ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่หก
ฉุนกุ้ยเหรินเป็นผู้ให้กำเนิดเยวี่ยเยี่ย นางเติบโตในแคว้นเป่ยและได้รับขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแคว้น เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ตอนที่ฉุนกุ้ยเหรินอายุสิบห้าเจ้าแคว้นเป่ยจึงถวายนางเป็นบรรณาการแด่จักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ย แต่แม้ฉุนกุ้ยเหรินจะมีรูปโฉมงดงามดังบุปผาเพียงใด เมื่อมาอยู่ท่ามกลางตำหนักในที่มีหญิงงามมากมายดุจหมู่เมฆย่อมยากที่จะโดดเด่น ซ้ำในเวลานั้นแคว้นเป่ยเพิ่งจะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นอวิ๋นเยวี่ย ระหว่างสองแคว้นต่างถือทิฐิของฝ่ายตน หากสัมผัสกันเพียงนิดก็อาจก่อเรื่องจนใหญ่โตได้ เพราะฉะนั้นสตรีที่แคว้นเป่ยส่งมาจึงไม่มีทางได้รับความโปรดปรานสักเท่าใด
และไม่เพียงจะไม่ได้รับความโปรดปราน ซ้ำยังถูกกีดกันจากสนมชายาทั้งหลายอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งถึงกับถูกใส่ร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ในท้องของฉุนกุ้ยเหรินมีเยวี่ยเยี่ย กอปรกับจิ้งกุ้ยเฟย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นหนึ่งช่วยออกหน้าให้จึงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้ แต่สุดท้ายก็ยังมิอาจหลีกหนีชะตาที่ต้องถูกส่งไปอยู่ยังตำหนักเย็นได้
เยวี่ยเยี่ยอาศัยอยู่ในตำหนักเย็นกับฉุนกุ้ยเหรินตั้งแต่เกิด แต่ละวันก็จะใช้ชีวิตอยู่ในเรือนอันหนาวเหน็บอ้างว้าง
บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตในตำหนักเย็นทุกข์ทรมานเกินไป ปีที่เขาอายุเจ็ดขวบ ฉุนกุ้ยเหรินก็ป่วยหนักจนลงจากเตียงไม่ได้ วันคืนผ่านไปนานเข้าอาการป่วยยิ่งรุนแรง ฉุนกุ้ยเหรินเห็นลูกชายที่เพิ่งอายุครบเจ็ดปีต้องมามีชีวิตทุกข์ระทมเช่นตนเอง ด้วยหมดสิ้นหนทางแล้วจึงตัดสินใจสละชีวิต จูงมือเยวี่ยเยี่ยหนีออกจากตำหนักเย็นมุ่งตรงไปยังตำหนักที่พำนักของจิ้งกุ้ยเฟย
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น ดอกไม้ผลิบาน วันนั้นจิ้งกุ้ยเฟยกำลังนั่งชมดอกไม้ จิบน้ำชาอยู่ในลาน หลังเห็นสองแม่ลูกก็ยังจับมือเยวี่ยเยี่ยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามมารยาท ทั้งยังพาเขามานั่งกินของว่างที่ข้างโต๊ะหิน
ตลอดมาจิ้งกุ้ยเฟยทรงให้กำเนิดธิดาเพียงสองพระองค์แล้วก็ไม่ทรงครรภ์อีก พระองค์จึงอิจฉาผู้ที่ให้กำเนิดโอรสได้เป็นพิเศษ
ฉุนกุ้ยเหรินเมื่อได้พบจิ้งกุ้ยเฟยก็คุกเข่าลงกับพื้นดังโครม วิงวอนทั้งน้ำตาว่า ‘จิ้งกุ้ยเฟยพระทัยเมตตาดังพระโพธิสัตว์ ขอทางรอดแก่อี้เอ๋อร์สักเส้นทางเถิด ฉุนฉินขอใช้ความตายตอบแทนพระคุณ จิ้งกุ้ยเฟย…’ ฉุนกุ้ยเหรินหมอบราบกับพื้น ร่างกายที่มีโรคภัยรุมเร้าสั่นสะท้านน้อยๆ
จิ้งกุ้ยเฟยตกพระทัยในการกระทำเหนือความคาดหมายของฉุนกุ้ยเหริน ด้วยความร้อนรนไม่ทันไตร่ตรองก็รับคำติดๆ กัน จิ้งกุ้ยเฟยย่อกายลงประคองแขนนางไว้พลางตรัสว่า ‘น้องหญิงลุกขึ้นเถิด พี่รับปากแล้วยังไม่พออีกหรือ รีบลุกขึ้นเร็วเข้า’
ฉุนกุ้ยเหรินปีติจนน้ำตาร่วงริน หลังขอบพระทัยก็เหลือบมองไปทางเยวี่ยเยี่ยอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ในชั่วจังหวะที่ทุกคนไม่ทันระวังก็พุ่งตัวไปชนมุมโต๊ะหิน ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของจิ้งกุ้ยเฟย ร่างของฉุนกุ้ยเหรินที่ประหนึ่งใบไม้ร่วงในสารทฤดูก็ค่อยๆ ล้มลง โลหิตหลั่งรินลงมาไม่ขาดสายจากหน้าผากของนาง ไหลนองไปทั่วพื้น
โลหิตไหลไปที่ข้างเท้าของเยวี่ยเยี่ยซึ่งเพิ่งจะอายุครบเจ็ดปี ย้อมรองเท้าสีขาวของเขาจนกลายเป็นสีแดง ทว่าเขากลับมิได้ร้องไห้ เพียงยืนจ้องโลหิตสีแดงฉานที่หลั่งรินลงมาไม่ขาดสายอย่างเหม่อลอย โลหิตที่พรากชีวิตท่านแม่ผู้มีชะตาอาภัพของเขาไปทีละหยดๆ ขนมเปี๊ยะเหอเถา* ที่จิ้งกุ้ยเฟยยัดใส่มือเขาถูกบีบจนละเอียดกลายเป็นผงเล็ดลอดออกมาจากหว่างนิ้ว
‘อี้เอ๋อร์ เจ้าจะต้องมีชีวิตที่ดี จะต้องเคารพเชื่อฟังจิ้งกุ้ยเฟยให้ดี…’ นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เขา ชั่วพริบตานั้นเขามองเห็นความรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจในดวงตาที่ค่อยๆ เหลือกเป็นสีขาวของท่านแม่ เขารู้ดีว่าท่านแม่กลัวความตายมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพื่อเขาแล้วท่านถึงกับยินยอมผลักตัวเองเข้าสู่เส้นขอบของความตาย
หลังจากฉุนกุ้ยเหรินเสียชีวิตลง จิ้งกุ้ยเฟยก็รับอุปการะเยวี่ยเยี่ย ช่วงเวลานั้นเยวี่ยเยี่ยจึงเปลี่ยนจากชีวิตในตำหนักเย็นมามีวันเวลาที่มั่งคั่งสุขสบาย จิ้งกุ้ยเฟยหาอาจารย์ที่ดีที่สุดทั้งบุ๋นและบู๊มาฝึกฝนไม่ให้เขาด้อยไปกว่าองค์ชายองค์อื่นแม้แต่เศษเสี้ยว เยวี่ยเยี่ยเองก็เปลี่ยนจากเด็กขี้ขลาดที่ถูกคนอื่นรังแกมาแต่เล็กกลายเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ในที่สุด
ด้านหนึ่งเพราะมีความสามารถที่โดดเด่น อีกด้านเพราะมีความเกี่ยวพันกับจิ้งกุ้ยเฟย ครั้นเยวี่ยเยี่ยอายุสิบสามจึงถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นอี้อ๋อง ได้รับแบ่งสันจวนอ๋องหนึ่งแห่งและที่นานับไม่ถ้วน กระทั่งอาจไปทำให้ผู้อื่นอิจฉาเข้า ในปีเดียวกันนั้นจิ้งกุ้ยเฟยยังถูกใส่ร้ายจากอัครมเหสี ในขณะนั้นจิ้งกุ้ยเฟยก็ถูกส่งไปอยู่ที่ตำหนักเย็นอย่างไร้ปรานี ทั้งฝ่าบาทยังมีราชโองการด้วยพระองค์เองห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้รวมไปถึงอี้อ๋องและองค์หญิงทั้งสองด้วย
ขณะกำลังกระวนกระวายอี้อ๋องก็ได้รับจดหมายที่เฉิงหมัวมัวแอบส่งออกมา จิ้งกุ้ยเฟยกล่าวในจดหมายว่านางเหนื่อยแล้ว อยากจะมีชีวิตที่สงบเงียบ ให้เขามีชีวิตที่ดี อย่าบาดหมางกับฝ่าบาทด้วยเรื่องของนาง
ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดกับท่านแม่บุญธรรมล้วนพูดประโยคเดียวกันกับเขา มีชีวิตที่ดี…อี้อ๋องยิ้มอย่างขมขื่น ได้แต่เชื่อฟัง
สี่ปีให้หลังในปีที่อี้อ๋องอายุสิบเจ็ด ฝ่าบาททรงพระประชวรจนเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน ราชสำนักอลหม่านวุ่นวาย คืนนั้นองค์รัชทายาทถูกจับตัว องค์ชายทั้งหลายตั้งตนเป็นฝักฝ่าย จ้องตะครุบตำแหน่งจักรพรรดิตาเป็นมัน อี้อ๋องแม้มีความสามารถโดดเด่นแต่เพราะมีโลหิตของแคว้นเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่งจึงไม่อาจร่วมชิงบัลลังก์ได้ และเพื่อให้มั่นใจว่าจะบรรลุเป้าหมายในบัลลังก์นี้ องค์ชายแปดจึงส่งคนไปตามสังหารเขา ไล่ล่าเขาตลอดทางไปจนถึงเถิงโจวกระทั่งเขาแทบเอาชีวิตไม่รอด
ตั้งแต่ท่านแม่ผู้ให้กำเนิดจากไป อี้อ๋องก็มีภาระหน้าที่เพียงแค่สองอย่าง คือมีชีวิตที่ดีกับเคารพเชื่อฟังจิ้งกุ้ยเฟยให้ดี แต่ท้ายที่สุดเขากลับเป็นดั่งราชสีห์ที่ถูกยั่วยุให้เดือดดาล เขาลุกขึ้นตอบโต้ด้วยการถือมีดโลหะเปล่งประกายวาววับเข่นฆ่าผู้คนมาตลอดทางที่กลับเมืองหนิงเฉิงเข้าสู่วังหลวง แม้องค์ชายแปดจะยกมือขอยอมแพ้แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เลือดสดย้อมทับอิฐปูพื้นสีทองจนภายในวังหลวงกลายเป็นสีแดง
ส่วนองค์ชายอีกสามองค์ที่เป็นฝ่ายเดียวกับองค์ชายแปดล้วนมิอาจหลบพ้นมีดโลหะกระหายเลือดของอี้อ๋องได้ เขาขึ้นครองราชย์พร้อมทั้งกำราบองค์ชายที่เหลือให้ศิโรราบแทบเท้าตนเองได้สำเร็จ ทว่าตอนที่เขามุ่งไปยังตำหนักเย็นอย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า ตั้งใจจะรับจิ้งกุ้ยเฟยออกจากตำหนักเย็นนั้นเอง สิ่งที่ได้รับกลับเป็นฝ่ามือเหี้ยมโหดฉาดหนึ่งจากจิ้งกุ้ยเฟย และคำพูดอย่างเดือดดาลว่า ‘ไปให้พ้น!’