ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์
ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่เจ็ด
เยวี่ยเยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วยิ้มมองนาง
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตะลึงงัน ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะแสดงตัวออกมาเช่นนี้ ต่อให้หลี่กงกงไม่อยู่ก็ยังมีขันทีและนางกำนัลอีกมากมายที่จะถวายการรับใช้ เพราะไป๋เสวี่ยฝูกำลังก้มหน้าเยวี่ยเยี่ยจึงมองใบหน้าของนางไม่ชัด ทว่าก็ยังคงอนุญาตนางคำหนึ่ง “เช่นนั้นต้องลำบากชายารักแล้ว”
ไป๋เสวี่ยฝูเพียงยิ้มบางก่อนเดินลงจากแท่นบัลลังก์อย่างสง่างาม ทุกหนึ่งก้าวที่เข้าใกล้ สีหน้าของหนานกงเจวี๋ยก็จะเยียบเย็นไปหนึ่งขั้น
ที่ไป๋เสวี่ยฝูเดิมพันก็คือพิษประเภทนี้จะรุนแรงเพียงใด ต่อให้นางคาดเดาได้ว่าหนานกงเจวี๋ยจะต้องมีแผนการร้าย แต่ที่นางไม่เข้าใจก็คือตนเองจะกระทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อหนานกงเจวี๋ยที่พบกันเพียงครั้งเดียว หรือเพื่อจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของนาง ไม่แม้แต่จะจ้องมองนางตรงๆ มาก่อน
หนานกงเจวี๋ยก็เหมือนทุกคนที่คิดไม่ถึงว่าไป๋เสวี่ยฝูจะขอถวายของกำนัลแทนกะทันหัน ทำให้เขาพลันเสียแผนการที่วางไว้ในทันที ในชั่วพริบตาที่มือนางจะสัมผัสตัวขวดจึงรีบเอ่ยว่า “พระชายาโปรดช้าก่อน!”
ไป๋เสวี่ยฝูที่อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อถูกหนานกงเจวี๋ยเรียกขึ้นเช่นนี้ก็ตกใจจนรีบชักมือกลับ แล้วมองเขาอย่างฉงนสงสัย “องค์รัชทายาทอยากจะกล่าวอันใดหรือเพคะ”
หนานกงเจวี๋ยตกที่นั่งลำบากในพริบตา หลังข้าทักขึ้นมาก็เท่ากับแผนการได้ล้มเหลวไปแล้ว นี่ข้าถึงกับยอมทิ้งโอกาสแก้แค้นเพื่อสตรีแปลกหน้าเพียงคนเดียว?! หนานกงเจวี๋ยสูดหายใจลึกอย่างจนใจ พยายามไม่ให้เสียงของตนเองฟังคล้ายสั่นสะท้าน “พิษสุราขาวมีฤทธิ์รุนแรงมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขอให้พระชายายกขึ้นไปพร้อมกับผ้าแพรต่วนจะดีกว่า”
มีแผนการอย่างที่คิดไว้จริงๆ! ไป๋เสวี่ยฝูตกตะลึงไปอึดใจ หากไม่ใช่เพราะเสียงที่เขาเอ่ยเรียก ‘พระชายา’ ว่องไวพอ นางคงติดกับไปแล้วใช่หรือไม่ แต่การสิ้นใจก่อนเยวี่ยเยี่ยนั้นหาใช่เป็นเรื่องไม่ดีไม่ เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องเค้นสมองเพื่อขบคิดว่าจะลงมือสังหารเขาอย่างไร
เดิมทีไป๋เสวี่ยฝูสามารถทำเป็นไม่สนใจทุกอย่างได้ เช่นนี้ต่อให้นางไม่ต้องลงมือก็มีโอกาสสูงมากที่จักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยจะสวรรคต แต่นางกลับทำเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะโหดร้ายเพียงไร ไม่ว่าเขาจะลืมนางไปหรือไม่ ไป๋เสวี่ยฝูกลับค้นพบว่าตนเองไม่อยากให้เขาถูกพิษตายไปเช่นนี้ แล้วยังมีบุรุษแคว้นเป่ยผู้ซุกซ่อนความแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดตรงหน้านี้อีก หนานกงเจวี๋ยไม่ควรเสี่ยงอันตรายมากเพียงนี้ หากเยวี่ยเยี่ยสวรรคตเขาก็ต้องตายไปด้วยเช่นกัน!
คนที่นางอยากช่วยมิใช่เพียงเยวี่ยเยี่ยเท่านั้น ยังมีหนานกงเจวี๋ย…
ไป๋เสวี่ยฝูรับถาดจากขันทีแล้วหมุนตัวก้าวช้าๆ ขึ้นบันไดไป ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วชูถาดขึ้นเหนือศีรษะถวายไปตรงหน้าเยวี่ยเยี่ย เขาโปรดปรานการสะสมพิษมาแต่ไหนแต่ไร ความสนใจย่อมสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ไม่โง่ถึงขั้นใช้มือไปสัมผัสกับตัวขวด จึงเพียงกล่าวว่า “ผู้ใดก็ได้นำของกำนัลขององค์ชายแคว้นเป่ยไปไว้ที่ตำหนักชิงเหอ!”
หนานกงเจวี๋ยอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าเยวี่ยเยี่ยจะป้องกันตัวเองอย่างระมัดระวังเพียงนี้ ต่อให้เมื่อครู่ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้ขัดขวาง เยวี่ยเยี่ยก็คงไม่ติดกับอย่างง่ายดายอยู่ดี สุดท้ายกลับเป็นขันทีน้อยผู้เก็บขวดยาที่ต้องสังเวยชีวิต จากนั้นรอให้เรื่องราวถูกเปิดโปง นั่นก็คือชะตากรรมอันเลวร้ายของแคว้นเป่ยแล้ว!
หลี่กงกงเมื่อกลับมาก็ได้ยินรับสั่งของฝ่าบาทจึงรับคำโดยไว “กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบก็รับถาดไปจากมือของไป๋เสวี่ยฝูแล้วยื่นไปให้ขันทีที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยกับเยวี่ยเยี่ยอย่างเคารพ “ฝ่าบาท ของกำนัลเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยวี่ยเยี่ยพยักหน้า ก่อนจะยิ้มบางไปทางหนานกงอวี้ที่อยู่เบื้องล่าง “ได้ยินว่าจนถึงวันนี้องค์ชายสี่ก็ยังไม่มีชายาและอนุภรรยา เราอยากจะมอบชายาเอกที่งดงามประหนึ่งบุปผาให้เจ้าผู้หนึ่ง สตรีผู้นี้ก็คือบุตรสาวคนโตของอัครเสนาบดีไป๋ของเรา ไป๋อีหนิง นางเป็นผู้รอบรู้หนังสือ อ่อนโยนเฉลียวฉลาด วันข้างหน้าจะต้องเป็นชายาผู้เกื้อหนุนองค์ชายสี่ได้อย่างแน่นอน…”
ไม่ทันรอให้เยวี่ยเยี่ยได้กล่าวจนจบ ไป๋เสวี่ยฝูก็ตกใจจนตาคู่นั้นถลึงโต สมองนางพลันว่างเปล่าจนแทบจะฟังวาจาต่อไปของเยวี่ยเยี่ยไม่ถนัด
เขากลับจะประทานไป๋อีหนิงที่เสียโฉมแล้วแต่แรกให้กับหนานกงอวี้ เขาอยากให้พี่สาวของนางใช้ชีวิตดุจตายทั้งเป็นชัดๆ!
ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างตำหนักไม่มีใครสักคนที่กล้าส่งเสียง แม้แต่อัครเสนาบดีไป๋ก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเฉยเมย ประหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขา บางทีไป๋อีหนิงที่ไม่มีคุณค่าให้ใช้ประโยชน์แล้วอาจมิใช่คนสกุลไป๋อีกต่อไปในสายตาเขา แม้ให้นางแต่งออกไปยังแคว้นเป่ยซึ่งอยู่ห่างไกลและเต็มไปด้วยพายุทราย ผู้เป็นบิดาเช่นเขาก็ยังไม่รู้สึกรู้สา!
ท่ามกลางความเงียบงัน เงาร่างสีเขียวอ่อนเดินเข้ามาช้าๆ จากประตูตำหนัก อาภรณ์หรูหราสีเขียวอ่อนคลุมไว้ด้วยเสื้อบางสีขาว เผยให้เห็นลำคอระหงอันงดงาม ผิวพรรณนวลเนียนดุจดอกกล้วยไม้ สีผิวอมชมพูเปล่งปลั่ง ชุดกระโปรงทอแสงนวลตาราวแสงของจันทร์ยาวพลิ้วระพื้น เรือนผมดำขลับแผ่สยายลงบนบ่า ไม่มีเครื่องประดับผมใดเกินพอดี แรกเห็นประหนึ่งผีเสื้อที่โบยบินตามกระแสลม มีเพียงใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าบางผืนนั้นที่กำลังซุกซ่อนความลับซึ่งมิอาจเปิดเผย
“พี่หญิง…” ไป๋เสวี่ยฝูเผยอปาก นางพูดสองคำนี้ออกมาได้อย่างยากลำบาก น้ำเสียงเบาหวิว ไป๋อีหนิงกลับยังคงได้ยิน เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นางอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มที่เห็นรำไรใต้ผ้าคลุมหน้าแฝงไปด้วยความเศร้าสลดอันไร้ที่สิ้นสุด ทำให้คนรู้สึกสงสารจับใจ
“อีหนิงถวายบังคมฝ่าบาทและพระชายาทั้งหลายเพคะ” ไป๋อีหนิงย่อกายเล็กน้อยเพื่อถวายบังคม นัยน์ตากระจ่างเปล่งประกายวิบวับ ท่ามกลางความอ่อนโยนนั้นกลับเจือไปด้วยความไม่แยแสจางๆ
เยวี่ยเยี่ยยิ้มชั่วร้ายให้นางก่อนตรัสขึ้น “ในเมื่อตำหนักในของเรารองรับร่างอันสูงส่งดั่งทองพันชั่งของคุณหนูใหญ่สกุลไป๋ไม่ได้ เราคงจำเป็นต้องหาที่พักพิงอื่นให้แก่คุณหนูไป๋…”
ไม่รอให้เขากล่าวจบ อัครเสนาบดีไป๋ก็ขยับออกมาจากตำแหน่ง คุกเข่าลงเอ่ยอย่างร้อนใจ “กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมสั่งสอนบุตรีไม่เอาไหน ขอฝ่าบาทได้โปรดลงโทษ!”
“ท่านอัครเสนาบดีไม่จำเป็นต้องตระหนกไป นั่งลงเถิด” เยวี่ยเยี่ยตรัสพลางยกมือขึ้นทีหนึ่ง อัครเสนาบดีไป๋ถึงได้กลับไปยังที่นั่งอย่างกระวนกระวายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เขาไม่เคยคิดว่าเยวี่ยเยี่ยจะรู้เรื่องที่ไป๋อีหนิงปฏิเสธการเข้าวัง คิดดูแล้วเรื่องทั้งหลายล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาอย่างใกล้ชิดทั้งสิ้น ไป๋เสวี่ยฝูพูดไว้ไม่ผิด เยวี่ยเยี่ยมิใช่ลูกพลับนิ่มที่จะปล่อยให้ใครรังแกอย่างไรก็ได้!
แววตาเย็นเยียบของเยวี่ยเยี่ยตกลงไปบนร่างของไป๋อีหนิงอีกครั้งแล้วตรัสกับนางว่า “ถอดผ้าคลุมหน้าเสียเถิด ให้องค์ชายสี่ได้ยลว่าถูกใจหรือไม่” น้ำเสียงแม้สงบเรียบแต่กลับแผ่กลิ่นอายแห่งอำนาจที่ไม่ยอมให้ผู้คนปฏิเสธ
ดวงตาทั้งสองของไป๋อีหนิงพลันฉายแววหวาดกลัววูบหนึ่ง นางส่ายหน้าแล้วถอยหลัง หากสามารถหนีไปได้นางคงหนีไปแสนไกลในทันที แต่ที่นี่นางเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง จำต้องทนรับการเหยียดหยามเช่นนี้ให้ได้
ไป๋เสวี่ยฝูเห็นพี่สาวมีสภาพที่น่าสงสารถึงเพียงนี้ ทั้งหวาดหวั่นพรั่นพรึงปานนี้ นางจึงตัดสินใจคุกเข่าเสียงดังโครมอยู่แทบเท้าเยวี่ยเยี่ยพลางขอร้องอย่างร้อนใจว่า “ฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงเมตตา ได้โปรดละเว้นพี่หญิงด้วยเถิดเพคะ!”
“เจ้ากำลังตำหนิว่าเราโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ” เยวี่ยเยี่ยค้อมกายลงมา นิ้วมือประดุจเหล็กกล้าบีบคางไป๋เสวี่ยฝู บังคับให้นางมองมาที่ตนเอง เขาเกลียดการร้องขอมากที่สุด เพราะการร้องขอความเห็นใจไม่มีคุณค่าอะไรทั้งนั้น ก็เหมือนกับท่านแม่ของเขาในตอนนั้นที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการเข้าวังหลวง ทั้งยังถูกขับไล่เข้าตำหนักเย็น แม้จะเคยร้องขอมากี่ครั้งกี่หน เคยน้ำตาหลั่งรินมาเท่าใด แต่กลับไม่เคยมีใครได้ยิน ไม่เคยมีเลย!
“เสวี่ยฝู อย่าไปขอร้องเขา!” ไป๋อีหนิงที่อยู่ด้านล่างของบันไดไม่รู้ว่าเอาความกล้ามาจากที่ใด แววตาไม่หวาดกลัวอีกต่อไป กระนั้นก็ยังคงเศร้าสลดจนทำให้คนที่เห็นปวดใจ นางส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เสวี่ยฝู ชั่วชีวิตนี้เรื่องที่ข้ารู้สึกผิดมีเพียงเรื่องเดียวก็คือทำร้ายเจ้า จนทำให้เจ้าต้องเข้าวังแทนข้า ครองคู่กับบุรุษเลือดเย็นผู้นี้ น้องหญิง…ข้าทำผิดต่อเจ้าแล้ว”
ไป๋อีหนิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทกำลังใช้นางสร้างความน่ายำเกรงให้กับเขา ลงโทษที่นางขัดราชโองการไม่เคารพเบื้องสูงต่อหน้าขุนนางนับร้อย ต่อหน้าอัครเสนาบดีไป๋ผู้เป็นบิดา ตั้งแต่ชั่วพริบตาที่นางทำลายโฉมหน้าตนเอง นางก็คิดว่าจุดจบของตนเองจะต้องอเนจอนาถไร้ใดเปรียบอย่างแน่นอน
ทว่าเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว…
“อย่าพูดเช่นนี้…” ไป๋เสวี่ยฝูร้อนรนจนน้ำตาริน นางจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อหลังประโยคเหล่านี้
ตามคาดไป๋อีหนิงยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างหดหู่ “เทียบกับการถูกดูหมิ่นจากคนที่นี่ มิสู้ตายไปเสียให้สิ้นเรื่อง เสวี่ยฝู ชาติหน้าพวกเรายังต้องเป็นพี่น้องกันอีก แต่ขอให้เป็นพี่น้องในสกุลสามัญชนคู่หนึ่ง!” วาจาเพิ่งพ้นริมฝีปาก ไป๋อีหนิงก็ราวกับมีพละกำลังเต็มเปี่ยมขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็พุ่งตรงไปหาเสากลมด้านข้างของตำหนัก
“อย่า!”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)