ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่ห้า
ตอนที่ห้า
ตั้งแต่ออกมาจากตำหนักชิงเหอ พระพันปีก็ตรัสว่าเหนื่อยล้าอยากจะพักผ่อน อวี้กุ้ยเฟยไปส่งพระพันปีเสด็จกลับตำหนักแล้ว จากนั้นจึงกลับมายังตำหนักหย่งเหอที่ตนเองพำนัก ด้วยในใจยังโมโหอยู่ฝีเท้าของนางจึงรวดเร็วยิ่ง ชายกระโปรงพลิ้วสะบัดผ่านดอกไม้ใบหญ้า สวน และทางเดินมากมาย นางกำนัลที่ติดตามอยู่ด้านหลังต้องพากันวิ่งหอบฮักๆ ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงแม้สักนิด
เมื่อมาถึงยังประตูตำหนักหย่งเหอ อวี้กุ้ยเฟยที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินจู่ๆ ก็สะดุดเข้ากับสิ่งของนุ่มๆ ชิ้นหนึ่งจนเกือบล้มลงไป
นางกำนัลด้านหลังร้องขึ้น “พระชายาระวังเพคะ!” ในชั่วขณะที่ส่งเสียงก็ก้าวเข้าไปรับร่างของอวี้กุ้ยเฟยไว้ได้อย่างว่องไว
อวี้กุ้ยเฟยตกพระทัยจนสีหน้าซีดเผือด หลังยืนมั่นคงแล้วก็ก้มหน้าปราดมองลงไป เมื่อเห็นตรงหน้าเป็นสตรีคนหนึ่งกำลังก้มศีรษะคุกเข่าอยู่ตรงหน้า นางที่โกรธอยู่แต่เดิม ฉับพลันเพลิงโกรธก็ยิ่งลุกโหมทันตา ปากเล็กโพล่งขึ้นว่า “นางตัวดี รนหาที่ตายรึ บังอาจมาขวางทางข้า!”
หญิงสาวก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม น้ำเสียงหวาดกลัวเอ่ย “พระชายาทรงไว้ชีวิตด้วย หรงเอ๋อร์มิได้ตั้งใจจะขวางทางพระชายาเพคะ”
หลังกล่าวออกมาเช่นนี้ นางกำนัลและขันทีด้านหลังอวี้กุ้ยเฟยก็รีบคุกเข่าลงคารวะ เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถวายบังคมหวากุ้ยเหริน!”
อวี้กุ้ยเฟยเลิกคิ้วน้อยๆ สังเกตหญิงสาวที่อยู่แทบเท้าใหม่อีกครั้ง นางสวมชุดชาววังจากไหมชั้นดี ผมเกล้ารวบอย่างพิถีพิถันนั้นปักปิ่นที่ทำจากเงินฉลุลายผีเสื้อกางปีกโบยบิน แม้กำลังก้มศีรษะแต่กลับทำให้คนมองเพียงปราดเดียวก็เห็นถึงความงามที่ชัดเจน อวี้กุ้ยเฟยตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้ก็คือเด็กสาวที่วันนี้ได้เปรียบเปรยนางเป็นดอกโบตั๋น
หวากุ้ยเหรินไม่รอให้อวี้กุ้ยเฟยเอ่ยปากก็ยกมือขึ้นหยิบปิ่นทองระย้าฝังมรกตอันล้ำค่าออกมาจากสาบเสื้อ ชูขึ้นเหนือหัวอย่างนอบน้อม “หรงเอ๋อร์ขอบพระทัยพระชายาเป็นอย่างยิ่ง ปิ่นนี้หาได้เป็นของธรรมดาไม่ หากมิได้ปิ่นนี้หรงเอ๋อร์คงจะถูกลดขั้นเป็นบ่าวไพร่ไปแล้ว ที่หรงเอ๋อร์มาวันนี้ก็เพื่อนำมาคืนแด่พระชายาเพคะ”
ปิ่นระย้านี้อวี้กุ้ยเฟยปักไว้บนศีรษะของนางเป็นพิเศษก่อนจากไป และก็เป็นเพราะปิ่นที่ไม่ธรรมดานี้เองที่ทำให้ฝ่าบาททรงเมตตา มอบโอกาสถวายการปรนนิบัติให้กับนาง
อวี้กุ้ยเฟยเพียงปรายมองปิ่นนี้อย่างราบเรียบ แล้วตอบปัดไปประโยคหนึ่ง “ปิ่นประเภทนี้ข้ามีมากนัก ให้เจ้าแล้วย่อมเป็นของเจ้า รับกลับไปเถิด” กล่าวจบก็เยื้องกรายผ่านหวากุ้ยเหรินเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ชายกระโปรงสะบัดผ่านด้านข้างของหวากุ้ยเหริน นางก็ร้อนรนหมุนตัวกลับไปทางอวี้กุ้ยเฟยทันทีพลางเอ่ยอย่างหวาดหวั่น “หรงเอ๋อร์ไม่กล้ารับของประทานอันล้ำค่าเพียงนี้จากพระชายาเพคะ”
อวี้กุ้ยเฟยชะงักเท้าเล็กน้อย แสยะยิ้มโดยไม่แม้แต่เหลียวกลับไปมอง “เช่นนั้นน้องหญิงคงได้แต่โยนมันทิ้งเสียแล้ว”
หวากุ้ยเหรินยิ่งทวีความหวาดกลัว เอ่ยกับเงาร่างที่ค่อยๆ เลือนหายไป “หรงเอ๋อร์ขอบพระทัยพระชายาที่ประทานของกำนัล หากวันหน้าพระชายามีเรื่องใดรับสั่ง หรงเอ๋อร์จะปฏิบัติตาม ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนเพคะ!” กล่าวจบนางก็เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงอาภรณ์พลิ้วไหวหายลับไปหลังประตู มองไม่เห็นเงาร่างสูงเลอค่าสง่างามของอวี้กุ้ยเฟยอีก
“อวี้กุ้ยเฟยเพคะ จิตใจของหวากุ้ยเหรินนับว่าซับซ้อนยิ่งนัก รู้จักมาแอบอิงต้นไม้ใหญ่เช่นพระชายาเสียด้วย” นางกำนัลจีบปากหัวเราะ ยกพัดบนโต๊ะขึ้นมาพัดเบาๆ ให้อวี้กุ้ยเฟย อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นแท้จริงไม่จำเป็นต้องใช้พัด แต่เพราะตลอดทางเมื่อครู่อวี้กุ้ยเฟยเร่งรีบจนเหงื่อชุ่ม นางกำนัลน้อยเนี่ยนเอ๋อร์ที่แต่ไหนแต่ไรก็คอยใส่ใจทุกรายละเอียด ยามนี้จึงเข้าใจความต้องการของอวี้กุ้ยเฟยดี
เนี่ยนเอ๋อร์ติดตามอวี้กุ้ยเฟยออกเรือนเข้าวัง รับใช้ตนเองมาตั้งแต่เล็กจนคุ้นเคย และก็เป็นเพราะนางเฉลียวฉลาดและคล่องแคล่วจึงเป็นคนโปรดของอวี้กุ้ยเฟยมาตลอด
นางถือพัดโบกแผ่วเบา สายลมเบาบางหยอกล้อไรผมดุจเส้นแพรไหมสองสามปอยที่หน้าผากอวี้กุ้ยเฟย ดวงหน้าภายใต้แพรไหมนั้นระบายยิ้มพลางเอ่ยเย้าหยอกว่า “หวากุ้ยเหรินเป็นคนเดียวที่มีฐานะทางบ้านต่ำต้อย ซ้ำตำแหน่งก็ด้อยที่สุด หากนางไม่พึ่งพาข้า ตำหนักในที่ยิ่งใหญ่ออกอย่างนี้ วันหน้าจะยังมีวันที่ดีของนางหรือ”
“พระชายาพูดถูกแล้วเพคะ” เนี่ยนเอ๋อร์พยักหน้าสอดรับ ปากหวานเอ่ยประจบ “พระชายาเป็นผู้ปกครองตำหนักใน ตำแหน่งอัครมเหสีนั้นจะต้องเป็นของพระชายาอย่างแน่นอน เกรงว่าวันข้างหน้าสนมชายาเหล่านั้นจะรีบมาเอาอกเอาใจพระชายากันแทบไม่ทันเชียวเพคะ”
“เด็กปากพล่อย ไม่กลัวว่าจะถูกฝ่าบาทได้ยินเข้าหรือ” อวี้กุ้ยเฟยพึมพำเสียงเบา ใบหน้าเล็กมิได้เบิกบาน กลับลอบถอนใจกล่าวว่า “ตำแหน่งอัครมเหสียังไม่รู้จะไปตกสู่สกุลใด เซี่ยเฟยนับว่าไม่มีหวังแล้ว แต่เด็กสาวสกุลไป๋ที่เข้าวังมาเป็นชายาคนใหม่ผู้นั้น…กลัวก็แต่ฝ่าบาทจะทรงไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์* ดังเช่นคราวที่เลือกสาวงาม!”
อวี้กุ้ยเฟยเป็นบุตรบุญธรรมของพระพันปี ได้ยินว่าครั้งพระพันปีเสด็จสัญจรทางใต้เกิดต้องพระทัยนางเข้าจึงพากลับหนิงเฉิงมาด้วย สำหรับเรื่องชาติตระกูลที่แท้จริงของนางนั้นไม่มีผู้ใดเคยล่วงรู้ถ่องแท้มาก่อน แม้จะไม่เห็นว่ามีสกุลสูงศักดิ์แต่นางกลับอาศัยชื่อของพระพันปีขึ้นรับตำแหน่งชายาขั้นหนึ่ง ตราบใดที่พระพันปีไม่ล้มนางก็ยังไร้กังวลได้อยู่
ก่อนหน้านี้นางเชื่อมั่นมาตลอดว่าจะได้รับตำแหน่งอัครมเหสี แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งสนมชายานับสิบคนภายในวันเดียว แต่ละคนไม่เพียงงดงามประหนึ่งบุปผาเท่านั้น ทั้งยังมีเบื้องหลังเป็นถึงวงศ์ตระกูลอันกล้าแข็งอีกด้วย
เนี่ยนเอ๋อร์ย่อมเข้าใจถึงความกังวลของอวี้กุ้ยเฟย นางเก็บพัดแล้วปลอบโยนเสียงอ่อน “พระชายากังวลมากไปแล้วเพคะ บุตรีสกุลหลิวหน้าตาธรรมดา ย่อมไม่มีทางได้ขึ้นเป็นอัครมเหสี ส่วนบุตรีคนรองแห่งสกุลไป๋ใบหน้าเยือกเย็น ไม่รู้จักพูดอย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับโถที่ปิดสนิท บุตรีคนที่สามสกุลไป๋แม้รู้จักพูดจาทว่ากลับหยิ่งยโสราวนกยูง ซ้ำยังไม่เฉียบแหลมเลยสักนิด สนมชายาเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับเซี่ยเฟย แล้วจะมีวันก้าวหน้าได้อย่างไรเพคะ”
เซี่ยเฟยอยู่ในตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นเอกแห่งตำหนักใน มีนิสัยรักสงบ ตลอดมาแทบจะไม่เคยก้าวออกจากห้อง นานวันเข้าทุกคนจึงเกือบลืมไปแล้วว่ายังมีนางพำนักอยู่ในวัง
อวี้กุ้ยเฟยไม่ตอบอีก ก่อนจะถอนใจติดๆ กัน แล้วก้มหน้าเล็กน้อยจ้องมองเตากำยานที่วางไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมของไม้จันทน์กำจายออกมาเป็นระยะ นั่นเป็นกลิ่นหอมที่คนมากมายในวังหลวงล้วนนิยมชมชอบ กลิ่นหอมอันอบอวลผสานกับเสียงถอนใจเบาๆ ที่ดังขึ้นไม่ขาดของอวี้กุ้ยเฟยพลันลอยฟุ้งอยู่ภายในตำหนักใหญ่โตสีทองอันงดงามอร่ามตา แผ่ซ่านไปยังทุกซอกทุกมุม
ยามนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แสงอาทิตย์อัสดงสายสุดท้ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ตำหนักที่หรูหราอยู่ก่อนพลันถูกเคลือบด้วยสีทองอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งดูสูงค่าประหนึ่งตำหนักของเทพเซียน
ใบหน้าเล็กขาวซีดของอวี้กุ้ยเฟยถูกย้อมทับด้วยแสงสีทองอันอ่อนโยนทำให้ยิ่งดูงดงามหยาดเยิ้ม ทว่าน่าเสียดายที่ใบหน้านี้กลับหมองเศร้าจนเกินไป ทั้งคิ้วและตาแลดูไร้ชีวิตชีวาไปบ้าง
นางกำนัลน้อยเห็นอวี้กุ้ยเฟยเป็นทุกข์อยู่ลำพัง เข้าใจทันทีว่ายามนี้อีกฝ่ายย่อมไม่ชอบให้ผู้อื่นรบกวน นางจึงได้แต่ถวายบังคมลาแล้วถอยออกไปอย่างจนปัญญา