ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่เจ็ด
ตอนที่เจ็ด
วันต่อมาไป๋เสวี่ยฝูถูกเซียงเอ๋อร์ปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นางผุดลุกขึ้นนั่งตรงบนเตียง เซียงเอ๋อร์ผลัดเปลี่ยนชุดให้นางพลางเอ่ยว่า “เสวี่ยเฟยเพคะ วันนี้ฝ่าบาททรงเลี้ยงรับรององค์ชายสี่และองค์รัชทายาทแคว้นเป่ย ตำแหน่งฝ่ายในขั้นสองชั้นโทขึ้นไปทุกคนล้วนจำเป็นต้องเข้าร่วมงานครั้งนี้เพคะ”
“จำเป็นต้องไปด้วยหรือ” ความสนใจในเรื่องประเภทนี้ของไป๋เสวี่ยฝูมีเพียงน้อยนิด องค์รัชทายาทแคว้นเป่ยแต่เดิมก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง ทั้งฝ่าบาทก็ยังไม่มีสีหน้าที่ดีให้นางเห็น หากไปเกรงว่าจะมิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
“เหตุใดจึงไม่ไปเล่าเพคะ” เซียงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ มองประเมินไป๋เสวี่ยฝูแล้วกล่าวว่า “สนมชายาคนอื่นต่างก็ปรารถนาที่จะได้ไปทั้งสิ้น นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าใกล้ฝ่าบาท เสวี่ยเฟยย่อมมิอาจพลาดโอกาสนี้ไปได้นะเพคะ” ระหว่างกล่าวก็จูงไป๋เสวี่ยฝูมานั่งตรงหน้าคันฉ่องสำริด แล้วทอดตามองอากาศด้านนอก “ดูแล้วฝ่าบาทคงใกล้จะออกว่าราชการแล้ว ถึงตอนนั้นฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ตำหนักชิ่งอัน รวมถึงบรรดาขุนนางชั้นสูงด้วย บางทีพระชายาอาจได้พบกับท่านอัครเสนาบดีไป๋ก็ได้นะเพคะ”
“อ้อ” ไป๋เสวี่ยฝูขานรับอย่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวคำหนึ่ง มีโอกาสได้พบบิดาใจเหี้ยมมืออำมหิตผู้นั้นน่ะหรือ…ผู้ใดบอกว่านางอยากพบกัน ชั่วชีวิตนี้นางไม่อยากจะพบเขาอีกเลยด้วยซ้ำ! คู่บิดาบุตรสาวที่น่าเวทนาที่สุดในใต้หล้านี้ก็คืออัครเสนาบดีไป๋กับนางแน่แล้ว!
ส่วนเยวี่ยเยี่ยเข้าใกล้เขาแล้วเป็นอย่างไรเล่า ช่วงเวลาที่ข้างกายเขามีบุปผางามหยาดเยิ้มมากมายรายล้อม ไป๋เสวี่ยฝูยังจะเพ้อฝันให้เขาเหลือบมองมาที่ตนเองได้อีกหรือ เยวี่ยเยี่ยจะชอบสตรีคนหนึ่งอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่นั้น นางไม่กล้าที่จะเชื่อเลยจริงๆ
ในเมื่อเยวี่ยเยี่ยรู้ชัดว่านางคือหมากที่สกุลไป๋ส่งมา แค่เขาจะเคียดแค้นยังแทบไม่ทันเลยกระมัง แล้วเขาจะรักบุตรสาวของศัตรูได้อย่างไร ดังนั้นหลังผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาไป๋เสวี่ยฝูจึงไม่เคยคิดถึงชีวิตวันข้างหน้า ยิ่งไม่กล้าวาดหวังจะได้กุมหัวใจของเขาอีก นางไม่ควรใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อสามปีก่อน แบบนี้มีแต่จะเป็นปัญหาต่อการดำเนินแผนการและทำให้การตัดสินใจของนางหวั่นไหวเท่านั้น
ไป๋เสวี่ยฝูกุมปิ่นหยกไว้ในฝ่ามือ จ้องมองคันฉ่องสำริดอย่างเหม่อลอย ทั้งๆ ที่ดวงหน้าในคันฉ่องเยาว์วัยยิ่งนัก ทว่ากลับเปี่ยมความกังวลเหมือนกับท่านแม่ก็ไม่ปาน!
ขณะกำลังจดจ่ออย่างมีสมาธิ ฉับพลันก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูระลอกหนึ่ง ไป๋เสวี่ยฝูวางปิ่นในมือลง เหลือบมองผู้มาเยือนจากคันฉ่อง เป็นไป๋อวี้ฉีตามที่นางคาดไว้ นางกำนัลที่ถืออาภรณ์เดินตามอยู่ด้านหลังไป๋อวี้ฉีย่อกายคารวะอย่างมีมารยาทก่อนจะถอยไปยืนที่ข้างประตู
ไป๋อวี้ฉีหยิบชุดกระโปรงจากมือนางกำนัลเดินมาที่ข้างกายไป๋เสวี่ยฝู ใช้น้ำเสียงเกือบจะออดอ้อนเอ่ยว่า “พี่รอง ข้าขอเปลี่ยนชุดชาววังกับท่านได้หรือไม่ พี่ก็รู้ว่าอวี้ฉีเกลียดสีฟ้าอ่อนที่สุด นางข้าหลวงผู้ดูแลก็มอบเครื่องประดับผมนี้ให้อวี้ฉีแค่ชุดเดียว” กล่าวจบก็มองไป๋เสวี่ยฝูพร้อมกะพริบตาปริบๆ ด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
ไป๋เสวี่ยฝูชำเลืองดูอาภรณ์สีชมพูม่วงในมืออวิ้นเอ๋อร์ที่อีกฝ่ายตระเตรียมไว้ให้ตนเอง นี่กลับเป็นสีที่ไป๋อวี้ฉีชอบ ดูท่าไป๋อวี้ฉีคงสืบรู้สีของอาภรณ์ตนเองแล้วตั้งแต่ต้น ทว่าก็แค่อาภรณ์ชุดเดียว ไป๋เสวี่ยฝูย่อมมิได้สนใจ นางจึงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากน้องสามชอบก็นำไปใส่เถิด อย่างไรเสียข้าก็ไม่ชอบสีม่วงเช่นกัน”
ไป๋เสวี่ยฝูชอบสีขาว แต่น่าเสียดายนักที่สตรีในวังหลวงแทบไม่สวมอาภรณ์สีขาวกันเลย เป็นเพราะสีขาวไม่อาจแสดงฐานะอันสูงศักดิ์ออกมาได้ มีเพียงนางที่ชื่นชอบมาตลอด ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงบุรุษผู้หลงใหลในสีแดงโลหิต ทั้งที่มีสีสันอยู่มากมาย เหตุใดเขาจึงชอบแค่สีแดงโลหิตเท่านั้นเล่า
ไป๋อวี้ฉีขอบคุณอย่างร่าเริง ก่อนหอบอาภรณ์สีชมพูม่วงจากมืออวิ้นเอ๋อร์แล้วก็จากไป ท่าทางดีอกดีใจราวกับได้รับของล้ำค่า ไป๋เสวี่ยฝูมองเงาร่างของอีกฝ่ายจากในคันฉ่องสำริดที่ฉายผ่านเพียงวูบเดียวก็ลับไปแล้วจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไป๋อวี้ฉียังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ยังมีความสุขได้เพียงนี้เพราะอาภรณ์ชุดเดียว
เซียงเอ๋อร์ใช้นิ้วลูบเบาๆ ไปบนปิ่นชั้นดีนั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เข้าใจเป็นที่สุด “เสวี่ยเฟยเพคะ ทั้งที่ปกติฉีเฟยทรงชอบเครื่องประดับล้ำค่าที่สุด แต่ครั้งนี้กลับเจียดปิ่นมรกตชั้นดีของตัวเองมาแลกกับปิ่นหยกของพระชายา นับว่าประหลาดแท้เพคะ”
ไป๋เสวี่ยฝูเพียงยิ้มน้อยๆ กล่าวโดยไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น “อวี้ฉีต้องใจชุดกระโปรงของข้า ถึงได้ยอมหักใจทิ้งปิ่นชั้นดีของนางได้” แต่เดิมเครื่องประดับและชุดกระโปรงจะจัดเข้าชุดกันไว้ และเป็นการออกแบบตัดเย็บขึ้นภายในวังเป็นการเฉพาะ
ไป๋เสวี่ยฝูเปลี่ยนไปสวมชุดชาววังสีฟ้าอ่อนประดับมุกชุดนั้น เรือนผมสีดำขลับเกล้าเป็นมวยดูสูงศักดิ์ทั้งยังสุภาพสง่างามด้วยฝ่ามือปราดเปรียวของเซียงเอ๋อร์ ในชั่วพริบตาที่หันตัวมา เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์ก็อดหลงใหลในความงามตระการของนางไม่ได้ทันที ไป๋เสวี่ยฝูเห็นว่าสาวใช้ทั้งสองนิ่งอึ้งก็หวั่นกลัว มองสังเกตทั้งคู่พลางถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“งามยิ่งเพคะ…” เซียงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างอึ้งๆ สายตาไม่ละไปจากร่างของไป๋เสวี่ยฝูเลยสักชั่วขณะ ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอ่อนลายดอกพุดตานหลากสีเก็บช่วงเอวนั้นลอยพลิ้วยาวระพื้น ราวกับเป็นดอกไม้แรกแย้มสีสันเฉิดฉาย
ไข่มุกสีชมพูที่ห้อยลงมาถึงช่วงเอวแวววาวเป็นประกาย ชายกระโปรงลายผีเสื้อสยายปีกเคียงคู่ ขณะเผยรอยยิ้มบางๆ นัยน์ตาสีดำสนิทก็มันวาวดุจไข่มุก แววตาใสกระจ่างประหนึ่งธารน้ำใสไหลเอื่อยไม่เจือปนสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย ขนตายาวงอนเล็กน้อยเช่นพัดจีบ ผีเสื้อคู่สองตัวบริเวณปลายแขนเสื้ออันงามสง่าขับให้นิ้วทั้งสิบเรียวเนียนประหนึ่งหยกงาม ปากแดงที่ไม่ได้ทาชาดเปล่งสีชุ่มชื้น ต่างหูระย้าสีเหลืองอำพันมีน้ำหนักเบา เพียงแค่สายลมโชยมาแผ่วเบาก็สามารถทำให้มันไหวระริกได้
ไม่ว่าฝีมือหรือวัสดุล้วนเป็นสิ่งที่สิบเจ็ดปีมานี้ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยพบเห็น ยามที่นางยืนอยู่หน้าคันฉ่องสำริดจึงอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งของในวังหลวงช่างหรูหราฟุ่มเฟือยโดยแท้
“เสวี่ยเฟย พวกเราควรไปที่ตำหนักชิ่งอันได้แล้วนะเพคะ หากล่าช้าเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่พอพระทัยเพคะ” อวิ้นเอ๋อร์เอ่ยเตือน ใบหน้าฉายชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดวงตาประเดี๋ยวปราดมองอาภรณ์งามเฉิดฉายบนร่างของไป๋เสวี่ยฝู ประเดี๋ยวมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง ท่าทางประหนึ่งว่าจะทนอยู่ภายในห้องนี้ต่อไปไม่ไหวปานนั้น