ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่หก
จวบจนบัดนี้ผ่านไปแล้วสามปี แม้จิ้งกุ้ยเฟยได้กลายเป็นจิ้งไท่เฟยแล้ว แต่น่าเสียดายที่นางยังไม่ยอมยกโทษให้เขา ต่อให้เยวี่ยเยี่ยจะชนะสงครามอย่างงดงามยิ่งอีกคราวหนึ่ง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่มีผู้ใดปรบมือให้เขา ท่านแม่ไม่อาจมองเห็น จิ้งกุ้ยเฟยไม่เห็นดีเห็นงาม ราษฎรก็ไม่ยอมรับ ทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่เล่าลือว่าเขาโหดเหี้ยมกระหายเลือด เพื่ออำนาจแล้วเขาถึงกับสังหารได้กระทั่งพี่น้องในไส้ ไม่มีใครสักคนที่เข้าใจ ไม่มีสายตาของใครเลยที่ก้าวผ่านหยาดโลหิตแล้วมองเห็นความจำยอมของเขา แม้แต่จิ้งไท่เฟยก็ยังไม่อาจเห็นได้
จู่ๆ เขาก็มองไม่เห็นว่าความหมายที่แท้จริงของชัยชนะนี้อยู่ที่ใด เพียงเพื่อจะได้เป็นองค์จักรพรรดิผู้อยู่ในตำแหน่งสูงที่สุดเท่านั้นหรือ
เดิมทีเขาสามารถสังหารอัครมเหสีผู้เคยใส่ร้ายจิ้งกุ้ยเฟยหรือส่งให้ไปอยู่ที่ตำหนักเย็นได้ แล้วก็ให้จิ้งกุ้ยเฟยขึ้นครองตำแหน่งพระพันปีอย่างชอบธรรม แต่หลังได้ยินคำว่า ‘ไปให้พ้น!’ จากจิ้งไท่เฟย ความคิดนี้ก็ตกไป มาวันนี้จิ้งไท่เฟยดื้อรั้นจนเขาหนักใจ ขอยอมอยู่ในเรือนอันห่างไกลอ้างว้าง แต่ไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตหรูหราท่ามกลางอาภรณ์และอาหารชั้นดีอีก
ชีวิตเจ็ดปีในตำหนักเย็น จิ้งไท่เฟยปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว นางไม่เคยคิดจะใช้ชีวิตเหนือคนนับหมื่นไปพร้อมกับจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยแม้แต่น้อย ความโหดเหี้ยมของเยวี่ยเยี่ยทำให้หัวใจของนางหนาวเหน็บ หากรู้แต่แรกว่าเขาจะเปลี่ยนไปเช่นนี้ ในคราแรกนางคงไม่หาคนมาสอนเขาขี่ม้า ยิงธนู และฝึกวรยุทธ์แน่นอน
เยวี่ยเยี่ยเห็นว่าจิ้งไท่เฟยโกรธเกรี้ยวจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “เสด็จแม่ วันนี้ลูกเตรียมชาหลงชิงชั้นดีมาให้ เก็บจากเขาเทียนซานที่ชายแดน เป็นเครื่องบรรณาการชั้นยอดที่เพิ่งได้มาพ่ะย่ะค่ะ” เขายังคงยิ้มน้อยๆ อย่างอดทน ตอนตรัสก็ยกมือกวักไปทางประตู นางกำนัลคนหนึ่งถือชาหลงชิงเดินเข้ามา คุกเข่าตรงหน้าจิ้งไท่เฟย แล้วชูถาดขึ้นเหนือศีรษะให้จิ้งไท่เฟยได้มองเห็น
จิ้งไท่เฟยปราดมองชาหลงชิงอย่างเย็นชา ก่อนจะยกมือสะบัดแรงคราหนึ่ง ใบชาชั้นดีพลันตกกระจายไปทั่วพื้น ไป๋เสวี่ยฝูอดตะลึงไม่ได้ นางลอบมองไปทางเยวี่ยเยี่ย เห็นสีหน้าเขาเพียงสลดใจครู่เดียวก็กลับคืนเป็นปกติโดยไว ความอดทนที่เขามีต่อจิ้งไท่เฟยนั้นทำให้นางรู้สึกหลากหลายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีความอดทนได้มากถึงเพียงนี้
“ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปเถิด” จิ้งไท่เฟยปัดมืออย่างเย็นชา เสด็จไปด้านในโดยมีเฉิงหมัวมัวช่วยประคอง แต่แล้วก่อนจะเข้าไป จู่ๆ ก็หมุนพระวรกายกลับมา ตรัสกับไป๋เสวี่ยฝูที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น “เสวี่ยเฟยลุกขึ้นเถิด หากมีเวลาก็มาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่ที่ถูกทอดทิ้งคนนี้ให้มาก” กล่าวจบก็หรี่ตามองเยวี่ยเยี่ยอย่างมีนัยวูบหนึ่ง
“เสวี่ยฝูขอบพระทัยจิ้งไท่เฟยเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูโขกศีรษะให้ประตูบานพับที่ปิดลงไปแล้ว นางมิได้ลุกขึ้นเพราะเยวี่ยเยี่ยยังอยู่ เงาร่างสีแดงเข้มนั้นหยุดอยู่ข้างทะเลบุปผาเนิ่นนาน กลมกลืนเป็นสีเดียวกันกับดอกไห่ถังสีแดงเข้มแถบนั้น ข้างพระบาทมีใบชาชั้นดีตกกระจายทั่วพื้นกำลังส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา
เพราะเยวี่ยเยี่ยหันหลังให้ ไป๋เสวี่ยฝูจึงมองเห็นสีหน้าของเขาในยามนี้ได้ไม่ชัด แต่นางสามารถจินตนาการได้เลยว่าสีหน้าของอีกฝ่ายจะต้องจนใจและหดหู่ ในสถานการณ์ที่กระตือรือร้นถึงเพียงนี้กลับถูกจิ้งไท่เฟยสาดน้ำเย็นใส่อย่างแรงเสียได้ นี่ต้องมิใช่ความรู้สึกที่ดีแน่นอน ขณะจับจ้องเงาร่างเขาทันใดไป๋เสวี่ยฝูก็รู้สึกเห็นใจ สมดังประโยคที่กล่าวว่า ‘คนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่าชิงชัง คนที่น่าชิงชังย่อมมีจุดที่น่าสงสาร’ จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้สูงส่งกลับไม่มีหนทางจัดการจิ้งไท่เฟยที่กำลังพิโรธได้เลยแม้สักนิด
เนิ่นนานเยวี่ยเยี่ยถึงได้หมุนตัวกลับมา เขาเดินเนิบช้าไปทางประตูใหญ่ ในชั่วพริบตาที่เดินผ่านข้างกายไป๋เสวี่ยฝูก็ชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ก่อนโน้มตัวลงสั่งนาง “ดูแลจิ้งไท่เฟยให้ดี หากมีอะไรผิดพลาดล้วนเป็นโทษของเจ้าคนเดียว”
ไม่รอให้ไป๋เสวี่ยฝูรับคำเยวี่ยเยี่ยก็เดินผ่านนางต่อไปข้างหน้า เขาจำได้ว่าเมื่อครู่ตอนเข้ามานางกำลังดีดพิณ บนใบหน้าของจิ้งไท่เฟยเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เยวี่ยเยี่ยที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของจิ้งไท่เฟยมาแสนนานแล้วจึงหวังจะรักษาความสุขนี้ไว้ ในเมื่อสตรีผู้นี้มีความสามารถในการทำให้จิ้งไท่เฟยยิ้มได้ เขาก็จะไม่เอาความเรื่องที่นางบุกรุกสวนสาลี่ชั่วคราว
เงาร่างของเยวี่ยเยี่ยกลืนหายไปกับแถวของต้นดอกสาลี่สีขาวหิมะนั้นช้าๆ เรือนร่างแข็งแกร่งสูงใหญ่ อาภรณ์สีแดงโลหิตพลิ้วไหว ไป๋เสวี่ยฝูประหนึ่งมองเห็นเด็กหนุ่มรูปงามที่อยู่ในวัยเลือดร้อนไม่กลัวตายผลุบโผล่อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผาเมื่อครานั้นอีกครั้งหนึ่ง
บุรุษเย็นชาอำมหิตผู้อยู่เหนือผู้คนทั้งแผ่นดิน ณ เวลานี้กลับมองเห็นแววเศร้าโศกโดดเดี่ยวจากเงาร่างสูงสง่านั้นได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางทิวทัศน์สีขาวโพลนเขาเดินจากไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมองไม่เห็นแถบสีแดงรำไรนั้นอีก
ไป๋เสวี่ยฝูพลันหลุดจากภวังค์ นางลุกขึ้นใช้มือปัดฝุ่นบนอาภรณ์สีขาว
นึกถึงไป๋อวี้ฉีที่ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนแล้ว ไป๋เสวี่ยฝูก็ไม่อยากกลับตำหนักเป็นอย่างยิ่ง นางยกมือที่แข็งจากความหนาวจนแดงก่ำสองข้างขึ้นป้องปากแล้วพ่นลมหายใจคราหนึ่ง วันที่หนาวเย็นเช่นนี้ไม่ควรเดินไปไหนมาไหนข้างนอกอย่างแท้จริง ถึงภายในห้องจะเย็นเยียบเช่นกันก็ตาม