ไป๋เสวี่ยฝูเดินตามสาวใช้ออกไปยังตำหนักชิ่งอัน บรรยากาศระหว่างทางมีทั้งศาลาหอห้อง สกุณาขับขาน ทั้งอวลด้วยกลิ่นบุปผา ทุกบริเวณล้วนเปี่ยมกลิ่นอายแห่งฤดูใบไม้ผลิ ทว่าไป๋เสวี่ยฝูกลับไม่มีอารมณ์เชยชม ขณะที่เดินผ่านสวนหนิงฮวา ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งปราดมาเบื้องหน้า ไป๋เสวี่ยฝูเกิดความกลัวขึ้นทันที หลังจากตะลึงไปอึดใจหนึ่งนางก็ก้มหน้าลงเอ่ยว่า “ท่านพ่อ” น้ำเสียงสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ ประหนึ่งบุรุษตรงหน้านี้หาใช่บิดาของนาง แต่เป็นเพียงคนนอกที่ให้ความรู้สึกแปลกหน้าเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้าคนอื่นๆ อีก
อัครเสนาบดีไป๋คุกเข่าลงสองข้างคารวะไป๋เสวี่ยฝู “ไป๋ฉางโซ่วถวายพระพรเสวี่ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเขาเป็นเช่นเดียวกับไป๋เสวี่ยฝูที่ราบเรียบสงบราวสายธาร ร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นดูชราและอ่อนแออยู่บ้าง ทว่าก็ยังคงแข็งแรงเหมือนกับวัว
ไป๋เสวี่ยฝูถอยหลังไปก้าวเล็กๆ ตามสัญชาตญาณ ก่อนจะอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เอ่ยเย้ยหยันตนเองว่า “ในเมื่อท่านพ่อคารวะอย่างไม่ยินยอมเช่นนี้ก็ลุกขึ้นเถิด แบบนี้กลับทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว” เสวี่ยเฟย…ชื่อตำแหน่งนี้ประหนึ่งแม่กุญแจที่คล้องนางไว้ทั้งชีวิต ทั้งยังปิดตายศักดิ์ศรีของนาง ทุกสิ่งทุกอย่างของนาง และทั้งหมดนี้บุรุษตรงหน้าล้วนเป็นผู้มอบให้นางทั้งสิ้น!
อัครเสนาบดีไป๋ไม่เพียงผลักไป๋เสวี่ยฝูลงเหวลึก เขายังทำลายแม้แต่ความฝันเล็กๆ ของนาง ท่านพ่อทำให้นางรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้สง่างามใต้ต้นดอกสาลี่ในตอนนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นบุรุษผู้มีฐานะสูงส่งที่สุดในแคว้นอวิ๋นเยวี่ย เขาทำให้นางมองเห็นความจริงของเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ความจริงที่นางไม่อยากรู้เลยสักนิด!
บางครั้งการชอบใครสักคนไม่จำเป็นต้องครอบครอง มันสามารถซุกซ่อนอยู่ในใจลึกๆ อย่างสวยงามถึงแม้จะต้องถูกเก็บซ่อนตลอดไปก็ตาม แต่ท่านพ่อกลับทำลายความรักที่ยังไม่สุกงอมในก้นบึ้งของใจนางจนแหลกละเอียดอย่างโหดร้าย
อัครเสนาบดีไป๋ไม่ได้ทำทีห่างเหินกับไป๋เสวี่ยฝู เขากลับลุกขึ้นจากพื้นช้าๆ แล้วพิศมองนางในชุดเต็มยศพลางหัวเราะเยาะเย้ยว่า “ดูท่าเจ้าคงมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ดีกระมัง มิน่าถึงได้เห็นคำพูดของข้าเป็นดังสายลมผ่านหู”
ไป๋เสวี่ยฝูหันหน้าไปโบกมือให้เซียงเอ๋อร์กับอวิ้นเอ๋อร์ นางกำนัลทั้งสองถอยออกไปอย่างรู้งาน ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูยังคงหันหลังให้อัครเสนาบดีไป๋แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “แค่อาภรณ์หรูหราเพียงชุดเดียวท่านพ่อก็คิดว่าลูกมีชีวิตที่สุขสมบูรณ์แล้วหรือเจ้าคะ ตำหนักในของฝ่าบาทมีหญิงสาวงดงามมากมาย ยามเชยชมบุปผางามไหนเลยจะมามองดอกไม้สีสันธรรมดาเช่นลูกได้”
“ความหมายของเจ้าก็คือฝ่าบาทยังไม่เลือกป้ายชื่อของเจ้าอย่างนั้นรึ” อัครเสนาบดีไป๋พลันสีหน้าเครียดขรึม จ้องบุตรสาวพลางเอ่ย
ไป๋เสวี่ยฝูพยักหน้าน้อยๆ สายตามองผ่านศาลาหอห้องไปยังเส้นสุดขอบฟ้าอันแสนไกล นี่เป็นสิ่งที่นางต้องการ หากชั่วชีวิตนี้เยวี่ยเยี่ยไม่เลือกป้ายชื่อนางเลย เช่นนั้นนางก็จะมีเหตุผลในการหลบหนีเป้าหมายที่ตนเองต้องกระทำ แต่เดิมเยวี่ยเยี่ยก็ไม่เคยมีความแค้นใดต่อนาง มิหนำซ้ำในใจนางยังมีความรู้สึกพิเศษต่อเขาจึงยิ่งตัดใจลงมือไม่ได้
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี!” อัครเสนาบดีไป๋ตวาดเสียงต่ำอย่างเหลืออด ก่อนถลึงตาใส่นางอย่างผิดหวังยิ่งนัก หากมิใช่ไป๋เสวี่ยฝูมีตำแหน่งเฟยค้ำคอ เกรงว่าเขาคงโกรธจนซัดฝ่ามือใส่นางไปนานแล้ว
ไป๋เสวี่ยฝูหันไปหาบิดาช้าๆ จ้องมองเขาขณะลดเสียงให้เบาลงมากที่สุด “หากท่านพ่อเห็นว่าไป๋อวี้ฉีเก่งกว่าลูก ท่านพ่อก็ให้นางช่วยงานท่านเสีย เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นนางหรือลูกก็ไม่มีอะไรที่แตกต่าง กระทั่งฝ่าบาทยังไม่ทรงมองไปที่นางเลยสักครั้ง ท่านพ่อ ท่านควรเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลของสิ่งนี้ เยวี่ยเยี่ยมิใช่คนโง่ เขาไม่ใช่ลูกพลับที่พวกท่านจะบีบให้เละได้ตามใจชอบ…”
“หุบปาก!” อัครเสนาบดีไป๋เดือดดาลพลางมองซ้ายทีขวาที แล้วสุดท้ายก็หันไปตวาดเสียงต่ำ “เจ้าคิดจะให้ทุกคนรู้เรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้ากระทำหรือไร อย่างไรเจ้าก็ต้องพยายามทำให้ฝ่าบาทพอพระทัยให้ได้ จงรีบทำเป้าหมายให้สำเร็จ!”
“ลูกทราบแล้ว” ไป๋เสวี่ยฝูขานรับอย่างเย็นชา ใช้สายตาเคียดแค้นมองบิดาวูบหนึ่ง ก่อนที่เงาร่างสีฟ้าอ่อนประหนึ่งเมฆสีรุ้งจะลอยผ่านร่างเขาไป ไร้สุ้มเสียงไร้ลมหายใจ ค่อยๆ ห่างไปไกล จนสุดท้ายจึงหายลับที่ปลายสุดของสวนดอกไม้