หลังเดินออกจากห้องของไป๋อีหนิง ไป๋เสวี่ยฝูก็ตัดสินใจไปเยี่ยมมารดาที่เรือนซึ่งอยู่ห่างออกไป ไม่ได้พบกันมานานใจนางย่อมคิดถึง
จวนสกุลไป๋กว้างใหญ่มาก ไม่ว่าศาลาหอห้อง คานสลัก ภาพวาดบนเสา หรือสวนดอกบัวล้วนยิ่งใหญ่ตระการตา ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิต้นหญ้าแตกยอดอ่อน บุปผาสีสันสดใสแข่งกันบานสะพรั่ง เป็นการเพิ่มกลิ่นอายของวสันตฤดูให้กับสวนแห่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม
ด้านซ้ายเป็นภูเขาจำลองสร้างขึ้นเคียงน้ำด้วยฝีมืออันวิจิตรประณีต เสียงน้ำไหลเป็นจังหวะราวบทเพลงขับขาน ผสานกับกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้าและบุปผานานาพันธุ์ นอกจากนี้ยังมี…
ไป๋เสวี่ยฝูตกตะลึงไปเล็กน้อย ไฉนจึงได้ยินเสียงสตรีร้องไห้ที่นี่เล่า ยังไม่ทันได้ไตร่ตรองให้ละเอียด เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ด้านหลังภูเขาจำลอง “ว่ากันว่าจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยเย็นชาไร้หัวใจ อำมหิตโหดเหี้ยม เป็นสตรีของเขาไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่ ที่แม่ทำก็เพื่อปกป้องเจ้า ไม่รู้จักซาบซึ้งไม่พอ เจ้ายังมาถือโทษโกรธแม่อีก”
เสียงนี้ไป๋เสวี่ยฝูคุ้นเคยดีเพราะเป็นเสียงของฮูหยินใหญ่ ส่วนผู้ที่ร้องไห้ย่อมเป็นไป๋อวี้ฉี ฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดหนึ่งบุตรชายสองบุตรสาว บุตรสาวทั้งสองคือไป๋อีหนิงและไป๋อวี้ฉี ยามนี้นางเรียกตนเองว่าแม่ ผู้ที่ร้องไห้ก็ต้องเป็นไป๋อวี้ฉีแน่นอน!
สุ้มเสียงต่อมายืนยันความคิดของไป๋เสวี่ยฝู ได้ยินเสียงไป๋อวี้ฉีร่ำไห้ว่า “ลูกไม่สนว่าองค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจะเป็นคนอย่างไร ลูกเพียงอยากเข้าวังเคียงคู่พระองค์ หากไป๋เสวี่ยฝูขึ้นเป็นอัครมเหสี สกุลไป๋มิใช่ต้องกลายเป็นใต้หล้าของนางหรือเจ้าคะ”
ขาสองข้างของไป๋เสวี่ยฝูชะงักกึกจนแทบทรุดลงกับพื้น นางคิดไม่ถึงสักนิดว่าพวกเขาตัดสินแล้วว่าจะส่งนางเข้าวังแทน สายตาแปลกประหลาดของท่านพ่อเมื่อครู่นี้พลันฉายวาบขึ้นในสมอง แม้แต่โอกาสในการตัดสินใจเขาก็ไม่เหลือให้นาง!
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผ่านการคัดเลือกหรือไม่เลย หากต้องเป็นสตรีของจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจริงๆ คงไม่มีจุดจบที่ดีดังคำของฮูหยินใหญ่ จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยที่เล่าลือกันว่าป่าเถื่อนกระหายเลือดเดิมคืออี้อ๋อง เพื่อครองอำนาจช่วงชิงบัลลังก์สูงสุดนี้ อีกฝ่ายถึงกับต้องเข่นฆ่าพี่น้องโดยไร้ความปรานี
นางควรคาดเดาได้แต่แรก แม้พี่สาวจะเสียโฉมไปแล้ว แต่เหตุผลเพียงแค่นี้คงไม่ทำให้ท่านพ่อทิ้งแผนการเสริมอำนาจให้แข็งแกร่งนี้ไปได้แน่ และตอนนี้ผู้ที่เหมาะสมที่สุดก็คือนางกับไป๋อวี้ฉี
ไป๋อวี้ฉีไม่เหมือนไป๋อีหนิงที่ดูโอนอ่อนผ่อนตามทว่าภายในกลับแฝงแววขบถเอาไว้ ไป๋อีหนิงมักไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างของบิดามารดาจนถึงขั้นทำให้ขายหน้าต่อหน้าบ่าวรับใช้ สร้างความหงุดหงิดใจแก่พวกเขาหลายครั้ง ส่วนไป๋อวี้ฉีนั้นมีชีวิตอยู่ในเรือนตั้งใจฝึกฝนเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพมาตั้งแต่เล็ก นางไม่สนใจเรื่องราวในสกุล ซ้ำยังเฉลียวฉลาดน่าเอ็นดูจึงได้รับความรักใคร่ลึกซึ้งจากบิดามารดา
ทั้งคู่แม้จะเป็นพี่น้องที่เกิดจากภรรยาเอกเช่นเดียวกัน แต่นิสัยกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ไป๋อีหนิงงามพริ้งเพริศกว่าทั้งยังสงบนิ่งเป็นผู้ใหญ่ ไม่แปลกที่บิดาจะเลือกนางเข้าวัง
“ท่านแม่ สามปีก่อนหลังจากที่ลูกได้เห็นองค์จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยในพิธีราชาภิเษกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะครองคู่กับพระองค์ หลายปีมานี้ลูกมุ่งมั่นร่ำเรียนเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร วาดภาพ ก็เพื่อรอคอยเพียงวันคัดเลือกสาวงามนี้ แต่วันนี้ท่านกลับให้ลูกล้มเลิก ลูกทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของไป๋อวี้ฉีเจือแววผิดหวังอยู่หลายส่วน การได้ยลโฉมพระพักตร์ ท่าทางงามสง่า รวมถึงกลิ่นอายสูงศักดิ์ที่เผยออกมาจากส่วนลึกขององค์จักรพรรดิล้วนเป็นความฝันของนาง เกี่ยวกับคำเล่าลือเรื่องความเลือดเย็นโหดร้ายเหล่านั้น เป็นเพราะพระองค์จำเป็นต้องกระทำเพื่อแย่งชิงบัลลังก์มา นางเชื่อว่าหากจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยรักนาง พระองค์จะไม่มีทางปฏิบัติต่อนางเช่นนั้นแน่
ฮูหยินใหญ่ถอนใจอย่างจนปัญญา ส่ายหน้าคล้ายอยากเอื้อนเอ่ยทว่ากลับหยุดยั้ง สุดท้ายเพียงเอ่ยเสียงอ่อน “บุตรโง่งม เจ้าคิดว่าท่านพ่อให้พี่สาวเจ้าเข้าวังเพื่อเสพสุขในลาภยศสรรเสริญหรือไร เฮ้อ…เจ้ายังเยาว์นัก อ่อนต่อโลกเกินไป…”
“ข้ารู้ว่าท่านพ่อทำเพื่ออำนาจและความรุ่งโรจน์ของสกุลไป๋ แต่ข้าไม่ด้อยไปกว่าไป๋เสวี่ยฝู สิ่งที่นางทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน”
ฮูหยินใหญ่ยังคงส่ายหน้า นางจะบอกบุตรสาวได้อย่างไร ไม่ว่าจะไป๋อีหนิงหรือไป๋เสวี่ยฝูล้วนต้องเข้าวังไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องทำ มีเพียงไปไม่มีหวนกลับ
ไป๋เสวี่ยฝูไม่อยากฟังอีก นางจึงยกชายกระโปรงแล้วเดินจากมา