บทที่สาม
“…ไยพี่สามเพิ่งกลับมา” พอหร่วนอวี้เข้าประตูมา หลิ่วเฟิ่งที่รออยู่ที่จวนผู้บัญชาการก็โผเข้าหาทันที
หร่วนอวี้ร่างชะงักไป แต่แล้วก็กอดนางไว้ “อาเฟิ่งมาแล้วหรือ”
“ข้ารอพี่สามนานแล้ว” ในน้ำเสียงแฝงการออดอ้อนไว้หลายส่วน
หร่วนอวี้ยิ้มบางๆ ในขณะที่กอดนางไว้หลวมๆ
ทำสงครามเย็นมานานก็เพิ่งจะมาคืนดีกัน ทั้งสองคนจึงล้วนระวังตัว ตั้งใจหลบเลี่ยงคำพูดใจดำทำร้ายความรู้สึก ในคำพูดล้วนแฝงความหมายที่ต้องการเอาใจอีกฝ่ายพลางเดินเคียงกันเข้าห้องไป
มองดูท่าทางสนิทสนมของคนทั้งสอง องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหร่วนอวี้ก็โล่งอก ก่อนจะค่อยๆ เดินจากไป
“พี่สามไปตรวจนับเครื่องบรรณาการที่เมืองต้าเยี่ยเตรียมไว้สำหรับองค์หญิงหมิงอวี้หรือ” นั่งนิ่งแล้ว หลิ่วเฟิ่งก็เอ่ยถาม “กลับ…” เสียงนั้นขาดห้วงไป เพียงคิดว่าพวกตนเพิ่งจะดีกัน ยากนักที่จะมานั่งพูดคุยกันอย่างสบายใจเช่นนี้ คำพูดรุนแรงที่ท่านพ่อใช้กับหร่วนอวี้จึงติดอยู่ที่ลำคอ นางกระแอมแล้วเปลี่ยนประเด็นพูด “ตอนเช้าได้รับข่าวจากพี่สาม ข้าก็ไปหาปรมาจารย์กู่ทันที…”
“ของขวัญที่เตรียมสำหรับองค์หญิงหมิงอวี้ ข้าไม่กล้าละเลยหรอก” หร่วนอวี้พยักหน้า เขาพูดเรื่องนี้เพียงผ่านๆ แล้วเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ที่อาเฟิ่งไปพบปรมาจารย์กู่มาตอนเช้า นางพูดอะไรบ้างหรือ” เห็นองครักษ์ยกชาเข้ามา เขาจึงยื่นมือไปรับมาเทให้หลิ่วเฟิ่งถ้วยหนึ่ง
รับน้ำชามาแล้ว หลิ่วเฟิ่งก็ยิ้มหวานให้ “ปรมาจารย์กู่พักฟื้นมาตลอด ถ้าไม่ได้พี่สามช่วยเตือนสติ นางคงถูกปิดหูปิดตาอยู่…” แล้วพูดอย่างเอาใจ “พี่สามเหมือนเทพจริงๆ พี่รู้ได้อย่างไรว่าร้านหลีจี้แอบทำเครื่องหอมอีกชุดหนึ่ง”
หร่วนอวี้ยิ้มอย่างได้ใจ “ข้าเพิ่งชิงเม็ดหอมชุดหนึ่งมาจากตระกูลหลี…” เขาเล่าเรื่องผลการตรวจสอบออกมาหนึ่งรอบ “เป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมมาหลายปี ตระกูลหลีจะถวายเครื่องหอมชั้นสองอย่างนั้นให้องค์หญิงหมิงอวี้ได้อย่างไร” เขาส่ายหน้า “หากทำเช่นนั้น มิสู้ถวายโบยบินเคียงคู่หรือกระวานหอมบุปผาสวรรค์ที่พวกเขาเพิ่งทำออกมาเมื่อต้นปีเสียยังดีกว่า ไม่ว่าอันใดก็ล้วนดีกว่าอันนี้” แล้วหันมองไปทางหลิ่วเฟิ่ง “จริงสิ อาเฟิ่ง…”
เขาอยากจะถามนางว่าเครื่องหอมที่ส่งออกจากตระกูลหลีเมื่อตอนพลบค่ำชุดนั้นอาจารย์ไป๋เป็นคนปรุงจริงหรือ
คำพูดมาถึงริมฝีปาก คิดว่าทุกครั้งที่เขาสองคนทะเลาะกันล้วนเป็นเพราะนาง หร่วนอวี้จึงปิดปากลงอีกครั้ง
รออยู่นานไม่ได้ยินคำพูดต่อไป หลิ่วเฟิ่งจึงพูดกับเขาเสียงเบา “พี่สามคิดจะพูดอะไรหรือ”
“ข้าให้หร่วนซีไปปล้นเครื่องหอมชุดนั้นมาแล้ว” หร่วนอวี้พูดออกมา “ให้พวกเขาไม่เหลือทิ้งไว้สักเม็ด ปล้นกลับมาให้หมด!” น้ำเสียงเด็ดขาดเป็นพิเศษ
“พี่สามรู้แล้วหรือว่านั่นเป็นเครื่องหอมชั้นเลิศ” ดวงตาหลิ่วเฟิ่งพลันเปล่งประกายขึ้นมา นางมองหร่วนอวี้อย่างสงสัย
…เครื่องหอมชั้นเลิศ?! หร่วนอวี้ตกใจ อาเฟิ่งรู้ได้อย่างไร
เห็นหลิ่วเฟิ่งมองหน้าตนอยู่ หร่วนอวี้จึงพูดอีกว่า “ข้าเดาว่าเครื่องหอมชุดนี้เป็นเครื่องหอมที่ตระกูลหลีจะถวายจริงๆ ดังนั้นจึงให้คนไปปล้น…”
ด้วยประสบการณ์นานปีตระกูลหลีจะยอมแพ้โดยง่ายได้อย่างไร
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เองหรือ” หลิ่วเฟิ่งพยักหน้าอย่างผิดหวัง “ข้าคิดว่าพี่สามรู้แล้วเสียอีกว่านั่นเป็นเครื่องหอมชั้นเลิศ” และพูดอีกว่า “ตอนพลบค่ำปรมาจารย์กู่แอบขโมยตัวอย่างเครื่องหอมชุดนั้นที่ตระกูลหลีแอบทำออกมา…”
“อาเฟิ่งได้ตัวอย่างมาแล้วหรือ” หร่วนอวี้พลันนั่งตัวตรงทันที
“เป็นเม็ดหอมเศร้าอาดูรเช่นกัน” หลิ่วเฟิ่งหยิบเม็ดหอมเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อออกมายื่นไปให้ “ไม่ด้อยไปกว่าสูตรลับของปรมาจารย์กู่เลย ทั้งยัง…” นางกัดริมฝีปาก “ท่านพ่อบอกว่ายังเหนือกว่าหนึ่งขั้น ถ้าไม่ใช่ปรมาจารย์กู่ส่งออกมาเอง ท่านพ่อคงสงสัยว่านางเหยียบเรือสองแคมใช่หรือไม่!” ในดวงตานางฉายแววเหี้ยมโหด
ตระกูลหลิ่วเสียแรงกายแรงเงินไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว เกียรติยศของการเป็นผู้ชนะเครื่องหอมที่ใช้ในงานพระราชพิธีอภิเษกองค์หญิงหมิงอวี้จะปล่อยให้ตกเป็นของคนอื่นได้อย่างไร!
หากไม่ใช่เป็นเพราะเครื่องหอมชุดนี้ชนะสูตรลับในมือของนาง มีหรือที่นางจะมาก้มหัวให้เขาและขอร้องให้เขาปล้นเครื่องหอมของตระกูลหลีชุดนี้
รับเม็ดหอมมาแล้ว หร่วนอวี้ก็โบกมือสั่งให้องครักษ์ถือเตากำยานเข้ามา
หลับตาลงแล้ว ท่ามกลางกลิ่นหอมโชยเอื่อยดวงตาลึกล้ำคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกกลัดกลุ้มของการอยากได้แต่ไม่ได้ อยากเลิกก็ไม่ได้วนเวียนอยู่ภายในใจ ทำให้หัวใจของหร่วนอวี้พลันรู้สึกว่างเปล่า
คิดถึงเพียงนิดก็แทบขาดใจ ที่แท้ความเศร้าอาดูรอย่างแท้จริงนั้นมิใช่การลาจาก แต่เป็นความคิดถึงจนใจแทบขาดนี้เอง…รู้สึกราวกับอวัยวะภายในเหมือนกำลังแตกสลาย หัวใจว่างเปล่าของหร่วนอวี้คล้ายถูกมีดกรีด ถูกขวานจาม ถูกมดงูกัดกินในทันที เขาอยากจับเงาร่างคนตรงหน้ามากอดแน่นไว้ในอ้อมกอด แยกชิ้นส่วนของนางบีบให้ละเอียดแล้วกลืนลงท้องไปทีละคำ นั่นจึงจะคลายความทุกข์จากความคิดถึง และความเจ็บปวดแทบขาดใจได้