ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่เจ็ด
หนานกงเจวี๋ยก็เห็นไป๋เสวี่ยฝูแล้วเช่นกัน แววตาร้อนแรงเพียงพาดผ่านดวงหน้าของนางไปอย่างว่องไว ไม่บังเกิดคลื่นอารมณ์ใดเลยสักนิด เขาเป็นบุรุษที่ชำนาญการยิ่งนัก ไป๋เสวี่ยฝูลอบคิดในใจ
แม้ทั้งคู่จะสบตากันเพียงครั้งเดียวในเวลาอันสั้น แต่กลับมิอาจรอดพ้นสายตาที่แลดูเรียบเฉยทว่าเฉียบคมหาใดเปรียบของเยวี่ยเยี่ยไปได้ มุมปากที่เม้มแน่นกระดกขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดว่าไป๋เสวี่ยฝูไม่ธรรมดาโดยแท้จริง
เยวี่ยเยี่ยรู้สึกผิดในใจที่เมื่อครู่เผลอชื่นชมนาง สตรีที่เขาควรเคียดแค้นผู้นี้มักมีวิธีการเบี่ยงเบนความสนใจจนทำให้เขาเสียสมาธิเสมอ!
ขณะที่ไป๋เสวี่ยฝูยังคงใจลอยก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ออกมาจากใจจริงของเยวี่ยเยี่ย น้ำเสียงนั้นประหนึ่งลอดผ่านธารน้ำแข็งอันหนาวเหน็บแล้วลอยปกคลุมไปทั่วตำหนัก “องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ตั้งใจอย่างหาได้ยากยิ่ง รู้ว่าเราชอบฟังบทเพลงของแคว้นเป่ย เราจะไม่รับบทเพลงนี้ไว้เปล่าๆ อย่างแน่นอน” กล่าวจบก็หันไปรับสั่งกับคนด้านหลัง “ใครก็ได้ไปเตรียมของขวัญล้ำค่ามาให้เราชิ้นหนึ่ง!”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่กงกงซอยเท้าถอยออกไป
“เพียงฝ่าบาทชมชอบก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังเกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ชอบฟังบทเพลงของแคว้นเป่ยเสียอีก” หนานกงเจวี๋ยฉีกมุมปากยิ้มน้อยๆ แม้รอยยิ้มนั้นดูซื่อสัตย์นอบน้อมยิ่ง แต่กลับทำให้มือของเยวี่ยเยี่ยที่กุมมุกมังกรต้องกำแน่นขึ้นอีกนิด กระดูกเส้นเอ็นเป็นสีขาว เขาย่อมเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในวาจานั้นดี หนานกงเจวี๋ยกำลังย้ำเตือนว่าในร่างของเขายังมีสายโลหิตของชาวเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง!
เยวี่ยเยี่ยจำได้แน่ว่าในร่างของตนมีสายโลหิตของชาวเป่ยอยู่ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังรู้ว่าแคว้นเป่ยก็ถือเป็นบ้านเกิดของตนเองเช่นกัน! เพียงแต่แคว้นเป่ยเล่า เคยเห็นว่าเขากับท่านแม่เป็นราษฎรในแคว้นบ้างหรือไม่
เพื่อประจบสอพลอจักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ยแล้ว ปีนั้นเจ้าแคว้นเป่ยก็รับสตรีสกุลซย่าผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเป็นบุตรบุญธรรม จากนั้นก็ส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นอวิ๋นเยวี่ยในฐานะองค์หญิงของแคว้นเป่ย
จักรพรรดิแคว้นอวิ๋นเยวี่ยพอพระทัย ขณะเมาสุราอยู่นั้นก็มอบแผ่นดินที่แคว้นเป่ยจ้องจะตะครุบอยู่ให้อย่างใจกว้าง ทั้งยังมอบเงินทองหมื่นตำลึงและแพรไหมนับพันพับให้อีก
ดูจากตอนนั้นแล้ว ซย่าซื่อ…ท่านแม่ของเขามีราคาสูงส่งมิมีใครเหนือกว่า
แต่หญิงงามผู้มีราคาสูงส่งคนนี้ หลังจากแคว้นเป่ยส่งมาที่วังหลวงแล้วก็ไม่เคยดูดำดูดี ไม่สนว่าเขากับมารดาที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ตำหนักเย็นด้วยกันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง หรือกระทั่งท่านแม่ยอมสละชีวิตเพื่อเขา
เยวี่ยเยี่ยยังจำได้อย่างชัดเจน ตอนตนเองอายุหกปีอดีตจักรพรรดิได้จัดงานเลี้ยงรับรองแคว้นต่างๆ โดยรอบขึ้นมา เพื่อจะหาทางออกแทนท่านแม่ เยวี่ยเยี่ยถึงกับยอมหนีออกจากตำหนักเย็นโดยไม่คำนึงถึงชีวิต ลอบวิ่งมาที่งานเลี้ยงรับรองที่ผู้คนกำลังร้องเพลงร่ายรำกันอย่างชื่นมื่น
แคว้นเป่ยส่งอ๋องอายุมากมาคนหนึ่งเพื่อร่วมอวยพร อ๋องผู้นั้นหน้าตาอ่อนโยนมีเมตตา ท่าทางดูมีน้ำใจเป็นมิตร ทว่าวาจาที่กล่าวออกมานั้นกลับไร้น้ำใจอย่างสิ้นเชิง เขาบอกว่า ‘แม่เจ้าไม่เอาไหนเองถึงได้กุมหัวใจของบุรุษไว้ไม่ได้ วันนี้ต้องมีจุดจบเช่นนี้ก็นับว่าสมควร แคว้นเป่ยถูกนางทำให้ต้องอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง!’
จากนั้นคนผู้นั้นก็สะบัดชายเสื้อที่เยวี่ยเยี่ยจับไว้กลับไปอย่างหงุดหงิด โดยไม่สนใจเขาที่ล้มไปกับพื้น เพียงแค่หมุนตัวจากไปอย่างไร้เมตตา
ตั้งแต่นั้นเยวี่ยเยี่ยก็ไม่คิดว่าตนเองเป็นคนของแคว้นเป่ยอีก ไม่หวังว่าแคว้นเป่ยจะยื่นมือมาช่วยเหลือเขากับแม่อีกต่อไป และก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาถึงเข้าใจ อย่างมากที่สุดท่านแม่ก็เป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่งของแคว้นเป่ย เมื่อใช้ประโยชน์จนลุล่วงแล้วก็ไม่มีค่าอันใดอีก เป็นเพียงหมากที่โยนทิ้งได้ส่งเดช
หากมิใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของแคว้นเป่ย ท่านแม่จะมีชีวิตที่เงียบเหงาอ้างว้างและต้องสิ้นชีวิตไปอย่างน่าอเนจอนาถถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
คิดถึงท่านแม่ที่ต้องสิ้นชีวิตไปอย่างน่าเวทนาแล้ว เยวี่ยเยี่ยก็หลับตาลงเบาๆ เขาไม่ได้แสดงเพลิงโทสะออกมา บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเป็นมิตรน้อยๆ น้ำเสียงก็ยังสงบเรียบเช่นเดิม “องค์ชายทั้งสองเดินทางมาไกลนับพันหลี่เพื่อช่วยเหลือบิดา ความกตัญญูนี้น่ายกย่องยิ่งนัก!”
“ฝ่าบาท เสด็จพ่ออายุมากแล้วอาจหลงลืมไป พลาดพลั้งล่วงล้ำแคว้นอวิ๋นเยวี่ยถือว่ามีความผิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงเห็นใจที่เสด็จพ่อมีอายุมากแล้ว ปล่อยเขาสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงอวี้ขยับไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง ยกฝ่ามือประสานเอ่ยอย่างจริงใจ
ปล่อยเขา? เยวี่ยเยี่ยยิ้มหยันในใจ มิใช่คนผู้นี้หรอกหรือที่ส่งท่านแม่มายังวังหลวงแคว้นอวิ๋นเยวี่ย!
“องค์ชายทั้งสองมีน้ำใจเช่นนี้ เราย่อมไม่แล้งน้ำใจแน่นอน เราจะสั่งให้คนไปปล่อยนักโทษเดี๋ยวนี้” แม้วาจาของเยวี่ยเยี่ยจะน่าฟังแต่กลับยากจะทำให้ลิงโลดได้ มิหนำซ้ำยังชวนให้บังเกิดความรู้สึกไม่สงบเพิ่มขึ้นมาทีละน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่สองพี่น้องก็ยังคงตอบขอบพระทัยอย่างมีมารยาท “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” กล่าวจบหนานกงเจวี๋ยก็โบกมือไปทางนอกตำหนัก ขันทีผู้หนึ่งถือถาดที่คลุมด้วยแพรต่วนไว้เดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายเขา จากนั้นหนานกงเจวี๋ยก็ดึงผ้าด้านบนออกเผยให้เห็นขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเท่าครึ่งกำมือ
ขวดทรงน้ำเต้าแวววาวสะอาดหมดจดดุจหยก ตัวขวดมีลวดลายเมฆมงคลลอยละล่องสองสามก้อน เป็นขวดที่ประณีตอย่างยิ่ง
“ได้ยินว่าฝ่าบาททรงชอบศึกษาเรื่องพิษ พิษสุราขาวนี้เป็นพิษที่หมอยาแห่งแคว้นเป่ยศึกษาออกมาล่าสุด ทั้งยังมีฤทธิ์รุนแรงที่สุด หวังว่าฝ่าบาทจะทรงชอบพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเจวี๋ยกล่าวพลางยิ้ม นัยน์ตาที่หลุบลงฉายประกายอำมหิตโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
เยวี่ยเยี่ยปราดมองยาพิษในขวดสีขาวจากที่ไกล แต่กลับไม่ได้สั่งให้คนไปรับ ไม่มีคนมองออกว่าเขากำลังคิดอะไร
ไป๋เสวี่ยฝูหวั่นวิตกประหนึ่งดวงใจจุกขึ้นมาที่ลำคอขณะจ้องไปที่ขวดยาพิษอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อตัดสินใจได้นางก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางความเงียบสงัด เดินไปตรงหน้าเยวี่ยเยี่ยพลางยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อกงกงไม่อยู่ ให้หม่อมฉันยกมาถวายเถิดเพคะ”
ในที่สุดก็ต้องเป็นสถานการณ์เช่นนี้ นางถึงจะเรียกตนเองว่าหม่อมฉันเป็นครั้งแรก