ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่เจ็ด
ตำหนักชิ่งอันตั้งอยู่ใจกลางวังหลวง ใต้เสากลมในทางเดินตำหนักมีหัวมังกรพ่นน้ำ หลังคาปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีทอง ส่วนชายขอบหลังคาปูด้วยสีเขียว ระหว่างเสาสองต้นมีตัวมังกรแกะสลักเชื่อมติดกัน การใช้งานและการประดับตกแต่งรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ ตำหนักอันใหญ่โตโอ่อ่านี้จึงเพิ่มอำนาจให้กับองค์จักรพรรดิ
ตอนที่ไป๋เสวี่ยฝูเดินมาถึงตำหนักชิ่งอัน เยวี่ยเยี่ยได้ประทับที่บัลลังก์จักรพรรดิแล้ว ข้างกายรายล้อมไปด้วยสนมชายาเรือนร่างอรชรอวบอัด เยื้องกรายดุจเทพเซียน ไป๋เสวี่ยฝูยืนอยู่ใจกลางตำหนักพลางย่อกายถวายบังคมเยวี่ยเยี่ย เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็รับรู้ได้ถึงแววตาโกรธเกรี้ยวชิงชังทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว แววตานั้นประหนึ่งมีดโลหะเปล่งแสงสีเงินสองเล่มพุ่งตรงมาที่ร่างของนาง
ไป๋เสวี่ยฝูพลันรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาจากส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งกลัวว่าแววตาที่กำลังลุกโหมด้วยเพลิงโทสะนี้จะแผดเผาตัวนางจนเป็นเถ้าธุลีในช่วงเวลาต่อไป ความเกลียดชังนี้หาได้มาจากเยวี่ยเยี่ยที่อำมหิตไร้หัวใจมาแต่ไหนแต่ไรไม่ ทว่ากลับมาจากอวี้กุ้ยเฟยซึ่งประทับอยู่ข้างกายเขา
อวี้กุ้ยเฟยสวมชุดชาววังสีส้มปักดิ้น เส้นไหมสีเงินปักลวดลายดอกเหมยผลิบานนับไม่ถ้วนตั้งแต่ชายกระโปรงขึ้นมาจนถึงช่วงเอว บริเวณเอวกลัดป้ายหยกสีเขียวมรกตให้ความรู้สึกสง่างามสูงศักดิ์ ผมดำขลับดุจหมึกใช้ปิ่นหยกขาวเกล้าเป็นมวยสลับซับซ้อน ถึงจะซับซ้อนแต่ล้วนเกิดจากความประณีต ผมม้าที่หน้าผากเอียงไปด้านหนึ่งอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาโตสุกใสทรงเสน่ห์เปล่งประกายวาวแววเห็นได้ชัดเจน กระนั้นถึงปิ่นทองระย้าบนเรือนผมและปิ่นหยกจะเป็นชุดเดียวกันกับชุดชาววังบนร่าง แม้จะงดงามมากเพียงใด แต่หากเทียบกับปิ่นมรกตบนศีรษะของไป๋เสวี่ยฝูแล้วก็เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง
ไม่เพียงอวี้กุ้ยเฟยที่จ้องมองนาง สนมชายาที่มีความทะเยอทะยานโดยธรรมชาติต่างก็กำลังใช้สายตาระแวดระวังมองมาที่ไป๋เสวี่ยฝูคล้ายเห็นตัวประหลาด
ไป๋เสวี่ยฝูถูกมองจนขนลุก ชั่วเวลาเดียวกันนั้นเองนางก็จับประกายชั่วร้ายที่ฉายวาบในแววตาของไป๋อวี้ฉีได้พอดี หัวใจไป๋เสวี่ยฝูพลันดิ่งวูบทันที รู้ซึ้งในท้ายที่สุดว่าเหตุใดไป๋อวี้ฉีจึงอยากจะเปลี่ยนชุดกับนาง ที่แท้ทุกอย่างล้วนเป็นแผนการของไป๋อวี้ฉี
เห็นทีไป๋อวี้ฉีคงโตแล้ว มิใช่เด็กสาวที่ดีอกดีใจเพราะอาภรณ์ชุดเดียวคนนั้น นางเรียนรู้ที่จะวางแผน แต่อย่างไรก็เป็นตนเองที่โง่งม แค่แผนการง่ายๆ เช่นนี้กลับยังดูไม่ออก ไป๋เสวี่ยฝูควรรู้แต่แรก หากอาศัยเพียงไป๋อวี้ฉีที่อยู่ในตำแหน่งชายาซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างจากการถูกส่งมาอยู่ตำหนักเย็น จะถูกแบ่งอาภรณ์หรูหราสูงค่าปานนี้ได้อย่างไร ทั้งชุดและปิ่นมรกตนี้เกรงว่าคงเป็นของที่นางนำติดตัวมาจากจวนสกุลไป๋กระมัง!
อวี้กุ้ยเฟยถูกพระชายาที่ไม่ได้รับความโปรดปรานเช่นไป๋เสวี่ยฝูเปรียบเทียบให้ดูด้อยกว่าเช่นนี้ หากในใจไม่เคียดแค้นก็คงแปลก
“เชิญเสวี่ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงทำท่าผายมือให้นาง ไป๋เสวี่ยฝูจึงได้หลุดจากภวังค์ นางมองเยวี่ยเยี่ยวูบหนึ่งแล้วเดินไปทางข้างกายเขา ในวูบนั้นนางเห็นความเฉยชาจากดวงตาของเยวี่ยเยี่ยดังเช่นเคย ถึงนางจะสวมอาภรณ์งดงามเพียงไร เกรงว่าเขาก็คงไม่แม้แต่จะชายตามองนางให้นานขึ้นสักนิด
ในสายตาของเขาย่อมมีเพียงตำแหน่งและอำนาจเสมอมา นัยน์ตาคมดุจกระบี่แต่กลับมิอาจมองทะลุการแย่งชิงอำนาจของฝ่ายในไปได้ ตลอดมาล้วนมองไม่เห็นอีกฟากฝั่งของอำนาจ ไม่เคยใส่ใจแววตาแค้นเคืองลุ่มหลงประหนึ่งเมาสุราของเหล่าหญิงงาม
เยวี่ยเยี่ยชำนาญในด้านการปกปิด ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความโกรธ
เขาที่เห็นไป๋เสวี่ยฝูสวมอาภรณ์สีขาวจนชินชาแล้วนั้นเดิมทียังคิดว่ามีแต่สีขาวราวหิมะที่เหมาะสมกับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อชุดชาววังอันหรูหรามาอยู่บนร่างนางแล้วจะงามเลิศถึงเพียงนี้ เป็นความงดงามแปลกใหม่อย่างหนึ่งที่แม้แต่อวี้กุ้ยเฟยก็ยังยากจะเทียบเทียม
อวี้กุ้ยเฟยมองเห็นเยวี่ยเยี่ยที่แต่ไรมาไม่เคยนิยมชมชอบอิสตรียังหยุดสายตาอยู่บนร่างของไป๋เสวี่ยฝู แววตานั้นกำลังเปล่งประกายชื่นชมที่คนนอกแทบจับไม่ได้…ชื่นชม? ฝ่าบาทกลับมีช่วงเวลาชื่นชมสตรีเช่นกัน!
ปกติไม่ว่าข้าจะแต่งกายอย่างไร ประดับประดาตนเองอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่เคยหวั่นไหวเลยสักครั้ง
อวี้กุ้ยเฟยเกิดความแค้นในใจ ทว่าปากกลับเอาอกเอาใจเต็มที่ โน้มกายลงกระซิบที่ข้างหูเยวี่ยเยี่ย “ฝ่าบาทเพคะ เสวี่ยเฟยช่างงดงามชวนให้ผู้คนหลงรักดังที่อัครเสนาบดีไป๋เคยกล่าวถึงในตอนแรก ว่ากันว่าจวนอัครเสนาบดีไป๋ให้กำเนิดหญิงงาม ดูท่าจะพูดไม่ผิดไปเลยสักนิดนะเพคะ”
อัครเสนาบดีไป๋? นัยน์ตาเยวี่ยเยี่ยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในทันที อวี้กุ้ยเฟยช่วยเตือนความจำเขา หญิงสาวผู้นี้คือบุตรีของอัครเสนาบดีไป๋ เป็นคนที่อัครเสนาบดีไป๋ส่งมาเพื่อสอพลอสร้างความพึงพอใจให้กับเขา และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะให้สกุลไป๋ เขาเกลียดคนที่ประจบสอพลอหวังผลประโยชน์เป็นที่สุด เวลานี้เขาพลันคิดถึงมารดาที่เสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถ และหวนคิดถึงใบหน้าจอมปลอมละโมบโลภมากของอัครเสนาบดีไป๋อีกครั้ง
สีหน้าของเขายังคงเย็นชา หัวใจก็เยียบเย็นตามไปทีละนิด
ไป๋เสวี่ยฝูก้าวขึ้นไปบนบันไดที่ปูด้วยพรมสีทอง นั่งลงตรงด้านซ้ายของเยวี่ยเยี่ย ข้างกายนางมีเซี่ยเฟยผู้เงียบขรึมนิ่งพูดน้อย ดวงตาสองข้างมองเหม่อลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งไม่รู้สึกเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้านี้เลยสักนิด ไป๋เสวี่ยฝูเคยได้ยินเซียงเอ๋อร์เอ่ยถึงหญิงผู้นี้ว่าเป็นคนที่ไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีในตำหนักในเลยสักนิด ในใจเอาแต่คะนึงหาบุรุษที่โตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เล็กซึ่งอยู่นอกวัง ตามหลักแล้วเยวี่ยเยี่ยควรจะโบยเซี่ยเฟยตามกฎของวังหลวง แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงละเว้นนาง
ด้านหลังทางขวาของฝ่าบาทคืออวี้กุ้ยเฟย ทว่าเรื่องที่ทำให้ทุกคนต่างไม่เข้าใจก็คือผู้รับใช้ข้างกายนางกลับมิใช่เนี่ยนเอ๋อร์แต่เป็นหวากุ้ยเหริน! ทุกคนล้วนมีหนทางชีวิตเป็นของตนเอง หวากุ้ยเหรินเองก็เลือกที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อรอดชีวิตจากการแก่งแย่งชิงดีของตำหนักใน นั่นเป็นวิธีการเอาชีวิตรอดของนาง ยามที่ทุกคนล้วนเห็นว่านางต่ำต้อยไร้ค่ากลับไม่เคยมีใครคิดว่าแท้จริงแล้วนางจะเป็นคนที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนนั้น
เบื้องล่างของที่ประทับองค์จักรพรรดิ ขุนนางสำคัญในราชสำนักถวายบังคมเสร็จก็ลุกขึ้นแยกย้ายไปนั่งยังปีกตำหนักทั้งสองด้าน เหล่านางกำนัลที่สวมชุดแบบเดียวกันกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ระหว่างขุนนางทั้งหลาย นักดนตรีที่มีรูปโฉมงดงามค่อยๆ เดินออกมายังใจกลางตำหนัก ย่อกายเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสง่างามให้เยวี่ยเยี่ย ก่อนจะเยื้องย่างไปนั่งตรงหน้าพิณโบราณชั้นดี สองมือเรียวยาวดีดผ่านสายพิณอย่างแผ่วเบา บริเวณที่นิ้วมือเคลื่อนผ่านจะบังเกิดเสียงดนตรีสูงต่ำติดต่อกัน เสียงเพลงประหนึ่งน้ำใสกระจ่างอันสดชื่นรื่นหู ทั้งยังเหมือนสายลมแผ่วเบาเหนือทะเลสาบในคืนฤดูร้อน ระผ่านผิวทะเลสาบอย่างอ่อนโยน โชยพัดเข้าไปในใจของทุกคน
บทเพลงนี้ไม่ได้บรรเลงโดยสตรีจากแคว้นอวิ๋นเยวี่ย ทั้งบทเพลงที่ดีดก็มิใช่ของแคว้นอวิ๋นเยวี่ยเช่นกัน คนที่เข้าใจดนตรีอยู่บ้างย่อมฟังออกว่าบทเพลงนี้มาจากแคว้นเป่ย แคว้นเล็กๆ อันห่างไกลและมีลมพายุทรายทั่วฟ้าแห่งนั้น
ครั้นบทเพลงจบลง นักดนตรีก็ลุกเยื้องกรายมาที่ใจกลางตำหนักอีกครั้ง แย้มยิ้มพริ้งเพราไปทางเบื้องบนตำหนัก ก่อนจะย่อกายเล็กน้อยแล้วถอยออกไปพร้อมกับเสียงปรบมืออันดังกึกก้อง
หลังจากนั้นผู้ที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าทุกคนก็คือบุรุษสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันหลายส่วน ทั้งสองคนมีรูปร่างสูงโปร่งและหน้าตาที่หล่อเหลา พวกเขาสวมเครื่องแต่งกายประจำราชวงศ์แคว้นเป่ย ค้อมกายที่หน้าตำหนักแล้วเอ่ยพร้อมกันว่า “หนานกงเจวี๋ย หนานกงอวี้แห่งแคว้นเป่ยถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระชายาทั้งหลาย ขอความเจริญและความสุขมีแด่แคว้นอวิ๋นเยวี่ย!”
ตั้งแต่บุรุษทั้งสองเข้ามา ไป๋เสวี่ยฝูก็ตะลึงไปเล็กน้อย หนึ่งในสองคนนั้นก็คือบุรุษที่นางบังเอิญพบในตำหนักในคนนั้น คิดไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นองค์ชายของแคว้นเป่ย!