ได้ถุงหอมกลิ่นนี้มาผูกไว้ในเสื้อผ้า ทว่ากลับน่าเสียดาย วัตถุดิบเครื่องหอมชนิดนี้ไม่ใช่พืชที่จะปลูกได้ทั่วไป มีเพียงชะมดเช็ดตัวผู้เท่านั้นที่มีกลิ่นนี้ และต้องฆ่ามันเสียก่อนจึงจะเอาออกมาได้ ดังนั้นแม้แคว้นต้าโจวจะเป็นแคว้นแห่งเครื่องหอม แต่ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดแบบนี้กลับหาได้ยากยิ่ง ใช่ว่ามีเงินแล้วก็จะสามารถหาซื้อได้
หม่าจู้เอ๋อร์พลิกตัวชะมดเช็ดไปมาอยู่นาน “ชะมดเช็ดตัวนี้มีรูตรงอกเพียงรูเดียว เอาไปตลาดอย่างน้อยก็ขายได้ห้าร้อยอีแปะ*”
“ห้าร้อยอีแปะ!” มู่หวั่นชิวเบิกตาโต
น้อยเพียงนี้เชียวหรือ!
ห้าร้อยอีแปะก็แค่ครึ่งตำลึง แต่ชะมดเช็ดตัวนี้หากเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดออกมาสกัดทำเป็นเครื่องหอมแล้ว มิรู้ว่าจะทำถุงแพรชะมดเช็ดออกมาได้มากเท่าใด เอาไปขายที่หอคณิกา ถุงหนึ่งคงขายได้ราวแปดถึงสิบตำลึง!
‘ถุงแพรชะมดเช็ดประเภทนี้ ขอเพียงเป็นผู้ชาย ไม่ว่าเขาจะมีศีลธรรมสูงส่ง หรือมีการศึกษาดีเพียงใด ขอแค่ได้กลิ่นนี้สักครั้ง พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนสุนัขตัวผู้ที่กระสันในเดือนหก ยืนลิ้นห้อย อยากตามติดตัวเจ้าไม่ยอมปล่อย’ คิดถึงคำพูดของแม่เล้าในหอชุนเซียงเมื่อชาติก่อนแล้ว มู่หวั่นชิวก็มีความคิดอย่างหนักแน่นที่จะเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้ออกมาให้ได้
“เป็นอย่างไร แพงมากสินะ” เห็นมู่หวั่นชิวเบิกตาโต หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยิ่งได้ใจ “ชะมดเช็ดแบบนี้มีน้อยมาก บางครั้งหนึ่งปีก็ไม่เจอสักตัว…ท่านแม่บอกว่า รอขายชะมดเช็ดตัวนี้แล้ว จะไปตัดผ้าลายมาสักสองสามฉื่อ นำมาตัดเสื้อผ้าให้เจ้า…”
“ตัดเสื้อผ้า?” มู่หวั่นชิวก้มลงมองเสื้อผ้าเก่าของหม่าจู้เอ๋อร์บนตัวของนาง “เสื้อของข้าก็ยังดีอยู่ บอกอาหญิงว่าอย่าได้เปลืองเงินเลย”
พักที่นี่มาหลายวันแล้ว นางรู้ว่าครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์มีชีวิตที่ยากแค้นเพียงใด
“ท่านแม่บอกว่า หญิงสาวบอบบาง ควรจะสวมเสื้อผ้าสวยๆ กินอาหารดีๆ” เขามองดูรอยปะสองรอยที่หัวเข่าของมู่หวั่นชิวแล้ว หน้าของหม่าจู้เอ๋อร์ก็ขึ้นสี “ท่านแม่ตัดเสื้อให้เจ้า เจ้าก็ใส่เถอะ ท่านแม่บอกว่า ปีใหม่ปีนี้ข้าไม่ต้องตัดเสื้อใหม่ เก็บเงินมาตัดเสื้อให้เจ้า” แล้วพูดต่อไปว่า “รอข้าโตแล้ว ข้าจะล่าสัตว์ให้ได้เยอะๆ แล้วขายแลกเงินมาซื้อผ้าตัดเสื้อให้เจ้า”
ไออุ่นพลันไหลผ่านดวงใจของนาง มู่หวั่นชิวมีน้ำตาคลอ
ชาติก่อนเป็นเพราะนางเย่อหยิ่ง เอาแต่ใจ จึงไม่เคยรู้ข้อดีของการมีพ่อแม่พี่น้อง ชาตินี้เมื่อได้รู้แล้ว แต่คนในครอบครัวกลับแยกจากนางไปชั่วชีวิต ต้องระหกระเหินไปตามลำพัง นางคิดว่าชาตินี้คงไม่มีทางได้พบกับความอบอุ่นจากครอบครัวอีกแล้ว
โชคยังดีที่ทำให้นางเกิดใหม่แล้วได้พบกับครอบครัวเช่นนี้ นางยังสามารถได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวอีกครั้ง แม้จะไม่มีเสื้อผ้างาม อาหารรสเลิศ เหมือนเมื่อชาติก่อน ทว่าเสื้อผ้าหยาบและอาหารชืดวันละสามมื้อเหล่านี้ แต่ละคำนั้นกลับล้วนหอมหวาน อบอุ่น และทำให้นางระลึกถึงได้ไม่จบไม่สิ้น
“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวรีบก้มหน้าลง ไม่ให้หม่าจู้เอ๋อร์เห็นม่านน้ำในดวงตา “ชะมดเช็ดนี้ก็คือชะมดที่ในหนังสือพูดถึงบ่อยครั้ง” ชี้ไปที่ตัวของชะมดเช็ดแล้ว มู่หวั่นชิวก็อธิบายให้หม่าจู้เอ๋อร์ฟังว่าอะไรคือต่อมกลิ่นชะมดเช็ด “ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนั้นมีราคาสูงมาก และมีแต่ชะมดเช็ดตัวผู้เท่านั้นที่มี หากเอาออกมา แล้วสกัดให้ดี ถ้านำไปขายให้โรงธูป อย่างน้อยๆ ก็ได้แปดถึงสิบตำลึงเลยนะ”
ในความคิดของนาง แม้นางจะสกัดไม่เป็น แต่ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดจากชะมดเช็ดตัวนี้ก็มีค่าแปดสิบถึงหนึ่งร้อยตำลึง เกรงว่าจะทำให้หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ นางจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
“จริงหรือ!” หม่าจู้เอ๋อร์ยังคงตกใจ “แพงขนาดนั้นจริงหรือ”
“อืม” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง
“เช่นนั้น…” เด็กหนุ่มมีท่าทางสงสัย “ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้เอาไว้ทำอะไร”
“แน่นอนว่า…”
แน่นอนว่าใช้เพื่อหลอกล่อบุรุษอย่างไรเล่า นี่เป็นเหตุผลเดียวที่นางโลมในหอคณิกาเมื่อชาติก่อนยอมจ่ายเงินซื้อมันในราคาสูง ทันทีที่ประสานสายตากับดวงตาดำขลับของหม่าจู้เอ๋อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็หยุดคำพูดไปเสียอย่างนั้น
“ว่าอย่างไรเล่า” เห็นความผิดปกติ หม่าจู้เอ๋อร์จึงกะพริบตาอย่างงุนงง แล้วถามต่อ
“นอกจากทำเครื่องหอมแล้ว มันยังเป็นตัวยาที่มีค่ามากอีกด้วย อืม…” เพื่อเอาต่อมกลิ่นชะมดเช็ด นางได้อ่านบันทึกในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเกี่ยวกับต่อมกลิ่นชะมดเช็ดแล้ว จึงพยายามย้อนคิดถึงสิ่งที่เพิ่งจดจำมาเมื่อเช้า “สามารถเปิดทวารฟื้นสติ เลือดลมไหลเวียน คลายฟกช้ำระงับปวด…” นางเงยหน้าขึ้นมองหม่าจู้เอ๋อร์ “เอามันวางไว้ตรงจมูก สามารถทำให้คนที่หมดสติฟื้นขึ้นมาได้ เหมือนที่คนพูดกันบ่อยๆ ว่าตายแล้วเกิดใหม่ อัศจรรย์มากเชียวล่ะ ยังมี…” มู่หวั่นชิวหักนิ้วมือ “ตัวยาของยาลูกกลอนซูเหอเซียงและยาลูกกลอนลิ่วเสินที่ขึ้นชื่อในร้านขายยาก็ล้วนมีต่อมกลิ่นชะมดเช็ดทั้งสิ้น”
สิ่งเหล่านี้หม่าจู้เอ๋อร์เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก เขารู้สึกเหมือนได้ฟังตำราสวรรค์ มึนงงฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว แต่เขาเข้าใจความหมายของมู่หวั่นชิวแล้ว
ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้มีราคาสูงมาก!
“เจ้ารู้มากจริง แม้แต่ตำราก็เข้าใจ” เขาพูดชื่นชมไปประโยคหนึ่ง “ต่อมชะมดนี้จะเอาออกมาอย่างไร ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
มู่หวั่นชิวเหงื่อผุดเต็มหน้า นางเองก็ท่องจำมา เพิ่งศึกษาก็นำมาใช้เลย ตอนเช้าอ่านตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเล่มนั้น นางรู้สึกเหมือนเป็นตำราสวรรค์ แม้จะอ่านไม่เข้าใจสักประโยค แต่ว่าโชคดีที่ชาติก่อนนางเคยได้สัมผัสกับต่อมกลิ่นชะมดเช็ดมาแล้ว จึงพยายามจดจำสิ่งที่เขียนบนตำราได้อย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างปะปนกันไป
และโชคดีที่หม่าจู้เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องนี้ หากเจอคนเชี่ยวชาญความคงแตกไปแล้ว
หลังจากนางก้มหน้าลงปิดบังความอับอายของตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็เอามือไปทาบตรงกลางใต้สะดือของชะมดเช็ด “ก้อนนูนๆ นี่ล่ะ เป็นถุงแบนกลม แค่ตัดออกมาก็พอ”
“อันนี้หรือ” หม่าจู้เอ๋อร์ทำตามที่มู่หวั่นชิวพูด เพียงยื่นมือไปก็คลำเจอแล้ว
“ใช่ อันนี้ล่ะ” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ระวังหน่อยอย่าได้ตัดขาด มิเช่นนั้นกลิ่นหอมจะจางหายไปได้…”
“ข้ารู้แล้ว” หม่าจู้เอ๋อร์รับคำ มือซ้ายคลำถุงแบนกลมใต้หนังท้องของชะมดเช็ด มือขวารับดาบตัดวิญญาณที่มู่หวั่นชิวยื่นมาโดยไม่เงยหน้าขึ้น เมื่อกรีดลงไป ก็เกิดเป็นรอยแผลยาวสามชุ่นในทันที เกิดเสียงดังปั้ง หนังท้องของชะมดเช็ดพลันแตกออกในพริบตา เผยให้เห็นชั้นไขมันสีขาว จากนั้นลำไส้กองหนึ่งก็ไหลทะลักออกมา
หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ เขาโยนดาบตัดวิญญาณทิ้งทันที แล้วรีบโกยเอาลำไส้ยัดกลับเข้าไป “ไป ถอยไป” หันหน้าไปใช้หมัดกันหมาใหญ่ที่วิ่งกระโจนมาเพราะได้กลิ่น หลังจากที่วุ่นวายอยู่พักใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงค่อยหยิบดาบตัดวิญญาณของมู่หวั่นชิวมาดูอย่างละเอียด “ดาบนี้คมจริง คมกว่ามีดเชือดหมูของท่านพ่อมาก”
อย่ามองว่ามันสั้นเล็ก นี่เป็นดาบล้ำค่าหาได้ยากที่ตัดเหล็กได้ราวกับตัดดินโคลน จึงได้มีฉายาว่าดาบตัดวิญญาณ!
จะเทียบกับมีดเชือดหมูของหม่าหย่งได้อย่างไรเล่า!
มู่หวั่นชิวถลึงตาใส่หม่าจู้เอ๋อร์ แต่มิได้พูดอะไร
“เหม็นจริง!” ตัดถุงแบนนั้นออกมาแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็เอาไปแตะจมูกดม กลิ่นคาวพลันลอยเข้าจมูก จนเขาเกือบจะโยนมันทิ้งไป
มู่หวั่นชิวตกใจ ลองเอามาดมเช่นกัน แล้วก็รีบทิ้งไปทันที ก่อนหันไปทำท่าจะอาเจียน
“บอกว่ามีกลิ่นหอมมิใช่หรือ” หม่าจู้เอ๋อร์มองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างสงสัย แล้วถามว่า “เจ้าเข้าใจอะไรผิดหรือไม่” พูดพลางลุกไปหยิบมันขึ้นมา ใช้สองนิ้วจับมันเอาไว้ “เช่นนั้นข้าเอาไปทิ้งนะ!”
ดาบของมู่หวั่นชิวคมเกินไป เขาไม่ทันระวัง ทำให้ท้องของชะมดเช็ดเปิดเป็นรูใหญ่ ชะมดเช็ดตัวนี้คงขายไม่ได้ราคาแล้ว เขากลัวว่าท่านพ่อท่านแม่จะกล่าวโทษมู่หวั่นชิว จึงคิดจะทำลายซากเพื่อลบร่องรอย
“อย่านะ!” มู่หวั่นชิวพยายามกลั้นความพะอืดพะอมในทรวงอกไว้ แล้วหันไปโบกมือห้ามหม่าจู้เอ๋อร์ “อันนี้ล่ะ ไม่ผิดหรอก”
ในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยเขียนไว้เช่นนี้
“นี่…”
นี่มันทั้งคาวและเหม็นชัดๆ จะเป็นวัตถุดิบเครื่องหอมได้อย่างไร! หม่าจู้เอ๋อร์มองมู่หวั่นชิวอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้พูดคำกังขาออกมา
“ในหนังสือบอกว่า กลิ่นหอมจำนวนมากสภาพเริ่มแรกล้วนเหม็น หลังจากผ่านกระบวนการแล้วจึงจะมีกลิ่นหอม” นางพยายามย้อนคิดถึงคำพูดในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย ซึ่งมู่หวั่นชิวก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นางเพียงแต่พยายามที่จะท่องจำมา “ถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนี้ต้องใช้ของเหลวที่ทำจากผงเปลือกหอยและขี้เถ้าแช่เอาไว้ ทำให้กลิ่นเจือจางลงไปหลายพันเท่า แล้วจึงจะส่งกลิ่นหอมหวานออกมาได้”
มู่หวั่นชิวลุกขึ้นยืน ขยับสองขาที่ย่อตัวนั่งจนรู้สึกชาแล้ว ค่อยยื่นมือไปรับถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดที่เพิ่งตัดออกมาจากมือของหม่าจู้เอ๋อร์
หลังจากดูดของเหลวเจือจางหลายพันเท่าแล้วก็จะหอมได้?
เหม็นก็คือเหม็น จะเปลี่ยนเป็นหอมได้อย่างไร ก็มิต่างจากฉี่อึในส้วมหลุม วางทิ้งไว้พันปีก็ยังเหม็นอยู่ดี แม้ว่าจะถูกสุนัขกินไป ถ่ายออกมาก็ยังเหม็นเช่นเดิม! ดูดซึมของเหลวเพียงไม่กี่ครั้งจะเปลี่ยนเป็นหอมได้เช่นไร
ฟังคำพูดของมู่หวั่นชิวแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็ส่ายหน้าไม่เข้าใจ
แต่มู่หวั่นชิวเป็นดั่งนางสวรรค์ซึ่งอ่านตำราได้ คำพูดของนาง หม่าจู้เอ๋อร์ก็ไม่กล้าสงสัยเช่นกัน
หม่าจู้เอ๋อร์ปิดปาก มองดูนางกัดริมฝีปากแน่นอย่างสงสัย พยายามอดทนกับกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนแล้วแกะถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ด
“เจ้าจะทำอะไร เดี๋ยวข้าทำเอง” แม้จะงุนงงอยู่ แต่หม่าจู้เอ๋อร์ก็ทนเห็นใบหน้าอมทุกข์ของมู่หวั่นชิวไม่ไหว
“ไม่ต้องหรอก พี่จู้จื่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า แล้วพูดต่อไปว่า “ช่วยหาเถาไม้เล็กๆ ให้ข้าสักกิ่งเถอะ”
หม่าจู้เอ๋อร์หมุนตัวกลับ เพียงชั่วครู่ก็หอบเอาเถาไม้มากองหนึ่ง
มู่หวั่นชิวส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมา
หม่าจู้เอ๋อร์มองนางอย่างงุนงง
“ไม่ต้องเยอะขนาดนั้น แค่กิ่งเดียวก็พอ” มู่หวั่นชิวหยิบเถาไม้ที่มีขนาดพอดีออกมา แล้วหักเป็นท่อนเล็กๆ
เพียงชั่วครู่ มู่หวั่นชิวก็นำเถาไม้มารัดถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดจนกลมดิก หลังจากมองอย่างกลัดกลุ้มแล้ว มู่หวั่นชิวก็ไปจับลูกเจี๊ยบอีก
“ข้าทำเอง” หม่าจู้เอ๋อร์ยื่นมือไปจับมาสองตัว แล้วยื่นให้นาง “เจ้าจะทำอะไร”
“ไม่เอาตัวนี้ เอาตัวที่ขนหางยาวตัวนั้น ข้าจะถอนขนสักเส้น” ได้ยินไก่ลายพร้อยขนหางยาวตัวนั้นร้องจิ๊บๆ อยู่ในมือของหม่าจู้เอ๋อร์ เกรงว่าเขาจะถอนขนหางมันจนเกลี้ยง มู่หวั่นชิวจึงรีบเอ่ยปากพูดว่า “ไม่เอาเยอะมาก สองเส้นก็พอ!”
“สิ่งนี้ใช้ประโยชน์อะไรหรือ” มองดูมู่หวั่นชิวตัดปลายสองด้านของขนหางไก่ ทำเป็นหลอดเล็กๆ แล้วลองเป่า จากนั้นก็เสียบเข้าไปที่รูบนถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดที่ถูกรัดจนกลมดิก
“ดูดเอาความชื้นด้านในออกมา แบบนี้จะแห้งได้เร็ว ทั้งยังไม่เปลี่ยนสภาพ” มู่หวั่นชิวชี้ไปที่ใต้ชายคาบ้าน
หม่าจู้เอ๋อร์หยิบม้านั่งตัวเล็กมาแล้วเอาถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดที่มู่หวั่นชิวผูกไว้อย่างดีแล้วแขวนไว้ใต้ชายคาบ้าน
เขากระโดดลงมาตบปัดๆ มือ แล้วเหม่อมองไปยังชะมดเช็ดที่ลำไส้ไหลทะลักออกมานอกตัว
“ข้าจะไปบอกท่านอาว่า ชะมดเช็ดตัวนี้ข้าเป็นคนทำเสียหายเอง” คิดว่ากลัวเขาจะถูกตี มู่หวั่นชิวจึงเอ่ยปากพูด นางกะพริบตาให้หม่าจู้เอ๋อร์อย่างขี้เล่น “ถึงจะเสียใจอย่างไร ท่านอาคงจะไม่ตีข้าหรอก”
“ไม่ต้อง เดิมทีข้าก็เป็นคนทำเสียหายเอง ก็แค่ถูกท่านพ่อตีไม่กี่ทีเท่านั้น มือท่านพ่ออาจจะแข็งไปบ้าง แต่ไม่มีแรงเท่าใด ไม่เจ็บหรอก” หม่าจู้เอ๋อร์ส่ายหน้า “แต่เกรงว่าคงตัดเสื้อใหม่ให้เจ้าไม่ได้แล้ว” เขาอยากเห็นสภาพตอนที่มู่หวั่นชิวใส่เสื้อใหม่
เสื้อใหม่?
เห็นหม่าจู้เอ๋อร์เป็นห่วงตนในเรื่องนี้ มู่หวั่นชิวจึงปิดปากแอบหัวเราะ
* น้ำเต้าที่ปิดแน่น สำนวนจีนหมายถึง เรื่องราวหรือคำพูดที่ยากจะคาดเดา ชวนให้คนอึดอัดรำคาญ และเปรียบถึงคนที่อมพะนำทำตัวลึกลับเข้าใจยากได้ด้วย
* อีแปะ (เหวิน) คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู) ซึ่งมีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยก่อนของจีน
Comments
comments