ไป๋เสวี่ยฝูก็มิได้บ่ายเบี่ยง นางเพียงเคลื่อนตัวไปท่ามกลางดอกไห่ถัง ในใจอดคิดไม่ได้ว่าตนเองจะรบกวนเหล่าผึ้งที่มาดอมดมเกสรดอกไม้อย่างเบิกบานเหล่านั้นเข้าแล้วหรือไม่ หญิงสาวยกชายกระโปรงพลางเดินช้าๆ ไปนั่งอยู่หลังพิณโบราณอย่างระมัดระวัง นิ้วงามทาบลงไปบนสายพิณ สัมผัสได้ทันทีว่าพิณนี้หาได้เป็นพิณชั้นดี แต่เป็นพิณราคาถูกที่หาซื้อได้ตามตลาดเท่านั้น
พิณคุณภาพดีหรือไม่นั้น ผลที่ได้จากการบรรเลงย่อมแตกต่างกันไม่น้อย ทว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็ยังขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ดีดพิณ ขนาดเป็นพิณธรรมดาแต่เฉิงหมัวมัวกลับยังดีดได้อย่างสมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ นี่ย่อมมิใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
หลังไป๋เสวี่ยฝูคุ้นชินกับสายพิณแล้ว ปลายนิ้วที่ทาบกับสายก็ดีดขึ้นอย่างแผ่วเบา ท่วงทำนองไพเราะพลันพรั่งพรูออกมาจากสายพิณ
ไป๋เสวี่ยฝูเลือกบทเพลงพื้นเมืองของเถิงโจว เป็นเพลงที่นางชอบบรรเลงมากที่สุด นางยังจำวันแรกที่ไปถึงอารามเมี่ยวเฟิงและตอนที่ผ่านค่ายกลดอกสาลี่ได้ บทเพลงนี้ดังลอยออกมาจากส่วนลึกของหมู่มวลดอกสาลี่ ไป๋เสวี่ยฝูถูกดึงดูดในทันทีจนอดยับยั้งฝีเท้าไม่ได้ ก่อนจะทอดสายตาผ่านทะเลบุปผาชั้นแล้วชั้นเล่าตกลงไปบนร่างงามสีม่วงดุจเทพเซียน หญิงสาวผู้นั้นดวงตาเปี่ยมไปด้วยความคะนึง เรือนกายอรชรเมื่อคู่กับดอกสาลี่นับไม่ถ้วนแลประหนึ่งบทกวีราวกับภาพวาด
นางคือศิษย์พี่ของไป๋เสวี่ยฝู หนึ่งเดือนให้หลังก็สังเวยรักสิ้นใจอยู่บนพิณนั้นเอง
ไป๋เสวี่ยฝูถึงขั้นสงสัยว่าตอนที่ศิษย์น้องทุกข์ทรมานที่สุด ไยจึงยังดีดบทเพลงเปี่ยมสุขได้ไพเราะถึงเพียงนั้น แต่ก็เพราะอย่างนั้นนางถึงจดจำบทเพลงนี้ได้ และทุกครั้งที่บรรเลงถึงท่อนที่เบิกบานก็จะเสมือนมองเห็นศิษย์น้องที่กำลังโศกเศร้าแต่ดวงตายังคงประดับรอยยิ้มอยู่ใต้ต้นดอกสาลี่
หวนกลับจากเรื่องราวในอดีต ยามเมื่อเสียงสุดท้ายของบทเพลงหลุดออกจากปลายนิ้วแล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ได้ยินเสียงชมเชยจากจิ้งไท่เฟยกับเฉิงหมัวมัว นางได้เห็นรอยยิ้มสมใจปรารถนาเจิดจ้าบนใบหน้าของจิ้งไท่เฟย
“จิ้งไท่เฟยเพคะ หม่อมฉันพูดไว้ไม่ผิดเลย บทเพลงที่แตกต่างย่อมให้อารมณ์ที่แตกต่างแก่ผู้คน ต่อไปอย่าให้หม่อมฉันดีดแต่ลำนำเศร้าโศกพวกนั้นอีกเลยเพคะ” เฉิงหมัวมัวกล่าวยิ้มแย้มพลางยื่นมือมาดึงไป๋เสวี่ยฝูออกจากทะเลดอกไห่ถัง “บทเพลงของเสวี่ยเฟยไพเราะประหนึ่งมีชีวิต หม่อมฉันชอบฟังเพคะ!”
ไป๋เสวี่ยฝูถูกชมจนขวยเขิน ขณะกำลังคิดว่าจะเอ่ยอะไรดี ฉับพลันก็ปรากฏเงาร่างงามท่าทางเดือดดาลบุกมาที่ประตู เป็นไป๋อวี้ฉีที่พร่ำบ่นว่ารำคาญนั่นเอง คนทั้งสามในลานต่างอึ้งไปกันถ้วนทั่ว ยังไม่ทันมีท่าทีตอบสนอง ไป๋อวี้ฉีก็ตะโกนขึ้น “เหตุใดเสียงพิณจึงดังไม่จบไม่สิ้น จะให้คนอยู่อย่างสงบมิได้หรือ ผู้ใดเป็นนายหญิงของที่นี่ จงเสนอตัวออกมาบัดเดี๋ยวนี้!”
เฉิงหมัวมัวพลันตะลึง ทว่ายังคงย่อกายอย่างมีมารยาท แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ถวายพระพรฉีเฟย ขอพระชายาทรงเจริญสุขเพคะ”
“ข้าไม่สุข! ข้าสั่งให้ไปให้พ้น!” ไป๋อวี้ฉีไม่แม้แต่มองเฉิงหมัวมัวสักแวบ ใบหน้าเล็กแดงก่ำด้วยโทสะ บนร่างสวมอาภรณ์หรูหรา บนศีรษะสวมเกี้ยวหยก มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นหญิงที่มีฐานะ ทว่ากิริยากลับกระโชกโฮกฮากจนทำให้ผู้คนต้องอับอายเหงื่อตก เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายก่อเรื่องขึ้นอีกไป๋เสวี่ยฝูจึงสืบเท้าขึ้นไปเบื้องหน้าอย่างเร็ว นางเอ่ยเตือนว่า “อวี้ฉี ต่อหน้าจิ้งไท่เฟยห้ามไร้มารยาท!”
“ไท่เฟย?” ไป๋อวี้ฉีอึ้งไปเล็กน้อย ถึงได้ปราดมองไปยังจิ้งไท่เฟยที่ทรงนอนอยู่บนตั่งอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยวาจาจองหองอย่างไม่ละอาย “ไท่เฟยแล้วจะทำไม แต่ไรมามีเพียงอัครมเหสีที่เป็นผู้ปกครองตำหนักในเท่านั้น ไท่เฟยที่ถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็นเช่นนี้กลับไม่สำนึกผิดอยู่อย่างสงบ วันๆ เอาแต่ดีดพิณเช้าจรดค่ำ หรือยังคิดจะรอวันหวนคืนสู่อำนาจอีกหรือไร!”
“อวี้ฉี!” ไป๋เสวี่ยฝูหน้าถอดสี กระชากชายเสื้อไป๋อวี้ฉีอย่างเป็นห่วงแต่กลับถูกนางสะบัดออก
* ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์ เป็นสำนวนหมายถึงการผ่อนปรนเป็นพิเศษโดยเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่
* ไห่ถัง หรือ Chinese Flowering Crabapple เป็นไม้ผลัดใบ ใบเรียวรี ออกดอกสีแดงหรือขาวในฤดูใบไม้ผลิ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
* ไท่เฟย เป็นคำใช้เรียกมเหสีหรือชายาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน