everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 1 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
เมืองหลวง
ยามใกล้เที่ยงวัน ปรากฏคนสองคนกำลังก้าวออกจากหอฮวนอี้
คนแรกเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ใบหน้าขาวมีหนวดเคราอ่อนบาง ชุดคลุมยาวสีพื้นคล้ายชุดของนักพรตแขวนอยู่บนร่างผอมบางจนดูราวกับแขวนอยู่บนไม้ไผ่ก็ไม่ปาน ใต้ตาของเขามีรอยคล้ำสองวง ขยับเท้าเยื้องย่างสองก้าวก็หาวหวอดทีหนึ่ง
ส่วนอีกคนนั้นอยู่เยื้องไปด้านหลัง ก็คือเด็กรับใช้ตามติดคนหนึ่ง ก้าวเท้าตามจังหวะผู้เป็นนาย ไม่กล้าประมาทเผอเรอ มือหนึ่งกางร่มให้คุณชายเจ้าสำราญ อีกมือหนึ่งถือโคมไฟที่เทียนดับไปแล้วเอาไว้
ผู้สัญจรไปมาเห็นแล้วต่างก็พากันถอยหลบ
สาเหตุนั้นหรือ…เนื่องจากหอฮวนอี้เป็นหอนางโลม ย่อมต้องเปิดต้อนรับแขกในยามค่ำคืน แต่นี่อีกฝ่ายเดินออกมายามกลางวันแสกๆ นั่นอธิบายได้เพียงว่าคุณชายผู้นี้ไม่เพียงสำราญเสพสุขทั้งราตรี ยังล่วงเลยมาอีกครึ่งวัน หอฮวนอี้จำต้องละเมิดธรรมเนียมปฏิบัติ ยกเว้นให้คุณชายท่านนี้เป็นกรณีพิเศษ หากไม่ใช่เพราะภูมิหลังอันใหญ่โตของเจ้าตัวแล้วยังจะมีเหตุผลอื่นใดอีก
คนพรรค์นี้ นิสัยดีก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าเกิดเป็นพวกเกกมะเหรกเกเร ขวางหูขวางตาใครขึ้นมา ที่จะย่ำแย่ย่อมเป็นชาวบ้านร้านตลาดที่ไร้อำนาจบารมีเป็นแน่แท้ ฉะนั้นทุกคนจึงยินยอมเปิดทางให้ รู้หลีกไว้ก่อนดีที่สุด
แม้ไร้กำลังต่อยตีด้วย แต่ยังมีปัญญาเลี่ยงหลบ
แต่แล้วจู่ๆ คุณชายเจ้าสำราญก็สองตาลุกวาว จดจ้องไปยังเบื้องหน้าเขม็ง
เด็กรับใช้งงงันไม่เข้าใจ มองตามผู้เป็นนาย แล้วก็กระจ่างทันที
เบื้องหน้าไม่ไกล คนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ
อีกฝ่ายสวมชุดคลุมยาวสีพื้นเช่นเดียวกัน ทว่าอาภรณ์แบบเดียวกันกลับให้ผลลัพธ์ที่ต่างกัน หากเปรียบคุณชายเจ้าสำราญเป็นไม้ไผ่แขวนเสื้อ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็คือต้นหยกพลิ้วลม นี่ถ้ากวีผู้สุนทรีย์สักคนผ่านมาพอดี ก็อาจร่ายภาพที่เห็นแก่สายตาขณะนี้ดังเช่นว่า ‘ลอยล่องดุจเมฆเลื่อน กำยำชดช้อยดั่งมังกร’ ออกมาก็เป็นได้
แต่คุณชายเจ้าสำราญไม่ใช่นักกวี ย่อมไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาที่แฝงนัยลึกซึ้งเช่นนั้นได้ เขาเอาแต่มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย จากนั้นก็ย่างกรายเดินหน้าเข้าไปหยอกเย้า “มิทราบว่าคุณชายท่านนี้มีนามว่าอะไร กำลังจะไปที่ใดหรือ”
เด็กรับใช้ลอบโอดครวญ นายน้อยของตนมีนิสัยเจ้าสำราญและเป็นอิสระถึงเพียงนี้ ความชมชอบที่ไม่เกี่ยงทั้งบุรุษและสตรีช่างร้ายกาจเหลือเกิน พานพบใครที่ถูกตาต้องใจกลางตลาดร้านค้าก็ยังรั้งไว้เกี้ยวพาได้ ในเมืองหลวงนี้ดาษดื่นไปด้วยขุนนางชนชั้นสูง แม้นายน้อยเองก็มากบารมี เป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์คนหนึ่ง แต่หากถูกขุนนางทัดทานพบเข้าคงไม่พ้นถูกถวายฎีกาตำหนิอีก ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ใครจะคิดว่าผู้ถูกเกี้ยวพาหยอกเย้าเพียงแค่เลิกคิ้วและเอ่ยถึงฐานะของคุณชายเจ้าสำราญออกมาทันที “บุตรชายคนโตของอู่อันโหว* เจิ้งเฉิงรึ”
เด็กรับใช้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ทว่าเขาติดตามนายน้อยอย่างใกล้ชิดมานานหลายปี สายตาจึงนับว่าเฉียบแหลม ดูออกทันควันว่าอีกฝ่ายไม่ใช่บุตรหลานในสกุลเชื้อพระวงศ์ พลันต่อว่า “บังอาจ! นามของซื่อจื่อ* สกุลเราหาใช่ชื่อที่ท่านเรียกขานได้ไม่!”
บุรุษหนุ่มประสานมือคารวะ “นับว่าเสียมารยาทแล้ว แต่เท่าที่ข้ารู้มา ดูเหมือนราชสำนักเองก็ยังมิได้มีราชโองการชัดเจน แต่งตั้งคุณชายบ้านเจ้าให้เป็นซื่อจื่อ ในเมื่อไม่ใช่ซื่อจื่อ คำเรียกหาของเจ้าหากถือสาขึ้นมาก็นับว่าผิดอาญาแล้ว ถ้าถูกคนร่างฎีกาทูลฝ่าบาท เช่นนั้นท่านโหวบ้านเจ้าก็จะพลอยเดือดร้อนเพราะเจ้ากันพอดี”
เด็กรับใช้ถูกเขาข่มขวัญจนเหงื่อท่วมหัวยิ่ง ไม่กล้าผลีผลามอีก “ขะ…ข้าน้อยเอ่ยคำล่วงเกิน ขอคุณชายโปรดอภัยด้วย!”
เจิ้งเฉิงเองกลับไม่นำพา ถึงขั้นนี้แล้วก็ยังคงกล่าวกลั้วหัวเราะด้วยทีท่าไม่สำรวม “ในเมื่อคนงามรู้จักข้า เช่นนั้นก็ง่ายดายแล้ว เราไปหาที่นั่งดื่มชาแล้วค่อยคุยกันเสียหน่อยดีหรือไม่”
สายตาหื่นกระหายของเขาพินิจอีกฝ่ายอย่างจาบจ้วง ขาดแค่ยังไม่ได้ใช้สายตาปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนอื่นเขาเท่านั้น
บุรุษหนุ่มแย้มสรวล “ก็ดี เช่นนั้นไปคุยกันที่จวนผู้ตรวจการเสี่ยนทางตะวันออกของเมืองดีหรือไม่”
เด็กรับใช้สะดุ้งเฮือก ไม่กล้าสบประมาทอีกฝ่ายอีก รีบกระวีกระวาดไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง รั้งมือของนายน้อยที่กำลังจะยื่นออกไป ก่อนจะประสานมือคารวะ “เมื่อคืนนายน้อยบ้านข้าดื่มสุราไปมาก เวลานี้ยังเมามายอยู่ กิริยาวาจาจึงเสียมารยาทไปบ้าง คุณชายโปรดเห็นใจ ไม่ทราบคุณชายมีนามว่าอะไร”
อีกฝ่ายตอบกลั้วหัวเราะ “คำถามเจ้าก็ช่างน่าสนใจเสียจริง ข้าจะบอกนามแก่เจ้าได้อย่างไร เกิดเจ้ากลับไปฟ้องท่านโหวของเจ้า ข้ามิต้องลำบากหรือไร”
เด็กรับใช้ถูกเขาอ่านความคิดออก ได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วจึงปาดเหงื่อด้วยความโล่งอก ลอบคิดในใจว่าเกือบไปแล้ว
คนในจวนอู่อันโหวได้ยินคำว่าผู้ตรวจการเสี่ยนก็มีท่าทีราวกับหนูเจอแมว กล่าวถึงยศถาบรรดาศักดิ์ขุนนางขั้นสูงในสมัยต้าหมิงนี้พบว่ามีมากนัก ทั้งบุตรหลานสายตรงแห่งสกุลจูและต่างสกุลที่ได้รับการแต่งตั้ง นับตั้งแต่รัชศกหงอู่จวบจนยามนี้ก็เกลื่อนกลาดดาษดื่น เมื่อมีมากจึงย่อมไร้ราคา ซึ่งขุนนางทัดทานก็ลำพองเหิมเกริม แม้กระทั่งต่อเบื้องหน้าจักรพรรดิก็ไม่วายกล้าติติงซึ่งหน้า หากให้รู้ว่าบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเกี้ยวพาชาวบ้านกลางตลาดตอนกลางวันแสกๆ คงปลุกปั่นให้จักรพรรดิเรียกคืนบรรดาศักดิ์ได้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุรุษหนุ่มเมื่อครู่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป
แน่ล่ะ ชาวบ้านทั่วไปมีหรือที่รู้ว่าเป็นบุตรชายคนโตของอู่อันโหวแล้วยังกล้าพูดจาด้วยท่าทีเช่นนั้นอีก
“เจ้าอยากตายรึ เมื่อครู่ถึงได้กล้าขวางข้า!” เจิ้งเฉิงถูกขัดใจให้เสียเรื่อง โพล่งออกมาอย่างมีโทสะ
นายน้อย! ข้าช่วยท่านต่างหากเล่าขอรับ! เด็กรับใช้ย้อนในใจพลางยิ้มสู้ “โธ่นายน้อย ไม่แน่ตอนนี้นายท่านอาจรออยู่ที่จวนก็ได้ ถ้ากลับไปช้าท่านก็จะโดนไม้พลองอีก รอบคอบไว้ก่อนดีกว่าขอรับ!”
ได้ยินนามของบิดาแล้ว ต่อให้คุณชายเจิ้งยังไม่สร่างเมาก็อดหนาวสะท้านไม่ได้ ปิดปากเงียบเสียงลงทันตา
เด็กรับใช้ตามเจิ้งเฉิงกลับจวนไป ลอบหันมองกลับไปที่ด้านหลังอีกครั้ง
อีกฝ่ายเดินทิ้งห่างไปไกลแล้ว ไหนเลยจะยังเห็นเงา ทว่าเด็กรับใช้ก็ยังอดขบคิดไม่ได้ว่าคนผู้นั้นแท้แล้วเป็นใครกันแน่
กลางดึก ถังฟั่นถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหล
ผู้ที่มาหาเขาคือเจ้าหน้าที่แซ่หวังของศาลซุ่นเทียน เคาะประตูเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำลายความสงบเงียบของราตรี ดีที่เรือนนี้มีถังฟั่นอาศัยตามลำพัง มิฉะนั้นคนอื่นคงได้เข้าใจว่ามีโจรบุกปล้นไปแล้ว
ทันทีที่ประตูเปิดออก เหล่าหวังก็มีสีหน้าร้อนรน “ใต้เท้าถัง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบไปกับข้าเร็ว!”
ถังฟั่นกะพริบตา เขาคลุมเสื้อตัวนอกเพียงตัวเดียว ใบหน้ายังมีแววง่วงงุน “เรื่องใหญ่อะไร”
เหล่าหวังกดเสียงต่ำ “เกิดคดีคนตายแล้ว!”
หากทำให้อีกฝ่ายร้อนรนบุกมาหากลางดึกสงัดเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คดีคนตายทั่วไปแน่
ถังฟั่นถาม “ใครตาย”
เหล่าหวังตอบ “บุตรชายคนโตของอู่อันโหว เจิ้งเฉิง!”
ถังฟั่นนิ่งอึ้ง ตาสว่างไปกว่าครึ่งทันที
เมื่อครั้งที่จูหยวนจาง* ครองแผ่นดินต้าหมิง เหล่าขุนนางที่ร่วมฝ่าฟันกับพระองค์ล้วนได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ขนานใหญ่ ไม่นานหลังผลัดเปลี่ยนบัลลังก์ ขุนนางที่แปรพักตร์ผิดฝ่ายในสงครามจิ้งหนานครั้งนั้น ภายหลังก็ถูกหย่งเล่อจักรพรรดิองค์ใหม่สังหารจนสิ้น
เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงที่เหลืออยู่ในเวลานี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทายาทของเหล่าขุนนางที่มีคุณงามความดีความชอบในสงครามจิ้งหนานซึ่งจักรพรรดิหย่งเล่อเป็นผู้แต่งตั้งและสืบทอดตำแหน่งจากรุ่นสู่รุ่น ยังมีอีกส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งหลังศึกกบฏป้อมถู่มู่ ที่โชคดีหน่อยก็พอมีหนทางได้สร้างความดีความชอบ สั่งสมบารมีเพิ่มเติม นับว่ายังมีอำนาจจริงๆ อยู่บ้าง สามารถกรีธาทัพนำกำลังรักษาความสงบของพื้นที่ได้ ส่วนที่โชคร้ายหน่อยก็คงเหมือนจวนอู่อันโหวที่เกิดคดีคนตายในเวลานี้ ได้แต่เกษียณตนพักผ่อนยามชราอยู่ในเมืองหลวง ซ้ำร้ายหากเผลอไปมีส่วนพัวพันกับเรื่องบางอย่าง พริบตาเดียวบรรดาศักดิ์ก็อาจอันตรธานหายสูญได้เลย ภายนอกแม้ดูมีเกียรติ ความจริงแล้วก็เสมือนคนดื่มน้ำ ร้อนเย็นย่อมประสบเอง**
สกุลเหล่านี้แม้แต่ซื่อจื่อที่เป็นทายาทผู้สืบทอดก็ยังต้องผ่านการแต่งตั้งจากจักรพรรดิจึงจะมีผล ไม่ใช่ว่ามีบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกแล้วก็จะเป็นซื่อจื่อได้อย่างถูกต้องตามครรลอง หากจักรพรรดิไม่ต้องตาผู้นั้น ถ่วงเวลาไว้สักสิบยี่สิบปีก็เป็นไปได้ ไม่แน่ยังอาจหาข้ออ้างปลดจากบรรดาศักดิ์ ดังนั้นคุณชายในสกุลชั้นสูงเหล่านี้ ยามเดินอยู่ในเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะมีเกียรติบารมีเทียมขุนนางเมืองหลวงขั้นเจ็ดคนหนึ่งได้
อู่อันโหวรุ่นแรกเป็นขุนนางที่มีผลงาน สร้างความชอบไว้ในสงครามจิ้งหนาน ปัจจุบันสืบทอดมาถึงรุ่นที่สี่ เจิ้งอิงเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อปีที่แล้ว อุปนิสัยรอบคอบจริงจัง ไม่เคยอาศัยยศถาบรรดาศักดิ์เที่ยวก่อเรื่อง แต่จนปัญญาด้วยมีบุตรชายที่ประพฤติตนแย่ อู่อันโหวกลุ้มใจเหลือแสน การดุด่าทำโทษนั้นล้วนเป็นเรื่องปกติในจวนไปแล้ว
ทว่าดุด่าทำโทษก็ส่วนดุด่าทำโทษ แม้โกรธที่บุตรชายไม่เอาไหน แต่เจิ้งอิงก็ไม่เคยคิดอยากให้เขาตาย
อู่อันโหวในเวลานี้ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียว ยืนเอามือไพล่หลังอยู่นอกห้องของเจิ้งเฉิงโดยไม่พูดไม่จา
ลานสวนที่สว่างไสวด้วยแสงจากโคมไฟ ล้อมแน่นไว้ด้วยผู้คน บุรุษสตรีในสกุลถูกสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีทั้งผู้ที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงและผู้ที่ร่ำไห้สะอื้น เสียงเอะอะดังอึกทึก วุ่นวายโกลาหล
เมื่อถังฟั่นเร่งเดินทางไปถึงจวนโหว พันปินแห่งศาลซุ่นเทียนก็มาถึงแล้วและกำลังพูดคุยกับเจิ้งอิง
เจ้าหน้าที่ทางการกลุ่มหนึ่งล้อมจวนของเจิ้งเฉิงไว้ กั้นบรรดาคนรับใช้ที่เข้าๆ ออกๆ ให้อยู่ด้านนอกทั้งหมด
เพราะถูกเหล่าหวังเร่งรัด ถังฟั่นจึงไม่ทันได้สวมชุดขุนนาง เขาสวมเพียงชุดยามปกติ เมื่อพันปินเห็นเขาก็กวักมือเรียกทันที “รุ่นชิง รีบมาเร็ว!”
“ท่านโหว ใต้เท้า” บรรยากาศตึงเครียดถึงเพียงนี้ แต่ถังฟั่นไม่ได้ดูอกสั่นขวัญผวาและยังคงมีท่าทีไม่รีบร้อนเช่นเดิม เมื่อเทียบกับคนรอบข้าง จึงดูมีความพิเศษสะดุดตา
เด็กรับใช้นามว่าเจิ้งฝูซึ่งยืนอยู่กลางกลุ่มคนร้องอุทานออกมาเสียงหนึ่ง ก่อนชี้ถังฟั่น “ท่านคือคนเมื่อกลางวันไม่ใช่หรือ!”
ทันทีที่ประโยคนั้นดังขึ้น ทุกคนก็หันมองถังฟั่นเป็นตาเดียว
พันปินกลัวว่าจะเกิดเหตุเข้าใจผิด จึงรีบละล่ำละลักเอ่ยว่า “ยังไม่ได้แนะนำ นี่คือผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียน แซ่ถัง ชื่อฟั่น ชื่อรองรุ่นชิง หลักแหลมมากปัญญา เชี่ยวชาญการไขคดี ที่ข้าให้เขามาก็ด้วยเรื่องนี้”
ประกายแสงวูบผ่านนัยน์ตาของเจิ้งอิง ต่อให้เป็นผู้ที่แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักแล้วเช่นเขา ก็ยังเคยได้ยินนามของถังฟั่น
เพียงแต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น น่าเสียดายยามนี้บุตรชายเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน เจิ้งอิงเองก็ไม่มีอารมณ์ทักทายพิธีรีตอง ได้แต่เอ่ยถามโดยตรงว่า “ที่แท้แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เจิ้งฝูหลังได้รับการตวัดสายตาเย็นชาจากอู่อันโหว ก็รีบเล่าต้นสายปลายเหตุ
ถังฟั่นประสานมือคารวะ “เมื่อเช้ากระทบกระทั่งทางวาจากับคุณชาย ขอท่านโหวโปรดอภัย”
เจิ้งอิงถอนใจ “ลูกข้าไร้มารยาท ไม่เกี่ยวกับใต้เท้า หากไม่ใช่ว่าเขา…เฮ้อ ข้าต้องสั่งสอนเขาให้หนักเชียว!”
พอจบประโยคก็แสดงสีหน้าทั้งฉุนเฉียว ทั้งโกรธแค้นและเจ็บปวด
แม้ถังฟั่นจะเป็นเพียงขุนนางขั้นหกเล็กๆ ทว่าชื่อเสียงเรียงนามของเขากลับไม่เล็กตาม เจิ้งอิงจึงต้องรักษามารยาท
“ท่านโหวโปรดตัดใจ ต้องขอให้เล่ารายละเอียดเรื่องของคุณชายด้วย” ถังฟั่นกล่าว
เจิ้งเฉิงเจ้าสำราญไม่เอาไหน เรื่องนี้ปราศจากข้อกังขา ความเหลวไหลของเขาโดยหลักอยู่ที่ความมักมากบ้าตัณหา ขอเพียงรูปโฉมงดงามก็ไม่เกี่ยงทั้งชายหญิง มีภรรยาและอนุโฉมสะคราญอยู่แล้วยังไม่พอ ยังชุบเลี้ยงอนุนอกสกุล เตร็ดเตร่เข้าออกตามหอนางโลมโคมเขียวเป็นว่าเล่น และเพราะชอบเสพสุขหาความสำราญ ชื่อเสียงไม่ดี ดังนั้นราชสำนักจึงไม่มีราชโองการแต่งตั้งให้เขาเป็นซื่อจื่อเสียที อู่อันโหวเจิ้งอิงทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งจนปัญญา
วันนี้เจิ้งเฉิงที่เพิ่งกลับจากหอฮวนอี้ถูกบิดาที่อยู่จวนพอดีจับได้คาหนังคาเขา คุณชายเจิ้งถูกด่าทอเสียไม่มีชิ้นดี ทั้งยังถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่ในเรือนห้ามไปที่ใด เดิมทีเจิ้งอิงคิดว่าอีกฝ่ายจะสงบเสงี่ยมได้สักสองสามวัน ใครจะรู้ว่าพริบตาเดียวบุตรชายของตนก็ดอดไปหยอกเย้ากับสาวใช้คนหนึ่งอีกแล้ว
จนกระทั่งเมื่อสองชั่วยาม* ก่อน เจิ้งอิงได้รับรายงานจึงรีบไป ทันทีที่ไปถึงก็พบเจิ้งเฉิงนอนเปลือยสิ้นใจอยู่บนเตียงแล้ว ส่วนสาวใช้ที่เสื้อผ้าอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยก็กำลังคุกเข่าร่ำไห้สะอื้นอยู่อีกทาง
ตามที่เด็กรับใช้ที่ชื่อเจิ้งฝูบอกเล่า เหตุเกิดช่วงประมาณยามไฮ่** เจิ้งเฉิงเจออาหลินซึ่งเป็นสาวใช้เดินผ่านด้านนอกพอดี เขาเห็นอาหลินมีหน้าตาหมดจดจึงเกิดตัณหา หมายลากเข้าเรือน อาหลินทำทีขัดขืนอยู่พองาม ทั้งสองยื้อยุดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็เข้าไปด้วยกัน เจิ้งฝูตามมาถึงหน้าประตูแต่ไม่ได้เข้าไป
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอาหลินดังมาจากด้านใน
เจิ้งฝูรีบผลักประตูเข้าไป ก็เห็นภาพที่เจิ้งเฉิงนอนหมดสติอยู่บนเตียง
เขารีบวิ่งพรวดออกไปตะโกนเรียกคน เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ไม่ต้องเล่าแล้ว
ตามหลักแล้วผู้ที่ไร้การยับยั้งชั่งใจอย่างเจิ้งเฉิง สุขภาพจะทรุดโทรมก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่บุตรชายตายแล้ว เจิ้งอิงก็ไร้หนทางตามสั่งสอนได้อีก สาวใช้ผู้นั้นจึงกลายเป็นถูกโยนเผือกร้อนใส่มือ เจิ้งอิงเจ็บปวดเศร้าโศกจากการเสียบุตร โทสะที่จวนอู่อันโหวต้องเสียเกียรติด้วยเรื่องฉาวโฉ่ถูกระบายไปที่สาวใช้
ทว่าเรื่องนี้ยังมีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง หากสาวใช้คนนั้นขายตนเองมาเป็นบ่าวก็แล้วไป เจิ้งอิงอยากลงโทษอย่างไรก็ได้ ทุบตีให้ตายแล้วโยนลงบ่อน้ำเงียบๆ จากนั้นก็หาเหตุผลบ่ายเบี่ยงเฉไฉกับผู้คนภายนอก อ้างไฟในอย่านำออก ยิ่งไม่ต้องรบกวนให้ศาลซุ่นเทียนออกโรง ติดตรงที่สาวใช้คนนั้นเป็นบุตรหลานชาวบ้านทั่วไป ไม่ได้ลงนามขายตนเองกับสกุลอู่อันโหว
ในเมื่อเป็นอิสรชนคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถทุบตีสังหารได้ตามใจ มิฉะนั้นภายภาคหน้าจะทิ้งจุดอ่อนให้ผู้อื่นประณามได้ ผู้ที่ระวังรอบคอบอย่างเจิ้งอิงนั้นไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่
ฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะร้องเรียนทางการเป็นอันดับแรก
สาวใช้คนนั้นถูกเชือกมัดตัวเข้ามา บนตัวมีบาดแผลหลายแห่ง แก้มทั้งสองข้างมีรอยฝ่ามือ คาดว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วคงถูกเอาตัวไปสั่งสอนไม่เบา อาภรณ์ผมเผ้าล้วนยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง นางถูกผลักให้คุกเข่าลง เพียงเห็นรางๆ ก็ดูออกว่าหน้าตาหมดจด
“เจ้าชื่อแซ่อะไร” ถังฟั่นถาม
“บ่าวมีชื่อว่าอาหลินเจ้าค่ะ”
“เจ้าจงเล่าเหตุการณ์ในคืนนี้มาให้ละเอียด”
สาวใช้สะอึกสะอื้นพลางบอกเล่าต้นสายปลายเหตุ
อันที่จริงเหตุการณ์ที่นางเล่าแทบไม่ต่างจากที่เจิ้งฝูเล่า ต่างกันเพียงอาหลินยืนกรานว่าตนไม่ได้ทำอะไรกับเจิ้งเฉิงในเรือนทั้งสิ้น
เจิ้งอิงแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา “เพื่อให้ตนเองพ้นผิด เจ้าจะพูดอะไรก็ย่อมได้ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าเป็นบ่าวรับใช้อยู่เรือนส่วนหน้า ไฉนจึงไปอยู่เรือนส่วนหลังได้ ซ้ำยังเดินผ่านสวนฝั่งเรือนของคุณชายใหญ่ นั่นชัดเจนว่าเจ้าคิดใฝ่สูงอยากเป็นหงส์เหินฟ้า ยามนี้คนตายไปแล้ว เจ้ากลับจะปัดสัมพันธ์ให้พ้นตัวอย่างแทบอดรนทนไม่ไหว! ตอนที่ข้าบุกเข้าไป พวกเจ้าสองคนยังผ้าผ่อนไม่เรียบร้อย แม้แต่เจิ้งฝูก็บอกว่าเขายืนอยู่ด้านนอกอย่างน้อยหนึ่งก้านธูป เจ้ายังมีหน้าบอกว่าไม่มีอะไรอีกรึ! หรือจะให้ข้าหาคนมาตรวจร่างกายเจ้าจึงจะยอมพูดความจริง!”
อาหลินสะอื้น “ท่านโหวโปรดพิจารณา บ่าวกับนายน้อยต่างเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ หลังจากเข้าไปในเรือนแล้วนายน้อยก็บอกว่าร้อนมากจึงเริ่มถอดเสื้อออก จากนั้นก็บอกอีกว่าเวียนศีรษะ บ่าวจึงพยุงนายน้อยให้นั่งลง พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ นายน้อยก็ล้มลงบนตัวบ่าว หลังจากนั้น…จากนั้น…เจิ้งฝูก็พังประตูเข้ามา!”
เจิ้งอิงคร้านจะโต้เถียงกับสาวใช้ จึงหันไปมองพันปิน “ใต้เท้าพัน ท่านดูสิ สาวใช้ต่ำช้ายังดื้อด้านไม่รับผิด เห็นทีคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าออกหน้าแล้ว!”
พันปินรีบละล่ำละลัก “ท่านโหววางใจ หากการตายของคุณชายเกี่ยวข้องกับนางจริง ข้าย่อมตัดสินอย่างเป็นธรรมแน่นอน”
เจิ้งอิงไม่ใคร่จะพอใจกับคำตอบผิวเผินนี้อย่างเห็นได้ชัด
พันปินส่งสายตาให้ถังฟั่น
ถังฟั่นจึงเอ่ยถามเจิ้งฝูว่า “เมื่อครู่ที่อาหลินเล่ามา มีข้อแตกต่างอันใดกับที่เจ้าพบเห็นหรือไม่”
“เหตุการณ์หลังจากที่นายน้อยกับอาหลินเข้าไปในเรือนแล้วข้าน้อยมิทราบ ทว่าเรื่องอื่นล้วนตรงกันขอรับ”
ถังฟั่นถามต่อว่า “ตั้งแต่เจ้าไปเรียกคนจนย้อนกลับมาอีกครั้ง ใช้เวลานานเท่าไร”
“ประมาณหนึ่งเค่อ* ได้ขอรับ”
จากนั้นถังฟั่นก็ถามอาหลินอีกครั้ง “ระหว่างนี้มีคนมาหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
ถังฟั่นหันไปถามเจิ้งอิงว่า “ท่านโหว มิทราบว่าศพของคุณชายเจิ้งอยู่ที่ใด”
“อยู่ในห้อง” เจิ้งอิงกล่าว
“ข้าอยากเข้าไปดูเสียหน่อย”
“ใต้เท้าถังเชิญตามสะดวก”
เวลานี้ผู้พลิกศพเองก็มาถึงแล้ว ถังฟั่นจึงเข้าไปพร้อมกับเขา
ทั้งสองเปิดประตู สภาพข้าวของด้านในยังคงกระจัดกระจาย
เจิ้งเฉิงนอนอยู่บนเตียง อาภรณ์ยับยู่ยี่ ร่างกายยังมีความอุ่นเหลืออยู่น้อยนิด ทว่าใบหน้าขาวซีด หมดลมไปนานแล้ว
ผู้พลิกศพนั่งยองลงข้างศพ เปิดเปลือกตาและปากของเจิ้งเฉิง ก่อนจะยื่นมือไปตรวจจับบริเวณแขนขาพักหนึ่ง
ถังฟั่นตรวจดูรอบห้องครู่หนึ่ง เห็นผู้พลิกศพยังอยู่ตรงนั้นจึงเอ่ยถาม “เจออะไรหรือไม่”
ผู้พลิกศพลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไม่พบร่องรอยบาดแผลภายนอกที่ชัดเจน แต่ก็ดูไม่เหมือนสิ้นใจด้วยพลังหยางพร่องเฉียบพลัน…”
ถังฟั่นพยักหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย และตามไปตรวจดูศพด้วย
ผู้พลิกศพเอ่ยถาม “ใต้เท้าพบอะไรหรือไม่”
ถังฟั่นบอก “ออกไปก่อนค่อยว่ากัน”
ทั้งสองลุกเดินออกไป เจิ้งอิงและเว่ยอวี้รองผู้พิพากษารออยู่ข้างนอกพอดี เห็นพวกเขาออกมาจึงเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ”
ผู้พลิกศพวาจาไร้น้ำหนัก มีหรือจะกล้าปริปากก่อน จึงมองไปยังถังฟั่น
ถังฟั่นเก็บขวดเครื่องเคลือบสีขาวขวดหนึ่งได้จากข้างเตียง เวลานี้ยื่นมันไปตรงหน้าอาหลิน “นี่เป็นของเจ้าหรือไม่”
สาวใช้ส่ายหน้าระรัว ยืนกรานปฏิเสธ
เขาถามเจิ้งฝู อีกฝ่ายอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ก่อนจะยอมรับว่า “ลูกกลอนในขวดชื่อว่า ‘ฟู่หยางชุน’ มีสรรพคุณเพิ่มพลังหยางและบำรุงไต ตำรับยานี้นายน้อยหามาเอง ส่วนยานั้นให้ร้านขายยาปรุงให้”
เจิ้งอิงฟังแล้วทั้งโกรธทั้งอับอาย สำราญไปวันๆ ไม่พอ ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ ก็ใช้ยาตำรับพรรค์นี้เข้าช่วย หากไม่ใช่ว่าคนตายไปแล้ว เขาอยากจับบุตรชายจอมอกตัญญูแขวนแล้วเฆี่ยนตีให้หนักด้วยซ้ำ
เวลานี้เขายิ่งมั่นใจว่าบุตรชายเสียชีวิตด้วยอาการพลังหยางพร่องเฉียบพลันขณะกำลังจะมีสัมพันธ์ทางกายกับสาวใช้คนนั้น จึงเดือดดาลจนอยากตวัดกระบี่บั่นคอหญิงแพศยาใฝ่สูงให้รู้แล้วรู้รอด
ถังฟั่นเทยาลูกกลอนในขวดเครื่องเคลือบออกมาดม ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ท่านโหว เหล่าฮูหยินของคุณชายอยู่ที่ใด ก่อนและหลังคืนนี้ได้พบใครบ้าง ช่วยเชิญคนเหล่านั้นมาด้วย ส่วนคนอื่นๆ นั้นให้ไปได้แล้ว”
เจิ้งอิงไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ให้ความร่วมมือ ไม่นานก็เรียกคนมารวมตัว
เจิ้งเฉิงมีภรรยาเอกหนึ่งคนกับอนุอีกสาม ดูแล้วไม่มาก ทว่านั่นเป็นเพราะเขาชอบสรรหาดอกไม้ริมทางข้างนอก สตรีที่เลอโฉมเพียงใดเมื่อถูกแต่งเข้าสกุลไม่เกินสามวันเขาก็จะเบื่อหน่ายแล้ว ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่อายุสิบห้าเป็นต้นมา สตรีที่อยู่ข้างกายเขาได้นานก็มีเพียงสี่คนนี้เท่านั้น
ภรรยาเอกของเขาคือเจิ้งซุนซื่อ* เป็นหลานของอิงเฉิงป๋อ ถือกำเนิดในสกุลชนชั้นสูงเช่นเดียวกัน ฐานะคู่ควรกับสกุลของอู่อันโหว ในตอนนั้นก็เป็นคู่ที่สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก บัดนี้เจิ้งซุนซื่อในวัยสะพรั่งเพียงยี่สิบสี่กลับกลายเป็นม่ายด้วยความเจ้าชู้หลายใจของเจิ้งเฉิง ต่อให้เป็นยามที่เขายังมีชีวิตอยู่ ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาก็คงดีไปไม่ถึงไหน ทว่าเจิ้งซุนซื่อผู้นี้กลับเลื่องชื่อว่าเป็นกุลสตรีเปี่ยมคุณธรรม แม้กระทั่งถังฟั่นก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนาง
เวลานี้ภรรยาและอนุรวมสี่คนยืนอยู่ตรงนั้น สามคนล้วนก้มหน้าซับน้ำตา มีเพียงเจิ้งซุนซื่อที่มีสีหน้าขาวซีด ไม่ปริปากพูดจา คาดว่าคงเศร้าโศกเสียใจมากจนร่ำไห้ไม่ออก กระทั่งเจิ้งอิงเองก็เอ่ยปลอบเสียงนุ่มว่า “สะใภ้เอ๋ย เจ้าแต่งเข้าสกุลมาห้าปี ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่สามีราวกับบิดามารดาแท้ๆ กตัญญูรู้คุณ กลับเป็นสกุลเจิ้งของเราที่บกพร่องต่อเจ้า วันนี้เจ้าลูกอกตัญญูของข้าคนนั้นจากไปแล้ว กลับมิได้ทิ้งทายาทสืบสายโลหิตไว้ ข้าจะหาวันหารือกับสกุลของเจ้า ให้รับเจ้ากลับบ้านเดิม จะได้ไม่ถ่วงอนาคตเจ้า!”
นางกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านพ่ออย่าได้พูดอีกเลย ในฐานะภรรยาก็ควรเคร่งครัดในหน้าที่ วันนี้ข้าหวังเพียงท่านพี่จะได้สู่สุคติโดยเร็ว”
เจิ้งอิงทอดถอนใจเฮือกหนึ่งและไม่เอ่ยคำอีก
นอกจากเจิ้งซุนซื่อแล้ว ยังมีอนุอีกสามคน ได้แก่ หวั่นเหนียง ฮุ่ยเหนียง และอวี้เหนียง
หวั่นเหนียงอายุมากที่สุด เป็นหญิงที่มีความสง่า เป็นผู้ที่ติดตามเจิ้งเฉิงมานานที่สุด เข้าสกุลก่อนเจิ้งซุนซื่อเสียด้วยซ้ำ นิสัยใจคอซื่อตรงเรียบง่าย ปกติจึงค่อนข้างไร้ตัวตนยามอยู่ในจวนโหว
ฮุ่ยเหนียงรูปโฉมงดงามที่สุด ในอดีตเคยได้รับความโปรดปรานอยู่ระยะหนึ่ง
อวี้เหนียงอายุน้อยช่างเอาใจ ตอนที่เจิ้งเฉิงยังมีชีวิตอยู่ นางเป็นอนุที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด
ยามนี้ทั้งสามมีท่าทีแตกต่างกันไป
หวั่นเหนียงร่ำไห้เงียบๆ อยู่หลังเจิ้งซุนซื่อ ฮุ่ยเหนียงฟูมฟายเสียงดัง ส่วนอวี้เหนียงไม่ได้ส่งเสียงดังเช่นฮุ่ยเหนียง แต่การร้องไห้ของนางกลับมีเสน่ห์นุ่มนวลสะกดใจ เห็นได้ว่าการที่นางได้เป็นอนุคนโปรดใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว
ผู้ที่เชี่ยวชาญการสังเกตคนอย่างถังฟั่น ต่อให้ไม่มีใครบอก เขาก็มองออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮุ่ยเหนียงและอวี้เหนียงไม่น่าจะปรองดองนัก การหึงหวงริษยากันน่าจะเป็นเรื่องปกติ
ถังฟั่นหยิบขวดเครื่องเคลือบสีขาวขวดนั้นออกมา เอ่ยถามพวกนางว่าเคยเห็นหรือไม่ เหล่าภรรยาล้วนปฏิเสธ
ถามพวกนางอีกว่าตอนที่เหตุเกิดอยู่ที่ใดกัน หญิงทั้งสี่ก็เล่าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีบ่าวรับใช้ประจำตัวเป็นพยาน ดูแล้วไม่เหมือนโป้ปดตบตา
เจิ้งอิงมองดูถังฟั่นวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ก็อดถามไม่ได้ “ใต้เท้าถังยังมีอะไรจะสอบปากคำอีกหรือไม่”
เขาคิดว่าเรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน ไม่จำเป็นต้องซักไซ้สอบถามเสียด้วยซ้ำ ลากตัวสาวใช้ปากแข็งคนนั้นกลับไปทรมานเสียก็สิ้นเรื่อง มิพักก็สารภาพหมดเปลือกแล้ว เหตุใดจึงต้องเรียกผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาอีก หรือคิดจะทำให้สาวใช้นั่นไร้ความผิด?
ถังฟั่นกล่าว “เรื่องที่ต้องถามก็ถามไปแล้ว ข้าจะขอคุยกับท่านโหวและท่านผู้ว่าการศาลเป็นการส่วนตัว”
เจิ้งอิงจึงให้คนอื่นๆ แยกย้ายกลับห้อง และเชิญทั้งสองไปที่ห้องหนังสือของตนเอง
เมื่อเข้ามาในห้องหับมิดชิดแล้ว เจิ้งอิงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “มีเรื่องอันใด เชิญใต้เท้าถังพูดมาได้เลย”
“ขอถามท่านโหว คุณชายสุขภาพไม่สู้ดีมาตั้งแต่เล็กใช่หรือไม่” ถังฟั่นถาม
เหตุใดจึงถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมากัน เจิ้งอิงตอบโดยข่มความไม่สบอารมณ์ไว้ “ถูกต้อง”
ถังฟั่นถามต่อ “เคยหาหมอหรือไม่ แล้วหมอว่าอย่างไร”
“หมอบอกว่าเป็นโรคโดยกำเนิดจากครรภ์มารดา พื้นร่างกายไม่สู้ดีแต่แรกคลอด ทว่าไม่มีผลร้ายอะไร”
“คุณชายผอมแห้งแรงน้อย มีบุตรได้ยาก คาดว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้”
“ถูกต้อง ใต้เท้าถังอยากพูดอะไรกันแน่”
“หากข้าเดาไม่ผิด การตายของคุณชายอาจมีข้อน่าสงสัย”
เจิ้งอิงชะงักงัน “ไยจึงพูดเช่นนั้น”
“พลังหยางพร่องเฉียบพลันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าสิ้นคาอก หากสลบไปแล้วช่วยให้ฟื้นคืนสติไม่ทันเวลาก็จะเสียชีวิตได้ ผู้เป็นหมอคิดว่านั่นเกิดจากปราณหยางขาดพร่อง ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยย่อมมีวงสีแดงบนฝ่ามือ ในวงนั้นจะมีเส้นเอ็นแดง สั่งสมนานวันเข้า ใช่ว่าจะไร้เค้าลาง ทว่าเมื่อครู่ข้าตรวจดูฝ่ามือของคุณชายกลับไม่มีอาการลักษณะนี้ปรากฏ”
เจิ้งอิงไหวพริบฉับไว “ความหมายของท่านคือการตายของลูกชายข้ามาจากสาเหตุอื่นรึ”
ถังฟั่นไม่ได้ตอบคำถามนั้น กล่าวต่อไปว่า “หากตายเพราะพลังหยางพร่องเฉียบพลัน เมื่อเปิดเปลือกตาจะเห็นว่าดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ภาวะนี้ก็ไม่พบบนร่างคุณชายเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อครู่ข้าจึงได้ถามท่านโหวเรื่องที่คุณชายซูบผอมโดยกำเนิดใช่หรือไม่ คิดว่าแม้คุณชายจะมีพลังหยางขาดพร่องไปบ้าง ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิตได้ เพียงแต่เพราะยามปกติหมกมุ่นในกาม จึงทำให้คนเข้าใจผิด”
ผู้ที่เข้าใจผิดไม่ได้มีเพียงคนสองคน แม้กระทั่งเจิ้งอิงบิดาแท้ๆ เองก็คิดเหมือนกันไม่ใช่หรือว่าบุตรชายเสียชีวิตเพราะตัณหาจัดเกินไป
เจิ้งอิงตื่นตะลึง สีหน้าเดือดดาล “ใครช่างบังอาจ ถึงได้คิดร้ายกับบุตรชายคนโตของอู่อันโหวเช่นข้า!”
“เมื่อครู่ตอนที่ข้ากับผู้พลิกศพเข้าไปตรวจดู พบว่าร่างกายของคุณชายสะอาดสะอ้าน ปราศจากคราบไคล นั่นบ่งบอกว่าสาวใช้อาหลินไม่ได้กล่าวเท็จ ทั้งสองไม่ได้ร่วมเตียงกันจริง ในเมื่อคุณชายไม่ได้เสียชีวิตเพราะพลังหยางพร่อง เช่นนั้นย่อมต้องมีสาเหตุอื่น อีกทั้งอาหลินก็เล่าว่าคุณชายเกิดอาการวิงเวียนหลังจากกิน ‘ฟู่หยางชุน’ บางทีปัญหาอาจอยู่ที่ยาในมือข้าขวดนี้ ทว่าเหล่านี้ล้วนเป็นการคาดเดาด้านเดียวของข้าเท่านั้น เรื่องนี้ยังต้องรอพิสูจน์แน่ชัด” บุรุษหนุ่มกล่าวจบแล้วก็ถามอีกว่า “ปกติคุณชายมีศัตรูหรือไม่”
เจิ้งอิงนิ่งเงียบ โทสะปนความตะลึงค่อยๆ สงบลง
คุณชายเจ้าสำราญไม่เอาไหนอย่างเจิ้งเฉิงจะมีศัตรูที่ตามอาฆาตพยาบาทได้อย่างไร
แต่จะบอกว่าไม่มีเลย ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เจิ้งอิงไม่ได้มีทายาทเพียงแค่เจิ้งเฉิงคนเดียว ในจวนโหวอันกว้างใหญ่มีสามภรรยาสี่อนุ บุตรหลานมากมาย เรื่องในเรือนไม่เหมาะจะนำออก กฎหมายแห่งต้าหมิงเองก็มิได้ระบุว่าบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกเท่านั้นจึงจะสืบทอดตำแหน่งโหวได้ หากไม่มีบุตรจากภรรยาเอก บุตรชายคนอื่นเมื่อได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักแล้วก็สามารถสืบบรรดาศักดิ์ได้เช่นกัน นั่นจึงทำให้เจิ้งเฉิงเป็นเป้าโจมตีในเรือน หากเขาปราดเปรื่องมีความสามารถก็แล้วไป กลับเอาแต่ลอยชายอยู่ในหอนางโลมโคมเขียวทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะให้พี่น้องคนอื่นๆ ยอมรับจากใจได้อย่างไร
ต่อมาคืออุปนิสัยของเจิ้งเฉิง กระทั่งถังฟั่นเดินเตร่อยู่บนถนนก็ยังถูกเขาตอแยได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คนไร้อำนาจซึ่งเป็นที่ถูกตาต้องใจเขา มีบางคนคับแค้นอาฆาตหวังแก้แค้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
อีกอย่างในบรรดาคุณชายเจ้าสำราญทั้งหลายก็ใช่ว่าไร้การชิงดีชิงเด่น โทสะพวยพุ่งเข้าประลองด้วยกำลังแล้วผิดใจกลายเป็นศัตรูกันก็มีให้เห็นเป็นปกติ
เมื่อใคร่ครวญแล้ว จึงมีความเป็นไปได้หลายทางเหลือเกิน แทบจะคลำทิศทางคาดเดาต่อไม่ได้
พันปินเห็นอู่อันโหวเศร้าหมองเงียบงันจึงเอ่ยกล่าว “ท่านโหว เมื่อเกิดเหตุนี้ย่อมต้องกระเทือนถึงฝ่าบาทแน่ ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงมีราชโองการ ศาลซุ่นเทียนจะตรวจสอบให้ชัดเจนสุดความสามารถ ตามจับตัวฆาตกร เพื่อเป็นการส่งดวงวิญญาณของคุณชายสู่สุคติ”
เจิ้งอิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าพันแล้ว”
พันปินเองก็เติบโตในสกุลชนชั้นสูง รู้ซึ้งว่าการแก่งแย่งชิงดีในสกุลเจิ้งนั้นไม่ได้ปรานีไปกว่าเหล่าใต้เท้าในราชสำนักเลย ยิ่งวิธีการโหดเหี้ยมยิ่งเป็นที่สะเทือนขวัญและเล่าลือ เกิดสืบสวนว่าฆาตกรเป็นคนในสกุลเจิ้งจริง เช่นนั้นได้กลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดแน่
เจิ้งอิงคิดแล้วหัวใจพลันเย็นวาบ ความตะลึงปนโกรธแค้นที่ได้ยินว่าฆาตกรอาจเป็นคนอื่นเมื่อครู่มลายหายวับ
พันปินถามไถ่เอ่ยปลอบไปอีกไม่กี่ประโยคก็ลุกขึ้นขอลา ก่อนไปถังฟั่นกล่าวกับเจิ้งอิงว่า “ท่านโหว เรื่องนี้ไม่ใช่คดีธรรมดา เพื่อเป็นการสะดวกแก่การตรวจสอบ พวกเราหวังว่าจะสามารถนำร่างของคุณชายกลับไป”
เจิ้งอิงขมวดคิ้วแน่น เห็นชัดว่าไม่ชอบใจ “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ”
“จะตรวจสอบสาเหตุการตายของคุณชาย ยังต้องเริ่มจากจุดนี้”
“ลูกข้าเป็นบุตรชายคนโตแห่งอู่อันโหว จะทำอย่างสามัญชนได้อย่างไร ร่างของเขา จวนของเราจะเก็บรักษาเอง ครบเจ็ดวันก็จะจัดการฝัง”
นัยที่ซ่อนเร้นนั้นคือหากเจ้าไม่สามารถสืบหาความจริงได้ภายในเจ็ดวัน ลูกชายข้าก็รอนานเช่นนั้นไม่ได้แล้ว ย่อมต้องทำพิธีฝัง
ไม่รอให้ถังฟั่นตอบ พันปินก็ชิงกล่าว “นี่ย่อมแน่นอน การอันใดยังต้องคำนึงถึงผู้วายชนม์เป็นสำคัญ อย่างไรก็ต้องทำพิธีกลับคืนสู่ผืนดิน ท่านโหวโปรดหักห้ามใจ เช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน”
ถังฟั่นกล่าวต่อ “ท่านโหว สาวใช้ที่ชื่ออาหลินคนนั้น ตามกฎแล้วศาลซุ่นเทียนก็ต้องนำตัวไปด้วย”
หนนี้เจิ้งอิงไม่ได้พูดอะไร ยกมือขึ้นโบกทันที ให้คนพาสาวใช้คนนั้นมา แล้วมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลซุ่นเทียน
พอออกจากจวนอู่อันโหว พันปินก็ปั้นหน้าเคร่งขรึมต่อว่าถังฟั่น “รุ่นชิงเอ๋ย เรื่องวันนี้เจ้าบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ!”
ถังฟั่นทำหน้าไม่รู้เรื่องพลางเอ่ยถาม “ใต้เท้า เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น”
“เมื่อครู่เจ้าก็ไม่ควรบอกกล่าวเรื่องภายหลังเหล่านั้นกับท่านโหว การตายของเจิ้งเฉิงมีสาเหตุอื่นหรือไม่ อย่างไรก็เป็นเพียงการสันนิษฐานของเจ้า เกิดสืบเจออะไรเข้าจะยุ่งยากเอา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรตอนที่อู่อันโหวออกมาส่งเราแล้วก็เปลี่ยนทีท่า เพราะเขากลัวว่าฆาตกรจะเกี่ยวข้องกับคนในสกุล ถึงตอนนั้นเสียบุตรชายไปคนหนึ่งไม่พอ เผลอๆ อาจต้องทดเพิ่มอีกคน”
ถังฟั่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “ใต้เท้า หากเรานิ่งดูดาย น่ากลัวจะทำให้คดีเกิดความไม่เป็นธรรม”
พันปินหัวเสียเป็นอย่างมาก คิดในใจว่า ข้าบอกใบ้ถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังคิดไม่ได้อีก เจิ้งอิงเสียบุตรชายไป แม้แต่ผู้เป็นบิดาแท้ๆ เองก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ แล้วพวกเราจะยุ่งวุ่นวายให้มากเรื่องไปไย อีกประการ จักรพรรดิย่อมต้องเห็นแก่ขุนนางผู้มีคุณงามความดีต่อบ้านเมือง ห่วงใยความรู้สึกของเจิ้งอิง ถึงเวลาหากศาลซุ่นเทียนสืบสาวอะไรได้ก็จะกลายเป็นการผิดใจกับผู้อื่นเปล่าๆ
ถังฟั่นเองก็อ่อนใจเล็กน้อย ชั่วดีอย่างไรผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนก็เป็นถึงขุนนางขั้นสาม แต่พันปินกลับยังขลาดเขลาอ่อนแอเช่นนี้ เพียงสืบคดีฆาตกรรมคดีเดียวก็ยังห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่แปลกที่ใต้เท้าผู้นี้รับราชการมาหลายปีกลับมิได้เลื่อนตำแหน่งเสียที
ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในจวนอู่อันโหวครึ่งค่อนคืน เมื่อออกมา ด้านนอกเพิ่งจะตีกลองบอกเวลาเช้าพอดี ผู้คนที่ตื่นเช้าสัญจรไปมาเริ่มมากขึ้น อากาศยังเจือความเย็นจากหมอกน้ำค้างไม่จางหาย ถังฟั่นเห็นข้างทางมีคนตั้งร้านแผงลอยขายอาหารเช้าแล้วจึงบอกพันปินด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนคืน ป่านนี้น่าจะหิวแล้ว ข้าเลี้ยงอาหารเช้าท่านเป็นอย่างไร”
พันปินได้ยินเขาเปลี่ยนคำเรียกขาน สีหน้าซึ่งบูดบึ้งในตอนแรกกลับค่อยๆ อ่อนลง จะว่าไปก็เริ่มรู้สึกหิวจนท้องร้องแล้วเช่นกัน
ทั้งสองต่างอยู่ในชุดอาภรณ์ปกติ จึงไม่เป็นที่สะดุดตานัก
เถ้าแก่ร้านแผงลอยเห็นพวกเขาหาโต๊ะนั่งลง ก็ไม่ได้กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ เพียงยืนตะโกนถามอยู่ตรงนั้น “คุณชายทั้งสอง รับอะไรดี”
“บะหมี่หน้าเนื้อสับสองชาม!” ถังฟั่นตะโกนสั่ง
เถ้าแก่ตะเบ็งตอบเสียงสูง “ได้เลย!”
ไม่นาน บะหมี่หน้าเนื้อสับสองชามที่ร้อนจนไอขึ้นก็ถูกนำมาวางตรงหน้าทั้งสอง
บนน้ำแกงร้อนๆ ที่หอมฉุยโรยด้วยต้นหอมซอยสีเขียวสด ช่วยให้เจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง
พันปินกับถังฟั่นหิวจริงๆ พวกเขาหยิบตะเกียบขึ้นก้มหน้าก้มตากินกันโดยไม่พูดไม่จา
กิริยายามกินของถังฟั่นสุภาพเรียบร้อย ทว่าความเร็วกลับไม่ช้ากว่าพันปินเลย ซ้ำยังเร็วกว่าด้วย
เมื่อใต้เท้าพันค่อยๆ ซดน้ำแกงในชามจนหมด ถังฟั่นก็วางตะเกียบลงแล้ว
ก่อนที่พันปินจะเอ่ยปากอบรมเขา ถังฟั่นก็ชิงกล่าว “ศิษย์พี่ อันที่จริงเรื่องนี้ต่อให้อู่อันโหวต้องการปกปิดก็ใช่ว่าจะทำได้ตลอด”
พันปินถาม “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
“ศิษย์พี่ยังจำได้หรือไม่ว่าปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น”
พันปินครุ่นคิด แล้วก็หน้าเปลี่ยนสี “เจ้าหมายถึง…”
เขาหยิบตะเกียบอันหนึ่งขึ้นแตะน้ำแกงแล้วเขียนคำว่า ‘ซี’ บนโต๊ะ
ถังฟั่นพยักหน้า
คำว่า ‘ซี’ นี้มิได้หมายถึงทิศตะวันตก และไม่ใช่ซีที่มาจากคำว่าดินแดนสุขาวดี*
หากเป็นซีจากคำว่าซีฉ่าง หรือสำนักประจิม**
ต้าหมิงสืบราชวงศ์มาถึงจักรพรรดิเฉิงฮว่าพระองค์นี้ นับเป็นจักรพรรดิองค์ที่แปดแล้ว
ยามที่พระราชบิดาของจักรพรรดิเฉิงฮว่า หรือจักรพรรดิอิงจงครองราชบัลลังก์ ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์…ซึ่งก็คือศึกกบฏป้อมถู่มู่ เล่ากันตามตรงแล้ว ความจริงก็คือขันทีคนหนึ่งที่ชื่อหวังเจิ้นยุยงให้จักรพรรดิอิงจงยกทัพปราบชนเผ่าหว่าล่าเชื้อสายมองโกลตะวันตกด้วยพระองค์เอง จักรพรรดิอิงจงกระตือรือร้นตามแรงยุ กรีธาทัพนำเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารไปทำศึก ปรากฏว่าขันทีสมควรตายผู้นั้นถูกสังหาร จักรพรรดิถูกจับตัวเป็นเชลย เหล่าขุนนางยอดฝีมือถูกสังหารจนสิ้น ยามนั้นทัพหว่าล่ากำลังจะตีเข้าเมืองหลวงแล้ว อวี๋เชียนนำทัพออกมาตั้งรับเผชิญศึก จึงรักษาเมืองหลวงให้พ้นเภทภัยไว้ได้ จักรพรรดิหงอู่และจักรพรรดิหย่งเล่อจึงไม่ถึงขั้นโกรธแค้น ลุกจากโลงมาตวาดด่าทอว่าทายาทสืบบัลลังก์ไร้ซึ่งความสามารถ
ระหว่างที่พระราชบิดาถูกจับเป็นเชลย ยามนั้นจักรพรรดิเฉิงฮว่ายังทรงพระเยาว์ แต่บ้านเมืองก็ไม่อาจไร้ผู้ครองบัลลังก์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกชนเผ่าหว่าล่าข่มขู่คุกคาม อวี๋เชียนกับขุนนางฝ่ายพลเรือนจึงสถาปนาพระอนุชาของจักรพรรดิอิงจง ซึ่งก็คือเสด็จอาของจักรพรรดิเฉิงฮว่าขึ้นครองราชสมบัติ
ปรากฏว่าชนเผ่าหว่าล่าผู้ไร้คุณธรรมกลับปล่อยตัวจักรพรรดิอิงจงกลับมา พยัคฆ์สองตัวไม่อาจอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ น้องชายมีหรือจะสละบัลลังก์คืนให้พี่ชาย จึงกักบริเวณจักรพรรดิอิงจง
คืนหนึ่งในอีกหลายปีต่อมา จักรพรรดิอิงจงกลับขึ้นครองบัลลังก์ภายใต้การอารักขาของขุนนางใหญ่หลายคน ฟ้าเปลี่ยนสีบารมีเปลี่ยนข้าง หนนี้ถึงคราวเสด็จอาของจักรพรรดิเฉิงฮว่าเป็นฝ่ายถูกจองจำบ้างแล้ว
ผ่านไปอีกไม่กี่ปี จักรพรรดิอิงจงเสด็จสวรรคต ท้ายที่สุดบัลลังก์ก็ตกไปอยู่กับจักรพรรดิเฉิงฮว่าที่เป็นพระโอรส
จักรพรรดิเฉิงฮว่าผู้เกือบคลาดจากบัลลังก์เพิ่งขึ้นครองราชสมบัติ ยามนั้นบรรดาขุนนางก็นับว่าใจซื่อมือสะอาด เพียงแต่ความสงบสุขมักอยู่ไม่นาน เดิมทีพระองค์เองก็มิใช่คนเคร่งครัดในราชกิจ เมื่อใดที่คนเกียจคร้านเคยชินกับความสบาย ก็ยากจะขยันขันแข็งขึ้นมาได้
แม้ทั้งในและนอกราชสำนักล้วนบอกว่าวั่นกุ้ยเฟย* ต่างหากที่เป็นต้นเหตุแห่งเภทภัยหายนะ ทว่าถังฟั่นไม่ได้มองเช่นนั้น แม้สตรีคนหนึ่งจะสร้างหายนะได้เพียงใด ความสามารถก็ย่อมมีจำกัด หากไม่มีจักรพรรดิคอยเชื่อฟังและทำตาม ต่อให้มีสนมโฉดชั่วอีกนับสิบแล้วจะทำอันใดได้ อีกทั้งวั่นกุ้ยเฟยเหิมเกริมวางอำนาจก็เฉพาะเพียงตำหนักใน มิได้มีผลกระทบกับราชสำนักมากนัก ไล่เรียงแล้วก็ยังเป็นจักรพรรดิเฉิงฮว่าเองที่ไม่อยากว่าราชกิจ ทรงหลงใหลในวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ผลักภาระราชกิจบ้านเมืองทั้งหมดให้กับขุนนางในราชสำนัก และเชื่อมั่นไว้ใจขันทีเป็นอย่างมาก จึงทำให้ราชสำนักโกลาหลวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ
เทียบกับขุนนางราชสำนักแล้ว ขันทีจึงจะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิมากที่สุด เพื่อให้ทำงานสะดวก บวกกับผลประโยชน์ต่างๆ นานา เหล่าขุนนางย่อมตีสนิทกับเหล่าขันที เมื่อเป็นเช่นนั้น ในราชสำนักจึงมีเรื่องเล่าตลกขบขันว่า ‘สามเสนาเสือกระดาษ หกเจ้ากรมหุ่นดินปั้น’ ความหมายคือเหล่าขุนนางอาวุโสผู้กุมอำนาจบ้านเมือง กลับต้องคอยดูสีหน้าของขันทีประจำพระองค์ พินอบพิเทา ไม่กระทำการตามหน้าที่
ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่อาจวาดหวังว่าบ้านเมืองจะโปร่งใสได้ ปัญญาชนผู้ปราดเปรื่องทอดถอนสะท้านใจ ล้วนตัดพ้อว่ามีคนถ่อยรายล้อมรอบกายจักรพรรดิ ในมีขันทีก่อกรรมทำชั่ว นอกมีขุนนางเบาปัญญาขวางทาง ความรุ่งเรืองแข็งแกร่งอย่างในรัชสมัยของจักรพรรดิหงอู่และจักรพรรดิหย่งเล่อนั้นยิ่งมิต้องวาดฝันแล้ว กระทั่งจะฟื้นคืนความโปร่งใสในรัชสมัยจักรพรรดิเหรินจงและจักรพรรดิเสวียนจงกลับคืนมาได้หรือไม่ ก็กล่าวได้ยากเหลือเกิน
เมื่อเดือนสองปีที่แล้ว ขันทีวังจื๋อรับราชโองการให้สถาปนาสำนักประจิม เพื่ออวดศักดาบารมี เมื่อแรกก่อตั้งสำนักประจิมเขาก็จับกุมคนไปไม่น้อย ในนั้นไม่เพียงมีชาวบ้านที่ ‘บังอาจวิจารณ์ราชสำนัก’ ยังมีขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักหมอหลวงเจี่ยงจงอู่นั้นไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว แม้กระทั่งขุนนางตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีประจำหกกรม ผู้ว่าการมณฑลล้วนไม่รอด วังจื๋อจับกุมโดยไม่ได้ทูลจักรพรรดิ เพราะในตำหนักในมีคนช่วยพูดจาสนับสนุนเขา บวกกับเขาเองก็ถนัดประจบสอพลอ จักรพรรดิเฉิงฮว่าไม่ซักไซ้ให้มากความ ผู้คนมากมายถวายฎีการ้องเรียนไร้ผล กลับถูกวังจื๋อย้อนเล่นงาน
ในเวลาเพียงไม่นาน อำนาจของสำนักประจิมก็แผ่ขยาย ไล่ต้อนสำนักบูรพา* และองครักษ์เสื้อแพร ทั้งราชสำนักและราษฎรต่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง จนทำให้พันปินถึงขั้นไม่กล้าเรียกชื่อนั้นโดยตรง เพียงใช้อักษรเอ่ยแทน ด้วยการเขียนคำว่า ‘ซี’
เห็นถังฟั่นพยักหน้า เขาจึงถามว่า “ที่นั่นเกี่ยวอะไรกับคดีจวนอู่อันโหว เจ้าอย่าโยงส่งเดช!”
“ศิษย์พี่ยังจำคดี ‘จิ้งจอกมาร’ เมื่อสองปีก่อนได้หรือไม่”
พันปินหน้าถอดสีอีกครั้ง
ถังฟั่นแย้มยิ้ม ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ท่านมิต้องตระหนกไป ซ่อนใบไม้ย่อมต้องซ่อนในป่า พูดที่นี่กลับจะไม่เป็นที่สังเกตสนใจ”
สองปีก่อน ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ เมืองหลวงก็มีเรื่องเล่าของสัตว์ปีศาจหางยาวนัยน์ตาสีทอง เที่ยวอาละวาดก่อเหตุไปทั่ว เล่ากันว่าผู้ที่พบเห็นสัตว์ปีศาจนี้จะหมดสติ ภายหลังลือกันว่ายังมีคนหมดสติจนถึงแก่ความตาย ถูกสัตว์ปีศาจถลกหนังไปสวมบนร่างกาย แล้วจำแลงรูปโฉมเป็นคนผู้นั้น ข่าวลือสะพัด ผู้คนหวาดกลัว เวลานั้นมีนักพรตคนหนึ่งนามว่าหลี่จื่อหลงปรากฏตัว ใช้วิชามารสมคบกับขุนนางและฝ่ายใน เพื่อหาโอกาสปลงพระชนม์จักรพรรดิ เหตุนี้เองจึงมีคนโยงสัตว์ปีศาจตนนั้นกับหลี่จื่อหลงเข้าด้วยกัน ซ้ำยังบอกว่าความจริงแล้วนักพรตหลี่เป็นจิ้งจอกมารตัวหนึ่งที่จักรพรรดิหงอู่เคยสังหาร เวลานี้จักรพรรดิหงอู่ไม่อยู่แล้ว จึงมาล้างแค้นกับทายาทของเขา
แม้ภายหลังหลี่จื่อหลงจะถูกประหาร และข่าวลือต่างๆ ค่อยๆ หายไป ทว่าเมื่อจักรพรรดิเฉิงฮว่าได้ฟังเรื่องนี้ก็ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก ถึงขั้นเห็นว่าสำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนพึ่งพาไม่ได้ จำเป็นต้องก่อตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นใหม่เพื่อคุ้มกันตนโดยเฉพาะ สำนักประจิมจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้
ถังฟั่นเล่าต่อว่า “หลังคดีจิ้งจอกมาร หน่วยประจิมจึงเกิดขึ้น และใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการจับกุมคนกลุ่มหนึ่งได้พอดี นอกจากจะประจบสอพลอต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ยังแสดงให้เห็นว่าสำนักประจิมทำภารกิจได้มากกว่าสำนักบูรพาและองครักษ์เสื้อแพร ทั้งยังอยากอวดศักดาสำแดงฤทธิ์ให้เหล่าขุนนางเห็นแล้วกริ่งเกรง วันนี้เกิดเรื่องของเจิ้งเฉิงขึ้น ต่อให้อู่อันโหวปรารถนาให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเล็ก แต่วังจื๋อต้องฉวยโอกาสแผลงฤทธิ์ ทูลให้ฝ่าบาททรงสืบสวนให้ถึงที่สุดแน่ ไม่แน่อาจยื่นมือเข้าสอดด้วย เช่นนี้ก็สามารถอวดบารมีของสำนักประจิมอย่างแจ่มชัดแล้ว”
พันปินส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ แม้ยามนี้สำนักประจิมจะเสมือนอาทิตย์กลางหาว ทว่าอยู่ดีๆ เหตุใดวังจื๋อจึงต้องล่วงเกินอู่อันโหวเล่า”
“เพื่อประกาศศักดาท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง เพื่อให้คนในใต้หล้ารู้ว่าเขาไม่เพียงกล้าจับกุมขุนนาง แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ล่วงเกินได้โดยไม่ยี่หระ เมื่อผู้คนใต้หล้าล้วนยำเกรงแล้ว ต่อไปเขาอยากทำอะไรก็ยิ่งสะดวกดาย”
“เช่นนั้นก็รอให้สำนักประจิมสอดมือเข้ามายุ่งก่อนค่อยว่ากันเถอะ ถึงเวลาหากสำนักประจิมยินดี ศาลซุ่นเทียนเราจะได้ล่องเรือตามน้ำ ปัดเรื่องตึงมือนี้ให้พวกเขาไปสะสางจัดการ” พันปินกล่าว
ถังฟั่นส่ายหน้า รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย เขากับอาจารย์เคยวิจารณ์ศิษย์พี่คนนี้ด้วยกัน ว่าพันปินนั้น ‘การสำเร็จมีไม่มาก คิดการธรรมดา ประจันศึกถอยตั้งมิทันรบ’ มานึกเอาวันนี้ก็ไม่ผิดจากคำวิจารณ์เสียจริง
ด้านพันปินก็แสนกลัวว่าถังฟั่นจะยึดความคิดตนเองจนก่อเรื่องอะไรขึ้นมา จึงหันกลับมากำชับว่า “เรื่องนี้ทางอู่อันโหวย่อมถวายฎีกาแน่ รอฝ่าบาททรงมีราชโองการแล้วค่อยว่ากัน เจ้าอย่าได้ทะเล่อทะล่าไปที่จวนอู่อันโหวแล้วจะตรวจสอบศพของเจิ้งเฉิงอะไรนั่นอีกล่ะ!”
ถังฟั่นหลุดขำ ก่อนเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ข้าดูเป็นคนนิสัยมุทะลุเช่นนั้นหรือ”
พันปินตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ใช่น่ะสิ ท่านอาจารย์บอกว่าเจ้าเป็นคน ‘สุขุมรอบคอบ มีกลิ่นอายวิญญูชนแห่งโบราณกาล’ แต่จากถ้อยคำชวนตะลึงที่เจ้ากล่าวที่จวนอู่อันโหวเมื่อครู่ กลับดูมุทะลุบุ่มบ่ามเสียมากกว่า!”
สาเหตุใดจึงทำให้ขุนนางขั้นสามอย่างผู้ว่าการศาลซุ่นเทียน กับขุนนางขั้นหกเล็กๆ เรียกขานกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง
แท้แล้วก็เป็นเรื่องราวที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง นั่นเพราะพวกเขาทั้งสองมีอาจารย์คนเดียวกัน นามว่าชิวจวิ้น
ชิวจวิ้นถูกขนานนามว่าเป็นนักปราชญ์เก่งกาจ ไม่เพียงเป็นขุนนางดี หากในด้านประวัติศาสตร์ ปรัชญา เศรษฐกิจ แม้กระทั่งด้านการแพทย์ก็ล้วนมีความรอบรู้กว้างขวาง ผลงานการประพันธ์มีมากมาย เป็นนักปราชญ์เลื่องชื่อที่ธารกำนัลล้วนยอมรับ ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเหล่าบัณฑิตปัญญาชน ใครฝากตัวเป็นศิษย์ของเขาได้ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นสั่งสมบุญมาสามชาติภพ
พันปินเป็นลูกศิษย์ที่ชิวจวิ้นรับไว้ในระยะแรก ว่าไปแล้วก็น่าขำ ศิษย์อนาคตไกล เวลานี้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนขั้นสามแล้ว แต่ผู้เป็นอาจารย์กลับยังเป็นเพียงหัวหน้าสำนักการศึกษาขั้นสี่เท่านั้น ทว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์อยู่ ต่อให้ตำแหน่งสูงกว่า ยามพันปินอยู่ต่อหน้าอาจารย์ก็ยังต้องสุภาพนบนอบตามธรรมเนียมมารยาท
สามปีก่อน ซึ่งก็คือรัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบเอ็ด ชิวจวิ้นได้รับราชโองการให้จัดการสอบฮุ่ยซื่อ* ถังฟั่นเองก็เข้าร่วมการสอบครั้งนั้นด้วย เขาสอบได้อันดับที่ห้าในการสอบฮุ่ยซื่อ จากนั้นก็ได้อันดับที่หนึ่งของบัณฑิตเอกขั้นสองจากการสอบเตี้ยนซื่อ
แม้การสอบเคอจวี่จะมีเพียงสามปีต่อครั้ง ทว่าในใต้หล้ากลับมีบัณฑิตที่พลาดโอกาสและถูกแทนที่ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จนหมดเวลาอย่างสูญเปล่าไปด้วยเหตุนี้ ถังฟั่นที่เพิ่งล่วงเข้าวัยยี่สิบปี ตำแหน่งอันดับหนึ่งของบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งก็ทำให้บัณฑิตใต้หล้าอิจฉากันได้แล้ว
เล่ากันว่าเดิมทีจักรพรรดิเฉิงฮว่าจะแต่งตั้งให้ถังฟั่นเป็นบัณฑิตจ้วงหยวน เพียงเพราะราชเลขาธิการวั่นอันกล่าวว่าถังฟั่นอายุน้อยเกินไป ควรย้ายอันดับต่ำลงไปอีกนิดดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้คนหนุ่มได้ใจลำพองจนเป็นภัยแก่ตนเอง ต้องเข้าใจว่าพฤกษายอดสูงเด่น มักถูกโค่นด้วยวายุ
จักรพรรดิเห็นว่ามีเหตุผล จึงทำการเปลี่ยนอันดับให้ถังฟั่นได้อันดับหนึ่งในบัณฑิตเอกขั้นสองแทน ซ้ำยังตรัสปนขำระคนเสียดายว่า ‘ความปราดเปรื่องเจ้าปัญญา ถังรุ่นชิงล้วนเป็นหนึ่ง หายากที่ยังหนุ่มแน่นรูปงาม หากเขาเป็นบัณฑิตจ้วงหยวน** เกรงว่าหลังจากนี้บัณฑิตจ้วงหยวนที่ยืนข้างเขาคงได้หม่นหมองไร้ราศีจนละอายแล้ว!’
สามปีก่อน แม้ถังฟั่นจะไม่ได้ตำแหน่งบัณฑิตจ้วงหยวน แต่ชื่อเสียงเรียงนามกลับเลื่องลือทั่วแผ่นดิน ด้วยพระดำรัสประโยคนั้นของจักรพรรดิ
ดังนั้นชิวจวิ้น เพราะฐานะหนึ่งในผู้คุมสอบฮุ่ยซื่อ จึงกลายเป็นอาจารย์ของบัณฑิตที่เข้าสอบรอบนั้นโดยปริยาย
ในบรรดาบัณฑิต ถังฟั่นเป็นผู้ที่เข้าตาเขาที่สุด ชิวจวิ้นเห็นว่าหากถังฟั่นขยันขันแข็งใฝ่เรียนรู้ อนาคตย่อมประสบความสำเร็จไม่แพ้ตน จึงรับถังฟั่นไว้เป็นศิษย์ ซึ่งนั่นก็เป็นตำนานเล่าขานในกลุ่มปัญญาชนในเวลานั้น
ถังฟั่นอยู่ที่สำนักราชบัณฑิตสามปี ก่อนจะถูกกรมปกครองย้ายมายังศาลซุ่นเทียน ซึ่งในนั้นมีศิษย์พี่พันปินผู้นี้ของเขาคอยออกแรงสนับสนุนด้วย มิฉะนั้นเป็นได้ถูกทิ้งให้รอตำแหน่งอยู่ในสำนักราชบัณฑิตหรืออาจถูกย้ายไปเป็นขุนนางในอำเภอเล็กๆ ที่ห่างไกล ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ เพราะต่อให้จะมีคนหนุนหลังไม่เลว ทว่าฟ้าสูงจักรพรรดิไกล ใครจะรู้ว่าเดือนปีใดจักรพรรดิจึงจะนึกถึง สามปีผ่านไปก็จะมีบัณฑิตจิ้นซื่อระลอกใหม่มา ใครจะยังจำนามที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนั้นได้อีก
เพราะเหตุฉะนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างถังฟั่นกับพันปินจึงใกล้ชิดเป็นธรรมดา
ถังฟั่นเองก็รู้ว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้อันที่จริงแล้วไม่ใช่ขุนนางกังฉิน เพียงแค่ความสามารถธรรมดาสามัญไปบ้าง ทั้งยังขี้กลัวไปหน่อย ฉะนั้นเขาจึงพยายามวางแผนเพื่อพันปินอย่างเต็มที่ เมื่อได้ยินพันปินโอดครวญก็ไม่หงุดหงิด กลับระบายยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าพนันกับศิษย์พี่สักตาเป็นอย่างไร”
พันปินไม่สบอารมณ์ คิดในใจว่าแม้ยามส่วนตัวเรียกขานว่าศิษย์พี่จะไม่เป็นไร แต่อย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย ไยจึงไม่รู้จักแยกแยะเช่นนี้ แต่ติดก็ตรงอาจารย์ชิวจวิ้นของพวกเขา เขาไม่อาจถือสาหาความ กระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนกล่าว “พนันด้วยอะไร”
ถังฟั่นชี้ชามเปล่าตรงหน้า “หากเป็นดังที่ข้าคาดการณ์ ท่านเลี้ยงบะหมี่หน้าเนื้อสับข้าชามหนึ่งก็พอ”
พันปินหลุดขำพลางตอบว่า “เอาเถอะ เห็นทีเจ้าต้องเลี้ยงข้าอีกมื้อแล้ว”
แม้จะเป็นเพราะอาจารย์ พันปินถึงได้ดูแลศิษย์น้องผู้นี้เป็นพิเศษ ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับวาจาของถังฟั่นนัก ในสายตาของเขา ถังฟั่นเพิ่งเข้าสู่โลกของขุนนาง อีกทั้งอายุน้อย มีหรือจะเข้าใจผลได้ผลเสียอะไรในนั้น แค่อย่าก่อเรื่องให้เขาก็ไม่เลวแล้ว
ส่วนคำชมที่อาจารย์ตนมีต่อถังฟั่น พันปินยิ่งไม่ใส่ใจ เขารู้สึกว่าอาจารย์เป็นนักปราชญ์ เป็นหนึ่งด้านปัญญาความรู้ ทว่าการเป็นขุนนางนั้นกลับไร้ความโดดเด่น มิฉะนั้นผ่านไปหลายปีแล้ว ตำแหน่งของอาจารย์ไยกลับต่ำกว่าลูกศิษย์เสียด้วยซ้ำ
เรื่องที่บุตรชายคนโตของอู่อันโหวเสียชีวิตกะทันหันถูกรายงานสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็ว ทางด้านพันปินก็ไม่ได้สืบสวนต่อ แต่เจรจากับอู่อันโหวลับๆ จากนั้นก็สรุปว่าเจิ้งเฉิง ‘เสียชีวิตจากภาวะพลังหยางพร่องเฉียบพลัน’ เมื่อเป็นเช่นนั้น สาวใช้อาหลินที่อยู่ในที่เกิดเหตุก็ยากจะปัดผิดให้พ้นตัวแล้ว
ทว่าสุดท้ายจะตัดสินคดีอย่างไรนั้น มิใช่เรื่องที่ศาลซุ่นเทียนกำหนดได้ เนื่องจากเรื่องเกี่ยวพันกับจวนอู่อันโหว อู่อันโหวย่อมไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิด้วยตนเอง ท้ายที่สุดก็ต้องให้จักรพรรดิเป็นผู้ตัดสิน
ตามหลักแล้วอาหลินไม่ได้สังหารคนโดยตรง ต่อให้หว่านเสน่ห์ยั่วยวนเจิ้งเฉิงจนเป็นเหตุทำให้เขาถึงแก่ความตายจริง อย่างไรก็ไม่ถึงโทษประหาร โทษหนักสุดคือเนรเทศ ทว่าหญิงสาวตัวคนเดียวถูกตัดสินให้เนรเทศจะต้องรับกรรมมากมายเพียงใด ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจ ระหว่างเดินทางใช่ว่าจะถึงจุดหมายปลายทางเสมอไป หนำซ้ำผู้ที่นางล่วงเกินคือสกุลเจิ้งของอู่อันโหว หากหมายสังหารสตรีอ่อนแอไร้อำนาจสักคนหนึ่งก็มิต้องเสียเวลาแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าพันปินปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวได้แล้ว
ทว่าสวรรค์ไม่เป็นใจ ยิ่งพันปินอยากให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเล็กมากเท่าใด เหตุการณ์ก็ยิ่งสวนทางกับความปรารถนาของเขามากเท่านั้น
ชะตาฟ้าลิขิต ขีดกำหนดให้ปีนี้จะเป็นปีที่มากด้วยเรื่องราว
ต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อสองเดือนก่อน เวลานั้นตรงกับเดือนสาม รองข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวาเฉินเยวี่ยถวายฎีกาขอเปิดตลาดค้าม้าเหลียวตงอีกครั้ง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความแค้นในอดีตระหว่างตั่วเหยียนซันเว่ย* กับต้าหมิง ว่าไปแล้วยังต้องเท้าความถึงรัชสมัยแห่งจักรพรรดิหย่งเล่อ ซึ่งไม่ต่างจากผ้ารัดเท้าของยายเฒ่า ทั้งเหม็นทั้งยาว ไม่เอ่ยถึงก็ช่าง
ทว่าราชสำนักมีการถกเถียงโต้แย้งเรื่องนี้กันอย่างยิ่ง บางส่วนเห็นว่าให้เกียรติตั่วเหยียนซันเว่ยแล้วอีกฝ่ายกลับไม่รู้จักเจียมตน ก็ควรบีบคอพวกเขาไว้ เปิดตลาดค้าม้าใหม่เท่ากับเป็นฝ่ายอ่อนข้อ ไม่เพียงราชสำนักจะเสียเกียรติในภายหน้า ยังจะทำให้คนบางกลุ่มได้คืบจะเอาศอก แต่เพราะมีวังจื๋อคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ ท้ายที่สุดจักรพรรดิก็เห็นด้วยกับฎีกาของเฉินเยวี่ย ซ้ำยังให้เฉินเยวี่ยมุ่งหน้าไปตรวจการที่เหลียวตง
ปรากฏว่าไม่ถึงสองเดือน เฉินเยวี่ยก็อ้างว่าชนเผ่าหนี่ว์เจิน** แห่งเจี้ยนโจวคิดก่อการกบฏ บุกเข้าสังหารเป็นผลงานเพื่อรายงานเบื้องบน ทำให้เหลียวตงเกิดความโกลาหลขึ้น หลังจากถูกร้องเรียนเปิดโปง จักรพรรดิย่อมต้องส่งคนไปสืบความจริง พร้อมถือโอกาสปลอบขวัญราษฎรตามเขตพรมแดนที่ถูกเฉินเยวี่ยราวี ครานี้เองผู้บัญชาการสำนักประจิมวังจื๋อก็เสนอตัวรับหน้าที่ บอกว่ายินดีอุทิศตนรับใช้จักรพรรดิ
สถานการณ์เช่นนั้น วังจื๋อหมายชิงทำผลงาน ทว่าเรื่องพรรค์นี้ผู้คนมากมายล้วนเคยทำมาก่อน ในราชสำนักต้าหมิงเองก็มีให้เห็นไม่ใช่เรื่องประหลาด
ทว่าเสนาบดีทหารอวี๋จื่อจวิ้นกลับก้าวออกมาคัดค้าน คิดว่าภาระอันเร่งด่วนในยามนี้คือส่งผู้ที่ชำนาญการด้านทหารไป จึงจะสยบจัดการปัญหาได้อย่างฉับไว นัยในวาจาบอกใบ้ว่าผู้ที่ไม่มีส่วนข้องเกี่ยวอย่างวังจื๋อ ก็อย่าไปเป็นตัวถ่วงเลย
วังจื๋อย่อมโมโห เขาพบว่าแม้ตนจะได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ ทั้งยังก่อตั้งสำนักประจิมแล้ว กลับยังไม่อาจปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ ในราชสำนักมีคนที่คัดค้านเขาอยู่เต็มไปหมด
ในเวลาเดียวกัน เมืองไท่ผิงมณฑลกว่างซีและบ่อเกลือที่มณฑลซื่อชวนได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย วังจื๋ออ้างว่าสวรรค์ตักเตือน ข้างกายจักรพรรดิมีคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ชิงฟ้องร้องเรียนต่อหน้าจักรพรรดิ จัดการให้รองเสนาบดีกรมทหารฝ่ายขวาหม่าเหวินเซิน ซึ่งเป็นพรรคพวกคนสนิทของอวี๋จื่อจวิ้นไปที่เหลียวตง เป็นการตัดแขนข้างหนึ่งของอวี๋จื่อจวิ้น ทั้งยังกล่าวอ้างอย่างเปี่ยมไปด้วยเหตุผลส่งผู้ตรวจการไปบรรเทาภัยในพื้นที่ กรณีที่อาจมีคนยักยอกของหลวง พร้อมขับไสให้ขุนนางทัดทานหลายคนที่สนับสนุนอวี๋จื่อจวิ้นไปที่นั่นกันทั้งหมด ทำให้อวี๋จื่อจวิ้นโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง
การแย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนนางผู้เป็นเสาหลักในราชสำนัก เดิมทีไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ กับพันปิน แต่ประจวบเหมาะที่คดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหวเกิดขึ้นในเวลานี้พอดี วังจื๋อจึงรายงานจักรพรรดิ ขอให้สืบสวนความจริง พร้อมแสดงท่าทีว่าหากจำเป็น สำนักประจิมก็สามารถเข้าร่วมการสืบสวนได้ อย่างไรก็ต้องคืนความจริงให้กับอู่อันโหว อีกประการคือศาลซุ่นเทียนปิดคดีอย่างสุกเอาเผากิน มีความน่าสงสัยว่าตบตา ไม่ทำตามหน้าที่ที่พึงทำ จึงควรลงอาญา
เมื่อข่าวนั้นแว่วมา พันปินก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป เหตุการณ์ดำเนินไปตามที่ศิษย์น้องของเขากล่าวไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
พันปินลองตรองดูว่าอีกฝ่ายอายุเพียงยี่สิบต้น แม้จะปราดเปรื่องเจ้าปัญญาจนอาจารย์ยังต้องเอ่ยปากชื่นชมและรับเป็นศิษย์ แต่อย่างไรก็ยังขาดประสบการณ์ เพิ่งก้าวสู่แวดวงขุนนาง ก่อนหน้านี้พันปินไม่ได้ใส่ใจกับวาจาของถังฟั่น และด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่าถังฟั่นเป็นเพียงคนหนุ่มที่โอหังอวดดี ไม่รู้จักแยกแยะผลได้ผลเสีย ชี้แนะเรื่องบ้านเมืองส่งเดชก็แล้วไป ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปไม่นาน คำพูดของศิษย์น้องกลับเป็นจริงทุกอย่าง ไม่มีผิดเพี้ยน
ย้อนกลับมาดูตนเอง เขามีฐานะเป็นถึงผู้ว่าการศาลซุ่นเทียน เป็นขุนนางขั้นสามก็นับว่าก้าวสู่กลุ่มขุนนางเสาหลักครึ่งขาแล้ว กลับยังคงโง่เขลาเบาปัญญา มองสถานการณ์ยังชัดเจนสู้ขุนนางขั้นหกเล็กๆ คนหนึ่งมิได้
เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาจึงกระวีกระวาดเรียกถังฟั่นมา ประสบปัญหาก็รีบหาคนแก้ ที่ผ่านมาวางมาดไว้ตัวไม่เรียกศิษย์น้อง เวลานี้ก็ไร้ความตะขิดตะขวงใจอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาเล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวถามว่า “ศิษย์น้อง เท่าที่เจ้าดู เรื่องนี้ยังมีโอกาสกอบกู้บ้างหรือไม่”
ด้วยตำแหน่งของพันปิน ย่อมได้รับข่าวเร็วกว่าถังฟั่นมาก ถังฟั่นเองก็ไม่ประหลาดใจ ยิ่งไม่มีแววโอ้อวดฉายอยู่บนสีหน้า นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ต้องดูว่าศิษย์พี่อยากจะทำเช่นไร”
พันปินคิดในใจว่า ข้ายังต้องการจะทำอย่างไร ข้าย่อมต้องอยากรักษาตำแหน่งไว้ ไม่ถูกสอบสวนเอาผิดน่ะสิ!
เขากระแอมเสียงเบาก่อนเอ่ย “อู่อันโหวบอกกับข้าเป็นการส่วนตัวว่าเดิมทีอยากให้คดีเงียบไป แต่หนนี้วังจื๋อหมายมั่นกัดไม่ปล่อยและได้ความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท กลัวแต่ว่ายากจะสะสางแล้ว ตัวข้าถูกยื่นฎีการ้องเรียนเป็นเรื่องเล็ก ดีไม่ดีศาลซุ่นเทียนเองก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย หากเจ้ามีวิธีก็เล่าสู่กันฟังหน่อย”
ถังฟั่นเอ่ย “อู่อันโหวกับศิษย์พี่ล้วนไร้ความแค้นกับวังจื๋อ คดีการตายของเจิ้งเฉิงเองก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขาไม่หาเรื่องพวกท่านอย่างไร้สาเหตุหรอก นอกเสียจากว่าเขาจะอยากฉวยโอกาสอวดเบ่งบารมี ข่มขวัญเหล่าขุนนางในราชสำนัก”
พันปินหน้าสลด “เขาสำแดงบารมีของเขา เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่ใช่อวี๋จื่อจวิ้นเสียหน่อย แล้วก็ไม่เคยล่วงเกินเขาด้วย!”
“เสนาบดีอวี๋เป็นขุนนางเก่าแก่ในจักรพรรดิองค์ก่อน มีบารมีอำนาจ วังจื๋อทำอะไรเขาไม่ได้ จึงได้แต่หาคนรอบข้างมาเชือดระบายโทสะ ดั่งไฟไหม้ประตูเมือง ร้อนถึงปลาในคู*”
พันปินพาลใส่ศิษย์น้องอย่างหัวเสีย “เจ้ายังมีแก่ใจหัวเราะอีก ศิษย์พี่เจ้ากำลังจะถูกปลดและไต่สวนแล้ว เจ้าดีใจมากเลยรึ”
ถังฟั่นไม่นำพา ยกมือขึ้นประสานแสร้งทำคารวะ “ใต้เท้าโปรดอภัย ใต้เท้าได้ถามไถ่บรรดาที่ปรึกษาหรือยัง พวกเขาว่าอย่างไรกันบ้าง”
พันปินมีที่ปรึกษาสองคน คนหนึ่งชื่อหลี่ว์เฟิง อีกคนชื่อเจียงตงหยวน ถังฟั่นล้วนเคยเจอ
พันปินถอนใจ “คนหนึ่งบอกให้ข้าไปขอขมาวังจื๋อพร้อมของกำนัล อีกคนบอกว่าข้าควรถวายฎีกาสำนึกผิด!”
ถวายฎีกานั้นย่อมต้องทำอยู่แล้ว เวลานี้วังจื๋อกำลังติเตียนต่อหน้าจักรพรรดิว่าศาลซุ่นเทียนไร้สามารถ พันปินย่อมต้องยื่นฎีกา ทว่าจะร่างฎีกาอย่างไรก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง และที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องดูอารมณ์ของจักรพรรดิด้วย รวมถึงผู้ที่ร่างฎีกาวาจามีน้ำหนักต่อเบื้องพระพักตร์หรือไม่ สิ่งที่พันปินกลัดกลุ้มคือเมื่อไรที่ฎีกาของเขาถูกถวายขึ้นไป แล้ววังจื๋อกล่าวยุยงเสริมทับให้จักรพรรดิรู้สึกว่าพันปินไร้สามารถ เช่นนั้นตำแหน่งผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนของเขาก็ถึงกาลอวสานแล้ว
ส่วนการไปขอขมาวังจื๋อพร้อมของกำนัล พันปินก็สองจิตสองใจ
เวลานี้ราชสำนักแบ่งเป็นสามพวกใหญ่ๆ หนึ่งคือคนที่อาศัยพึ่งพิงวังจื๋อ สองคือคนที่เป็นอริกับวังจื๋อ และยังมีพวกที่สาม พวกที่เป็นกลาง อย่างเช่นชิวจวิ้นที่เป็นอาจารย์ของพันปินกับถังฟั่น เขาเป็นเพียงหัวหน้าสำนักการศึกษา ไม่มีใครคิดเสียเวลาไปดึงเขาเป็นพวก
พันปินเองก็ปรารถนาอยากเป็นกลาง ไม่ล่วงเกินทั้งสองฝ่าย ทว่าด้วยตำแหน่งของเขา เรื่องนั้นกลับยากเสียแล้ว
ดูเอาเถิด ขนาดคดีความซึ่งตอนแรกมิได้ใหญ่หลวง แม้ผู้ตายจะมีฐานะไม่ธรรมดา แต่สืบสวนทำคดีอย่างละเอียดก็จบเรื่อง ปรากฏว่าตอนนี้เนื่องจากพัวพันถึงการแก่งแย่งชิงดีของฝ่ายต่างๆ ในราชสำนัก จึงกลับกลายเป็นซับซ้อนยุ่งยากขึ้นมาเสียนี่
“ศิษย์พี่ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกับวังจื๋อผู้นี้” ถังฟั่นถาม
พันปินสะอึกอึ้ง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่ธรรมดา”
ย่อมไม่ธรรมดาจริงๆ
ขันทีคนหนึ่งที่อายุน้อยยิ่งกว่าถังฟั่น ผงาดขึ้นมาในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีก็ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิและวั่นกุ้ยเฟย ก่อตั้งสำนักประจิม มีอำนาจล้นฟ้า พันปินได้ยินว่ามีขุนนางคนหนึ่งเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานราชการ เจอวังจื๋อแล้วไม่นบนอบอ่อนข้อ ไม่ประจบประแจงเหมือนเช่นคนอื่นๆ กลับตำหนิด่าทอเขาต่อหน้าธารกำนัล หลังเกิดเรื่องวังจื๋อไม่เพียงไม่ถือสา กลับชื่นชมว่าขุนนางผู้นั้นมีความรักในศักดิ์ศรี ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้จริงหรือเท็จ หากจะกล่าวว่าเขาใจกว้างไม่คิดเล็กคิดน้อย เขาก็มักอาศัยอำนาจของสำนักประจิมจับกุมและสังหารขุนนางไปไม่น้อย สร้างอริศัตรูไว้มากมาย วางอำนาจบาตรใหญ่ ซ้ำยังชอบบัญชาชี้แนะตามอำเภอใจ เพิ่มปัญหาให้ผู้อื่น
กล่าวได้ว่าวังจื๋อเป็นบุคคลที่ถนัดฉกฉวยโอกาสให้ตนเองเป็นที่สุด หากอยู่ในกลียุค ไม่แน่อาจเป็นขั้วอำนาจฝ่ายหนึ่ง คนเช่นนี้ย่อมไม่อาจเอามุมมองของขุนนางที่มีอคติต่อขันทีทั่วไปมาตัดสิน
“ไม่มีขันทีคนใดไม่ละโมบโลภมาก ทว่าวังจื๋อกลับเป็นข้อยกเว้น เขาไม่ละโมบในทรัพย์สินเงินทอง กลับลุ่มหลงในชื่อเสียงและอำนาจ ดูเรื่องที่เขาทำให้ฝ่าบาทเมื่อสองปีก่อนก็จะรู้ อาศัย ‘คดีจิ้งจอกมาร’ ก็สามารถถือโอกาสชักธงให้สะบัด ก่อตั้งสำนักประจิมขึ้น สร้างฐานอำนาจให้ตนเอง สองปีก่อนมีสักกี่คนที่เคยได้ยินนามของวังจื๋อ ตอนนี้ท่านเที่ยวถามดูอีกครั้ง มีใครที่ไม่รู้จักวังจื๋อบ้าง เพราะฉะนั้นการส่งของกำนัลติดสินบน ได้ผลกับขุนนางตัวจ้อยทั่วไป สำหรับขันทีวังจื๋อกลับไม่ได้ผลใดๆ”
น้ำเสียงของถังฟั่นไม่รีบร้อน เอ่ยกล่าวเนิบช้า กลับให้ความรู้สึกมั่นคงพึ่งพาได้
จบการวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลแล้ว ยิ่งทำให้พันปินยอมรับศิษย์น้องผู้นี้จากใจ เขาพยักหน้าระรัว “ถูกต้องๆ เสียดายที่เหล่าเจียงเป็นที่ปรึกษาของข้ามานาน กลับไม่รู้จักวังจื๋อเช่นเจ้า ตามความเห็นเจ้า ควรทำเช่นไรดี”
“ฎีกานั้นต้องถวาย แต่ศิษย์พี่ทำเช่นนี้ได้…”
จากนั้นถังฟั่นก็แจกแจงวิธีการออกมา พันปินฟังแล้วดวงตาพลันเปล่งประกาย หัวเราะครืน “วิธีนี้ไม่เลว!”
วันถัดมา พันปินยื่นฎีกาฉบับหนึ่ง
วิถีการไต่สวนคดีความของพันปินไม่นับเป็นอะไร ทว่าวิถีเป็นขุนนางนั้นกลับมากฝีไม้ลายมือ ฎีกาฉบับหนึ่งหลังผ่านการขัดเกลาจากที่ปรึกษาก็กลายเป็นฎีการ้องทุกข์ขอความเป็นธรรม เริ่มจากผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนขอรับอาญาด้วยถ้อยคำสัตย์ซื่อ ระบายความทุกข์สุดวิสัยต่างๆ ที่อัดอั้นอยู่ในใจ เพื่อให้ได้รับความเห็นใจจากจักรพรรดิ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนประเด็น โดยอ้างว่าในเมื่อผู้บัญชาการวังจื๋อตำหนิศาลซุ่นเทียน เช่นนั้นก็เท่ากับพวกเขายังมีจุดที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีจริง มิสู้เชิญสำนักประจิม สำนักบูรพา หน่วยองครักษ์เสื้อแพร กรมอาญา และสำนักศาลยุติธรรมที่เป็นศาลสูงสุดร่วมกันสืบสวนคดีนี้ จะได้มอบความจริง คืนความเป็นธรรมแก่สกุลเจิ้งของอู่อันโหว
เดิมทีน้ำก็ไม่ใสอยู่แล้ว พันปินใช้ไม้นี้ก็ยิ่งกวนน้ำให้ขุ่นคลั่กกว่าเดิม
นี่ก็คือความคิดที่ถังฟั่นเสนอแนะพันปิน
วังจื๋อวางตัวลุแก่อำนาจ ผู้ที่เห็นเขารกหูรกตาจึงมีไม่น้อย ข้อเสนอนี้ย่อมเป็นที่ถูกใจของคนกลุ่มหนึ่งในราชสำนักอย่างประจวบเหมาะ ถังฟั่นเองก็คะเนความคิดของคนเหล่านี้ได้แม่นยำ ด้านพันปินเมื่อถวายฎีกาแล้ว ได้แรงคนทางนั้นคอยยุแยงอีกนิด ข้อเสนอก็ได้รับอนุญาตจากจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว
หน่วยงานมากมายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าสุดท้ายจะสืบได้ผลอย่างไรก็ดี ความรับผิดชอบของศาลซุ่นเทียนก็จะผ่อนเบาลงมาก อันว่าหนึ่งไม้ฟาดลง มัจฉาล้วนกระจายแหวกว่าย ไหนเลยจะตีให้ตายตัวหนึ่งได้ เช่นนี้พันปินเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงอ้อมเสียรอบใหญ่ คดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหวซึ่งเดิมทีใกล้จะปิดแล้ว ก็ย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้น เริ่มใหม่อีกครั้ง พาให้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ใครก็คาดไม่ถึงว่าผู้ที่คอยผลักดันขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง คือขุนนางขั้นหกเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ร้านหุยชุนถัง ชื่อนี้ฟังแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นร้านขายยา ร้านขายยาแปดเก้าร้านในเมืองหลวง หากไม่ใช่ชื่อหุยชุนถัง ก็ชื่อเหรินซินถังอะไรนั่น จึงพาให้คนนึกว่ามีเจ้าของคนเดียวกัน
ร้านหุยชุนถังที่อยู่บนถนนถังสี่ไป๋เป็นร้านเก่าแก่ ในบรรดาร้านหุยชุนถังหลายร้านในเมืองหลวง ชื่อเสียงของร้านนี้เป็นที่เลื่องลือที่สุด ฉะนั้นหลังจากสร้างชื่อจนโด่งดัง ร้านขายยาอื่นๆ ก็พากันลอกเลียน ตั้งชื่อร้านว่าหุยชุนถัง ร้านหุยชุนถังบนถนนถังสี่ไป๋แห่งนี้เองก็จนปัญญา
กิจการร้านหุยชุนถังเป็นไปอย่างไม่เลว ผู้คนแวะเวียนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ล้วนมาจับจ่ายซื้อยากันทั้งสิ้น ยาของที่นี่ไม่เพียงเลื่องชื่อ แม้แต่หมอประจำร้านก็มีชื่อเสียง ผู้ที่มาตรวจอาการเจ็บไข้ต้องเข้าแถวยาวจนล้นออกนอกประตูร้าน
ทว่าวันนี้ฝนตก คนไข้จึงน้อยลงมาก รวมถึงลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อยาก็มีไม่มากนักเช่นกัน หลังจากเกาหยาจื่อง่วนกับงานอยู่พักหนึ่ง ขณะกำลังรู้สึกเบื่อก็เห็นด้านนอกมีคนเก็บร่มแล้ววางไว้หน้าประตู ปัดหยาดน้ำฝนบนอาภรณ์ก่อนเดินเข้ามา
แม้จะเห็นได้ไม่ถนัดชัดตาด้วยเพราะคนผู้นี้ยืนขวางตัดแสงจ้าที่ส่องมาจากภายนอกร้าน หากประกายสะท้อนจากจอนผมที่เปียกฝน ป้ายหยกห้อยลู่ชายอาภรณ์ลอยพลิ้ว ก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายดูงามสง่า
เกาหยาจื่อเป็นคนงานในร้านขายยานี้มาสามปี เห็นผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วน กลับไม่เคยเห็นคนที่งดงามชวนพิศเช่นนี้มาก่อน จึงเผลอมองจนใจลอยไปพักใหญ่ กระทั่งอีกฝ่ายก้าวมาถึงตรงหน้าเขา เคาะโต๊ะยาวหน้าตู้ยา เขาจึงตื่นจากภวังค์ เอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ “นายท่านมีอะไรให้รับใช้ขอรับ”
อีกฝ่ายหน้าตางดงาม กระทั่งรอยยิ้มก็ยังสุภาพอ่อนโยน แม้เกาหยาจื่อจะอ่านออกเขียนได้ กลับไม่ได้อ่านตำราคัมภีร์สักเท่าใด จึงคิดคำเปรียบเปรยพรรณนาที่วิจิตรไพเราะไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างเหมือนกับสายฝนที่โปรยพรำด้านนอก ชุ่มฉ่ำชื่นใจ ไล่ความอบอ้าวในต้นฤดูร้อนไปจนสิ้น ชวนให้สบายใจยิ่งนัก
บุรุษรูปงามเอ่ยถาม “ข้ามาหาเถ้าแก่หลิว ไม่ทราบว่าเขาอยู่หรือไม่”
“ท่านโชคไม่ดีแล้ว เถ้าแก่หลิวเพิ่งออกไปขอรับ”
ผู้ที่ยืนสนทนากับเกาหยาจื่อในร้านหุยชุนถังเวลานี้ก็คือถังฟั่น พอได้ยินว่าเถ้าแก่หลิวออกไปข้างนอก คิ้วคมก็ขมวดเล็กน้อย เอ่ยถามอีกครั้ง “ก่อนเถ้าแก่หลิวออกไปได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับเมื่อใด”
คนงานนึกย้อนแล้วกล่าว “ก่อนออกไปเถ้าแก่บอกไว้ว่าเที่ยงวันถึงจะกลับ ท่านมีนามว่าอะไรขอรับ มีธุระอันใด หากไม่เร่งด่วนก็แจ้งข้าได้ แล้วข้าจะบอกกล่าวเถ้าแก่ให้ ท่านจะได้ไม่ต้องวิ่งวุ่นอีกรอบ!”
เขาพูดจาฉะฉาน มีความสามารถในการต้อนรับขับสู้ลูกค้า ไม่แปลกที่อายุยังน้อยก็ได้เป็นหน้าเป็นตาให้ร้านหุยชุนถังแล้ว
ถังฟั่นแย้มยิ้ม “ข้าแซ่ถัง มิได้มีธุระอันใด หากข้าจะรอเถ้าแก่หลิวที่นี่ ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”
ผู้ที่รูปงามมักได้เปรียบเสมอ หากเปลี่ยนเป็นผู้ที่จมูกเบี้ยวตาโปนคนหนึ่งเข้ามา เกาหยาจื่อใช่ว่าจะกระตือรือร้นเช่นนี้ ดังนั้นเมื่อถังฟั่นถาม เขาก็รีบตอบทันที “สะดวกแน่นอนขอรับ คุณชายถังเชิญนั่ง!”
จากนั้นยังยกชามาให้ด้วยตนเอง เรียกได้ว่ากุลีกุจอเอาอกเอาใจ
รสชาติชาไม่เท่าไร ทว่าถังฟั่นก็ยังรับน้ำใจอันแสนกระตือรือร้นนี้ด้วยการระบายยิ้ม ผงกศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อย เกาหยาจื่อพลันตัวลอยเบาหวิวในบัดดล
ตอนนี้ยังเช้า เถ้าแก่หลิวไม่กลับมาเร็วถึงเพียงนั้นแน่ ถังฟั่นจึงนั่งจิบชาพลางมองหมอประจำร้านตรวจอาการคนไข้อยู่อีกทาง ไม่นับว่าน่าเบื่อ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามก็มีคนเข้าร้านมาสามคน พวกเขาสวมชุดยาวสีเหลืองทองปักลวดลายเหนือหัวเข่า ชายอาภรณ์แบบจีบ บริเวณเอวเหน็บดาบปักวสันต์ ท่าทางดุดัน องอาจน่ายำเกรง โดยเฉพาะผู้ที่ดูท่าทางเป็นหัวหน้าคนนั้น สีหน้าล้ำลึกเคร่งขรึม สายตาเฉียบคมดุจกระบี่ เพียงกวาดสายตามองรอบทิศ ผู้คนโดยรอบก็ต่างพากันหลบสายตา ไม่กล้าสบตากับเขา
ฝูงชนในร้านขายยาเห็นชุดที่แสนคุ้นตานั้นเข้าก็มีสีหน้าตะลึงพรั่นพรึงหวาดกลัว พากันก้าวถอยไปทันที เป็นการหลีกทางให้พวกเขา
ในต้าหมิง มีเพียงหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
แน่นอนว่ายามนี้มีสำนักประจิมเพิ่มมาอีกหนึ่ง
เมื่อองครักษ์เสื้อแพรสามคนนี้มายืนในร้านขายยา พริบตาเดียวก็กลายเป็นเป้าสายตาทันที
บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัด ทุกคนจดจ้องพวกเขาเป็นตาเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปกระซิบกระซาบกัน
บารมีขององครักษ์เสื้อแพรนั้น นับตั้งแต่สถาปนาต้าหมิงก็ผ่านมาแปดรัชสมัย ชื่อเสียงขจรขจายทั่วใต้หล้า ชนิดที่เพียงเอ่ยถึงก็ทำให้ทารกหยุดร้องไห้งอแงในยามวิกาลได้
ย้อนกลับไปเมื่อแรกสถาปนาราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหงอู่สังหารคนจนเสพติด พระองค์รู้สึกว่าบรรดาขุนนางในกรมอาญาใช้การไม่ได้ดั่งใจ เพื่อสังหารคนแค่คนเดียวยังต้องทำการจับกุมแล้วไต่สวนพิพากษา เสียเวลามากมายไปอย่างไร้ประโยชน์ ฉะนั้นจึงก่อตั้งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรขึ้นแล้วบัญชาการด้วยพระองค์เอง ใช้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรดุจดาบในมือ กำจัดขุนนางฉ้อราษฎร์และคิดต่างเป็นอริ ภายหลังพระองค์อาจเห็นว่าสังหารคนมากเกินไป ถึงเวลาหยุดได้แล้ว จึงได้ยุบหน่วยองครักษ์เสื้อแพร คิดไม่ถึงว่าเมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อผู้เป็นบุตรขึ้นครองราชสมบัติ ก็รื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำยังพ่วงด้วยการก่อตั้งสำนักบูรพาด้วย
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาต่างมีหน้าที่ของตนเอง และมีส่วนที่คาบเกี่ยวกัน การแข่งขันดุเดือดร้อนแรง ความขัดแย้งสั่งสมมานานนม
สำหรับจักรพรรดิ สำนักบูรพามีขันทีเป็นผู้ดูแลหลัก ขันทีเหล่านั้นยังปรนนิบัติรับใช้ในวังหลวงมาตั้งแต่เด็กจนโต ย่อมสนิทใกล้ชิดกว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ทว่าในบางเรื่องสำนักบูรพาก็ทดแทนหน่วยองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้
เพราะไม่ว่าอย่างไรหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็เป็นชายฉกรรจ์ สำนักบูรพานั้นกลับมีขันทีบัญชาการ อีกทั้งเหล่าขุนนางยังมีอคติและตั้งแง่ระวังเหล่าขันทีอยู่แต่เดิมด้วย
แต่ไม่ว่าภายในจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไร สำหรับภายนอกแล้วเมื่อใดที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรออกโรง ตั้งแต่ขุนนางชนชั้นสูงยันราษฎรสามัญชนล้วนหวาดหวั่นหน้าเปลี่ยนสี ให้ความเคารพยำเกรง กลัวจับใจว่าตนจะเผลอล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้โดยไม่ทันระวัง แล้วนำภัยมาสู่ตัว
นี่ก็เป็นเหตุผลที่เพราะอะไรถังฟั่นถึงต้องเสนอแนะวิธีนั้นแก่พันปิน
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาไม่ถูกชะตากัน สำนักบูรพาก็ชิงชังสำนักประจิมที่อุบัติโผล่พรวดมาแย่งบารมีและอำนาจกับตน กรมอาญากับสำนักศาลยุติธรรมล้วนไม่เป็นมิตรกับหน่วยงานพิเศษอย่างหน่วยองครักษ์เสื้อแพร สำนักบูรพาและสำนักประจิม แต่ก็ระแวดระวังอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินผิดใจกับพวกเขา เมื่ออยู่ใต้การควบคุมของหลายฝักหลายฝ่ายเช่นนี้ ศาลซุ่นเทียนกลับจะไม่เป็นที่จับตามากที่สุด
เกาหยาจื่อรีบกระวีกระวาดเข้าไปต้อนรับ ฝืนใจฉีกยิ้ม หากในใจหวาดหวั่นพรั่นพรึง “ใต้เท้าทั้งหลาย ยินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้ขอรับ”
ผู้เป็นหัวหน้าไม่ปริปาก องครักษ์เสื้อแพรที่อยู่ด้านหลังจึงเอ่ยปาก “เถ้าแก่ร้านอยู่หรือไม่”
มาหาเถ้าแก่หลิวอีกแล้วหรือ
เกาหยาจื่อประหลาดใจ รีบละล่ำละลักถาม “ขอเรียนทุกท่านว่าวันนี้เถ้าแก่หลิวออกไปแต่เช้า เกรงว่าเที่ยงวันจึงจะกลับขอรับ!”
องครักษ์เสื้อแพรคนนั้นถามอีก “เขาไปที่ใด”
“ญาติของเถ้าแก่มาหา เหมือนว่าที่เรือนจะมีคนเจ็บไข้ได้ป่วย เถ้าแก่หลิวจึงรีบร้อนออกไป ส่วนบ้านญาติของเขาอยู่ที่ใด ข้าน้อยมิทราบขอรับ” เกาหยาจื่อตอบ
กับถังฟั่นเขายังรั้งให้อีกฝ่ายนั่งรอด้วยความกระตือรือร้น ทว่ากับเทพอสูรยักษ์มารหลายท่านเหล่านี้แล้ว เกาหยาจื่ออยากให้พวกเขากลับเร็วๆ ใจจะขาด
ใครจะรู้ว่าหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรกลับกล่าวอย่างเรียบเย็น “เช่นนั้นก็รอที่นี่”
เกาหยาจื่อลอบโอดครวญในใจ แต่ก็ไม่กล้ากล่าวอะไร กุลีกุจอเชิญพวกเขานั่งพลางรีบร้อนไปชงชา
และให้บังเอิญที่วันนี้ในร้านขายยามีเพียงตัวเขากับหมอประจำอยู่กันเพียงสองคน คนหนึ่งตรวจอาการ คนหนึ่งจัดยา อยากจะไปเรียนแจ้งเถ้าแก่สักหน่อยก็แทบต้องใช้วิชาแยกร่าง
เกาหยาจื่อยกน้ำชามา กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้นว่า “ใต้เท้าทุกท่าน นี่เป็นชาน้ำค้างชั้นดี เชิญขอรับ”
ว่าไปแล้วทั้งสามก็ไม่ได้หน้าบึ้งเสียงกร้าว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดพอเห็นพวกเขาพูดจาด้วยสีหน้าเรียบตึง ทั้งยังมีกลิ่นอายที่ห้ามไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้แผ่ซ่านออกมา เกาหยาจื่อจึงรู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงจนเข่าแทบทรุด
คนงานผู้นี้ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะสงบความกลัวในใจได้ ทำใจกล้าเอ่ยถาม “ข้าน้อยขออนุญาตถามสักนิด เถ้าแก่หลิวทำการผิดอันใดหรือขอรับ หากเป็นความผิดใหญ่หลวง ข้าน้อยจะได้รีบไปเชิญเถ้าแก่มา…”
ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เกาหยาจื่อพลันกล่าวประโยคหลังไม่ออกในทันใด
“ไม่ต้อง” ผ่านไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายจึงเอ่ยตอบ คนผู้นี้ราวกับหุ่นน้ำแข็งแกะสลัก กระทั่งแค่พูดจาก็ยังฉายไอเย็นเยือก เกาหยาจื่อที่เป็นคนงานเล็กๆ ไหนเลยจะเคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาอกสั่นขวัญผวาจนปัสสาวะเกือบราด
เห็นองครักษ์เสื้อแพรทั้งสามคนไร้เจตนากลั่นแกล้งให้ลำบากใจ หมอประจำร้านกับเหล่าคนไข้จึงต่างคนต่างเข้าประจำที่เดิมอย่างระมัดระวัง ผู้ที่มาหาหมอก็รอตรวจอาการ ส่วนหมอก็ตรวจชีพจรไป
ไหล่ของเกาหยาจื่อถูกตบไปสองที เขาหันกลับไป เห็นคุณชายถังที่เมื่อครู่นั่งอยู่อีกทางระบายยิ้มปลอบเขา จากนั้นก็หันไปกล่าวกับองครักษ์เสื้อแพรสามคนนั้นว่า “ทุกท่านมาด้วยคดีจวนอู่อันโหวใช่หรือไม่”
องครักษ์เสื้อแพรที่เป็นหัวหน้าหรี่ตาลง สำรวจเขาครู่หนึ่ง ไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม “เจ้าเป็นใคร”
ถังฟั่นประสานมือ “ข้าถังฟั่น นามรองรุ่นชิง ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียน”
“ท่านคือถังฟั่นจริงหรือ” อีกฝ่ายเหมือนจะรู้จักเขา
ถังฟั่นเผลอหัวเราะ “รุ่นชิงมิใช่ขุนนางตำแหน่งสูงมีชื่อเสียง คิดว่าคงไม่มีราคาให้ใครสวมรอยกระมัง”
อีกฝ่ายจึงยกมือประสานคารวะ “ข้าสุยโจว นายกององครักษ์เสื้อแพรแห่งกองปราบฝ่ายเหนือ”
ถังฟั่นเป็นขุนนางขั้นหก ส่วนอีกฝ่ายเป็นขุนนางขั้นเจ็ด ว่าไปแล้วตำแหน่งต่ำกว่าถังฟั่นด้วยซ้ำ ทว่าเดิมทีก็ไม่สามารถเทียบหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกับขุนนางปกติได้ ฉะนั้นแม้อีกฝ่ายจะเพียงประสานมือคารวะแต่ไม่ได้ลุกขึ้น ถังฟั่นก็ไม่ได้กล่าวอะไร ยังคงแย้มรอยยิ้มสง่ามีราศีเช่นเดิม
“นายกองสุยมาหาเถ้าแก่หลิวด้วยคดีจวนอู่อันโหวใช่หรือไม่”
สุยโจวไม่ตอบแต่ย้อนถาม “ใต้เท้าถังพบอะไรหรือ”
“สิ่งที่ข้าค้นพบ ว่าไปแล้วน่าจะไม่ต่างจากของนายกองสุยนัก หากนายกองสุยต้องการ มิสู้ให้ศาลซุ่นเทียนกับกองปราบฝ่ายเหนือร่วมมือกัน จะได้สืบหาตัวฆาตกรได้ในเร็ววัน มีคำอธิบายทูลแก่ฝ่าบาท”
เขาดูออกว่านายกองสุยผู้นี้เป็นประเภทสงวนคำพูด ถนัดลงมือ คิดว่าคงไม่ชอบพูดมากและไม่ชอบให้คนอื่นพูดพล่ามเช่นกัน ฉะนั้นจึงไม่ทักทายให้มากความ เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
สุยโจวมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ได้ยินว่าวันที่เจิ้งเฉิงตาย ได้พบใต้เท้าถังในตลาด ยามนั้นยังพูดจาสามหาวกับท่าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องนี้จริงหรือไม่”
ถังฟั่นอึ้งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “เป็นความจริง”
“เมื่อเป็นเช่นนั้น ใต้เท้าถังเองก็มีแรงจูงใจในการสังหาร หากใต้เท้ามีเวลาไปที่กองปราบฝ่ายเหนือกับข้าสักรอบก่อน แล้วค่อยหารือเรื่องร่วมมือดีหรือไม่”
“…”
ต่อให้เป็นถังฟั่นผู้มีวาทศิลป์เป็นเลิศ ก็สะอึกกับคำเชิญชวนนั้นจนไร้คำจะกล่าว
ทั้งที่ตนเสนอความร่วมมือด้วยเจตนาสุจริต พริบตาเดียวกลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัย หรือวันนี้เขาออกจากบ้านโดยไม่ทันตรวจดูดวงชะตาของตน?
ที่ลือกันหนาหูว่าองครักษ์เสื้อแพรบารมีน่าเกรงขาม ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น สมดังคำเล่าลือจริงๆ!
ถังฟั่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ขณะกำลังจะเอ่ยปาก กลับได้ยินเกาหยาจื่อส่งเสียงอุทาน “เถ้าแก่หลิว! ท่านกลับมาเสียที!”
เถ้าแก่หลิวกระวีกระวาดเข้าร้าน พอเห็นองครักษ์เสื้อแพรสามคนที่อยู่ด้านในก็ตระหนกตกใจ
เกาหยาจื่อรี่เข้าไปแนะนำพวกสุยโจวและถังฟั่น เถ้าแก่หลิวคำนับแต่ละคนพร้อมกล่าวอย่างพรั่นพรึงว่า “ขออภัยที่ให้ใต้เท้าทุกท่านรอ มิทราบว่าข้าน้อยกระทำผิดอันใด ขอใต้เท้าโปรดชี้แจง!”
ถังฟั่นเห็นเขาตระหนกลนลานจึงกล่าวปลอบเสียงนุ่ม “เถ้าแก่หลิวไม่ต้องกังวล…”
สุยโจวเอ่ยถามเสียงเย็น “มีที่เงียบๆ หรือไม่”
“มี! มีขอรับ!” เถ้าแก่หลิวรีบละล่ำละลัก นำทางพวกเขาเข้าไปห้องส่วนใน
ห้องส่วนในมีขนาดไม่ใหญ่ ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่เอะอะอึกทึกเหมือนด้านนอก
เถ้าแก่หลิวเชื้อเชิญให้พวกถังฟั่นนั่ง แล้วให้เกาหยาจื่อยกน้ำชามา ก่อนจะเอ่ยถามทันที “ใต้เท้าทุกท่านมาที่นี่ด้วยเรื่องใดหรือขอรับ”
อย่างไรเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กอายุน้อยเหมือนเกาหยาจื่อ แวบเดียวก็มองออกแล้วว่าในกลุ่มคนเหล่านี้ ถังฟั่นเป็นคนที่พูดจาด้วยง่ายที่สุด ฉะนั้นแม้วาจาจะเอ่ยกับทุกคน สายตากลับมองไปทางถังฟั่น
ถังฟั่นถามทันที “เถ้าแก่หลิว ก่อนหน้านี้มีคนจากจวนอู่อันโหวมาจัดยาที่ร้านท่านหรือไม่”
หลังจากเก็บงำอยู่หลายวัน คดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหวก็แพร่สะพัดเป็นที่โจษจันกันทั่ว ในเมืองหลวงไม่มีใครไม่รู้ เถ้าแก่หลิวได้ยินก็ตะลึงงัน ส่ายหน้าระรัว “เปล่าขอรับ ไม่มีเรื่องเช่นนั้น!”
ถังฟั่นจ้องเขา “ไม่มีใครมาจริงหรือ”
กลุ่มสุยโจวแม้ไม่ปริปาก แต่ก็จับตาดูอยู่ข้างๆ
เถ้าแก่หลิวยิ้มขื่น “ใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้อยจะกล้าพูดปดได้อย่างไร แม้ร้านหุยชุนถังเราจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็สู้ชื่อเสียงเก่าแก่ของร้านใหญ่อย่างเหรินซินถังไม่ได้ สกุลสูงศักดิ์เช่นคนจากจวนอู่อันโหวจะมาจัดยาที่ร้านของเราได้อย่างไรกัน”
“เถ้าแก่หลิว ท่านนึกให้ดี อย่าให้พลาดต่อการใหญ่ หากปิดบังซ่อนเร้น ย่อมไม่พ้นต้องลิ้มรสความลำบาก! ข้าบอกท่านให้ก็ได้ เด็กรับใช้ของเจิ้งเฉิงบอกเราว่า ‘ฟู่หยางชุน’ ที่เจิ้งเฉิงกิน เป็นตำรับยาที่ปรุงที่ร้านพวกท่าน คนงานที่จัดยามีรูปร่างผอมสูง อายุประมาณยี่สิบกว่าปี ริมฝีปากล่างมีไฝสีดำเม็ดหนึ่ง” ถังฟั่นเอ่ย
เถ้าแก่หลิวร้องอุทาน “หรือคนที่เขาพูดถึงจะเป็นเจ้าเด็กหลินเฉาตง!”
“หลินเฉาตง?”
“ใช่ขอรับ เดิมทีคนงานที่รับผิดชอบช่วยจัดยาในร้านหุยชุนถังก็คือหลินเฉาตง เขาฝากตัวเป็นศิษย์กับท่านหมอซาง หรือก็คือท่านหมอที่ยามนี้รักษาคนไข้อยู่ด้านนอกคนนั้นอยู่หลายปี ตอนแรกก็นับว่าคล่องแคล่วชำนาญ ทว่าเดือนที่แล้ว เขาบอกว่าญาติที่บ้านเกิดเสียชีวิต ต้องกลับไปช่วยจัดการงานศพ ใครจะรู้ว่าพอไปแล้วก็ไม่กลับมาจนป่านนี้ เกาหยาจื่อที่ต้อนรับขับสู้พวกท่านเป็นข้าเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเองหลังจากหลินเฉาตงไปแล้ว” เถ้าแก่หลิวตอบ
ถังฟั่นถามต่อ “เขาเป็นคนพื้นเพใด อยู่ที่ร้านหุยชุนถังมานานเท่าไรแล้ว”
เถ้าแก่หลิวเล่าหมดเปลือก “ได้ยินว่าเขาเป็นคนเมืองเว่ยฮุย มณฑลเหอหนาน ทำงานที่ร้านหุยชุนถังสามปีแล้ว ตอนแรกมาหาญาติที่เมืองหลวง ภายหลังข้าเห็นเขาขยันพอตัว ทั้งยังพออ่านออกเขียนได้อยู่บ้าง จึงให้ท่านหมอซางสอนเขาจำแนกยาและจัดยา”
ไม่ต้องให้ถังฟั่นกับพวกสุยโจวบอก เถ้าแก่หลิวก็เป็นฝ่ายเรียกหมอประจำร้านและเกาหยาจื่อเข้ามา คำพูดของพวกเขาก็ไม่ต่างจากของเถ้าแก่หลิว ล้วนบอกว่าไม่ได้จัดยาบำรุงกำหนัดอะไรให้ทางจวนอู่อันโหว และไม่เคยเห็นคนของจวนอู่อันโหวมาที่ร้าน ผู้คนที่เข้าออกร้านหุยชุนถังแต่ละวันมีมากมาย ต่อให้มีคนของจวนอู่อันโหวอยู่ในนั้น พวกเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้หากอีกฝ่ายไม่แสดงตัว
ถังฟั่นเห็นว่าพวกเขาไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกมดเท็จ พินิจจากท่าทีของเถ้าแก่หลิวก็ไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้จริงๆ เช่นนั้นเหลือความเป็นไปได้ทางเดียวแล้ว แม้เจิ้งเฉิงจะมาจัดยาที่นี่ แต่ก็ติดต่อเฉพาะกับหลินเฉาตงคนนั้นเท่านั้น
ยิ่งคิดยิ่งมีความเป็นไปได้ ยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ก็ต้องใช้ยาบำรุงกำหนัดแล้ว เจิ้งเฉิงย่อมต้องปิดบังซ่อนเร้น กลัวผู้อื่นจะล่วงรู้
คนงานหลายคนทยอยให้ปากคำเรียบร้อยแล้วก็มองพวกถังฟั่นอย่างอกสั่นขวัญหาย ท่าทางน่าสงสารเสมือนกำลังรออาญา แน่นอนว่าสายตาพวกเขาล้วนมองไปที่องครักษ์ทั้งสามมากกว่า
“นายกองสุยยังมีอะไรจะถามอีกหรือไม่” ถังฟั่นถาม
นายกองแห่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพรขยับริมฝีปากบางอย่างเยือกเย็น “นำตัวพวกเขากลับไป ไต่สวนอย่างละเอียด!”
สองคนด้านหลังรับคำสั่ง เดินหน้าเข้ามาคุมตัว
พวกเถ้าแก่หลิวรีบละล่ำละลักวิงวอน แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน
ถังฟั่นมองทั้งสามถูกคุมตัวไปพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าสุย เรื่องสำคัญเวลานี้คือตามหาหลินเฉาตงนั่นกลับมาสอบปากคำจึงจะถูก ส่วนร้านหุยชุนถังเพียงจัดคนมาเฝ้ายามก็พอ ไยจึงต้องจับตัวคนไป ร้านเล็กๆ เช่นนี้จะดำเนินการค้าต่อไปคงไม่ง่าย”
“องครักษ์เสื้อแพรรับราชโองการให้สืบคดี ไม่จำเป็นต้องให้คำอธิบายแก่ศาลซุ่นเทียน หากใต้เท้าถังเองก็อยากไปที่กองปราบฝ่ายเหนือสักครา เราย่อมยินดีต้อนรับ” สุยโจวเอ่ย
ถังฟั่นนิ่งอึ้ง
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินถึงเพียงนี้ ถังฟั่นเองก็จนปัญญา “ใต้เท้าสุย ข้ามิได้มีเจตนาร้าย ไยจึงต้องข่มขู่กัน คดีนี้หากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรยอมร่วมมือกับศาลซุ่นเทียน ย่อมเป็นผลดีแก่เราทั้งสองฝ่าย”
สุยโจวกล่าวเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะศาลซุ่นเทียนไร้ความสามารถ มีหรือจะปิดคดีอย่างสุกเอาเผากินแล้วถูกสำนักประจิมกุมจุดอ่อนรื้อคดีขึ้นใหม่ นอกเสียจากใต้เท้าพันของพวกท่านกลัวจะล่วงเกินอู่อันโหว และกลัวฝ่าบาทจะทรงคาดคั้นเอาผิด จึงได้คิดหาวิธีพิเรนทร์ปลิ้นปล้อนเอาตัวรอดเช่นนี้ ดีดลูกคิดรางแก้วได้ไม่เลว แต่อย่าให้ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นยกหินขึ้นมาหล่นทับขาตนเองก็แล้วกัน!”
ในฐานะต้นเหตุแห่ง ‘ความคิดพิเรนทร์’ ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกอะไร เพราะต่อให้ย้อนเวลาไปอีกครั้ง เขาก็จะทำเหมือนเดิม
แต่ถังฟั่นคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถอ่านจุดสำคัญได้ในพริบตา มิน่านายกองหน่วยองครักษ์เสื้อแพรผู้นี้ถึงได้พูดจาเย็นชากับเขาตั้งแต่พบหน้า น้ำเสียงแข็งห้วน ที่แท้ก็จัดเขาอยู่ในหมวด ‘ไร้ความสามารถ’ แต่แรกไปเสียแล้ว
ถังฟั่นสุขุมเยือกเย็น ถูกอีกฝ่ายเหน็บแนมถากถางตลอด สีหน้าน้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม “เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นายกองสุยโกรธเกรี้ยวเพียงใดก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ บัดนี้สำนักประจิมคอยจับตาเพ่งเล็ง สำนักบูรพาก็ไม่ถูกกับหน่วยองครักษ์เสื้อแพร กรมอาญากับสำนักศาลยุติธรรมดั่งชมมหรสพ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ มีเพียงหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกับศาลซุ่นเทียนที่หวังจะไขคดีนี้ให้กระจ่างอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นร่วมมือกันมีร้อยข้อดีไร้ซึ่งข้อเสีย”
สุยโจวกล่าวอย่างเย็นชา “ต่อให้ไม่มีศาลซุ่นเทียน องครักษ์เสื้อแพรก็สืบหาความจริงได้อยู่ดี”
เห็นเขาหันร่างจะผละไป ถังฟั่นรีบละล่ำละลัก “เช่นนั้นนายกองสุยให้ข้าตรวจดูศพของเจิ้งเฉิงสักนิดได้หรือไม่”
พันปินที่เป็นผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนพึ่งพาไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นถังฟั่นขอศพกับอู่อันโหว อู่อันโหวไม่อนุญาต พันปินเองก็ไม่กล้าขัด ปรากฏว่ายามนี้มีราชโองการของจักรพรรดิ ศพของเจิ้งเฉิงถูกหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนำไปแล้ว ศาลซุ่นเทียนช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่ทันได้แตะแม้แต่ปลายเล็บ
สุยโจวชะงักฝีเท้า ทิ้งทวนอย่างเย็นเยียบ “ฝันไปเถอะ”
ดูเอาเถิด เหล่านายท่านองครักษ์เสื้อแพร ช่างหยิ่งผยองเสียนี่กระไร!
เทียบกับศิษย์พี่ผู้มีอีกฐานะคือผู้บังคับบัญชาของตนคนนั้นแล้ว ถังฟั่นก็ไร้คำจะกล่าว
ล้วนรับราชการเหมือนกัน เหตุใดจึงได้รับการปฏิบัติต่างกันถึงเพียงนี้เล่า
เป่ยจิงคือเมืองหลวงแห่งใต้หล้า ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความรู้สักนิด มีคุณสมบัติสักหน่อย ต่างก็ลับสมองเสาะแสวงวิธีเบียดเสียดเข้าเมืองหลวง หากรับราชการ คนมากมายก็ยอมเป็นขุนนางเมืองหลวงขั้นเจ็ด มากกว่าจะเป็นขุนนางท้องถิ่นขั้นหก ที่พำนักแห่งโอรสสวรรค์ ที่ตั้งแห่งวังหลวง ลำพังเพียงคำเปรียบเปรยนี้ก็มีแรงดึงดูดอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว
ทว่าข้อดีมิได้มีเพียงเท่านี้ สำหรับนักกินนั้น การอาศัยอยู่ในเมืองหลวงก็หมายความว่าสามารถลิ้มชิมอาหารเลิศรสทั่วใต้หล้าได้ ความละเมียดของแถบเจียงหนาน* ความละไมของทางเหนือ ทุกรสชาติล้วนมีให้สัมผัส
เหมือนอย่างตอนนี้ ในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ ลูกค้าคนหนึ่งมองสุ่ยจิงตู้** ที่คีบอยู่บนตะเกียบของตนเอง พลางทอดถอนใจ “กลัวแต่ว่าข้าไปจากเมืองหลวงแล้ว คงยากจะได้ลิ้มอาหารเลิศรสเช่นนี้อีก!”
ผู้ที่นั่งตรงข้ามเขากล่าว “พี่จื่อหมิงยังหนุ่มยังแน่น ไยทอดถอนใจเช่นนี้ สวรรค์จะมอบภารกิจใหญ่หลวงแก่ผู้คน ย่อมมอบบททดสอบให้เขาเจ็บปวดทุกข์ใจ ร่างกายเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า อีกสามปีให้หลังค่อยพบกันที่เมืองหลวง พี่จื่อหมิงย่อมมีนามบนทะเบียนทองเป็นแน่แท้”
จี๋จื่อหมิงหรือจี๋หมิ่นส่ายศีรษะ “สามปีแล้วสามปีเล่า ชีวิตคนสั้นนัก จะมีสามปีได้สักกี่หน รุ่นชิงเอ๋ย บอกตามตรง ข้าอิจฉาเจ้าเหลือเกิน สมปรารถนาแต่วัยเยาว์ บัดนี้อายุยี่สิบต้นๆ ก็ดำรงตำแหน่งขุนนางเมืองหลวงขั้นหก อย่าว่าแต่เทียบกับผู้ที่ผิดหวังไร้นามบนทะเบียนทองเช่นข้า ต่อให้เทียบกับเหล่าบัณฑิตรุ่นเดียวกัน เจ้าก็เป็นยอดบัณฑิตเหนือใคร!”
ตำแหน่งดีหรือไม่ ยศสูงหรือไม่ สำหรับถังฟั่น เขาสนเพียงว่าจะสามารถทำอะไรเพื่อบ้านเมืองราษฎรได้มากขึ้นหรือไม่เท่านั้น แต่หากเอ่ยถ้อยคำลักษณะนี้ต่อหน้าจี๋หมิ่น อาจถูกสงสัยว่าเป็นคำเหน็บแนมซ้ำเติมได้ ถังฟั่นจึงไม่ต่อความยาวสาวความยืดและรินสุราให้อีกฝ่าย “พี่จื่อหมิงกลับไปหนนี้ ภูเขาสูงธาราไกล เกรงว่าต้องรออีกสามปีจึงจะได้พบกัน ข้าวมื้อนี้ถือเสียว่าข้าเลี้ยงส่งท่าน หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ!”
สามปีก่อน ถังฟั่นและจี๋หมิ่นเดินทางมาสอบที่เมืองหลวงด้วยกัน เนื่องจากนิสัยเข้ากันได้จึงได้ผูกมิตรเป็นสหาย จี๋หมิ่นปราดเปรื่องไม่ธรรมดา ในตอนนั้นก็เป็นบัณฑิตตัวเก็ง คิดไม่ถึงว่ากลับสอบตกอย่างเหนือความคาดหมาย จี๋หมิ่นไม่ยอมถอดใจ สามปีให้หลัง การสอบเคอจวี่เวียนมาอีกครั้งในปีนี้ เขาย่อมต้องมาเข้าสอบอีก ใครจะรู้ว่าผลประกาศเมื่อสองเดือนก่อนจะไร้ชื่อของจี๋หมิ่นอยู่ในทะเบียนบัณฑิตขั้นสูงรอบใหม่อีกแล้ว คราวนี้เขาสะเทือนใจไม่น้อย จึงได้คุมตนเองไม่อยู่
จี๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นพร้อมความเมามายเจ็ดส่วน เห็นเพียงใต้แสงไฟ เปลวเทียนสั่นระริกส่องสะท้อนดวงหน้าของถังฟั่นให้เปล่งรัศมีเรืองรองราวกับอัญมณี ยากจะพรรณนาด้วยปลายพู่กันและน้ำหมึก เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปบีบมือของถังฟั่นแน่นๆ “รุ่นชิงเอ๋ย นับตั้งแต่ข้าสอบไม่ติด ผู้ที่เคยสนิทชิดเชื้อกับข้ามาก่อน อีกทั้งสอบติดไปก่อนแล้ว ไม่มีใครไม่ตีตัวห่างจากข้า มีเพียงเจ้าที่ยังเอ่ยคำปลอบโยนข้า มีสุขร่วมเสพนั้นง่าย มีทุกข์ร่วมต้านนั้นยาก น้ำใจนี้ ข้าจี๋จื่อหมิงจะไม่มีวันลืม!”
“พี่จื่อหมิง ท่านเข้าใจพี่เฉียวกับพี่จี้จือผิดแล้ว พวกเขาเคยเชิญท่านไปงานเลี้ยง ท่านไม่ได้ไป พวกเขาเกรงจะทำท่านผิดน้ำใจ จึงไม่กล้าเอ่ยชวนท่านอีก”
จี๋หมิ่นโบกมือ “รุ่นชิง เจ้าก็ไม่ต้องพูดแทนพวกเขาแล้ว ข้าเข้าใจ ใจข้ารู้ดี วัยข้าล่วงเลยสามสิบ มาเมืองหลวงไปสองหน กลับไม่เคยสอบติดสักครั้ง ข้าจี๋จื่อหมิงร่ำเรียนแต่เด็กก็นับว่าเลื่องชื่อในบ้านเกิด คิดไม่ถึงว่ายามนี้กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ มารดาผู้ชราที่บ้านเฝ้าวาดหวัง แล้วจะให้ข้ามีหน้ากลับไปได้อย่างไร ทำได้อย่างไร…”
กล่าวยังไม่ทันจบดี เขาก็ล้มฟุบลงบนโต๊ะ
ถังฟั่นเรียกคนงานโรงเตี๊ยมมาประคองจี๋หมินขึ้นไปนอนพักบนห้องชั้นสอง พรุ่งนี้จี๋หมินจะออกเดินทางกลับบ้านเกิด ตอนแรกทั้งสองตกลงกันว่าคืนนี้จะนอนสนทนากัน ตอนนี้จี๋หมิ่นเมามายจนหลับ ย่อมไม่สามารถสนทนากันได้แล้ว
หลังจากจัดแจงดูแลจี๋หมิ่นจนเรียบร้อย ถังฟั่นยังไร้วี่แววง่วงนอน จึงออกจากโรงเตี๊ยม เดินทอดน่องตามถนนอย่างเนิบช้า
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว แม้จะยังไม่ถึงช่วงเวลาห้ามออกนอกเรือนยามวิกาล ทว่าผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนก็บางตาลงมาก เมืองหลวงที่ผู้คนขวักไขว่คลาคล่ำในตอนกลางวัน เวลานี้กลับสะท้อนความวังเวงของยามราตรีหลายส่วน หอนางโลมต่างๆ ในบางตรอกเปิดตลอดคืน อำนวยความสะดวกให้เหล่าคุณชายเจ้าสำราญอย่างเจิ้งเฉิงมาหาความสุข แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไป ส่วนใหญ่ก็ดับไฟนอนหลับพักผ่อนกันแล้ว
โคมไฟในส่วนลึกของตรอกใกล้เคียงหลายแห่งไหวระริก เสียงหวานเจื้อยแจ้วแว่วผ่านโสตประสาท สิ่งเหล่านี้มิได้ชวนให้ถังฟั่นคิดสองแง่สองง่ามอะไร กลับพาให้นึกถึงคดีของจวนอู่อันโหวคดีนั้นขึ้นมา
เดิมทีแม้จะขลุกขลักซับซ้อนอยู่บ้าง แต่สำหรับถังฟั่น หากจะไขคดีย่อมไม่ยาก ใครจะรู้ว่าใต้เท้าพันจะขี้กลัวเกินเหตุ เสียเวลาอย่างสูญเปล่าไปไม่น้อย เวลานี้ศพถูกองครักษ์เสื้อแพรเอาไปแล้วไม่พอ ไม่แน่อาจเริ่มเน่าแล้วก็เป็นได้ ส่วนเรื่องยา แม้ถังฟั่นจะส่งเจ้าหน้าที่ของศาลซุ่นเทียนไปที่เมืองเว่ยฮุยมณฑลเหอหนานบ้านเกิดหลินเฉาตงแล้วก็ตาม แต่เขาสังหรณ์ใจบางอย่างว่าน่าจะหาคนไม่พบ
เหตุไม่คาดฝันต่างๆ นานาพาให้พูดไม่ออกจริงๆ เมื่อไรก็ตามที่คดีเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจและชนชั้นสูง ทุกอย่างก็จะซับซ้อนซ่อนเงื่อนทันที
เขาเม้มปาก สลัดความคิดอันว้าวุ่นสับสนออกไป เมื่อตื่นจากภวังค์จึงพบว่าตนเดินเข้าทางลัดอย่างไม่รู้ตัว ที่นี่เป็นเส้นทางที่เขาสัญจรเป็นประจำในยามกลางวัน ทว่าเวลานี้รอบด้านเงียบสงัด ไร้ซึ่งแสงไฟ กระทั่งแสงจันทร์เองก็ถูกมวลเมฆบดบัง ท่ามกลางม่านราตรีมืดสนิท ใต้ฝ่าเท้ากลับรู้สึกเบาโหวงเล็กน้อย
เคราะห์ดีที่ไกลออกไปยังเห็นแสงสว่างอยู่รำไร คิดว่ายังมีบ้านที่นอนดึก ไม่ได้ดับไฟ จึงไม่ถึงขั้นทำให้รู้สึกว่ามืดจนยื่นมือออกไปแล้วไม่เห็นนิ้ว ราวกับตกอยู่ในอนธการไร้พรมแดน
แม้จะมีแสงไฟรำไรจากที่ไกลๆ แต่ระยะใกล้ๆ ก็ยังยากจะคลำทาง โดยเฉพาะเมื่อรอบข้างเงียบสงัดวังเวงไม่มีเสียงแม้เพียงน้อย ขับให้เสียงสุนัขเห่าที่แว่วมาดูเลือนรางเสมือนมายา
จู่ๆ ถังฟั่นก็สะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งเข้าจนเดินเซ บุรุษหนุ่มรีบจับกำแพงเตี้ยด้านข้างประคองร่างกาย ก่อนจะก้มมองใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นก็มีสัมผัสเย็นยะเยือกแผ่ซ่านมาจากลำคอ คล้ายกับมีคนกำลังพ่นลมใส่เขา!
ฉับพลันขนบนผิวกายก็ลุกชัน เขาสะท้านเฮือก หันขวับไปมอง กลับเห็นเงาสีขาวกระโจนเข้าใส่ตนเอง!
ถังฟั่นตั้งตัวไม่ทันสักนิด ร่างกายก็ถูกเงาสีขาวนั้นกดติดกับกำแพง
พริบตาต่อมา คอของเขาถูกบีบแน่น!