เมื่อเข้าไปในจวน ไป๋เสวี่ยฝูก็วิ่งตรงไปยังห้องของไป๋อีหนิงด้วยความร้อนใจ แต่ขณะที่ก้าวเข้าไปในเรือนก็ต้องตกใจกับบรรยากาศ ‘วุ่นวาย’ ด้านในนี้ อัครเสนาบดีไป๋ยืนมือไพล่หลังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดใต้ต้นท้อซึ่งแตกกิ่งก้านงอกงาม มีไป๋ฮูหยินยืนซับน้ำตาอยู่ด้านข้าง ปากพึมพำไม่หยุด “เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่สั่งสอนลูกเนรคุณผู้นี้ให้ดี”
อัครเสนาบดีไป๋แค่นเสียงเฮอะ เบี่ยงกายไปด้วยโทสะ แล้วสายตาเคียดขึ้งก็ปราดลงบนร่างของไป๋เสวี่ยฝูพอดี ก่อนจะผุดประกายแปลกใจบางๆ คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นบุตรสาวคนที่สองในตอนนี้ ไป๋เสวี่ยฝูลังเลอยู่ชั่วอึดใจแล้วคารวะเขา “เสวี่ยฝูคารวะท่านพ่อ คารวะฮูหยินใหญ่”
“เจ้ากลับมาด้วยเหตุอันใด เห็นว่าในจวนนี้ยังมีเรื่องอัปมงคลไม่พอหรือ!” ฮูหยินใหญ่ดวงตาแข็งกร้าว ก่อนก้าวขึ้นมาถลึงตาใส่นาง
ไป๋เสวี่ยฝูไม่มีแก่ใจต่อปากต่อคำกับนาง เพียงเงยหน้าขึ้นมองบิดาอย่างแน่วแน่และขอร้องว่า “ท่านพ่อ ขอข้าพบพี่หญิงสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อยากพบก็พบ อย่างไรเสียตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนางก็ไม่ใช่บุตรสาวข้าอีก” อัครเสนาบดีไป๋ลูบเสื้อพลางแค่นเสียงหนัก สีหน้าเย็นชาและเด็ดขาด
ในเรือนพำนักอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ไม่หยุดของฮูหยินใหญ่
เหล่าอนุภรรยามองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยแววตาเฉยเมย คล้ายว่ามีนัยยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ในขณะที่คุณหนูสามสกุลไป๋ที่มีนามว่าไป๋อวี้ฉีกลับกล่าวเอาใจว่า “ท่านพ่อ แม้พี่หญิงจะเสียโฉมไปแล้ว ทว่าสกุลไป๋เราหาได้ไร้บุตรสาวไม่ ไยต้องโมโหถึงเพียงนี้”
อัครเสนาบดีไป๋เลิกคิ้ว สายตาคมปลาบชำเลืองมองไป๋เสวี่ยฝู แววตาคล้ายกำลังตัดสินใจอะไรอยู่เงียบๆ ทว่าถูกมองมาเพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้ไป๋เสวี่ยฝูหวาดกลัวจนต้องรีบลุกขึ้นเดินเข้าห้องหมายหลบเลี่ยงสายตาที่กำลังคิดแผนการนี้
หากท่านพ่อบังคับให้ไปแทนพี่หญิง ข้าย่อมมิอาจคัดค้านได้ แต่สกุลไป๋มีบุตรสาวตั้งมากมาย แต่ละคนล้วนพริ้มเพราราวบุปผา ท่านพ่อคงไม่เลือกข้ากระมัง…ไป๋เสวี่ยฝูลอบขบคิด
เมื่อเข้ามาในห้องของไป๋อีหนิง ไป๋เสวี่ยฝูเห็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งกำลังร่ำไห้เฝ้าอยู่ข้างเตียง กลิ่นโอสถตลบอบอวลรอบทิศ ทั้งหนาวเหน็บอ้างว้าง ทั้งโศกเศร้าตรอมตรม
สาวใช้ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นไป๋เสวี่ยฝูก็ตกตะลึงเหมือนกับทุกคนในจวนตอนเห็นนางครั้งแรก จากนั้นจึงทำความเคารพนางอย่างดีใจ กล่าวด้วยความหวังที่เปี่ยมล้น “คุณหนูรองกลับมาพอดี รีบห้ามคุณหนูใหญ่เถิดเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เสียโฉมไปแล้วจะเสียร่างกายไปอีกไม่ได้นะเจ้าคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูฟังวาจาสาวใช้แล้วมองไปยังชามยาเย็นชืดบนโต๊ะ หัวใจพลันเจ็บแปลบ นางแหวกม่านลายวิหคเคียงคู่ออก ด้านในไป๋อีหนิงกำลังหลับตานอนหันหลังให้นาง ร่างกายผ่ายผอมดูบอบบางจนน่าสงสาร
“พี่หญิง…” ไป๋เสวี่ยฝูร้องเรียกกับแผ่นหลังของไป๋อีหนิงเสียงค่อย มือเล็กเอื้อมไปจับผ้าคลุมหน้า
ไป๋อีหนิงประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ปัดมือไป๋เสวี่ยฝูออกแล้วกุมผ้าคลุมหน้าแน่น แทบจะเอ่ยด้วยเสียงวิงวอนร้องขอ “อย่าดู อย่า…”
“เหตุใดพี่หญิงถึงโง่งมเพียงนี้” ไป๋เสวี่ยฝูเอ่ยตำหนิอย่างเจ็บปวดใจ นางยังจดจำพี่สาวแสนดีที่มักแย้มยิ้มให้ตนเองอย่างอบอุ่นได้ รอยยิ้มงามล่มเมืองปานนั้น…ตอนนี้…รอยยิ้มนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว แล้วจะไม่ให้นางปวดใจได้อย่างไรกัน
“หากไม่ได้ครองคู่กับเทียนฉีจนแก่เฒ่า ข้าขอยอมตาย” ไป๋อีหนิงค่อยๆ หันร่างมา นัยน์ตาสีเข้มใต้ผ้าคลุมหน้าเยือกเย็นเด็ดเดี่ยว นี่คือการยึดมั่นถือมั่นต่อความรักของนาง เมื่อความรักที่ถนอมดูแลมานานหลายปีถูกทำลายลง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะพิสูจน์ว่าตนเองซื่อสัตย์ต่อความรัก แม้จะดูโง่งมแต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
ไป๋เสวี่ยฝูไม่อาจเข้าใจ คงเพราะนางต้องอยู่เฝ้าโคมดำทุกค่ำคืน ทำให้รู้จักความรักทางโลกน้อยเกินไป กระนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของพี่สาว ความเจ็บปวดนั้นต้องทิ่มแทงบีบคั้นหัวใจยิ่งเป็นแน่!
นางไม่รู้ว่าตนเองยังพูดอะไรได้อีก บางทีไม่ว่าอะไรก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น เมื่อคนผู้หนึ่งหัวใจสลาย ทั้งร่างกายคงคล้ายถูกคว้านออกไปจนว่างเปล่า ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าว่างเปล่า แต่ความจริงกลับไม่สามารถใส่สิ่งใดเข้าไปได้แล้ว