X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่มห้า บทที่หนึ่ง

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่หนึ่ง

 

ครุ่นคิดมาทั้งคืน นางก็ล้มเลิกที่จะปรับแก้เม็ดหอมเศร้าอาดูร

นางเคยได้ดมกลิ่นเม็ดหอมเศร้าอาดูรของกู่ฉินในชาติก่อนมาแล้ว เป็นกลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ที่สูดดมเพียงเบาๆ ก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกเศร้าสลด นับเป็นผลงานสืบทอดอันยอดเยี่ยมจริงๆ ไม่เสียทีที่กู่ฉินเป็นถึงระดับเทพ สามารถนำความรู้สึกในการแยกจากที่สลักลึกลงในกระดูกสกัดออกมาเป็นกลิ่นได้

ในชาตินี้ถึงแม้ในมือจะมีตำราวิชาปรุงเครื่องหอมอยู่ แต่ฝีมือนางยังอ่อนด้อยนัก จะให้นางปรับแก้สูตรที่ยังไม่เป็นรูปร่างนี้ให้กลายเป็นสุดยอดกลิ่นอัศจรรย์ได้นั้น

คำเดียวคือ…ยาก!

แม้ว่านางจะทำออกมาได้จริง เกรงว่าเม็ดหอมที่ปรุงออกมาคงเพียงเทียบเท่ากับเม็ดหอมที่กู่ฉินขายให้ตระกูลหลิ่วเท่านั้น เมื่อมีอิงอ๋องคอยขวางอยู่เช่นนี้ เรื่องที่เม็ดหอมของนางจะชนะก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นหากต้องการชนะโดยไม่มีข้อกังขาใด นางต้องหาเครื่องหอมสักชนิดที่เอาชนะเม็ดหอมเศร้าอาดูรในชาติก่อนนั้นให้ได้ แต่ว่าเรื่องนี้จะง่ายได้อย่างไร

ถึงแม้ในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยจะมีกลิ่นอัศจรรย์มากมาย แต่องค์หญิงหมิงอวี้อาจไม่ชอบก็ได้ อ่านข้อมูลส่วนตัวขององค์หญิงหมิงอวี้แล้ว ในสายตาของมู่หวั่นชิวนั้นองค์หญิงหมิงอวี้เป็นหญิงสาวที่ได้รับความรักมากมาย อยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวซึ่งเป็นวัยของการเติบโตที่ยังไม่รู้จักทุกข์ ย่อมรู้สึกตื่นเต้นในความว้าวุ่นเป็นกังวลเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้แม้งานมงคลจะเป็นเรื่องน่ายินดีเพียงใด แต่เกรงว่ากลิ่นหอมแห่งความยินดีเหล่านั้นคงไม่อาจเข้าตานางได้

ขณะที่เม็ดหอมเศร้าอาดูรของกู่ฉินกลับนำความรู้สึกเป็นทุกข์กังวลนี้สลักไว้ได้อย่างลึกซึ้ง อยากถามว่าสำหรับหญิงสาวแรกรุ่นยังมีอะไรที่ทำให้เศร้ารันทดไปกว่าคนรักต้องแยกจากอีก

ตลอดชั่วข้ามคืน แม้นางท่องตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่อยู่ในความทรงจำตั้งแต่ต้นจนจบไปหนึ่งรอบแล้วก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ท่ามกลางความไม่ชัดเจนเหล่านั้น กลิ่นหอมแปลกใหม่กลิ่นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในหัวทันใด นั่นเป็นกลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ ที่แฝงอยู่ในความสงบนิ่ง ราวกับความรักที่ยังไม่สุกงอมของชายหนุ่มหญิงสาว ในความอบอุ่นนั้นยังฉายความเศร้าจางๆ อันทุกข์ระทม ทั้งงดงามและเป็นนิรันดร์…

ตระกูลเว่ยเรียกว่า “สังสารวัฏ!”

ย้อนนึกถึงกลิ่นที่ผุดออกมาเมื่อครู่ มู่หวั่นชิวพลันกำหมัดแน่น แววตาเปล่งประกาย

“ใช่ ใช้อันนี้แหละ สามารถเอาชนะหลิ่วเฟิ่งได้แน่นอน!”

“…อาชิวพูดอะไรน่ะ” หลีจวินสงสัยมากยิ่งขึ้น “อะไรเอาชนะหลิ่วเฟิ่งได้” แล้วถามอีกว่า “เม็ดหอมเศร้าอาดูรของปรมาจารย์กู่ยังทำไม่สำเร็จเลย อาชิวจะบอกว่าเอาชนะได้อย่างไร”

“เอ่อ…” ราวกับถูกน้ำเย็นราดหัว มู่หวั่นชิวจึงพบว่าตนเองเผลอดีใจจนลืมตัว พูดเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเหล่านั้นออกมา ใบหน้าเห่อร้อนขณะมองหลีจวินอย่างเก้อเขินด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

“เมื่อครู่อาชิวพูดอะไร” หลีจวินถามอีกครั้ง

“ข้า…” มู่หวั่นชิวพูดติดอ่าง “เมื่อครู่ข้าฝันว่าปรมาจารย์กู่ศึกษาทำเม็ดหอมเศร้าอาดูรออกมาได้แล้ว และขายให้กับหลิ่วเฟิ่งแล้วด้วย…”

รับรู้ว่าร่างหลีจวินสั่นกระตุก มู่หวั่นชิวจึงส่ายหน้าราวกับงุนงง

“กลิ่นในฝันนั้นนับว่าสุดยอดแล้ว” นางเงยหน้าขึ้นมองหลีจวิน “แม้ข้าจะศึกษาการทำเม็ดหอมเศร้าอาดูรได้สำเร็จ เกรงว่าคงจะแค่เทียบเท่ากันเท่านั้น ยังไม่อาจเอาชนะนางได้…”

“…ไยอาชิวจึงฝันเช่นนี้ได้” ในดวงตาหลีจวินฉายแววครุ่นคิด แอบคิดในใจว่าข้าไม่เคยคิดในด้านนี้มาก่อน หรือกู่ฉินจะศึกษาสูตรลับออกมาและขายไปแล้ว ตระกูลหลิ่วกลัวว่านางจะเหยียบเรือสองแคมจึงได้ลงมือหนักเช่นนี้

“คงเพราะเมื่อวานข้าคิดมากเกินไปกระมัง” มู่หวั่นชิวพูดจาคลุมเครือ แล้วดึงเขาเดินออกไปข้างนอก “ข้าเพิ่งคิดกลิ่นดีกลิ่นหนึ่งออกมาได้ ไป พวกเราไปที่ห้องปรุงเครื่องหอมกันเถอะ” ท่าทางนางตื่นเต้นเป็นพิเศษ

หลีจวินริมฝีปากขยับ ที่จริงยังอยากจะถามอีก แต่พอเห็นสีหน้าตื่นเต้นของมู่หวั่นชิวแล้ว เขาจึงปิดปากลง ลืมประเด็นที่จะพูดเมื่อครู่ไปจนสิ้น

“…ไม่ใช้วัตถุดิบเครื่องหอมทั่วไป ทั้งหมดใช้กลิ่นดอกไม้เป็นหลัก แล้วสกัดเป็นของเหลวที่มีกลิ่นหอม ใช้มะนาวและหญ้าหานซิวที่มีกลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ เป็นหลัก” มู่หวั่นชิวเดินไปพลางอธิบายน้ำหอมในความคิดของนางให้หลีจวินฟัง “แล้วเติมดอกมะลิที่มีกลิ่นหอมหวานสดชื่น ดอกระฆังป่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นเย้ายวนใจ อืม ยังมี…” เสียงพูดขาดหายไปครู่หนึ่ง “ชะมดเช็ด ดอกกุหลาบ ดอกจื่อหลัวหลัน ดอกสุ่ยเซียน…”

ในคืนแต่งงานก็ควรใช้ชะมดเช็ดที่เต็มไปด้วยแรงกระตุ้นเป็นตัวนำด้วย นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว!

“ใช้ดอกไม้ทั้งหมดจะได้หรือ” หลีจวินลังเลสักครู่จึงถามอีกว่า “อาชิวสกัดน้ำหอมเป็นหรือ ฝึกมาจากใครกัน”

น้ำหอมเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์เว่ยริเริ่มเมื่อสามสิบปีก่อน เคยเป็นที่นิยมอยู่ช่วงหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นจู่ๆ นางก็หายสาบสูญไป ทิ้งเพียงเครื่องมือประหลาดเอาไว้จำนวนหนึ่งซึ่งไม่มีใครใช้เป็น ทำให้สุดยอดกลิ่นหอมที่มีอยู่มากมายไม่ได้รับการสืบทอดต่อ

นับจากนั้นเป็นต้นมา แคว้นต้าโจวก็นิยมใช้วิธีเก่าแก่ในการสกัดน้ำหอม แต่เพราะหนึ่งคือวิธีการที่ใช้ไม่คล่องตัว สองคือเงินทุนสูงเกินไป มักต้องใช้วัตถุดิบเครื่องหอมเป็นสิบเท่าร้อยเท่าจึงจะสามารถสกัดน้ำหอมออกมาได้ชุดหนึ่ง ทำให้มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่มีเงินพอจะใช้น้ำหอมนี้ได้ ศิลปะการสกัดน้ำหอมนี้จึงค่อยๆ ถูกลดทอนความสนใจ จนถึงตอนนี้ในต้าโจวมีเพียงนักปรุงเครื่องหอมเก่าแก่ไม่กี่คนที่ยังจำศิลปะวิชานี้ไว้

ตระกูลหลีในฐานะผู้นำของวงการปรุงเครื่องหอม เพื่อให้ผู้คนเห็นถึงอำนาจที่แท้จริงของตระกูลหลีแล้ว หลายปีมานี้เขาจึงไม่สนใจเรื่องต้นทุน ชุบเลี้ยงนักปรุงเครื่องหอมที่สกัดน้ำหอมโดยเฉพาะไว้สองคน ทุกปีจะลงทุนมหาศาลในการสกัดน้ำหอมชุดหนึ่งส่งเข้าวัง เติมเต็มความยินดีให้แก่ไทเฮา สนมชายาและเหล่านางในทั้งหลาย ทำให้ตำแหน่งของตระกูลหลียังมั่นคงในสายตาของเชื้อพระวงศ์อยู่

แต่เพราะเสียต้นทุนสูง ใช้เวลามากและสิ้นเปลืองเกินไป ตระกูลหลีจึงไม่กล้าสกัดออกมาจำนวนมากเพื่อวางขาย กระทั่งเครื่องหอมเพียงไม่กี่ขวดที่ใช้ในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้กว่าจะสกัดออกมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงแม้งานฉลองจะมีเพียงวันเดียว แต่เครื่องหอมที่ใช้ก็ยังมีปริมาณที่มากอยู่ดี

…ความคิดของนางนี้จะได้ผลหรือ หลีจวินคิดในใจพลางชะงักฝีเท้า มองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างจริงจัง

“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวชะงัก นี่เป็นสูตรสำเร็จในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย คำพูดนี้ต่อให้นางตายก็พูดออกไปไม่ได้ เสียงจึงขาดห้วงไป จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หลีลืมแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ข้าสกัดน้ำหอมไว้จำนวนมาก”

“เสียเวลาเกินไปหรือไม่” หลีจวินลังเลอยู่ชั่วครู่

น้ำหอมที่ตระกูลหลีส่งเข้าวังทุกปีเหล่านั้นต้องใช้เวลาเตรียมนานถึงครึ่งปี

“ไม่หรอก!” เหนือความคาดหมายของหลีจวิน มู่หวั่นชิวกลับส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิด “ที่ตัวข้ายังมีน้ำหอมสำเร็จอยู่บ้าง…” เห็นหลีจวินส่ายหน้า นางจึงอธิบายอีกว่า “พี่หลีอย่ามองว่าน้ำหอมเหล่านั้นมีน้อย มันเป็นหัวเชื้อน้ำหอมเชียวนะ เพียงหยดเดียวก็สามารถทำน้ำหอมออกมาได้เป็นร้อยขวด…”

นี่เป็นคำพูดเดิมในตำราของตระกูลเว่ย ซึ่งตระกูลเว่ยจะเรียกน้ำหอมสกัดที่มีความเข้มข้นสูงนี้ว่า ‘หัวเชื้อน้ำหอม’ แล้วเรียกของเหลวที่ใช้หัวเชื้อน้ำหอมปรุงออกมาว่า ‘น้ำหอม’

“ใช้สุราเข้มข้นสูงในการปรุงจะสะดวกกว่า วิธีนี้เร็วกว่าการทำเครื่องหอมประเภทกำยานอีกนะ”

“จริงหรือ” หลีจวินฟังแล้วงุนงง คนฉลาดอย่างเขาก็จินตนาการไม่ออกว่าน้ำหอมที่มู่หวั่นชิวพูดถึงนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร

คิดได้ว่าตระกูลหลีก็สกัดน้ำหอมเช่นกัน มู่หวั่นชิวจึงพูดอธิบายว่า “วิธีที่ข้าใช้กับอาจารย์โหยวใช้นั้นไม่เหมือนกัน…” อาจารย์โหยวคือนักปรุงเครื่องหอมที่สกัดน้ำหอมให้ตระกูลหลีโดยเฉพาะ อายุมากจนเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วและในยามนี้ยังไม่มีผู้สืบทอด มู่หวั่นชิวพูดไปก็ดึงตัวหลีจวินที่ยืนนิ่งไม่ยอมเดินให้เดินไปด้วยกัน “ต่อให้พูดมากกว่านี้ท่านก็อาจจะไม่เข้าใจ พี่หลีไปดูแล้วจะเข้าใจเอง”

มาถึงห้องปรุงเครื่องหอมเล็กๆ ของตนเองแล้ว มู่หวั่นชิวก็เริ่มทำความสะอาดหม้อกลั่นพลางพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ถ้ามีอีกสองใบก็คงดี…”

กลิ่นหอมหลายกลิ่นจะได้กลั่นออกมาได้พร้อมกัน ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็สามารถปรุงน้ำหอมได้แล้ว แม้ว่าตนจะมีสูตรลับสำเร็จรูปแล้ว แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการทำน้ำหอมชนิดนี้เป็นครั้งแรก มู่หวั่นชิวจึงยังรู้สึกไม่สบายใจ หากมีเวลาให้นางค่อยๆ ปรับลองได้ก็จะดีที่สุด

โชคดีที่นางเก็บดอกไม้สดไว้จำนวนมากเพื่อทำขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้อยู่แล้ว ทำความสะอาดหม้อกลั่นเสร็จ มู่หวั่นชิวก็บอกให้โม่เสวี่ยไปเตรียมดอกไม้สด เห็นหลีจวินกำลังถือน้ำหอมที่นางสกัดไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาศึกษา นางจึงพูดอย่างทอดถอนใจ “แม้น้ำหอมหนึ่งขวดนี้จะสามารถทำออกมาได้จำนวนมากก็จริง แต่น่าเสียดายที่ยังขาดกลิ่นหอมไปอีกหลายกลิ่น ยามนี้จึงเร่งสกัดออกมาจำนวนมากไม่ได้…ตอนนี้ทำได้เพียงสกัดน้อยๆ ไปก่อน รับมือกับงานขององค์หญิงหมิงอวี้แล้ว หลังจากนั้นค่อยว่ากัน…” แล้วถามอีกว่า “ตามที่พี่หลีคำนวณ ในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ต้องใช้เครื่องหอมจำนวนเท่าใดหรือ”

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าหลักการแผ่นไม้สั้น* ถังน้ำใบหนึ่งไม่ว่าจะสูงเท่าใด ความสูงในการบรรจุน้ำของมันก็จะอยู่ที่แผ่นไม้สั้นที่สุดในจำนวนนั้น ได้ยินคำพูดนี้แล้วหลีจวินก็พยักหน้า ทว่ายังคงไม่ตอบ กลับย้อนถามว่า “อาชิวสกัดน้ำหอมขวดหนึ่งต้องใช้เวลาเท่าใด”

“เมื่อก่อนยังไม่ชำนาญต้องใช้เวลาสองสามวัน ตอนนี้ใช้เวลาแค่หกเจ็ดชั่วยามก็พอ…” มู่หวั่นชิวชี้น้ำหอมในมือเขาแล้วพูดว่า “พี่หลีอย่ามองว่าสกัดน้ำหอมสักชนิดใช้เวลาไม่มากเด็ดขาด ตอนนี้ข้ายังขาดอีกสี่ห้ากลิ่น แต่มีหม้อสกัดแค่ใบเดียวเช่นนี้ แต่ละกลิ่นต้องใช้เวลาหกถึงเจ็ดชั่วยาม รวมเวลาสองสามวันก็ผ่านไปแล้ว…” ในใจแอบเสียใจ หากตอนแรกที่ไปหอเสวียนจี นางสั่งทำอีกสักสองใบก็คงดี

“กลิ่นเหล่านั้นต้องใช้หม้อสกัดออกมาหรือ” หลีจวินถาม

“อืม…” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ใช้วิธีโบราณของอาจารย์โหยวจะยิ่งช้า และไม่บริสุทธิ์เท่านี้ หากสารเจือปนมากเกินไปก็จะกระทบกับกลิ่นทั้งหมด” นางถอนหายใจ “ใช้หม้อสกัดทั้งหมดเลยดีกว่า…”

“อาชิวตามข้ามา”

มู่หวั่นชิวกำลังพูดอยู่ก็เห็นหลีจวินวางน้ำหอมในมือลงพลางดึงตัวนางแล้วพาเดินออกไปข้างนอก

“…พี่หลีจะไปที่ใด” มู่หวั่นชิวยืนนิ่งไม่ขยับ พยายามดึงตัวเขาไว้ “เสวี่ยเอ๋อร์เตรียมกลีบดอกไม้จวนจะเสร็จแล้ว สกัดหม้อนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เห็นหลีจวินพยายามดึงตัวนางให้เดินไปให้ได้จึงพูดอีกว่า “พวกเราไม่มีเวลาแล้ว”

หลีจวินยิ้มแต่ไม่พูด จนกระทั่งดึงตัวนางมาถึงที่ลานบ้าน เขามองกำแพงที่ล้อมอยู่ตลอดซ้ายขวาแล้วพูดว่า “อาชิวระวังนะ…” สิ้นเสียงพูดเขาก็กอดตัวมู่หวั่นชิวแล้วกระโดดลอยตัวขึ้น

“ว้าย!” มู่หวั่นชิวร้องอย่างตกใจก่อนจะจับตัวหลีจวินไว้แน่น กำลังจะหลับตาก็พบว่าเท้าของตนถึงพื้นเสียแล้ว นางหันไปอย่างช้าๆ ดวงตากวาดมองไปโดยรอบ “ที่นี่คือที่ใด”

“บ้านข้างคฤหาสน์ตระกูลไป๋…” หลีจวินมองนางด้วยรอยยิ้มสดใส “ตอนแรกเห็นอาชิวซื้อคฤหาสน์ตระกูลไป๋ ข้าก็ซื้อบ้านนี้เอาไว้ทันที”

“ที่แท้บ้านหลังนี้ก็ถูกท่านซื้อไปเองหรือ!” มู่หวั่นชิวเบิกตาโตอย่างตกใจ “ตอนแรกที่รู้ว่าบ้านนี้ขายไปแล้ว เสวี่ยเอ๋อร์ยังไปสอบถามด้วยความสงสัยอยู่เลย…” คิดถึงภาพวันนั้นที่โม่เสวี่ยถูกกันไว้นอกประตู มู่หวั่นชิวก็พูดอย่างทอดถอนใจ นางปล่อยมือจากหลีจวินแล้วก้าวไปยังห้องทางตะวันตกที่ประตูเปิดกว้างอยู่

หลีจวินมองนางด้วยรอยยิ้ม แล้วก้าวเท้าตามไป

เมื่อเข้าประตูไปจึงพบว่าภายในห้องมีอาจารย์หลายคนกำลังทำงานยุ่งกันอยู่ พอเห็นพวกเขาเข้ามาเหล่าอาจารย์ก็พากันหยุดงานในมือ ด้านหนึ่งคารวะหลีจวินตามมารยาท ด้านหนึ่งก็ใช้สายตาที่ใช้มองคนแปลกหน้าสำรวจมู่หวั่นชิว สิ่งที่ทำให้มู่หวั่นชิวประหลาดใจก็คือคนเหล่านี้นางรู้จักแทบทั้งหมด พวกเขาล้วนเป็นอาจารย์ในห้องรังสรรค์กลิ่นของร้านหลีจี้ที่ระยะนี้ทยอยถูกกู่ฉินตัดออก รวมไปถึงหร่านปิงที่ลือกันว่าเพราะแพร่งพรายสูตรลับเม็ดหอมบุปผาสวรรค์ออกไปจึงได้ถูกร้านหลีจี้กักตัวเอาไว้

“เจ้า…” หร่านปิงหันมามองมู่หวั่นชิวอย่างประหลาดใจ

“ทุกคนทำงานต่อไปเถอะ…” หลีจวินพยักหน้าให้ทุกคนแล้วดึงตัวมู่หวั่นชิวให้เดินไปพร้อมกัน “อาชิวตามข้ามา…”

เขานำตัวนางมาถึงห้องทางตะวันออก

เห็นพวกเขาแล้ว บ่าวเฝ้าประตูก็เปิดประตูให้อย่างนอบน้อม

“สวรรค์!” เห็นภายในเพียงแวบเดียว มู่หวั่นชิวก็ตะโกนอย่างประหลาดใจขึ้นมา

ภายในโถงนี้มีขนาดใหญ่กว่าห้องรังสรรค์กลิ่นของร้านหลีจี้ที่เพิ่งถูกทำลายไปเกือบหนึ่งเท่า นอกจากด้านหนึ่งติดประตูแล้ว อีกสามด้านที่ติดกำแพงจะมีแท่นหินอ่อนยาวความกว้างสามฉื่อตั้งอยู่ บนนั้นมีเครื่องมือใหม่เอี่ยมหลากหลายชนิดวางจนเต็ม ทว่าที่ทำให้มู่หวั่นชิวมองตาค้างมากที่สุดนั้นก็คือ…

เครื่องมือมากมายในนี้นางล้วนรู้จัก ส่วนใหญ่เป็นของที่ตระกูลเว่ยคิดค้นขึ้นมา!

เขาคงไม่ได้มีตำราวิชาปรุงเครื่องหอมอีกเล่มหรอกนะ

มู่หวั่นชิวเบิกตาโต มองหลีจวินอย่างพูดอะไรไม่ออก

“พอรู้ว่าอาชิวใช้เครื่องมือตระกูลเว่ยได้ ครั้งนั้นที่ไปหอเสวียนจีกับอาชิว ข้าก็สั่งให้พวกเขาเอาภาพเครื่องมือที่พวกเขาเก็บไว้ออกมาทำทั้งหมด” ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของมู่หวั่นชิว หลีจวินจึงพูดอธิบาย “แต่ว่าน่าเสียดายที่นี่ไม่มีหม้อกลั่นลำดับส่วนที่อาชิวพูดถึงเมื่อวาน” เขาดึงตัวนางเดินไปหยุดตรงหน้าหม้อสกัดใหม่เอี่ยมห้าใบ “อาชิวดูสิ ตั้งแต่รู้ข้อดีของหม้อสกัดนั้นแล้ว ข้าก็สั่งทำทีเดียวถึงห้าใบ”

“สวรรค์ ดีเหลือเกิน!” นิ้วมือมู่หวั่นชิวสั่นเทา นางลูบตรงนี้แตะตรงนั้นอย่างดีใจ สีหน้าแดงก่ำอย่างตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง

สำหรับนางที่ลุ่มหลงการปรุงเครื่องหอมแล้วนั้น เมื่อได้เห็นของเหล่านี้ก็เหมือนว่าได้เห็นสมบัติเงินทองกองใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย

“พี่หลีรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้พวกเราจะได้ใช้ของเหล่านี้ ถึงกับสั่งทำไว้ล่วงหน้า” มู่หวั่นชิวลูบหม้อสกัดใหม่เอี่ยมห้าใบนั้นอย่างยินดี แล้วถามอย่างเซ่อๆ

หลีจวินไม่ได้รู้ว่าวันนี้จะมีโอกาสให้ได้ใช้งานจริงๆ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจไว้แล้ว รอให้ภายหน้าสบโอกาสไล่กู่ฉินออกก็จะให้มู่หวั่นชิวมาเข้าฝ่ายรังสรรค์กลิ่นของร้านหลีจี้แทนอีกฝ่าย แต่ว่าด้วยความหัวแข็งและดื้อรั้นของมู่หวั่นชิวแล้ว หากเขาไม่สั่งทำเครื่องมือประหลาดเหล่านี้รอไว้ก่อน จะดึงดูดสายตาของนางได้หรือ

กระนั้นสิ่งเหล่านี้แม้ตีให้ตายหลีจวินก็บอกมู่หวั่นชิวไม่ได้

เขายิ้มอย่างสบายใจ “อาชิวชอบหรือไม่”

“อืม…” มู่หวั่นชิวพยักหน้าจากใจจริง “ชอบมาก ครบครันกว่าห้องปรุงเครื่องหอมเล็กๆ ของข้ามาก” แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ตอนแรกที่ซื้อคฤหาสน์ตระกูลไป๋ข้าเคยรู้สึกว่ามันใหญ่ไป ยังบ่นว่าพี่เจิงสิ้นเปลืองมากเกินไปเลย ใครจะรู้ว่าใช้ไปใช้มาก็ยังเล็กเกินไปอยู่ดี”

ยามนี้ในมือมีบ่อนพนันเพิ่มอีกสิบแปดแห่งกับหออีผิ่นเทียนซย่าแล้ว หลังจากนี้เงินที่มู่หวั่นชิวใช้ในการเรียนรู้การปรุงเครื่องหอมก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง เครื่องมือที่ใช้ในการปรุงเครื่องหอมเหล่านั้นขอเพียงมีความจำเป็น นางก็จะซื้อกลับมาโดยไม่สนใจเรื่องราคา สำหรับวัตถุดิบเครื่องหอมก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คฤหาสน์ตระกูลไป๋ตอนนี้แทบจะกลายเป็นร้านเครื่องหอมที่มีขนาดไม่ใหญ่ร้านหนึ่งไปแล้ว

ถ้าจะเรียกว่าเป็นร้านเครื่องหอม มิสู้บอกว่าเป็นสถานที่ทำการทดลองจะดีกว่า อย่างไรเสียมู่หวั่นชิวก็ไม่เคยทำเครื่องหอมอย่างเป็นระบบระเบียบและขายออกไปข้างนอกมาก่อน นางเพียงแค่เรียนรู้วิธีการทำเครื่องหอมโดยไม่หยุดเท่านั้น

“เช่นนั้นต่อไปอาชิวก็ย้ายมาที่นี่เถอะ” หลีจวินไม่พลาดโอกาสที่จะพูดหลอกล่อ

เมื่อคิดว่าคฤหาสน์ตระกูลไป๋นั้นเป็นเจิงฝานซิวซื้อให้นาง เขาก็จำใส่ใจมาตลอด

“อืม…” มู่หวั่นชิวพยักหน้ารับอย่างเซ่อๆ รู้สึกว่ารอยยิ้มของหลีจวินดูประหลาด นางจึงรู้ตัวในทันใด รู้สึกเหมือนว่าตนหลงกลอีกฝ่ายเข้าแล้ว นางจึงรีบพูดเสริมว่า “ที่นี่ใกล้กับคฤหาสน์ตระกูลไป๋ ต่อไปข้ามาทำงานที่นี่ทุกวันก็เหมือนกัน…” แล้วพูดด้วยรอยยิ้มอีกว่า “ใกล้กว่าร้านหลีจี้ฝั่งตรงข้ามมาก ประหยัดเวลา”

“…อย่างนั้นก็ทำประตูด้านข้างสักบานเถอะ” เห็นว่าหลอกล่อไม่สำเร็จ หลีจวินจึงชี้ไปตรงกำแพงที่พวกเขาเพิ่งกระโดดข้ามมา “เวลาอาชิวเข้าออกจะได้ไม่มีใครสังเกตเห็นที่นี่” เห็นมู่หวั่นชิวส่ายหน้า เขาจึงรีบพูดเสริมอีกว่า “ผู้บัญชาการหร่วนจับตามองความเคลื่อนไหวของอาชิวอยู่ทุกฝีก้าวนะ”

“ก็จริง” นอกจากอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋แล้ว ทุกครั้งที่นางออกจากบ้านก็มักจะมีหร่วนอวี้มาคอยตามอยู่เสมอ นางสงสัยมาตลอดว่าใช่หร่วนอวี้ส่งคนสะกดรอยตามนางหรือไม่ เพียงแต่ไม่กล้าเข้าออกคฤหาสน์ตระกูลไป๋อย่างอุกอาจเหมือนเมื่อก่อนอีก คิดถึงตรงนี้มู่หวั่นชิวจึงรีบพยักหน้า

โดยไม่ทันเห็นว่าในดวงตาหลีจวินฉายแววเจ้าเล่ห์ “ดี พรุ่งนี้ข้าจะให้คนมาทำประตู อืม…” เขานิ่งคิดสักครู่ “ประตูข้างบานนี้ต้องทำให้ลึกลับสักหน่อย ให้คนภายนอกมองไม่ออกจึงจะดี”

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า ทั้งไม่มีความเห็นต่อคำเสนอแนะของเขา นางจึงเปลี่ยนไปถามว่า “ไยพี่หลีจึงคิดสร้างห้องรังสรรค์กลิ่นนี้ขึ้นมาล่ะ”

“ตั้งแต่พบว่ากู่ฉินมีใจคิดทรยศ ข้ากับท่านพ่อก็เริ่มเตรียมการแล้ว…” หลีจวินพูดว่า “เริ่มจากการเก็บตัวอย่างสินค้าชุดใหญ่ แล้วค่อยๆ แบ่งกิจการส่วนหนึ่งมาดูแลอย่างลับๆ หนึ่งเพื่อกระจายทรัพย์สินในชื่อของตระกูลหลีไม่ให้กระจุกเป็นก้อนเกินไป เป็นการตัดทอนความสำคัญของปรมาจารย์กู่ในร้านหลีจี้ สองคือฉวยโอกาสนี้ทดสอบความภักดีของทุกคนที่มีต่อร้านหลีจี้ เพื่อให้สะดวกกับการกวาดล้างคนในวันข้างหน้า ที่สำคัญที่สุดคือแสดงให้อิงอ๋องกับหร่วนอวี้เห็นถึงความอ่อนแอของตระกูลหลี ป้องกันไม่ให้ตระกูลหลีเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน หรือมีภัยถึงขั้นล้างตระกูลได้…” ที่ผ่านมาการแย่งชิงตำแหน่งล้วนเป็นเช่นเจ้าตายข้าอยู่ มีเลือดนองพื้น หากยืนอยู่ผิดฝ่ายก็บ้านแตกคนตายซึ่งมีให้เห็นได้ทั่วไป สำหรับเรื่องนี้เขาย่อมไม่กล้าคิดว่าตนเองจะโชคดี

หลังจากที่มู่หวั่นชิวได้ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง แม้จะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับชาติกำเนิดของนางและเฮยมู่ที่อยู่เบื้องหลังนางเพียงใด แต่เขาเชื่อว่าที่นางชอบโกหกอาจจะมีความลำบากอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางจะไม่มีทางทำร้ายเขาเด็ดขาด เขาจึงเริ่มเอาความลับส่วนตัวบางอย่างออกมาบอกให้นางรู้

เรื่องที่ซื้อคฤหาสน์นี้หรือเรื่องที่เปิดห้องรังสรรค์กลิ่นนี้ แม้แต่นายท่านหลีเองก็ยังไม่รู้ เขาทำทุกอย่างนี้ก็เพราะปรารถนาในวิชาล้ำเลิศของมู่หวั่นชิวและความชอบในตัวนางที่มาจากใจ จึงอยากจะสร้างความสะดวกที่ดียิ่งกว่าให้กับนาง ทำให้นางมีพื้นที่ในการแสดงความสามารถเพิ่มมากขึ้น

แน่นอนว่าที่มากไปกว่านั้นก็คือเขาอยากจะเอาใจนาง แต่ว่าตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางบอกเรื่องเหล่านี้ให้มู่หวั่นชิวรู้เด็ดขาด

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” มู่หวั่นชิวเข้าใจในทันที นางมองหลีจวินด้วยดวงตาเปล่งประกาย “ที่ข้างนอกลือกันว่าตระกูลหลีตกอยู่ในสภาวะเงินทองย่ำแย่นั้นเป็นเรื่องเท็จหรอกหรือ”

หลีจวินมองนางอย่างรักใคร่ “ต่อให้ค้าขายไม่ดีอย่างไร ตระกูลหลีก็ยังเป็นถึงตระกูลใหญ่ สะสมเงินทองมาหลายชั่วอายุคน ถูกผู้บัญชาการหร่วนปิดหอสุรากับบ่อนพนันเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น จะกระเทือนถึงรากฐานของตระกูลได้อย่างไร”

“ก็จริง…” มู่หวั่นชิวพยักหน้า คิดถึงเมื่อวานที่ตนเองเห็นความวังเวงภายในห้องรังสรรค์กลิ่น ได้ยินเสียงแอบพูดคุยกันของบรรดาอาจารย์เหล่านั้นแล้ว แม้แต่นางยังคิดจะเสียสละโรงธูปไป่เยี่ยให้กับตระกูลหลีเพื่อขอเปลี่ยนชะตาชีวิตในชาตินี้อยู่เลย คิดแล้วใบหน้านางพลันร้อนผ่าว พูดพึมพำว่า “ข้ากังวลใจเกินไปเอง”

ได้ฟังคำพูดโอดครวญที่มาจากใจ หัวใจหลีจวินก็เต้นกระตุก เขาจ้องลึกไปในดวงตาของมู่หวั่นชิวแล้วเอ่ยปากพูด “อาชิวอยู่สกัดน้ำหอมเหล่านั้นที่นี่เถอะ ข้า…” อยากบอกว่าจะส่งอาจารย์ที่มีประสบการณ์สองสามคนมาเป็นลูกมือ แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว เขาก็คิดได้ว่าการปรุงเครื่องหอมเป็นศิลปะชั้นเลิศ หากส่งอาจารย์มาก็จะต้องถูกสงสัยว่าตนจะขโมยศิลปะวิชาจากนาง จึงเปลี่ยนคำพูดในทันที “ที่นี่เพิ่งจะสร้างขึ้นมา ยังไม่ได้จ้างคนมากนัก มีคนงานเพียงสามคน ข้าจะให้พวกเขาฟังคำสั่งเจ้า…”

มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว “ยังมีอาจารย์เหล่านั้นอยู่มิใช่หรือ” ด้านหนึ่งก้มหน้าตรวจดูหม้อสกัด ปากก็พูดเจรจาไปด้วย “พี่หลีให้พวกนางหยุดงานในมือมาช่วยข้าก่อนเถอะ พวกนางล้วนมีประสบการณ์มาก ให้ทุกคนร่วมใจลงมือทำจะได้เร็วขึ้นหน่อย” ภารกิจสำคัญอันดับแรกของตระกูลหลีในตอนนี้คือทำเครื่องหอมสำหรับงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ งานอื่นสามารถหยุดไปก่อนได้

สำคัญที่สุดเรื่องที่ให้นางคอยดูหม้อสกัดหกหม้อเพียงคนเดียวใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่นางจะเหนื่อยตายเสียก่อน งานใช้แรงเช่นนี้ให้คนอื่นไปทำดีกว่า ส่วนนางแค่เพียงรวบรวมสมาธิสกัดเครื่องหอมก็พอ พูดไปนานไม่ได้ยินเสียงตอบมู่หวั่นชิวจึงเงยหน้าขึ้น พบว่าหลีจวินกำลังเหม่อมองมา นางจึงส่งเสียงพูด “พี่หลีเป็นอะไรไปหรือ”

“ได้…” ดึงสติคืนมาแล้ว หลีจวินก็พยักหน้า “ข้าจะให้พวกนางหยุดงานในมือ สองวันนี้มาช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มที่ อาชิวอยากให้พวกนางทำอะไร เจ้าก็สั่งไปได้เลย”

“อืม พี่หลีบอกพวกนางด้วยว่าจะต้องฟังคำของข้าทุกอย่าง ห้ามมีความคิดแตกต่างเด็ดขาด…” อาจารย์เหล่านั้นอย่างน้อยก็เป็นนักปรุงเครื่องหอมระดับหนึ่ง พื้นหลังประสบการณ์ล้วนมากกว่านาง แต่นี่ไม่ใช่เวลามาเกรงใจใคร ในเวลานี้นางต้องการการเชื่อฟังและยอมทำตามทุกอย่าง จำเป็นต้องให้นางมีอำนาจอย่างเต็มที่

“อาชิววางใจได้…” หลีจวินลูบผมนางอย่างรักใคร่ “ข้าจะบอกพวกนางว่าต่อไปเจ้าคือผู้ควบคุมหลักของที่นี่ ใครกล้าไม่ฟังคำของเจ้าก็ไล่ออกไปได้ทันที”

“ผู้ควบคุมหลัก?” มู่หวั่นชิวปัดมือเขาออก คิดสักครู่ก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนแรกที่พี่หลีรีบรับปากตั้งฝ่ายปรุงเครื่องหอมสองให้ข้าคนเดียวนั้น คงอยากจะใช้ข้ากระจายอำนาจจากกู่ฉินกระมัง” แล้วพูดอีกว่า “เห็นทีฝ่ายรังสรรค์กลิ่นนี้ พี่หลีคงเตรียมจะเรียกมันว่าฝ่ายรังสรรค์กลิ่นสองสินะ”

หลีจวินมีสีหน้าอึดอัดใจ จากนั้นก็พูดอย่างขึงขังว่า “อาชิวผิดแล้ว ต่อไปร้านหลีจี้จะมีฝ่ายรังสรรค์กลิ่นนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

“มีเพียงแห่งเดียว?” มู่หวั่นชิวพูดทวนคำอย่างเหม่อลอย พูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็หุบยิ้มทันที “พี่หลี…” นางมองหลีจวินอย่างตกใจ หัวใจเต้นแรง

ความหมายในคำพูดนี้ของเขา…คือให้นางมาแทนกู่ฉินหรือ

นางมีกิจการเป็นของตัวเอง หาได้ละโมบในชื่อเสียงลาภยศไม่ แต่เป็นเพราะชาติก่อนถูกกู่ฉินรังแก ความแค้นที่ฝังลึกลงกระดูกนั้น ทำให้แม้แต่ฝันก็ยังอยากจะมีสักวันที่มาแทนที่กู่ฉินได้ แล้วแย่งทุกอย่างที่อีกฝ่ายเคยครอบครองในชาติก่อนมา

“ไม่เพียงที่นี่…” หลีจวินดึงมู่หวั่นชิวเข้ามาในอ้อมแขนแล้วกอดนางไว้เบาๆ เขาใช้เสียงพูดที่ได้ยินกันเพียงสองคนพูดข้างหูนาง “ต่อไปแม้แต่ฝ่ายปรุงเครื่องหอมของร้านหลีจี้ก็จะมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้น”

นี่เป็นความเชื่อมั่นและสัญญากลายๆ กระมัง

เขาไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามอารมณ์ สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ก็หมายความว่าเขายอมรับในฝีมือของนางแล้ว!

ในฐานะช่างคนหนึ่ง ในฐานะคนที่รักการปรุงเครื่องหอม ช่างที่เห็นการปรุงเครื่องหอมเป็นชีวิตจิตใจ ย่อมไม่มีอะไรจะทำให้มู่หวั่นชิวหวั่นไหวได้มากกว่านี้อีกแล้ว อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงอาจารย์เครื่องหอมที่มาจากการเป็นคนงานรับจ้างซึ่งไม่มีแม้แต่ระดับขั้น พอได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ดวงตามู่หวั่นชิวก็มีน้ำตาเอ่อคลอ ร่างนางพลันสั่นเทา

หลีจวินฉวยโอกาสกอดนางแน่นขึ้น “อาชิวชอบหรือไม่” เสียงนั้นเพียงพูดพึมพำ แต่กลับเหมือนมีพลังทะลุทะลวงที่ทำให้หัวใจมู่หวั่นชิวกระตุกแรงจนนางแทบหายใจไม่ออก

“ชอบ…” นางพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ข้า…” อยากพูดว่าข้าจะไม่ทำให้พี่หลีผิดหวังแน่นอน แต่คำพูดมาหยุดที่ริมฝีปากแล้ว นางก็ตัวสั่นพลันนึกขึ้นได้ว่าสี่ปีให้หลังนางต้องกลับไปที่โรงธูปไป่เยี่ย เมื่อดิ้นหลุดจากอ้อมกอดหลีจวินแล้ว นางก็หมุนตัวมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าพี่หลีเชื่อข้าก็เลือกอาจารย์ที่ภักดีและฉลาดหลักแหลมจำนวนหนึ่งมาติดตามข้า ภายในสี่ปีข้าจะฝึกกำลังหลักที่ยอดเยี่ยมกลุ่มหนึ่งให้ตระกูลหลีได้แน่นอน จะไม่ทำให้พี่หลีต้องผิดหวังที่อุตส่าห์ฝากฝัง…”

สี่ปี?

หลีจวินตกใจ จากนั้นก็นึกได้ว่าสัญญาของนางกับตระกูลหลีเหลือเพียงแค่สี่ปี ในทรวงอกเขาเหมือนหายใจไม่ออก…

“อาชิว…”

หลีจวินเรียกนางเสียงเบา เขาอยากถามว่าสี่ปีให้หลังนางยินดีจะต่อสัญญากับตระกูลหลีหรือไม่ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเบื้องหลังนางยังมีเฮยมู่ที่คอยเด็ดดาวเด็ดเดือนให้นางอยู่ เขาจึงตัวเกร็งไป

“อาชิว…” หลีจวินเรียกอีก แล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้งพลางพูดเสียงเบาว่า “อาชิวอยู่ต่อที่ตระกูลหลีเถอะ ต่อไปรับหน้าที่ดูแลฝ่ายปรุงเครื่องหอม ทำตามกฎในตอนนี้ แบ่งกำไรเป็นร้อยส่วน แบ่งให้เจ้าหนึ่งส่วน ปลายปีจะส่งเงินเข้าบัญชีเจ้าตามจำนวน…” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทั้งที่รู้ว่านางไม่มีทางหวั่นไหวเพราะเงิน แต่เขาก็ยังพูดออกไป…

แม้หลีจวินจะเป็นคนฉลาดเพียงใด แต่พอคิดว่าถึงอย่างไรนางก็ต้องจากเขาไปอยู่ดีนั้น ด้วยความว้าวุ่นใจยามนี้เขาย่อมไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดไปรั้งนางให้อยู่ต่อได้อีก

ทั้งที่รู้ว่าเป็นแค่ฟางเส้นหนึ่ง แต่เขาก็อยากจะลองไปคว้าจับฟางเส้นนั้นเอาไว้

หนึ่งส่วนหรือ

ในสมองมึนงง มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นมองหลีจวินอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงยื่นข้อเสนอโง่ๆ อย่างนี้ออกมา

“อาชิว…” ประสานกับสายตาเหมือนคนไม่รู้จักกันของนางแล้ว หลีจวินก็รู้สึกอึดอัดใจ

“ตอนแรกที่ชิงตำแหน่งผู้ชนะในงานประชันเครื่องหอม ข้าเคยขอผลกำไรหนึ่งส่วนจากตระกูลหลีแล้ว” ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงยิ้มแล้วส่ายหน้า

คิดถึงข่าวที่หลีชังส่งมา หลีจวินก็ร่างกระตุก “ตอนนั้นอาชิวทำเพื่ออยู่ต่อที่โรงธูปไป่เยี่ยจริงหรือ” แม้สีหน้าจะดูเรียบเฉย แต่ในใจหลีจวินกลับบีบตัวแรง เขามองมู่หวั่นชิวไม่วางตา

“ตอนนั้นโรงธูปไป่เยี่ยเพิ่งเปิดกิจการก็มีเงินไหลมาเทมา ข้าไม่อยากจากมาเลยจริงๆ…”

ไม่เพียงเพราะเหตุผลนี้ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางไม่เคยกล้าคิดแก้แค้น นางเพียงอยากจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในหอคณิกาในชาติก่อนของตนเอง นางเพียงอยากจะมีชีวิตที่ดี ถ้าหากเป็นไปได้ชาตินี้นางก็ไม่อยากพบหน้าหร่วนอวี้อีก คิดถึงความรู้สึกที่ต่อให้ตนเองตายก็ไม่อยากมาเมืองต้าเยี่ยในตอนนั้นแล้ว มู่หวั่นชิวก็ถอนหายใจ เอนหลังพิงอกของหลีจวินเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานพลางพูดอย่างทอดถอนใจ “ตอนนั้นข้าอยากจะยกเลิกสัญญาแปลกประหลาดนั้นจริงๆ…”

รับรู้ว่าร่างด้านหลังสั่นเบาๆ มู่หวั่นชิวจึงหมุนตัวกลับมามองหน้าหลีจวินอย่างจริงจัง

“แต่ตอนนี้ข้าไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่พี่หลีบังคับพาตัวข้ามาที่เมืองต้าเยี่ย เกรงว่าตอนนี้ข้าคงเป็นเพียงกบใต้บ่อ ชั่วชีวิตคงทำได้เพียงเครื่องหอมไม่กี่ชนิดเท่านั้น หาเงินได้จำนวนหนึ่ง มีกินวันละสามเวลาก็พอใจแล้ว เป็นพี่หลีที่ทำให้ข้าได้เห็นท้องฟ้าที่กว้างขึ้น…” ในตอนนั้นนางรู้สึกจริงๆ ว่าขอแค่ทุกวันตนสามารถกินอิ่มใส่อุ่นได้ก็พอใจแล้ว

“แล้วเหตุใดอาชิวยังจะดื้อรั้นกลับไปอีกหรือ” หลีจวินยกมือขึ้นปัดผมดำบนหน้าผากนาง

“ข้า…” โรงธูปไป่เยี่ยเป็นรากฐานของข้า คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้ว เสียงของมู่หวั่นชิวก็ชะงักไป นางเปลี่ยนมาพูดว่า “ข้ารับปากคุณชายเฮยแล้วว่าสี่ปีให้หลังจะกลับไป”

“อาชิว…” หลีจวินพยายามสะกดความรำคาญใจที่เกิดขึ้นอย่างไร้สาเหตุ เสียงนั้นฟังดูขมขื่น “เมื่อวานอาชิวไปขอร้องเขาจริงหรือ”

“…ขอร้องเขา?” มู่หวั่นชิวงุนงง “พี่หลีพูดเรื่องอะไรหรือ”

เหตุใดเขาจึงรู้เรื่องเหล่านี้

มู่หวั่นชิวหัวใจเต้นรัว

“อ้อ เรื่องนี้…” นางอ้ำอึ้ง จากนั้นก็ปั้นหน้าเครียด “ใครให้พี่หลีปฏิเสธข้าอย่างไร้น้ำใจเช่นนั้นเล่า!” ในน้ำเสียงแฝงอาการแง่งอนเอาไว้กลายๆ

ในใจหวังว่าจะสามารถปิดบังความจริงเขาไปได้

มู่หวั่นชิวเลื่อนสายตาไปทางอื่น ในใจแอบท่องคำว่าอมิตาภพุทธ

“เหตุใดอาชิวจะต้องส่งเครื่องหอมให้องค์หญิงหมิงอวี้ให้ได้” หลีจวินจ้องตานางนิ่ง

เขาอยากได้ยินนางพูดคำที่ดูใส่ใจในตระกูลหลีและใส่ใจเขาด้วยหูตนเอง

“แน่นอน…”

แน่นอนว่าเพื่อช่วยตระกูลหลี ช่วยตระกูลหลีก็เท่ากับช่วยตัวนางเองด้วย ในอนาคตหากเจิงหลีสองตระกูลร่วมกันล้มล้างอิงอ๋องได้สำเร็จ ก็เท่ากับช่วยแก้แค้นหนี้เลือดของตระกูลมู่แทนนางแล้ว!

คำพูดมาถึงริมฝีปาก มู่หวั่นชิวพลันสะดุ้ง จากนั้นก็พูดด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “แน่นอนว่าเพื่อให้ข้าได้มีชื่อเสียง!” แล้วพูดแบบวาดงูเติมขา* “ท่านคิดดูสิถ้าเครื่องหอมของข้าได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะในงานพระราชพิธีอภิเษกขององค์หญิงหมิงอวี้ เช่นนั้นจะมีเกียรติเพียงใด” ทันใดนั้นก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้เฮยมู่เคยสัญญากับตระกูลหลี แล้วแอบคิดว่าแย่แล้ว…

มู่หวั่นชิวจึงรีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าเปื้อนยิ้ม “…ข้ารู้ว่าคุณชายเฮยให้สัญญาไว้กับตระกูลหลี พี่หลีอย่าไปโทษเขาเลย เพราะเป็นข้าที่อ้อนวอนขอร้องเขาเอง เขาทนไม่ไหวจึงได้รับปากข้า…” เสียงพูดเบาลง “เรื่องนั้นก็ให้แล้วไปเถอะ เพราะข้าได้ตัดสินใจว่าจะตั้งใจทำเครื่องหอมเพื่อตระกูลหลีอยู่แล้ว” น้ำเสียงเอาใจอย่างมาก

รับรู้ว่าร่างที่กอดตนเองสั่นเทา มู่หวั่นชิวจึงสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของหลีจวินแล้วถอยหลังไปอย่างเงียบๆ ด้านหนึ่งลังเลใจว่าจะหลบไปจากสถานที่เจ้าปัญหานี้ดีหรือไม่ ดวงตานางก็มองหลีจวินอย่างประหม่า

“คือว่าข้ายังไม่ได้กินอาหารเช้า…”

ผ่านไปครู่ใหญ่ในตอนที่มู่หวั่นชิวถอยไปจนถึงประตู หมุนตัวเพื่อจะหนีออกไปนั้น เสียงอ่อนโยนของหลีจวินก็ดังลอยมาข้างหู “สายแล้ว อาชิวกลับไปกินอาหารเช้าก่อนเถอะ” เสียงพูดราบเรียบ ฟังไม่ออกว่าเศร้าโศกหรือยินดี

“ได้…” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง “ข้ากินอาหารเช้าแล้วจะรีบมาทำเครื่องหอมทันที ไม่ให้เสียเวลาแม้แต่น้อย” น้ำเสียงนางเอาใจอย่างมาก กลัวว่าหากพูดเสียงเรียบจนเกินไป หลีจวินคงได้ฉีกนางออกเป็นชิ้นเล็กๆ แน่

ตั้งแต่ได้รู้จักเขามา รังสีบีบคั้นหัวใจเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

เห็นสีหน้านางยินดีขึ้นมาอีกครั้งเช่นนี้ แม้ใบหน้าหลีจวินจะเรียบเฉย ทว่าเส้นเอ็นบนหลังมือของเขากลับเต้นตุบๆ

เฮยมู่! เขาพึมพำในใจ ดวงตาฉายแววโหดเหี้ยม

ดึงเวลาต่อไปอีกไม่ได้แล้ว รอให้ตระกูลหลีผ่านพ้นอันตรายนี้ไปก่อนเถอะ เฮยมู่จะเป็นคนแรกที่เขาต้องบีบออกมาให้ได้!

* หลักการแผ่นไม้สั้น คือระดับน้ำในถังไม้จะขึ้นอยู่แผ่นไม้ที่สั้นที่สุดของปากถัง เปรียบถึงประสิทธิภาพของผลงานที่ออกมาจะถูกจำกัดด้วยปัจจัยที่เป็นจุดด้อยที่สุด หากปัจจัยต่างๆ ไม่พร้อม ผลงานก็จะออกมาไม่ดี

* วาดงูเติมขา เป็นสำนวน หมายถึงการทำเรื่องที่ไม่จำเป็น ม่เพียงไม่ได้ประโยชน์ แต่กลับเป็นโทษด้วย

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป อัพเดตวันที่ 31 ธันวาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Editor Jamsai: