everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ลางสังหรณ์ของมนุษย์ช่างลี้ลับ ไม่อาจบรรยายได้ด้วยถ้อยคำหรือตัวอักษร เมื่อครู่ถังฟั่นรู้สึกไม่ชอบมาพากล ปรากฏว่าลางสังหรณ์นั้นเป็นจริง อันตรายดาเข้ามาทันที อีกทั้งประเมินจากเรี่ยวแรงที่รัดรอบลำคอนี่แล้ว อีกฝ่ายต้องการเอาชีวิตเขา!
เขาเบิกตาโพลง เห็นเพียงเงาร่างขาวโพลนเบื้องหน้า แม้จะอยู่ประชิดเพียงเอื้อม กลับมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าผู้ลงมือมีหน้าตาอย่างไร เนื่องจากอีกฝ่ายสวมหน้ากากสีขาวไว้
ความเจ็บปวดแล่นริ้วจากลำคอ ริมหูได้ยินเสียงคล้ายสะอื้น เสียงเศร้าวังเวง ขาดๆ หายๆ ราวกับมีคนกำลังเรียกขวัญดวงวิญญาณ ทว่าเลือนรางไม่ชัดเจน ได้ยินถ้อยคำคล้ายคำว่า ‘ผีร้าย’ ‘จิ้งจอกมาร’ อยู่แว่วๆ
ถังฟั่นศึกษาพระคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก สำหรับเรื่องภูตผีวิญญาณนั้นเขาให้ความยำเกรงไม่เคยคิดลบหลู่ แต่กับเหตุการณ์ ณ ยามนี้ มีเพียงคำสี่คำโผล่วูบเข้ามาในหัวเขา จำ…แลง…ตบ…ตา!
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นภูตผีจริงหรือปลอม ก็เตรียมการมาอย่างดี ทั้งยังมีเรี่ยวแรงมหาศาล ด้านถังฟั่นถูกจู่โจมอย่างกะทันหัน ไม่ทันป้องกันตัว ถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก ชั่วเวลาสั้นๆ การกระเสือกกระสนดิ้นรนของเขาไร้ผล ตาเริ่มเหลือกจวนเจียนหมดสติเต็มที
ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงกระบี่ออกจากฝักดังแหวกอากาศ!
แรงบีบที่ลำคอของถังฟั่นคลายออก มือข้างหนึ่งของเขายันกำแพง อีกมือหนึ่งเลื่อนขึ้นกุมลำคอที่ถูกบีบเมื่อครู่ แล้วก็ต้องกระอักไอจนตัวโยน
เงาสีขาวที่เคลื่อนไหววูบวาบทางนั้นปะทะกับเงาดำสายหนึ่ง
มีคนจับแขนของถังฟั่น แล้วฉุดเขาให้ลุกขึ้น
“ใต้เท้าถังฝีปากเก่งกล้า ไยวรยุทธ์กลับย่ำแย่ถึงเพียงนี้”
ถังฟั่นเหลือบตาขึ้นมอง อา! คนรู้จักเสียด้วย!
นี่คือนายกองสุยโจว องครักษ์เสื้อแพรแห่งกองปราบฝ่ายเหนือที่เจอกันที่ร้านขายยาหุยชุนถังเมื่อสองวันก่อนไม่ใช่หรือ
น้ำเสียงสุยโจวก็เหมือนกับเจ้าตัว คือเรียบเฉยเย็นเยือกไร้อารมณ์ แต่ถังฟั่นก็ยังฟังนัยเย้ยหยันวูบหนึ่งจากถ้อยคำเย็นชาประโยคนั้นออก แล้วก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้
สาเหตุที่สุยโจวไม่ถูกกับเขา ไม่ใช่เพราะเรื่องของจวนอู่อันโหวทั้งหมดเสียทีเดียว
แต่ไรมาหน่วยองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ใคร่จะชอบศาลซุ่นเทียนอยู่แล้ว ความเป็นมานี้ยังต้องไล่ย้อนไปถึงบทบาทของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร
เอาเป็นว่ามีเหตุให้ขุ่นข้องหมางใจกันมานาน เรื่องนี้หากให้เล่าคงยืดยาวนัก สู้ไม่พูดเสียเลยดีกว่า ถังฟั่นกระอักไอหลายที และไม่มีเวลาพอที่จะโต้ตอบอีกฝ่าย น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถาม “เขาเป็นใคร เหตุใดจึงจู่โจมข้า แล้วเหตุใดใต้เท้าสุยก็ปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ด้วย”
สุยโจวตอบเสียงเย็น “แค่พวกคนร้ายที่หลงเหลือจาก ‘คดีจิ้งจอกมาร’ เที่ยวหลอกผู้อื่นเท่านั้น”
ระหว่างสนทนา คนชุดขาวนั้นถูกองครักษ์ใต้บัญชาคนหนึ่งของสุยโจวจับตัวได้ แม้กระทั่งหน้ากากสีขาวก็ถูกปลดออก เผยให้เห็นใบหน้าแสนธรรมดาไร้จุดเด่นที่ฉายแววตระหนกลนลาน
เมื่อมีแสงสว่างจากโคมไฟส่องสะท้อน ถังฟั่นก็สังเกตเห็นว่าบนหน้ากากสีขาว มีบัวสีขาวอ่อนจางดอกหนึ่งวาดระบายอยู่ตรงตำแหน่งหว่างคิ้ว
“ลัทธิบัวขาว?” เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กอปรกับถ้อยคำของสุยโจวเมื่อครู่ พลันได้สติอย่างรวดเร็ว “หรือว่า ‘คดีจิ้งจอกมาร’ เมื่อสองปีก่อนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิบัวขาว”
“ใต้เท้าถังเองก็เคยเห็นตราของลัทธิบัวขาวด้วยหรือ” สุยโจวถาม
“ใช่ สมัยที่ข้าเดินทางร่ำเรียนตอนเด็กๆ เคยผ่านฉินโจว ก็พอดีเจอทางการของที่นั่นจับตัวสาวกของลัทธิบัวขาวได้คนหนึ่ง ลวดลายตราสัญลักษณ์บนตัวเขาเหมือนกับตราบนหน้ากากนี้ ว่าแต่เหตุใดสาวกของลัทธิบัวขาวจึงได้จู่โจมข้ากัน”
สุยโจวไม่ได้เอ่ยปาก องครักษ์เสื้อแพรที่ถือโคมไฟข้างๆ เขาเป็นคนกล่าว “นับตั้งแต่เหตุการณ์ ‘จิ้งจอกมาร’ พวกของนักพรตมารหลี่จื่อหลงที่ยังหลงเหลือเที่ยวก่อกรรมทำชั่ว ระยะนี้ลงมือกับบัณฑิต หวังสร้างข่าวลือปลุกปั่นความวุ่นวาย ตามรอยของหลี่จื่อหลงคนนั้น เดือนที่แล้วมีบัณฑิตที่สอบไม่ผ่านคนหนึ่งดื่มสุราเมามายแล้วเดินผ่านถนนมืดสลัว ถูกคนกลุ่มนี้เล่นงานจนแทบเอาชีวิตไม่รอด อาจเพราะใต้เท้าถังไม่ได้สวมชุดขุนนาง จึงได้ตกเป็นเป้าให้พวกเขาลงมือ ต่อไปดึกดื่นค่ำมืดเช่นนี้ก็อย่าออกมาดีกว่า”
ถังฟั่นยิ้มให้เขา “ขอบคุณที่เตือน…แค่กๆๆ!”
แม้เขาจะถูกบีบคอเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เนื่องจากคนลงมือออกแรงอย่างหนักหน่วง เวลานี้คอของเขาจึงปวดแสบปวดร้อน เปล่งเสียงพูดจาช่างยากเย็น
สุยโจวเห็นเขาไม่เป็นไรก็สั่งให้ผู้ใต้บัญชาพาสาวกลัทธิบัวขาวคนนั้นไป ก่อนจะหันร่างผละไป
ถังฟั่นไม่มีเวลาสนใจคอที่เจ็บ รีบร้องเรียกเขาไว้ “นายกองสุยโปรดรอก่อน!”
สุยโจวหันมามองอย่างเย็นชา “ใต้เท้าถังไม่ไปรักษาตัว ยังมีธุระใดอีก”
“คดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหว ร่วมมือกันรังแต่จะเป็นผลดี ขอนายกองสุยช่วยพิจารณาอีกครั้ง!”
สุยโจวไร้ความหวั่นไหว “ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”
ถังฟั่นกระแอมเสียงหนึ่ง “กองปราบฝ่ายเหนือมีศพของเจิ้งเฉิง ส่วนข้าก็รู้ว่ายาลูกกลอนที่เจิ้งเฉิงกินก่อนตายมีปัญหาตรงที่ใดกันแน่!”
ในที่สุดสุยโจวก็หันกลับมา
ถังฟั่นกล่าวต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “ส่วนผสมในยาลูกกลอนมีจุดแตกต่างจากฟู่หยางชุนตำรับนั้นจริงๆ ข้าหายอดฝีมือแยกส่วนผสมในยาลูกกลอนนี้ออกมาได้แล้ว เรื่องราวมีลับลมคมในบางอย่าง หากนายกองสุยยอมร่วมมือ ข้ายินดีให้เบาะแสตามจริง”
สุยโจวจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยตอบ “พรุ่งนี้ข้าจะไปหา”
เมื่อเห็นแนวโน้มจะได้ร่วมมือ ถังฟั่นก็เบาใจลงเฮือกหนึ่ง “พรุ่งนี้คือวันหยุดของข้า มิต้องไปศาล ท่านมาที่บ้านข้าก็แล้วกัน บ้านหลังแรกในตรอกหลิ่วเย่ ถนนติ้งฝู่ทางเหนือของเมือง”
สุยโจวผงกศีรษะเล็กน้อย หันร่างผละจากไป หวงวจีดั่งทองเหลือเกิน ไม่พูดพล่ามแม้เพียงครึ่งคำ
มองแผ่นหลังของหลายคนที่เร้นหายไปในเงามืด ถังฟั่นส่ายศีรษะ ลูบลำคอพลางคิดอย่างกังวลว่าไม่รู้พรุ่งนี้จะเปล่งเสียงพูดได้หรือไม่
ราวกับต้องการพิสูจน์ความวิตกของเขา วันถัดมาคอของถังฟั่นก็เจ็บร้าวยิ่งกว่าเมื่อวาน เมื่อส่องกับคันฉ่องแล้ว เหมือนจะยังมองเห็นรอยบีบเขียวช้ำบนลำคอด้วย พอกดแล้วจะปวดมาก
เนื่องจากนัดหมายสุยโจวไว้ ถังฟั่นจึงไม่ได้ออกไปซื้อยา เพียงแค่ต้มโจ๊กข้าวฟ่างกินกับผักดองที่พี่สาวส่งมาให้จากบ้านเกิด นับว่าอร่อยสบายท้อง
หลังจากที่ถังฟั่นเป็นขุนนางในเมืองหลวงก็ได้เช่าเรือนที่มีลานสวนเล็กๆ บนถนนติ้งฝู่หลังนี้ เดิมทีเรือนนี้เป็นของสกุลหลี่ที่อยู่ถัดไป บรรพบุรุษของสกุลหลี่รับราชการเป็นขุนนาง ได้ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ในตรอกหลิ่วเย่ไว้ ภายหลังเล่ากันว่าที่ลานสวนเคยมีอนุเล็กๆ คนหนึ่งของสกุลหลี่ผูกคอตาย เจ้าบ้านเห็นว่าอัปมงคล จึงสร้างกำแพงกั้นสวนนั้น เปลี่ยนเป็นเรือนหลังเล็กแยกให้เช่า เนื่องจากเป็น ‘เรือนผีดุ’ ทั้งยังไม่กว้างขวาง ค่าเช่านับว่าไม่แพง จึงถูกถังฟั่นเช่าไว้
ล้วนเล่ากันว่าอยู่เมืองหลวง ชีวิตไม่ง่าย ถนนติ้งฝู่เป็นทำเลทอง ผู้คนที่อาศัยส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางขั้นสูง บ้านเรือนละแวกนี้ย่อมมีมูลค่า หากไม่ใช่ว่ามีประวัติเรื่องเล่า เกรงว่าถังฟั่นก็ไร้กำลังเช่าอยู่
เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสองปีแล้วก็ยังไม่พบเรื่องราวแปลกประหลาดอันใด นอกจากยามกลางวันที่ด้านในมีแสงสว่างไม่พอ จึงดูสลัววิเวกไปหน่อยเท่านั้น เมื่อเล่าลือกันปากต่อปากก็กลายเป็น ‘เรือนผีดุ’ สุดท้ายกลับเป็นผลให้ถังฟั่นได้ประโยชน์
เจ้าบ้านสกุลหลี่ที่อยู่ถัดไปรุ่นนี้ค้าขายอยู่ที่อื่น ทว่าภรรยาและครอบครัวมิได้ตามไปด้วย ยังอยู่กันครบทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ระหว่างสองปีนี้ก็คบค้าสมาคมกับถังฟั่นได้ไม่เลว มีการไปมาหาสู่ทั้งสองฝ่าย
ถังฟั่นกินอาหารได้ครึ่งทาง ด้านนอกก็มีคนเคาะประตู
เดิมนึกว่าเป็นสุยโจว ลุกไปเปิดประตู ด้านนอกกลับเป็นสาวใช้คนหนึ่ง
“อาซย่า?”
ทันทีที่เขาเอ่ยปาก น้ำเสียงที่แหบโหยผิดจากเสียงใสกังวานในยามปกติทำเอาสาวใช้สะดุ้งโหยง อีกฝ่ายเห็นรอยบีบเขียวช้ำบนลำคอของเขาแล้วก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใต้เท้าถัง ท่านเป็นอะไรไป! หรือว่า…หรือว่าเมื่อคืนพบเจอสิ่งอัปมงคล…?”
จินตนาการของสาวใช้ช่างบรรเจิดเหลือเกิน ครู่เดียวก็นึกโยงไปถึงเรื่องเรือนผีดุ ถังฟั่นส่ายหน้า ทำมือทำไม้ถามนางว่ามีธุระอะไร
อาซย่ายังตื่นตระหนกไม่หาย นางยกตะกร้าในมือตนเองขึ้นอย่างหวาดๆ “นายหญิงให้ข้าเอาผลไม้มาให้ท่าน นี่เป็นผลไม้ที่เราปลูกเอง เพิ่งเก็บจากต้น”
ถังฟั่นพยักหน้าแย้มรอยยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำ “ฝากขอบคุณนายหญิงด้วย…”
การเอ่ยปากพูดสะเทือนถึงกล่องเสียง จนเขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ อาซย่าเป็นสาวน้อยไร้เดียงสา มีใจให้ใต้เท้าถังรูปงามที่อยู่บ้านข้างเรือนเคียงผู้นี้ เห็นสภาพของบุรุษหนุ่มแล้วก็สงสารจับใจ จึงรีบละล่ำละลัก “หากพูดจาไม่สะดวกก็อย่าพูดเลยเจ้าค่ะ ใต้เท้าถังพักผ่อนเถิด หากเรือนนี้พักไม่สบาย ข้าจะกลับไปเรียนนายหญิงให้เลิกสัญญาเช่ากับท่าน จะได้มิต้องเอาแต่อกสั่นขวัญผวา ซ้ำยังเป็นสภาพนี้…”
ยิ่งมองอาซย่าก็ยิ่งรู้สึกว่ารอยนิ้วมือบนลำคอชัดจนน่ากลัว
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว อาการบาดเจ็บของข้าไม่เกี่ยวกับที่นี่ เมื่อคืนเจอคนร้ายเข้า…”
อาซย่ายกมือปิดปาก “คนร้ายอะไรถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ กล้าลงมือกับขุนนางราชสำนัก!”
ถังฟั่นส่ายหน้า ไม่อยากพูดกับนางมาก “เอาเป็นว่าเจ้ากลับไปแล้วไม่ต้องเล่าอะไรมาก ประเดี๋ยวนายหญิงพวกเจ้าจะเข้าใจผิด พากันตระหนกตกใจเสียเปล่า มิใช่…แค่กๆ…เรื่องใหญ่”
อาซย่ารู้จักอ่านสีหน้าดูสถานการณ์ เห็นเขาพูดจาลำบากก็ไม่ได้เซ้าซี้รบกวนต่อ เอ่ยถามอีกครั้งว่าถังฟั่นต้องการให้นำอาหารค่ำมาส่งหรือไม่ หลังจากได้รับคำตอบปฏิเสธแล้วจึงกล่าวลาอย่างอาลัยอาวรณ์
ปรากฏว่าเพิ่งจะหันร่างก็เห็นคนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังนาง
อาซย่าสะดุ้งตกใจ แทบจะหลุดเสียงร้อง
ชุดแต่งกายขององครักษ์เสื้อแพรนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อผู้มาเยือนจ้องนางอย่างเย็นเยือก หญิงตัวเล็กๆ อย่างอาซย่าตกใจกลัวจนแทบเข่าอ่อน รีบก้มหน้าเดินจากไปโดยพลัน
ถังฟั่นระบายยิ้ม ผายมือทำท่าเชิญ
สุยโจวก้าวเข้าเรือน
“ถ้าใต้เท้าถังมีเบาะแสจริง สู้บอกเล่ามาตามตรง หากมีมูลค่า เรื่องร่วมมือย่อมพิจารณาได้” สุยโจวนั่งลงบนตั่งหินในลานสวน ไม่ได้ทักทายเกริ่นนำ กล่าวเข้าประเด็นทันที
ถังฟั่นหิ้วผลไม้สดที่อาซย่านำมาให้ตะกร้านั้นมาวางอีกทาง ด้านในเป็นสาลี่สีเหลืองสด หากตุ๋นกับน้ำตาลกรวดจะช่วยรักษาร้อนในและคอแห้ง เหมาะกับสภาพของเขาในเวลานี้พอดี
“ไม่ทราบว่า…พวกเถ้าแก่หลิวสามคนของร้านหุยชุนถัง ถูกพาไปที่กองปราบฝ่ายเหนือแล้วได้ให้ปากคำอะไรบ้างหรือไม่” เสียงของถังฟั่นแหบแห้ง พูดจาติดขัดขาดห้วง น้ำเสียงเชื่องช้าลงมาก
สุยโจวเองก็มิได้ปิดบัง “หลังการไต่สวนพบว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตอนนี้จึงปล่อยตัวไปแล้ว”
ถังฟั่นล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากอกเสื้อ วางลงบนโต๊ะหิน “ฟู่หยางชุนที่เจิ้งเฉิงกินก่อนตาย หลายวันนี้ข้าอ่านตำราโบราณ ในที่สุดก็หาที่มาของยาตำรับนี้ได้”
สุยโจวหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้น เห็นด้านบนแจกแจงส่วนผสมยาอยู่สองแถว เนื้อหาซับซ้อน เขาไม่เข้าใจจึงเหลือบตาขึ้นมองถังฟั่น
“วรรคด้านบนก็คือตำรับยาของฟู่หยางชุน ซึ่งเหมือนกับของเด็กรับใช้คนสนิทของเจิ้งเฉิงไม่มีผิดเพี้ยน ส่วนวรรคด้านล่าง ข้าให้คนมาแยกส่วนผสมในยาลูกกลอนออกมาอย่างละเอียด ใต้เท้าเชิญดู สองวรรคมีส่วนต่างกันหรือไม่” ถังฟั่นอธิบาย
สุยโจวจำได้ว่าก่อนหน้านี้ถังฟั่นก็เคยบอก ต่อให้ไม่มีตำรับยา ทว่าใต้หล้าเต็มไปด้วยหมอฝีมือเก่งกล้า อาศัยเพียงกลิ่นหรือร่องรอยต่างๆ ของยาลูกกลอน ก็แกะรอยส่วนผสมยาแต่ละชนิดที่อยู่ในนั้นออกมาได้ เมื่อเขาอ่านอย่างละเอียดก็พบว่าแถวล่างมีส่วนผสมยามากกว่าแถวบนอยู่หนึ่งชนิด
“ไฉหูหรือ”
ถังฟั่นพยักหน้า “ฟู่หยางชุนเป็นยาบำรุงกำหนัดตำรับโบราณ มิใช่ยาแปลกประหลาดมหัศจรรย์อันใด ใช้จิ่วเซียงฉง ว่านสากเหล็ก โกฐขี้แมว หญ้าแพะหงี่เหล่านี้ก็ปรุงได้แล้ว แม้ว่ากินมากไปใช่ว่าจะเป็นผลดี แต่เจิ้งฝูบอกว่าเจิ้งเฉิงใช้ยานี้เป็นเวลาประมาณสองสามเดือนแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ แต่หากผสมไฉหูเข้าไปก็ไม่เหมือนกันแล้ว ไฉหูมีสรรพคุณช่วยขับลมร้อน ทว่าไม่ควรใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ห้ามใช้ในผู้ที่พร่องพลังชี่ เมื่อกินไปนานๆ จะส่งผลเสียต่อตับและไต หากในฟู่หยางชุนมีไฉหูผสมอยู่ จะเปลี่ยนจากยาบำรุงกำหนัดเป็นยาปลิดชีพ”
“คนที่ข้าส่งไปที่เมืองเว่ยฮุยรายงานมาว่าหลินเฉาตง คนงานร้านหุยชุนถังที่ช่วยจัดยาให้เจิ้งเฉิงโดยพลการไม่ได้กลับบ้านเกิด ไม่รู้ร่องรอย หาตัวไม่พบ” สุยโจวเอ่ย
ถังฟั่นยิ้มเจื่อน “เมื่อเป็นเช่นนั้น เบาะแสก็ขาดช่วงอีกแล้ว”
สุยโจวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ไม่แน่เสมอไป ตามข้ามา”
เขาลุกขึ้นเดินออกจากเรือน ถังฟั่นลงกลอนประตูใหญ่และเดินตามออกไปด้วย
ฟ้าใสครามอาทิตย์จรัส รอยนิ้วมือรอบลำคอของบุรุษรูปงามชวนให้น่าพรั่นพรึง แม้แต่คอเสื้อก็ปิดไม่อยู่ อีกทั้งยังมีองครักษ์เสื้อแพรตามอยู่ข้างๆ ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนที่สัญจรตามท้องถนนพากันหันมอง สายตาที่มองถังฟั่นนั้นประหลาดจนเหมือนมองนักโทษที่กำลังจะไปยังลานประหารอย่างไรอย่างนั้น
สุยโจวกลับไปที่กองปราบฝ่ายเหนือก่อน พาตัวเจิ้งฝูที่ถูกคุมตัวอยู่ที่นั่นออกมา แล้วพาเขามุ่งหน้าไปยังร้านขายยาหุยชุนถัง
แม้พวกเถ้าแก่หลิวจะถูกปล่อยตัวแล้ว ทว่าทุกการเคลื่อนไหวล้วนถูกจับตา องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองรับบัญชาให้ยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าร้านหุยชุนถังราวกับเทพพิทักษ์ประตู พาให้การค้าระยะนี้ซบเซาลงมาก เถ้าแก่หลิวกับคนงานอีกสองคนกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในร้าน เห็นพวกสุยโจวก็ตะลีตะลานลุกขึ้น
“ใต้เท้าสุย ท่านก็เห็นว่าพวกเราค้าขายอย่างสุจริตมีจรรยาบรรณ เรื่องของเจ้าหลินเฉาตงนั่นไม่เกี่ยวกับร้านหุยชุนถังเรา ท่านก็อย่า…” เดิมเถ้าแก่หลิวอยากร้องทุกข์ ปรากฏว่าถูกสุยโจวตวัดมองด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง วาจาครึ่งหลังพลันถูกกลืนลงท้องไป
สุยโจวยื่นตำรับยาที่ได้จากถังฟั่นให้เจิ้งฝู “เจ้ารู้จักตำรับยานี้หรือไม่”
เจิ้งฝูอ่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าระรัว “นี่ก็คือตำรับยาฟู่หยางชุน ข้าน้อยเคยเห็นบ่อยๆ เวลาไปรับยาให้คุณชายก่อนหน้านี้…เอ๊ะ แต่ในนี้ไม่มีไฉหูนะขอรับ!”
สุยโจวถามต่อ “เจ้ามาจัดยาครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
“ราวๆ สองสามเดือนก่อนกระมัง”
สุยโจวเอ่ยถามเสียงเย็น “เวลาต้องชัดเจน นึกย้อนดีๆ!”
พลังแฝงของคนนั้นไร้ขีดจำกัด พอถูกสุยโจวขึ้นเสียงใส่ เจิ้งฝูก็นึกขึ้นได้จริงๆ “วันที่สิบแปดเดือนสาม ข้าจำได้แล้ว เป็นวันที่สิบแปดเดือนสาม เพราะยาพวกนั้นต้องปรุงเป็นยาลูกกลอนทุกครั้ง ค่อนข้างวุ่นวาย ฉะนั้นข้าจึงมักไปบอกกับหลินเฉาตงล่วงหน้าสองวัน จากนั้นก็รอจนถึงวันที่ยี่สิบเดือนสามค่อยไปรับยาลูกกลอน!”
สุยโจวมองไปยังเถ้าแก่หลิว “เจ้าได้ยินแล้ว ไปตรวจบันทึกสำรองตำรับยาในช่วงวันที่สิบแปดเดือนสามถึงยี่สิบเดือนสามของร้านหุยชุนถัง เอามาให้ข้าดู”
เถ้าแก่หลิวรีบรับคำ “ขอรับๆๆ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”
เขาส่งเสียงบอกให้เกาหยาจื่อกับหมอประจำร้านปิดประตูร้านหุยชุนถัง จากนั้นก็เริ่มตรวจค้นบันทึก
ขอเพียงมาตรวจโรคจัดยา เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตคน หากไม่ระวังก็อาจเกิดเหตุคนตายเพราะกินยาผิดกับโรคได้ ไหนจะมีคู่แข่งร่วมอาชีพ หรือคนโฉดที่ชักใยเบื้องหลัง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ร้านขายยาที่พอมีชื่อเสียงและประวัติยาวนานอย่างร้านหุยชุนถังต่างก็ล้วนมีการบันทึกเช่นนี้
ยามนี้ก็ได้เวลาใช้ประโยชน์พอดี
เมื่อมีวันเวลาแน่ชัด ครู่เดียวบันทึกสำรองตำรับยาก็ถูกรื้อออกมา ถังฟั่นกับสุยโจวรับมาดู ด้านบนจดรายละเอียดยามากมายที่ร้านหุยชุนถังใช้ในช่วงสองวันนั้นอย่างชัดเจน แม้กระทั่งใช้ปรุงเป็นยาอะไรก็ถูกเขียนอย่างละเอียด
เมื่อพวกเขาอ่านถึงแถวที่สามก็เห็นคำว่าฟู่หยางชุน และชื่อส่วนผสมยาที่เรียงรายด้านหลังซึ่งไม่มีไฉหู
ไล่ดูบันทึกของสองวันนั้นอีกครั้ง ยังคงไม่มีไฉหูอยู่เหมือนเดิม
หรือตอนที่หลินเฉาตงจัดยาให้เจิ้งเฉิง ไฉหูที่ใช้ในนั้นไม่ได้หยิบใช้จากร้านหุยชุนถัง?
อันที่จริงหลินเฉาตงเองก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ร้านหุยชุนถังล่วงรู้ เขาจึงหาซื้อไฉหูจากข้างนอก ทว่ายามนี้กลับกลายเป็นเบาะแสสำหรับไขคดี
สุยโจวสั่งองครักษ์เสื้อแพรที่เป็นผู้ใต้บัญชาสองคนทันที “พวกเจ้าพาคนไปหาตามร้านขายยาทั้งหมดในเมือง ดูว่าร้านใดถูกซื้อไฉหูจำนวนมากไปในวันที่สิบแปดเดือนสาม!”
สองคนนั้นไปดำเนินการตามคำสั่ง
ถังฟั่นบอกกับสุยโจวว่า “นายกองสุยให้ข้าดูศพของเจิ้งเฉิงสักหน่อยได้หรือไม่”
“ผู้พลิกศพของกองปราบฝ่ายเหนือตรวจสอบแล้ว ศพไม่มีร่องรอยผิดปกติ” สุยโจวตอบ
ความจริงแล้วตอนที่เจิ้งเฉิงเพิ่งเสียชีวิต ถังฟั่นก็ได้ตรวจดูศพ เวลานั้นไม่พบอะไรผิดสังเกตจริงๆ แต่ถังฟั่นคิดว่ารอบคอบหน่อยก็คงไม่เป็นไร จนถึงเวลานี้เจิ้งเฉิงสิ้นลมมานานหลายวันแล้ว ขืนยังไม่ตรวจดูอีก รอจนศพเน่าเปื่อยบุบสลาย เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังคงยืนกราน “ขอนายกองสุยโปรดผ่อนผันสักนิด”
เริ่มแรกสุยโจวออกจะดูแคลนคนของศาลซุ่นเทียน แม้กระทั่งกับถังฟั่นก็ไม่ไว้หน้านัก วันนี้เห็นเขาเสียงหาย ทรมานไปทั้งตัว ก็ยังยืนกรานจะวิ่งวุ่นทั่วเมืองเพื่อสืบคดีพร้อมกับตน ท่าทีของสุยโจวจึงอ่อนลง
“ศพของเจิ้งเฉิงถูกเก็บอยู่ที่ชั้นใต้ดินของกองปราบฝ่ายเหนือ ห้องในชั้นใต้ดินมีสภาพค่อนข้างเย็น เรื่องศพเป็นอันหมดห่วงไร้กังวลชั่วคราว” สุยโจวอธิบายเพิ่มเติมอย่างหาได้ยาก “ฝ่าบาทรับสั่งให้เวลากองปราบฝ่ายเหนือเป็นเวลาหนึ่งเดือนในการไขคดี ครบหนึ่งเดือน ต่อให้ปิดคดีไม่ได้ก็ต้องคืนศพให้จวนอู่อันโหว พรุ่งนี้เจ้าไปหาข้าที่กองปราบฝ่ายเหนือได้”
ผู้คนในใต้หล้าล้วนรู้ว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีต้นกำเนิดจากจักรพรรดิหงอู่ หน้าที่แต่แรกเริ่มคือ ‘รักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์ ทำภารกิจร่วมกับหน่วยคุ้มกันอี๋หลวน’ ซึ่งก็คือการเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ รวมถึงรับผิดชอบคุ้มกันและจัดขบวนเสด็จนอกวังหลวง อย่างเช่นการสักการะอาราม ภายหลังยังช่วยจักรพรรดิหงอู่ขุดรากถอนโคนขุนนางผู้มีคุณงามความดีและขุนนางโฉดชั่วไปได้ไม่น้อย ฉะนั้นนอกจากหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์รวมถึงจัดขบวนเสด็จประพาสแล้ว ภายหลังได้เพิ่มหน้าที่ของกองรักษาความสงบและกองปราบการทุจริต ถึงช่วงรัชศกหย่งเล่อได้ฟื้นหน่วยองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาอีกครั้ง คุกหลวงทมิฬโหดเหี้ยม ลือชื่อทั่วใต้หล้า
ทว่าในความเป็นจริงภารกิจหน้าที่ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หน่วยองครักษ์เสื้อแพรยังจัดกำลังคนมาช่วยเหลือการสอบเตี้ยนซื่อ การสอบเซียงซื่อที่ศาลซุ่นเทียนเป็นผู้จัดสอบ หากเกิดคดีทุจริตขึ้นในเขตเมืองหลวงรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง ก็ต้องขอให้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรออกโรง ยังมีเรื่องละเอียดยิบย่อยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ซ่อมแซมถนนหนทาง หรือจับโจรขโมย เป็นต้น
ภารกิจมากมายซึ่งเดิมทีควรเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของศาลซุ่นเทียน ท้ายที่สุดมักกลายเป็นหน้าที่ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเสมอ ไล่เรียงแล้วก็เป็นเพราะหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมียอดฝีมือมากมาย จักรพรรดิให้ความสำคัญ เงินบำรุงที่ได้แต่ละปีก็มากโข ย่อมแข็งแกร่งเป็นธรรมดา ทำภารกิจใดก็ราบรื่น ทั้งศักยภาพคนก็เหนือกว่าหน่วยงานปกครองทั่วไปอย่างศาลซุ่นเทียนมาก อย่างการจับกุมสาวกของลัทธิบัวขาว ปิดฉากคดี ‘จิ้งจอกมาร’ เดิมทีเป็นหน้าที่ของศาลซุ่นเทียน แต่เพราะเจ้าหน้าที่ของศาลซุ่นเทียนไม่มีความสามารถพอ ทำให้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรต้องออกโรงเอง
และด้วยเหตุนี้ความรู้สึกที่หน่วยองครักษ์เสื้อแพรมีต่อศาลซุ่นเทียนจึงไม่สู้ดีนัก ต่อให้ถังฟั่นมีชื่อเสียงเลื่องลือก็เป็นเพียงขุนนางฝ่ายพลเรือนที่บอบบางไร้กำลัง ไม่เคยสมาคมข้องเกี่ยวกับหน่วยองครักษ์เสื้อแพร เมื่อเข้าร่วมกับศาลซุ่นเทียนอันเป็น ‘แหล่งฐานใหญ่แห่งพวกนอนกิน’ ในสายตาของผู้อื่น ถังฟั่นก็ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ‘พวกนอนกิน’ ไปด้วย
ดังนั้นการที่สุยโจวมีอคติต่อถังฟั่น ที่แท้มีสาเหตุนี้รวมอยู่ ถังฟั่นเองก็รู้ชัดแจ่มแจ้ง
นั่นเป็นผลจากอดีตซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานะของศาลซุ่นเทียนจนทุกวันนี้ การจะได้เป็นขุนนางใต้สายตาใกล้ชิดของจักรพรรดิ ศาลซุ่นเทียนนับว่าเป็นด่านแรก แม้ระดับขั้นจะสูงกว่าขุนนางท้องถิ่นที่อื่นอยู่ครึ่งขั้น ทว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยขุนนาง ไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่วิพากษ์วิจารณ์ได้ ผู้ว่าการศาลซุ่นเทียนจึงเป็นตำแหน่งที่ต้องอดทนอดกลั้นพอดู
พันปินรวมถึงผู้ว่าการรุ่นก่อนๆ ล้วนไม่ใช่คนแข็งกร้าว เป็นขุนนางผู้รักความสงบมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ทะยานสร้างผลงาน ขอวอนเพียงไร้อาญา พบคดีอ่อนไหวซับซ้อนก็เริ่มบ่ายเบี่ยงเกี่ยงงาน ไม่แปลกที่สุยโจวจะดูแคลนพวกเขา
แม้ถังฟั่นจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุ ทว่าเขาเพิ่งมารับตำแหน่งที่ศาลซุ่นเทียนได้ไม่นาน ทั้งยังเป็นเพียงผู้พิพากษา เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นัก ได้แต่พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยกำลังอันน้อยนิดของตนเองเท่านั้น
เขาผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง ยกมือขึ้นประสานคารวะ “เช่นนั้นก็ขอบคุณนายกองสุยแล้ว”
เถ้าแก่หลิวหวังประจบถังฟั่น จึงรี่เข้าไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าถัง นี่เป็นน้ำสาลี่หิมะตุ๋นยา กับยาทาแผลฟกช้ำตำรับพิเศษเฉพาะของร้านเรา อย่างแรกเอาไว้กิน ช่วยให้ชุ่มคอและแก้ไอ อย่างหลังเอาไว้ทา ช่วยให้เลือดไหลเวียน รอยฟกช้ำบนคอของท่าน รับรองว่าแค่วันเดียวก็ไม่เป็นไรแล้ว!”
เนื่องจากกินอาหารเช้าได้ครึ่งทางก็ถูกขัด จากนั้นก็ตามสุยโจวออกมาสอบปากคำพยาน ไม่ทันได้ทายาเสียด้วยซ้ำ ทั้งยังสนทนากันอยู่นานพักใหญ่ เสียงของถังฟั่นจึงแหบแห้งถึงที่สุด เวลานี้เถ้าแก่หลิวเอ่ยทักจึงเพิ่งรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณลำคอกระทบกระเทือน เจ็บร้าวจนอดนิ่วหน้าไม่ได้
ถังฟั่นรับยาของเถ้าแก่หลิวไว้พร้อมกล่าวขอบคุณ ทั้งยังยืนกรานจะจ่ายเงินให้โดยไม่สนใจคำบอกปัดของอีกฝ่าย ก่อนจะตามสุยโจวออกจากร้านขายยา
ด้านนอกแสงอาทิตย์เจิดจ้า ไม่พบเห็นบรรยากาศฝนพรำโปรยปรายเช่นเมื่อหลายวันก่อน
หางตาของสุยโจวชำเลืองมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นคนที่อยู่ข้างกายเรือนผมดำเงาสวมชุดสีคราม รูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวผ่อง ยิ่งขับให้รอยนิ้วมือสิบนิ้วบนลำคอเด่นชัดจนน่ากลัว
เขาล้วงขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวเสียงราบเรียบ “ใช้ภายนอกวันละสามครั้ง”
ถังฟั่นรับมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ของจากกองปราบฝ่ายเหนือย่อมไม่ธรรมดา ข้าต้องลองเสียหน่อย”
สุยโจวผงกศีรษะเล็กน้อย ไม่พูดให้มากความ มือกุมดาบปักวสันต์ ก้าวเท้าเดินหน้าจากไป
แม้ฤทธิ์ของไฉหูค่อนข้างรุนแรง แต่หากใช้ในปริมาณเหมาะสมก็ถือว่าเป็นส่วนผสมยาที่พบเห็นได้ไม่ยาก ในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ บรรดาตำรับยาที่ร้านขายยาจ่ายออกไปทุกวันมีไฉหูปนอยู่ด้วยไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่หากจะปรุงให้เป็นยาลูกกลอนปริมาณมากมายเช่นนั้น ทั้งยังต้องให้มีฤทธิ์เป็นภัยต่อร่างกายคน ปริมาณที่ใช้ย่อมมากตามไปด้วย หนำซ้ำยังจำกัดช่วงเวลาเฉพาะเดือนสามวันที่สิบแปดถึงยี่สิบสองสามวันนั้น ขอบข่ายการค้นหาจึงเล็กลงทันที
ประสิทธิภาพในการทำงานของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรไม่ธรรมดาสมคำเล่าลือ เพียงครึ่งวัน คนที่สุยโจวส่งไปก็ได้เบาะแสกลับมา
ร้านขายยาซันหยวนถังทางทิศเหนือของเมือง ร้านขายยาเหรินซินถังทางทิศตะวันออกของเมือง ในวันที่สิบแปดเดือนสาม มีคนซื้อไฉหูจำนวนมากจากร้านขายยาทั้งสองร้านนี้ สุยโจวส่งคนไปสอบถาม พบว่าผู้ที่ไปซื้อล้วนเป็นคนเดียวกัน แต่จากคำให้การของร้านขายยาบรรยายรูปร่างหน้าตาผู้ที่มาซื้อยา กลับพบว่าไม่ใช่หลินเฉาตงคนงานในร้านหุยชุนถังที่หายตัวไปอย่างลึกลับคนนั้น
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรดูแลการตรวจค้นจับกุม ประสบเหตุการณ์ลักษณะนี้จึงรับมือคล่องแคล่ว สุยโจวเรียกคนวาดภาพมาทันที ให้เขาร่างจุดเด่นของหลินเฉาตงออกมาตามคำให้การของคนงานสองคนนั้น
ไม่นาน รูปลักษณ์ของชายที่โหนกแก้มสูง ดั้งจมูกออกแบนก็ปรากฏบนกระดาษ
แปลกหน้าไม่คุ้นตา สุยโจวย่นคิ้ว อันที่จริงในใจเขามีทิศทางหนึ่งปรากฏเลือนรางแล้ว คดีนี้จะว่าซับซ้อนก็ใช่ ว่าไม่ซับซ้อนก็ใช่เช่นกัน ย่ำแย่ตรงที่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของอู่อันโหว จวนอู่อันโหวก็ไม่ใช่สถานที่ที่จะให้ใครเข้าออกได้ตามสะดวก
ประชากรเมืองหลวงมีมากเหลือคณา เข้าออกขวักไขว่ทุกวัน การจะตามหาคนลักษณะเช่นนี้สักคนก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร
เวลานี้ จู่ๆ ถังฟั่นที่นิ่งเงียบไม่ปริปากอยู่ข้างๆ กลับเอ่ยขึ้น “ข้าเคยเห็นคนคนนี้!”
สุยโจวหันขวับไปมองเขา
ถังฟั่นเอ่ยต่อ “ข้าจำคนคนนี้ได้ แต่เคยเจอที่ใดนั้นกลับนึกไม่ออกในทันที ถ้านึกออกแล้ว ข้าจะรีบบอกท่าน”
สุยโจวพยักหน้า มองท้องฟ้า “ได้เวลาแล้ว วันนี้ก็พอแค่นี้ พรุ่งนี้ใต้เท้าถังไปหาข้าที่กองปราบฝ่ายเหนือได้”
ถังฟั่นยิ้มพร้อมลุกขึ้น “ก็ดี วันนี้ได้เบาะแสไม่น้อย ข้าเองก็ยังต้องกลับไปรายงานท่านผู้ว่าการ ขอลา”
สุยโจวผู้นี้ดูไว้ตัวเข้าถึงยาก ทว่าความสามารถกลับยอดเยี่ยม หนำซ้ำถังฟั่นได้ยาขวดนั้นจากมือเขา บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้นไม่มากก็น้อย หากศาลซุ่นเทียนสามารถผูกไมตรีกับกองปราบฝ่ายเหนือได้ ก็ย่อมเป็นประโยชน์กับการทำงานในภายภาคหน้าอย่างมาก
สุยโจวเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งอย่างกะทันหัน “ใต้เท้าพันขลาดต่อหน้าที่ หากใต้เท้าถังอยากมีผลงาน อยู่ที่ศาลซุ่นเทียนก็นับว่าน่าเสียดายแล้ว”
ถังฟั่นกล่าวกลั้วหัวเราะ “นายกองสุยหมายจะขุดคนของใต้เท้าพัน จึงชวนข้าไปรับตำแหน่งที่กองปราบฝ่ายเหนือหรือ”
“หากท่านยินดี ก็ย่อมได้”
ถังฟั่นใจหายวาบ อีกฝ่ายเป็นเพียงนายกองขั้นเจ็ดเท่านั้น กลับพูดจาใหญ่โตเพียงนี้ ย่อมมีคนหนุนหลังแน่นอน เขาเองก็ไม่พูดเล่นแล้ว จึงกล่าวตอบตามตรง “ขอบคุณในความหวังดีของนายกองสุย เพียงแต่ใต้เท้าพันมีบุญคุณอุ้มชูข้า ข้ามิอาจเนรคุณได้”
“แล้วแต่ท่านเถอะ” สุยโจวกล่าว
เผชิญกับท่าทีเย็นชาของเขา ถังฟั่นก็ทั้งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ ประสานมือคารวะ “ไว้ข้าจะเลี้ยงสุรานายกองสุยวันหลัง ข้าขอตัวก่อน”
สุยโจวลุกขึ้น “ใต้เท้าถังค่อยๆ กลับ ขออภัยที่ไม่ส่ง”
แต่แล้วในเวลานี้เอง องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาอย่างรีบร้อน “พี่ใหญ่!”
ถังฟั่นจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ติดตามสุยโจววันที่ไปร้านหุยชุนถัง ชื่อว่าเซวียหลิง ผิวพรรณออกคล้ำ หน้าตาคมสัน
“มีอะไร” สุยโจวถาม
เซวียหลิงมองถังฟั่นแวบหนึ่ง
ถังฟั่นกำลังจะเลี่ยงออกไป สุยโจวกลับบอกว่า “ถ้าเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหวก็เล่ามาได้”
เซวียหลิงจึงกล่าว “คนของสำนักบูรพามา เอาศพของเจิ้งเฉิงไปแล้ว!”
ถังฟั่นเผยสีหน้าประหลาดใจ
สุยโจวมีสีหน้าหม่นลง “เกิดอะไรขึ้น”
เซวียหลิงยิ้มเจื่อน “เมื่อครู่มีคนจากสำนักบูรพามา บอกว่ารับคำสั่งจากผู้บัญชาการ เพื่อไขคดีให้กระจ่างในเร็ววัน จะขอยืมศพของเจิ้งเฉิงไปตรวจสอบ”
ผู้บัญชาการสำนักบูรพาคนปัจจุบันคือซั่งหมิง เป็นอริกับวังจื๋อแห่งสำนักประจิม
เมื่อไรที่ขันทีเรืองอำนาจ ต่อให้ไร้พายุก็เกิดคลื่นสามศอกได้ หนำซ้ำเวลานี้มีคดีจวนอู่อันโหวเป็นข้ออ้าง วังจื๋อสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวแล้ว ซั่งหมิงเองก็ย่อมไม่ยอมแพ้ เพื่อชิงความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ทุกคนล้วนพยายามกันอย่างสุดชีวิต
สุยโจวได้ยินแล้วก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น “อาศัยบารมีเบื้องบน!”
ก็ไม่รู้ว่ากำลังตำหนิเจ้าหน้าที่ของสำนักบูรพา หรือกำลังด่าซั่งหมิงผู้บัญชาการสำนักบูรพากันแน่
ถังฟั่นถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ในเมื่อศพของเจิ้งเฉิงไม่อยู่แล้ว พรุ่งนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาหาสุยโจว เกรงว่าคดีต้องเริ่มสืบจากผู้ที่ซื้อไฉหู
“นายกองสุย ข้าขอตัวก่อน ส่วนผู้ที่ซื้อไฉหูคนนั้น ข้าเองก็จะให้ศาลซุ่นเทียนส่งคนไปสืบเช่นเดียวกัน หากท่านตามพบก่อนก็รบกวนบอกกล่าวด้วย”
สุยโจวผงกศีรษะเล็กน้อย “ใต้เท้าถังค่อยๆ เดิน”
ถังฟั่นกลับถึงเรือนก็เพิ่งพบว่าวันนี้ตนวิ่งวุ่นอยู่ครึ่งค่อนวัน นอกจากโจ๊กเปล่าครึ่งชามที่กินเมื่อเช้าแล้วก็แทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ยามนี้พอว่าง ท้องก็ร้องโครกครากทันที คร้านจะทำเอง รื้อห้องครัวอยู่นานสองนานก็ไม่มีอะไรให้กิน เมื่อจนปัญญาจึงต้องนำสาลี่ลูกหนึ่งในตะกร้าที่อาซย่าเอามาให้เมื่อเช้าไปล้างแล้วนำมากิน
น้ำสาลี่หอมหวานไหลลงสู่คอ ลำคอซึ่งเดิมแห้งผากจนเจ็บพลันอาการดีขึ้นไม่น้อย กินสาลี่หมดแล้ว ถังฟั่นก็หยิบยาที่สุยโจวให้เขาออกมา ทาบริเวณรอยช้ำที่ลำคอจนทั่ว
เพิ่งจะทายาเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เขาเดินไปเปิดประตู ได้กลิ่นหอมยั่วยวนโชยกรุ่นมา ก่อนจะเห็นหญิงสาวถือกล่องข้าว
“อาซย่า?”
“มารบกวนใต้เท้าถังอีกแล้ว วันนี้พวกเราต้มบะหมี่กัน นายหญิงได้ยินว่าท่านเพิ่งกลับมา เดาว่าท่านงานยุ่ง อาจยังไม่ได้กินข้าว ก็เลยให้ข้าเอาเกี๊ยวน้ำมาส่ง ใต้เท้ารีบกินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ!”
เรือนสองหลังห่างกันเพียงกำแพงกั้น ความเคลื่อนไหวที่ดังเพียงเล็กน้อยก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน แม้บรรพบุรุษของสกุลหลี่จะเป็นขุนนาง ทว่าเมื่อสืบมาถึงรุ่นปัจจุบันก็เป็นเพียงวาณิชทั่วไป เมื่ออาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยขุนนางจึงยิ่งไม่โดดเด่น ปกติเจ้าบ้านสกุลค้าขายอยู่ต่างถิ่น ครอบครัวที่มีแต่สตรีและเด็กพบเจอกับคนของทางการย่อมต้องแสดงท่าทีอ่อนน้อม เนื่องจากถังฟั่นเคยช่วยพวกเขาอยู่หลายครั้ง คนสกุลหลี่รู้สึกซาบซึ้ง ยิ่งรู้ว่าถังฟั่นยังไม่ได้แต่งงาน ย่อมหละหลวมเรื่องงานบ้านงานครัว จึงสั่งให้สาวใช้อย่างอาซย่านำอาหารของว่างมาส่งเสมอ ไปมาหาสู่กัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองบ้านจึงเป็นไปอย่างดี
ถังฟั่นรับกล่องข้าวมา “ฝีมือของพ่อครัวสกุลหลี่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ เพียงแต่ต้องรบกวนพวกเจ้าตลอดก็ไม่ดี ฝากเจ้าไปบอกนายหญิงสกุลหลี่ให้ด้วยว่าต่อไปก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว”
อาซย่าเม้มปากยิ้ม “ใต้เท้าถังกล่าวเกินไป ท่านช่วยเหลือสกุลหลี่ไว้มากมาย พวกเราเพียงแค่คอยส่งอาหารมาให้ มิได้ลำบากอะไร ท่านก็อย่าได้เกรงใจเลย รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ อีกพักค่อยให้เสี่ยวหู่จื่อมาเอากล่องข้าวกลับ”
ทั้งสองคนถามไถ่กันอีกสองคำ อาซย่าก็กล่าวลากลับไป ถังฟั่นถือกล่องข้าวเข้าเรือน เปิดฝาออก ยกเกี๊ยวน้ำหมูสับต้นหอมซอยอันหอมฉุยชามหนึ่งออกมา ก่อนจะหยิบบทประพันธ์ ‘ผูซ่าหมาน’ เล่มหนึ่งจากชั้นหนังสือ
‘ผูซ่าหมาน’ นี้มิใช่บทกวีในสมัยราชวงศ์ซ่ง หากเป็นบทประพันธ์ที่ถูกแต่งโดยผู้นิรนามในราชวงศ์นี้ เนื้อเรื่องกล่าวถึงเรื่องราวของบัณฑิตซิ่วไฉ* คนหนึ่งที่ไปเป็นแขกในวังจวิ้นอ๋อง ถูกใส่ความป้ายสีว่ามีสัมพันธ์กับสาวใช้ ถูกจวิ้นอ๋องสังหารอย่างไม่เป็นธรรม บัณฑิตซิ่วไฉตายแล้วกลายเป็นวิญญาณ คิดหาวิธีล้างมลทินให้ตนเอง จึงไปเปิดโปงกับจักรพรรดิว่าจวิ้นอ๋องซ่องสุมกำลังหวังก่อกบฏ สุดท้ายจวิ้นอ๋องทำชั่วได้ชั่ว ถูกราชสำนักประหารชีวิต วิญญาณของบัณฑิตซิ่วไฉหมดอาลัยแล้วก็ไปยังยมโลก
ใครก็คาดไม่ถึงว่าใต้เท้าถังที่เข้าสำนักราชบัณฑิตในฐานะบัณฑิตอันดับหนึ่งแห่งบัณฑิตเอกขั้นสอง ได้รับคำชื่นชมจากจักรพรรดิ จะชื่นชอบเรื่องราวประโลมโลกที่รวมความรัก ความลึกลับ ภูตผีวิญญาณและอภินิหารเทพเซียนประเภทนี้ได้
นิ้วเรียวยาวขาวผ่องพลิกไปถึงจุดที่อ่านถึงครั้งก่อน ใต้เท้าถังก้มลงจิบน้ำแกงร้อนๆ ถอนหายใจอย่างมีความสุข
ชีวิตคนก็เพียงเท่านี้ จะวอนขออะไรอีก!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พันปินก็เรียกถังฟั่นไปซักถามความคืบหน้าของคดี
ถังฟั่นบอกเล่าสิ่งที่พบและความคืบหน้าอย่างคร่าวๆ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องที่สำนักบูรพานำศพของเจิ้งเฉิงไป
พันปินกลับดูดีใจ “สำนักบูรพาเข้ามาสอด คดีก็จะยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีก!”
ถังฟั่นนิ่งเงียบ
พันปินเองก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าตนดีใจออกนอกหน้าจนไม่เหมาะ จึงรีบกระแอมเสียงเบาเป็นการกลบเกลื่อน “เรื่องนี้ศาลซุ่นเทียนมิจำเป็นต้องข้องเกี่ยวมากเกินไป สำนักบูรพาเข้ามาแล้ว สำนักประจิมย่อมไม่รามือแน่”
ที่พันปินหลุดกิริยาออกมา นั่นก็เพราะเขาเห็นถังฟั่นเป็นคนกันเอง มิฉะนั้นด้วยประสบการณ์โชกโชนหลายปีในแวดวงขุนนางของเขา ย่อมไม่มีทางลืมตัวเช่นนี้
ถังฟั่นพยักหน้าพลางทอดถอนใจ “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น สำนักบูรพากับสำนักประจิมเป็นปรปักษ์กันมาโดยตลอด มิหนำซ้ำหนนี้สำนักบูรพาแย่งหลักฐานรูปธรรมไปจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพร หน่วยองครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่พอใจแน่ ราชสำนักเนืองแน่นด้วยยอดคนมากฝีมือ แต่ทุกคนต่างไม่ยอมประนีประนอมต่อกัน ทำให้ต่างทำงานไม่ได้ แม้กระทั่งสืบสวนคดีก็ยังยากเย็นถึงเพียงนี้!”
“เช่นนั้นก็ไม่นับว่าเป็นอะไร โชคดีที่เจ้าคิดวิธีนั้นได้ เวลานี้ศาลซุ่นเทียนเพียงแค่เฝ้ามองเฉยๆ ก็พอ หากสุดท้ายการสืบสวนมิได้ข้อสรุป ยากจะลงโทษคนหมู่มาก ฝ่าบาทก็ไม่สะดวกจะไล่เลียงเอาผิดเฉพาะกับศาลซุ่นเทียน เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว”
ถังฟั่นเดาว่าศิษย์พี่ของเขาคนนี้อาจเจรจาตกลงกับอู่อันโหวเป็นการส่วนตัว อดเตือนสติอย่างนุ่มนวลไม่ได้ “ใต้เท้า สาวใช้ที่ชื่ออาหลินคนนั้น แม้จะยั่วยวนเจิ้งเฉิง เจตนาไม่บริสุทธิ์ ทว่าโทษก็ไม่ถึงตาย”
เวลานี้อาหลินยังถูกขังอยู่ในคุกใหญ่ของศาลซุ่นเทียน แต่อู่อันโหวคาใจกับการตายของบุตรชาย ทว่าไม่อยากเผชิญหน้ากับฆาตกร กลับดึงดันคิดว่าเป็นเพราะสาวใช้คนนั้น ถังฟั่นกังวลว่าสุดท้ายเรื่องราวจะจบลงด้วยความไม่กระจ่าง อาหลินก็จะถูกพันปินส่งตัวให้อู่อันโหวลงอาญาระบายความแค้น
ถึงเวลานี้หลายฝ่ายจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสืบคดี แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เพียงช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ ใครจะสนใจชะตากรรมของสาวใช้ที่ไร้ความสำคัญคนหนึ่งกัน
พันปินปั้นหน้าขึงขัง กล่าวอย่างไม่ชอบใจ “รุ่นชิง เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อด้านนัก อย่าลืมว่าฐานะของเจ้าคืออะไร แล้วอาหลินนั่นมีฐานะอะไร เอาอนาคตของตนเองไปเสี่ยงเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง คุ้มค่าหรือ”
ถังฟั่นกล่าวด้วยความสัตย์จริง “ศิษย์พี่ ใช่ว่าข้าจะจงใจให้ท่านลำบากใจ เรื่องใหญ่เกี่ยวพันถึงชีวิตคน หากไม่สืบให้ความจริงกระจ่าง ข้าก็ละอายต่อมโนธรรม!”
พันปินถอนใจเฮือกหนึ่ง “รุ่นชิงเอ๋ยรุ่นชิง เจ้าคิดว่าข้าใจไม้ไส้ระกำหรือ คิดถึงเมื่อครั้งที่ข้าเพิ่งได้เป็นขุนนาง ก็กระตือรือร้นเหมือนเจ้า หัวใจคิดจะตอบแทนราชสำนัก ปกป้องราษฎร ทว่าโลกนี้ไร้ความเป็นธรรม! สำนักบูรพา สำนักประจิม หน่วยองครักษ์เสื้อแพร ยังมีคนมากมายที่อยู่เหนือพวกเรา ใครบ้างที่เราพอจะต่อกรด้วยได้ ท้ายที่สุดสาวใช้คนนั้นจะตายหรือไม่ ยังต้องดูว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินเช่นไร ใช่ว่าพวกเราถือดาบไปฆ่าคนเสียเมื่อไร เจ้าก็อย่าวุ่นวายให้มากนักเลย ในเวลานี้รักษาตัวให้รอดได้ก็ไม่เลวแล้ว”
เขานิ่งไปชั่วขณะ แล้วจึงกล่าวต่อโดยกดเสียงลงต่ำ “เช่นนั้นข้าก็จะเปิดใจบอกกับเจ้าตามตรง อย่าเห็นว่ายามนี้ในราชสำนักเต็มไปด้วยเสือด้วยจระเข้ วุ่นวายโกลาหล สภาขุนนางไร้ความโดดเด่น สำนักประจิมเหิมเกริมเรืองอำนาจ ความจริงแล้วพวกเขาล้วนเดาพระดำริของฝ่าบาทได้ ฝ่าบาทพอพระทัยที่จะทอดพระเนตรเช่นนี้ หากขุนนางในราชสำนักสามัคคีปรองดอง เป็นอริกับฝ่าบาท แล้วจะเป็นผลดีอะไรกับพระองค์ เจ้าอายุยังน้อย ยังไม่รู้หนักเบาของผลดีผลร้ายในเรื่องเหล่านี้ รับราชการเป็นขุนนาง ซ้ำยังเป็นขุนนางของโอรสแห่งสวรรค์ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องคาดเดาพระดำริของโอรสสวรรค์ไว้ก่อน คดีนี้ สำนักบูรพา สำนักประจิม หรือแม้กระทั่งหน่วยองครักษ์เสื้อแพร วาจาของพวกเขาล้วนมีน้ำหนักกว่าข้า ให้พวกเขาไปปวดหัวเถอะ เจ้าเข้าไปร่วมสืบด้วยได้ แต่อย่าชิงออกหน้าไปเสียทุกเรื่อง ถึงเวลาผลงานถูกคนอื่นฉวยไป อาญากลับตกที่เจ้า เจ้าจะไปร้องขอความยุติธรรมกับใคร ตัวข้านั้นวาจาไร้น้ำหนักไร้คนฟัง มีใจทว่าไร้กำลัง กลัวแต่ว่าจะช่วยเจ้าไม่ได้เหมือนกัน!”
สีหน้าของถังฟั่นปราศจากอารมณ์ เพียงพยักหน้าและกล่าวอย่างเรียบๆ ว่า “ความในใจของศิษย์พี่ รุ่นชิงจำใส่ใจแล้ว”
พันปินสาธยายจนปากเปียกปากแฉะอยู่ยืดยาว พลันรู้สึกคอแห้งขึ้นมา จึงฉวยถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย ในเมื่อนายกองของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรที่ชื่อสุยโจวคนนั้นพอเป็นมิตรกับเจ้า เจ้าก็ควรคว้าโอกาสให้ดี สนิทสนมกับเขาให้มาก ภายหน้าอาจเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าสุยโจวนั่นมีความเป็นมาอย่างไร”
เห็นถังฟั่นส่ายหน้าว่าไม่รู้ อีกฝ่ายจึงเล่า “เขามีศักดิ์เป็นทายาทของพระพันปีโจว มารดาเขาเป็นหลานสาวฝั่งพระญาติเดิมของพระพันปี ในสกุลยังมีอาคนหนึ่งของบิดาเคยเป็นเสนาบดีกรมทหาร ทั้งยังได้เข้าสภาขุนนางในสมัยรัชศกเจิ้งถ่ง น่าเสียดายที่ภายหลังเสียชีวิตในศึกกบฏป้อมถู่มู่”
ถังฟั่นมึนงง “ท่านหมายถึงสุยอันหลันหรือ”
พันปินผงกศีรษะ “ด้วยสายสัมพันธ์นี้ คนผู้นี้จึงแสดงความเห็นได้ทั้งในและนอกราชสำนัก ต่างจากองครักษ์เสื้อแพรทั่วไป ได้ยินว่าเวลาเผชิญหน้ากับเขา แม้แต่วั่นทงเองก็ต้องรักษามารยาท”
วั่นทงเป็นผู้บัญชาการคนปัจจุบันของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ซึ่งก็คือหัวหน้าของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร
คนผู้นี้เป็นน้องชายของวั่นกุ้ยเฟย บัดนี้วั่นกุ้ยเฟยกุมอำนาจตำหนักใน แม้อายุจะมากกว่าจักรพรรดิถึงสิบหกปี แต่จักรพรรดิก็รักใคร่โปรดปรานนางเป็นอย่างมาก แทบจะเชื่อฟังทุกอย่าง กระทั่งสถานะของรัชทายาทจูโย่วเชิงก็ยังสั่นคลอนจนเกือบรักษาไม่อยู่
เมื่อมีเรื่องราวความรักอันเป็นตำนานอยู่เบื้องหลัง ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรอย่างวั่นทงย่อมเสมือนปลาได้น้ำ ผลประโยชน์จากตำแหน่งที่ดำรงเพิ่มเป็นทวีคูณ
ทว่าอย่างไรเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ภรรยาหรือจะเทียบเทียมมารดาได้ ในเมื่อสุยโจวมีสายสัมพันธ์ทางพระพันปีโจว หากมีความทะเยอทะยานสักนิด พัฒนาความสามารถอีกสักหน่อย อยากจะลืมตาอ้าปากก็ย่อมสมปรารถนาในไม่ช้า
ถังฟั่นมองว่าแม้สุยโจวจะมีท่าทีเย็นชา แต่ยามทำงานกลับปราดเปรื่องชำนาญ คิดไม่ถึงว่าจะมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งดั่งหินผาเช่นนี้ด้วย เห็นได้ว่าเมืองหลวงนั้นล้วนซ่อนมังกรเร้นพยัคฆ์* ยิ่งต้องรอบคอบในการกระทำ หากก่อนหน้านี้ถังฟั่นอาศัยว่าตำแหน่งสูงกว่าสุยโจวครึ่งถึงหนึ่งขั้นแล้ววางอำนาจกับอีกฝ่าย ไม่แน่ยามนี้อาจถูกเล่นงานแล้ว
ทว่าวาจาของศิษย์พี่ผู้นี้ทำเอาถังฟั่นไร้คำจะกล่าวจริงๆ เขาอยากบอกเหลือเกินว่า ใต้เท้า ท่านรู้หรือไม่ว่าคนเขาสุดแสนจะสบประมาทดูแคลนศาลซุ่นเทียนของพวกเรา การเข้าไปประจบตีสนิทนั้นมิได้ผลหรอก
แต่ถังฟั่นก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงยืนประสานมือไว้ด้านหน้า สดับฟังด้วยรอยยิ้ม พยักหน้าเป็นครั้งคราวเชิงคล้อยตาม ท่าทีกระหายใฝ่เรียนรู้เช่นนี้ทำให้พันปินพอใจมาก
พันปินพร่ำบ่นกำชับอีกพักหนึ่ง ถังฟั่นฟังจนหูชา ตอนที่ลุกขึ้นแม้กระทั่งฝีเท้าก็ยังรู้สึกเบาโหวง ขณะกำลังจะกล่าวลาก็เห็นเหล่าหวัง เจ้าหน้าที่ของศาลซุ่นเทียนตะลีตะลานเข้ามาจากด้านนอก
“ใต้เท้า แย่แล้วขอรับ เกิดเรื่องแล้ว!”
พันปินเกลียดถ้อยคำเช่นนี้ที่สุด คิ้วหนาขมวดมุ่น “แย่แล้วอะไรกัน เกิดเรื่องกับศาลซุ่นเทียนเราอะไรก็ว่าไป แต่พูดจาให้รื่นหูหน่อยไม่ได้เลยรึ!”
เหล่าหวังเผยความตื่นเต้นที่ซ่อนเร้นออกมาเล็กน้อย แต่ไม่กล้าแสดงออกโจ่งแจ้งเกินไป ทำให้ใบหน้าคล้ายบิดเบี้ยวไป ดูแล้วประหลาดตายิ่งนัก “ไม่ใช่ขอรับใต้เท้า ไม่ใช่ศาลซุ่นเทียนของเราเกิดเรื่อง แต่เป็นสำนักบูรพาขอรับ สำนักบูรพาเกิดเหตุไฟไหม้!”
“อะไรนะ! เรื่องเป็นอย่างไร รีบเล่ามาเร็ว!” พันปินถาม
“วันนี้ตอนที่ฟ้าใกล้สาง เล่ากันว่าสำนักบูรพาเกิดไฟไหม้ เพลิงลุกลามใหญ่โต เผาเขตตะวันตกของสำนักบูรพาไปเสียครึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ตอนนี้กำลังดับไฟอยู่ขอรับ!”
ถังฟั่นใจหายวาบ รีบถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพื้นที่เก็บศพของสำนักบูรพาอยู่ที่ใด”
เหล่าหวังส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถังฟั่นจึงถามเช่นนี้กะทันหัน
พันปินถามอีกคำ แต่เห็นเหล่าหวังเองก็ไม่รู้รายละเอียดเรื่องราว จึงโบกมือให้เขาไป
“รุ่นชิง เรื่องนี้เจ้ามองอย่างไร”
ถังฟั่นตอบว่า “เมื่อวานศพของเจิ้งเฉิงเพิ่งถูกสำนักบูรพาเอาไป วันนี้ก็เกิดเหตุไฟไหม้ บังเอิญเกินไป ในนี้ย่อมมีเงื่อนงำแน่ ต้องสืบดูให้แน่ชัดก่อนค่อยสรุปอีกที”
พันปินเคาะโต๊ะ พยักหน้าพลางกล่าว “เรื่องราวลึกลับซับซ้อน เห็นทีสำนักบูรพาเองก็ไม่ได้แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ก่อกรรมทำชั่วไว้มาก ดูท่าว่าจะเจอกรรมตามสนองเข้าให้แล้ว”
น้ำเสียงที่ฉายแววมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นและรอชมเรื่องสนุกโดยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ของเขาทำเอาถังฟั่นพูดไม่ออก
ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากให้ปริศนาของคดีนี้ถูกไขกระจ่าง แต่มิต้องออกนอกหน้าเช่นนี้ก็ได้กระมัง!
นับตั้งแต่ก่อตั้ง สำนักบูรพาก็ประสบเหตุไฟไหม้ไปไม่น้อย เหตุไฟไหม้หนนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่เหล่าหวังเล่า เพลิงไหม้เพียงส่วนตะวันตกเท่านั้น ซึ่งเปลวไฟไม่ได้ลุกลาม จึงถูกดับในเวลาอันรวดเร็ว เล่ากันว่าต้นเพลิงเกิดจากมีชาวบ้านเผาสิ่งของอยู่ใกล้เคียง สะเก็ดไฟปลิวเข้าไปที่นั่นจนเศษไม้ติดไฟ หากมีฝนตกโปรยปรายอย่างเมื่อหลายวันก่อนก็คงไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
เมื่อถังฟั่นสืบดูก็พบว่าจุดเกิดเพลิงไหม้คือห้องขังหนึ่งที่สำนักบูรพาเอาไว้กักขังนักโทษ ให้บังเอิญเป็นสถานที่เก็บศพเจิ้งเฉิงพอดี เปลวไฟระลอกเดียว ปลิดชีวิตนักโทษไปสองคน กระทั่งศพของเจิ้งเฉิงเองก็กลายเป็นเถ้าธุลี
เรื่องถึงขั้นนี้ ต่อให้คะเนคาดเดามากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว ไม่แคล้วนี่คงเป็นอุบายของผู้ที่มีเจตนาชั่วร้าย ถังฟั่นลอบถอนใจ อ้อมไปวนมา ท้ายที่สุดก็กลับมาสู่จุดเริ่มต้น สาวใช้อาหลินคนนั้น เวลานี้น่ากลัวว่าจะหนีเคราะห์กรรมหนนี้ไม่พ้นเสียแล้ว
เขาคาใจกับคดีนี้มาก อยากจะสืบให้รู้ความจริง มิใช่เพื่อให้ได้หน้าได้ตาหรือต้องการเป็นอริขัดใจพันปิน แต่เพราะอยากปลอบประโลมให้วิญญาณของผู้ตายสู่สุคติ ให้ผู้บริสุทธิ์พ้นมลทิน ที่ตนร่ำเรียนเพียรศึกษาก็เพื่อวันหนึ่งสามารถช่วยเหลือราษฎรในแผ่นดินมิใช่หรือ บัดนี้ราชสำนักเสื่อมถอย ขุนนางทั้งหลายทุ่มเทแรงกายแรงใจกับการชิงดีชิงเด่น แต่ไม่ยอมทำอะไรเพื่อราษฎร ส่วนขุนนางที่ไม่ดีไม่เลวและรู้รักษาตัวรอดอย่างพันปินนั้นยิ่งมีอยู่มากกว่า
แต่เรื่องเกิดขึ้น อย่างไรก็ต้องมีคนไปสะสางจัดการ ในเมื่อคนอื่นไม่อยากทำ ถังฟั่นก็ไม่ถือสาที่จะรับช่วงต่อ
สามารถออกอุบายให้พันปินดึงสำนักบูรพาและหน่วยองครักษ์เสื้อแพรมาติดร่างแหไปด้วย นั่นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าวิธีการของถังฟั่นคงไว้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมเพทุบาย ทว่าวิญญูชนอ่อนนอกแข็งใน ไหวพริบอันฉลาดเฉลียวต่างๆ เหล่านี้เขากลับอยากนำมาใช้ในเรื่องที่ถูกต้องเท่านั้น
เพียงแต่ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องราวจะดำเนินไปอย่างยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้ คดีซึ่งเดิมทีไม่ซับซ้อน กลับประสบอุปสรรคอย่างต่อเนื่อง เวลานี้แม้กระทั่งศพก็ไม่มีแล้ว ตัดทุกเบาะแสร่องรอยหลังจากนี้จนหมดหนทาง
ถังฟั่นเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์ชิวจวิ้นของเขารับราชการก่อนพันปินนานหลายปี ทั้งเป็นนักปราชญ์เลื่องชื่อ จวบจนวันนี้กลับยังดำรงแค่ตำแหน่งหัวหน้าสำนักการศึกษา
สภาขุนนางเป็นเสียเช่นนี้ ผู้ที่ตั้งมั่นในปณิธาน ไม่ยอมอ่อนข้ออย่างอาจารย์ ย่อมไม่ได้รับความสำคัญ
และตัวเขานั้นจะต้องเดินตามรอยของอาจารย์เช่นกันหรือ
ถังฟั่นส่ายศีรษะ นิสัยสุขุมรอบคอบทำให้เขาสลัดอารมณ์ผิดหวังจากคดีจวนอู่อันโหวได้อย่างรวดเร็ว ดึงเอกสารที่อยู่ด้านล่างสุดจากกองเอกสารออกมาเปิดอ่าน
คดีฆาตกรรมในจวนอู่อันโหวย่อมสำคัญ ทว่าเขตซุ่นเทียนอันกว้างใหญ่ไม่เคยขาดแคลนคดี โดยเฉพาะคดีที่ยังคาราคาซังและคดีปริศนาในแต่ละปีที่ผ่านมานั้นยิ่งทับถมกองเป็นภูเขา ในฐานะผู้พิพากษาแห่งศาลซุ่นเทียน หน้าที่ของถังฟั่นไม่ได้สบายไปกว่าใคร นี่มิใช่ตำแหน่งคัดแยกจัดเรียงตำราคัมภีร์ ฆ่าเวลาไปวันๆ อย่างไร้ความสำคัญในสำนักราชบัณฑิต
แม้ตำแหน่งผู้พิพากษาจะเล็ก กลับเป็นคนดูแลการดำเนินและตัดสินคดีในเขตซุ่นเทียนเป็นหลัก ไม่อาจหละหลวมต่อหน้าที่ความรับผิดชอบได้
ถังฟั่นกวาดตาอ่านอย่างเนิบช้า ละเอียดทุกตัวอักษร ไตร่ตรองทบทวนอย่างถี่ถ้วน บางครั้งยังจับพู่กันจดบันทึกข้างๆ เป็นระยะ และลุกไปเปิดอ่านเอกสารเก่าเป็นครั้งคราว หลังจากกินอาหารกลางวันที่เจ้าหน้าที่นำมาส่งแล้วก็จดจ่อกับงานอีกครั้ง เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวันโดยไม่รู้ตัว
อาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก ในที่สุดถังฟั่นก็รู้สึกดวงตาแห้งผากเล็กน้อย
เขาเงยหน้าขึ้น มองสีแผ่นฟ้าด้านนอกแวบหนึ่ง ก่อนจะมองกองเอกสารที่อ่านเสร็จแล้วซึ่งวางอยู่อีกฝั่งบนโต๊ะ พึงพอใจว่างานที่ทำเสร็จสิ้นไปวันนี้นับว่ามาก ดังนั้นจึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
ถังฟั่นรับตำแหน่งที่ศาลซุ่นเทียนมาครึ่งปีกว่า ปกติหากไม่มีเหตุสุดวิสัย นี่ก็คือปริมาณงานในหนึ่งวันของเขา
งานเบื้องหน้าเรียบร้อยไปแล้วส่วนหนึ่ง เวลานี้เหมาะจะไปกินเกี๊ยวน้ำต้นหอมหรือบะหมี่หน้าเนื้อสับสักชามเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแค่นึกถึงรสมือของเถ้าแก่ร้านบะหมี่เกี๊ยวทางทิศเหนือของเมืองแล้ว ใต้เท้าถังก็น้ำลายสอจนท้องร้อง
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ทำให้ความคิดนั้นเป็นจริง ก็มีองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก
“พี่เซวีย?” ถังฟั่นประหลาดใจ คนผู้นี้คือเซวียหลิงที่ติดตามสุยโจวอย่างใกล้ชิด
เซวียหลิงประสานมือคารวะ “ใต้เท้าถัง นายกองสุยให้ข้ามาเชิญท่านไปพบ”
“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือ”
หายากที่บุรุษหน้าตาคมเข้มผู้นี้จะระบายยิ้ม “เป็นข่าวดี”
ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ ถังฟั่นก็ตอบตกลง เก็บข้าวของแล้วตามเซวียหลิงออกไป
“พี่เซวีย หากใต้เท้าของพวกท่านไม่รีบ ไปกินเกี๊ยวน้ำกับข้าสักชามก่อนเถอะ ไปพบใต้เท้าของพวกท่านอย่างหิวโหยเช่นนี้ กลัวว่าถึงเวลาข้าจะเข่าอ่อนปากสั่นจนพูดไม่ออก ร้านเกี๊ยวน้ำทางเหนือของเมือง ไส้ที่ใช้เป็นเนื้อหมูสดใหม่ของวัน ด้านในยังผสมเห็ดหอมกับต้นหอมสับละเอียดด้วย แป้งบางนัก พอต้มแล้วมองเห็นไส้ข้างในรางๆ กลิ่นหอม สัมผัสนุ่มลื่นคอ ได้ชิมสักคำก็ทำให้รู้สึกว่าไม่เสียแรงที่เป็นคนเมืองหลวงแล้ว!”
สาธยายอยู่นานสองนานก็เป็นเขาที่หิวเสียเอง
เซวียหลิงหัวเราะครืนใหญ่ เขาพบว่าใต้เท้าถังผู้นี้ช่างน่าสนใจนัก
เนื่องจากอำนาจหน้าที่อันพิเศษของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ขุนนางทั่วไปพบเจอพวกเขาแล้ว ส่วนมากมักยำเกรงโดยแฝงความระแวงและระวังตัว หรือไม่ก็ประจบสอพลออย่างไร้ยางอาย ถังฟั่นกลับเป็นกรณียกเว้น เวลาล้อเล่นก็ล้อเล่น เวลาจริงจังก็จริงจัง ไม่ได้ประจบเอาใจเกินควร และไม่ได้กริ่งเกรงรังเกียจ
ครั้นถูกฝีปากอันคมคายช่างเจรจาของถังฟั่นสาธยาย เซวียหลิงเองก็รู้สึกหิวขึ้นมาเช่นกัน
“ในเมื่อเช่นนั้น คราวนี้ข้าก็ขอเอาเปรียบใต้เท้าถังแล้ว”
ถังฟั่นกล่าวด้วยความดีใจ “ไปๆๆ ข้าหิวจนไส้กิ่วแล้ว!”
ทั้งสองไปถึงร้านแผงลอยนั้น กินกันอย่างเต็มคราบหนึ่งมื้อ เซวียหลิงพบว่าถังฟั่นไม่ได้พูดเกินเลย แม้ร้านนี้จะดูทรุดโทรม ทว่าลูกค้ากลับเนืองแน่น รสชาติอาหารก็ยอดเยี่ยม เมื่อก่อนเขาสัญจรไปมาทางทิศเหนือของเมืองกลับไม่เคยลิ้มรสเลย
เซวียหลิงเจริญอาหาร สั่งบะหมี่น้ำแกงกระดูกมาอีกชาม เขาทำงานใช้วรยุทธ์ ย่อมกินมากกว่าถังฟั่นเป็นเท่าตัว
เมื่อกินเสร็จ ถังฟั่นจ่ายเงินแล้ว ทั้งสองจึงมุ่งหน้าสู่กองปราบฝ่ายเหนือ พอท้องอิ่ม ร่างกายก็มีกำลังวังชา
ช่วงย่ำค่ำผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่ล้วนรี่กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว กินอาหารที่ภรรยาทำ แม้เมืองนี้จะเต็มไปด้วยหน่วยงานทางการมากมาย รายล้อมด้วยคฤหาสน์ของชนชั้นสูง แต่ก็มีชาวเมืองทั่วไปอาศัยอยู่ บางส่วนนั้นติดตามมาลงหลักปักฐานในสมัยที่จักรพรรดิหย่งเล่อย้ายเมืองหลวง หลายปีผ่านพ้น เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อสวรรคตก็เสมือนแสงไฟดับมอด ชาวบ้านสืบทายาทดำรงหลายชั่วอายุคน เมืองหลวงเป่ยจิงยิ่งอยู่ยิ่งเจริญรุ่งเรือง แตกต่างจากเมืองหนานจิงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเมืองหลวงที่มีสภาพแวดล้อมสมนาม
ในเมื่อผู้คนแออัด ยามสัญจรย่อมเบียดเสียดเดินชนกันได้ แต่มีเซวียหลิงอยู่ เพียงชุดองครักษ์เสื้อแพรนั้นก็ทำให้ฝูงชนเว้นระยะถอยห่าง ได้ผลมากกว่าชุดขุนนางของถังฟั่น ตลอดทางที่พวกเขาเดินไป ผู้คนรอบข้างต่างเขยิบแหวกทางให้ จึงทำให้พวกเขาเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก
ทว่าบางครั้งกฎเกณฑ์นี้ก็ไม่ได้ผลเสมอไป ห่างออกไปไม่ไกลมีคนก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้า และไม่ทันสังเกตชุดของถังฟั่นกับเซวียหลิง ย่างสามขุมดาหน้าเข้ามา ทันใดนั้นไหล่ก็กระแทกกับถังฟั่น อีกฝ่ายเบี่ยงถอยออกไปหลายก้าว ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองถังฟั่นก็รีบร้อนเดินหน้าต่อไป
ถังฟั่นหันกลับไปมอง เห็นเพียงแผ่นหลังที่จากไปอย่างเร่งร้อนของคนผู้นั้นเร้นหายเข้าไปในฝูงชนอย่างว่องไว
“มีอะไรหรือ” เซวียหลิงเห็นเขาหยุดฝีเท้า จึงเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร ไปเถอะ”
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรแบ่งเป็นกองปราบฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ นอกจากนี้ยังมีกองอักษรสารที่เป็นหน่วยดูแลเอกสารทางการ และสิบสี่กองพัน ทั้งกองปราบฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้เป็นส่วนกลางของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร กองปราบฝ่ายใต้กำกับภายใน กองปราบฝ่ายเหนือกำกับภายนอก กองปราบฝ่ายเหนือยังแบ่งย่อยออกอีกห้ากอง ซึ่งต่างก็มีภาระหน้าที่ของตนเอง
หัวหน้าระดับกองพันเรียกว่านายกองพัน ไล่ลงไปยังมีรองนายกองพัน นายกองร้อยและนายกองร้อยฝึกหัด จากนั้นจึงจะเป็นนายกอง ตำแหน่งนายกองไม่ถือว่าสูง แต่หน้าที่ล้วนเป็นภารกิจปฏิบัติการ อย่างเช่นคดีฆาตกรรมแห่งจวนอู่อันโหวครั้งนี้ เนื่องจากผู้ตายมีสถานะพิเศษ จักรพรรดิจึงมีราชโองการให้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรแทรกแซงร่วมสืบสวน คดีนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของสุยโจว
ถังฟั่นตามหลังเซวียหลิงเข้าที่ทำการหน่วยองครักษ์เสื้อแพร จนมาถึงกองปราบฝ่ายเหนือ ป้ายอักษรที่ไร้ความพิเศษใดๆ แขวนอยู่บนเสาหลักด้านขวาของประตูใหญ่ ให้กลิ่นอายน่าเกรงขามอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น หน้าประตูมีองครักษ์ยืนเฝ้าสองคน สีหน้าปราศจากอารมณ์ ใบหน้าเรียบตึงเย็นชา ภาพนี้หากเป็นคนที่ค่อนข้างขวัญอ่อนคาดว่าคงเริ่มเข่าอ่อนแล้ว
ชื่อเสียงดุดันขององครักษ์เสื้อแพรมักตกอยู่ที่กองปราบฝ่ายเหนือ ชื่อเสียงโหดเหี้ยมของกองปราบฝ่ายเหนือโดยมากมาจากคุกหลวง หน่วยงานพิเศษที่จักรพรรดิหงอู่เป็นผู้สถาปนา จักรพรรดิหย่งเล่อเป็นผู้พัฒนา โดยเฉพาะคุกหลวงที่ ‘คุ้มกันหนาแน่น เต็มไปด้วยทัณฑ์ทรมาน เดินเข้าไปแต่ถูกหามออกมา’ นั้นพาให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงจริงๆ แค่คิดก็เย็นวาบไปทั้งตัว หากเป็นขุนนางแห่งต้าหมิงแล้วไซร้ ความกลัวของพวกเขาคือหนึ่ง…กลัวสำนักบูรพา สอง…กลัวคุกหลวง
ฉะนั้นขอเพียงเป็นมนุษย์ปุถุชน โดยเฉพาะขุนนาง ไม่ว่าตำแหน่งจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะสมัครใจมาหรือไม่ ครั้นถึงกองปราบฝ่ายเหนือ รอยยิ้มก็มลายหายวับ สีหน้าตึงเครียดบึ้งตึง ราวกับผู้อื่นติดหนี้หลายร้อยก้วน* แล้วไม่คืนอย่างไรอย่างนั้น
มีเพียงถังฟั่นเท่านั้นที่มีสีหน้าเป็นปกติ ซ้ำยังมีเวลาพินิจสำรวจ เมื่อประจักษ์แก่สายตาของเซวียหลิง เขาก็ลอบประหลาดใจอีกครั้ง
“พี่รุ่นชิงดูจะสนอกสนใจกองปราบฝ่ายเหนือมาก ถ้าอย่างไรรอพบนายกองสุยแล้ว ข้าพาท่านไปดูคุกหลวงสักรอบเป็นอย่างไร” เซวียหลิงเจตนาข่มขวัญเขา
หลังผ่านมิตรภาพเกี๊ยวน้ำชามนั้น ทั้งสองก็คุ้นเคยกันแล้ว จึงย่อมเปลี่ยนคำเรียกขานไปด้วย
คนบางพวกอัธยาศัยดีโดยกำเนิด เพียงสองคำสามคำก็ทำให้ผู้อื่นประทับใจในตนและผูกมิตรด้วยได้ เช่นเดียวกับคนบางพวกที่มีความเป็นผู้นำโดยกำเนิด เหมาะจะเป็นหัวหน้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถที่ไม่อาจลอกเลียนกันได้
ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ อันดับแรกรูปโฉมต้องไม่ขี้ริ้วจนเกินไป ที่สำคัญรองลงมาคือบุคลิกที่มีกลิ่นอายอันเป็นมายา จะขาดเสียมิได้ บางคนนั้นแม้ไม่เอ่ยปากพูดจาก็สามารถทำให้คนรอบข้างรู้สึกเหมือนถูกอาบด้วยสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ บางคนยามไม่ปริปากกลับทำให้คนรู้สึกว่าเจ้าตัวช่างสันโดษเย็นชา นี่ก็คือความแตกต่างของบุคลิก
ทักษะในการสื่อสารและวาทศิลป์เองก็สำคัญ นับแต่โบราณกาล ผู้ที่สามารถโลดแล่นอยู่ในแวดวงขุนนางและสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจได้ แทบทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการอ่านใจคน เข้าได้กับทุกฝ่าย อย่างเช่นวั่นอัน ราชเลขาธิการสภาขุนนางในยามนี้ แม้ทุกคนต่างเรียกขานเขากันอย่างลับๆ ว่า ‘ราชเลขาฯ หมื่นปี’ เย้ยหยันว่าเขาเก่งแต่ประจบสอพลอ คุกเข่าถวายบังคม ทว่ากลับปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาวางตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
อัธยาศัยของถังฟั่นย่อมไม่เลว แม้กระทั่งเซวียหลิงที่ปกติมักดูแคลนขุนนางฝ่ายพลเรือน ก็ยังรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนน่าคบหาหลังจากที่เจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง
ถังฟั่นฟังคำพูดของเขาแล้วก็หัวเราะชอบใจ “ดีเหมือนกัน ข้ายังไม่เคยไปคุกหลวง พอดีเลย รบกวนให้ท่านช่วยนำทางข้า ชี้แนะกันเสียหน่อย เกิดภายหน้าข้าทำอะไรผิดอาญาแล้วถูกโยนเข้ามา จะได้ไม่สับสนมึนงง แปลกที่แปลกทาง!”
เซวียหลิงกระตุกมุมปาก คนอื่นได้ยินคำว่าคุกหลวงแล้วล้วนหน้าถอดสี ถังฟั่นกลับไม่เหมือนใคร
ในฐานะเจ้าหน้าที่ของคุกหลวง เซวียหลิงจึงชี้แนะด้วยความหวังดี “คุกหลวงแห่งนี้เข้าง่ายออกยาก เมื่อท่านเข้าไป อยากออกมาอีกก็ยากแล้ว อย่าคิดว่าภายนอกเล่าลือกันเกินจริง ความจริงแล้วคุกหลวงน่ากลัวกว่าที่ท่านคิดหลายเท่า รอท่านเห็นกับตา ชาตินี้ก็ไม่อยากเข้าไปเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะ”
ทั้งสองสนทนาไปพลางเดินเข้าห้องห้องหนึ่ง
กลับเห็นเซวียหลิงชะงักฝีเท้ากะทันหัน พูดจาตะกุกตะกัก “พะ…พี่ใหญ่!”
ที่กลางโถง นายกองสุยนั่งขรึมองอาจอยู่บนเก้าอี้ มองทั้งสองสนทนากันอย่างออกรสขณะเดินเข้ามา กล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ “ดูท่าทางทั้งสองท่านจะถูกชะตาไม่เบา”
“…”
“…”
เซวียหลิงลอบโอดครวญในใจ ตอนที่เขาออกจากกองปราบ สุยโจวเพิ่งถูกนายกองพันเรียกไปพบ จึงเอ่ยปากให้เขาไปเชิญถังฟั่น เซวียหลิงติดตามสุยโจวมานานแล้ว ย่อมรู้ว่าคำสั่งเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ใครจะคิดว่าใต้เท้าสุยจะนั่งรออยู่ที่นี่แล้ว
เขารีบละล่ำละลักกล่าว “พี่ใหญ่ ใต้เท้าถังมาแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ข้าขอออกไปก่อน”
สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง เซวียหลิงเสมือนได้รับการละเว้นโทษ รีบหายตัวอย่างไวว่อง ก่อนไปยังไม่ลืมส่งสายตาเป็นนัยให้ถังฟั่นดูแลตนเองอีกต่างหาก
ถังฟั่นกระแอมเสียงเบา “ยังไม่ได้ขอบคุณนายกองสุยที่มอบยาให้ หลังจากใช้ไปสามครั้ง รอยช้ำหายหมดแล้ว ได้ผลมากจริงๆ”
สายตาของสุยโจวกวาดผ่านลำคอเหนือปกเสื้อของอีกฝ่ายที่กลับมาขาวผ่องดังเดิม ก่อนกล่าวว่า “ตามข้ามา” แล้วลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
ถังฟั่นตามหลังเขา เดินผ่านลานสวนไปถึงหน้าเรือนอีกหลังหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วก็เดินลงบันไดสู่ด้านล่าง ยิ่งเดินลงไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกถึงความหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากไม่มีแสงแดดส่องเข้ามาเป็นเวลานาน สภาพแวดล้อมรอบๆ จึงมืดสลัว แต่กลับไม่อับชื้น แสงเทียนสองข้างผนังสั่นระริก ราวกับจะดับลงได้ทุกเมื่อ
ในนี้เงียบสงัด ไม่มีใครเฝ้ายาม ทั้งสองเยื้องย่างบนบันได เสียงฝีเท้าดังสะท้อน พาให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างควบคุมไม่อยู่
สถานที่แห่งนี้เดิมทีถูกใช้เป็นห้องเก็บอาวุธ เครื่องทรมานส่วนหนึ่งของกองปราบฝ่ายเหนือ ทว่ายามนี้มีศพเพิ่มมาอีกหนึ่งศพ
เพื่อเก็บรักษาศพไว้ สุยโจวบัญชาให้คนนำน้ำแข็งมาวางกองรอบศพไม่น้อย
การใช้ดินประสิวทำน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นเมื่อสมัยปลายราชวงศ์ถัง ครั้นถึงราชวงศ์หมิง ศาสตร์การทำน้ำแข็งก็พัฒนาขึ้นมาก ทุกครั้งที่ถึงฤดูร้อน เหล่าพ่อค้าก็จะพากันขายอาหารแช่เย็นดับร้อนตามท้องถนน บรรดาผู้มีฐานะก็จะใช้ก้อนน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความเย็นสบาย กองปราบฝ่ายเหนือร่ำรวยเงินบำรุง จึงยิ่งมิต้องเอ่ยถึง
เมื่อถังฟั่นเห็นศพนั้น เขาก็ซ่อนความตะลึงไม่อยู่ ทั้งยังเจือด้วยความดีใจที่คาดไม่ถึง “เป็นเจิ้งเฉิง!”
นั่นไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจของถังฟั่นวิปริตบิดเบี้ยว ชอบใจกับศพของเจิ้งเฉิงผู้สำราญ แต่เป็นเพราะสำนักบูรพาเกิดไฟไหม้ เขาจึงเข้าใจว่าศพของเจิ้งเฉิงถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนเหลือเพียงเถ้าธุลีไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุยโจวเตรียมการป้องกันไว้แต่แรก ด้วยการย้ายศพของเจิ้งเฉิงออกมาก่อน
ถังฟั่นเอ่ยชม “นายกองสุยมองการณ์ไกล ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”
แม้ผู้ที่คิดวิธีการทำนองนี้ได้จะมีไม่น้อย ทว่าผู้ที่กล้าลงมือทำกลับมีไม่มาก
หากสำนักบูรพารู้ว่าศพที่ตนได้ไปแต่แรกคือศพของ ‘เจิ้งเฉิงตัวปลอม’ ย่อมต้องมาหาเรื่องสุยโจวแน่
แต่ด้วยภูมิหลังของสุยโจว คิดว่าคงไม่น่าเป็นห่วง
เมื่อสุยโจวได้ยินคำชมจากเขา สีหน้ากลับไร้แววภาคภูมิ เอ่ยว่า “พวกเราไม่พบเบาะแสอะไรในตัวเขาเลย”
สายตาของถังฟั่นมองไปที่ร่างของเจิ้งเฉิง บุรุษหนุ่มไม่เอาการเอางานที่ลุ่มหลงสตรี เจ้าสำราญเป็นนิสัย เวลานี้ได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่ไม่พูดไม่จาเสียแล้ว อาภรณ์ถูกเปลื้องตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นอนนิ่งอยู่ในนี้ เนื่องจากรักษาสภาพศพด้วยการใช้น้ำแข็ง ศพของเขาจึงมีสภาพเขียวซีดแปลกๆ แต่โดยรวมแล้วยังนับว่าสมบูรณ์ ไม่ได้เน่าเปื่อย
คืนที่เขาเสียชีวิต ถังฟั่นก็ตรวจศพอย่างละเอียดไปแล้วรอบหนึ่ง ตอนนั้นผู้พลิกศพก็บอกว่าไม่พบอะไร ภายหลังพวกสุยโจวตรวจสอบแล้วไม่พบอะไรก็เป็นเรื่องปกติ หากไม่ใช่เพราะมีจุดผิดสังเกตน่าสงสัยมากเกินไป การสรุปสาเหตุการตายให้เขาว่า ‘มีกามกิจหักโหมจนเสียชีวิตด้วยพลังหยางพร่อง’ ก็ดูจะสมเหตุสมผลดี
สายตาของถังฟั่นกวาดสำรวจศพของเจิ้งเฉิงอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ขั้นตอนการตรวจศพถี่ถ้วนยิ่งกว่าคืนนั้น
สุยโจวเห็นเขาลงมือเองโดยไม่รังเกียจ สีหน้าพลันเปลี่ยนเล็กน้อย
สืบเนื่องจากการที่รากฐานบ้านเมืองมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญของขุนนางฝ่ายทหารจึงลดลงขั้นหนึ่ง เท่ากับต้าหมิงอันยิ่งใหญ่ถูกปกครองโดยกลุ่มขุนนางฝ่ายพลเรือน นั่นทำให้บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ที่เป็นขุนนางผ่านการสอบรับราชการอย่างถังฟั่นมีความทะนงตน คนเหล่านี้ศึกษาเล่าเรียนมาหลายสิบปี เมื่อเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ไม่กดขี่ขูดรีดราษฎรก็นับว่าเป็นขุนนางน้ำดีแล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวถึงปณิธานตั้งมั่นและความเชี่ยวชาญในงาน
เหตุผลที่สุยโจวประหลาดใจเป็นเพราะเขาเคยเห็นขุนนางมากมายที่ตำแหน่งไม่ต่างจากถังฟั่น อย่าว่าแต่จะลงมือตรวจสอบศพด้วยตนเอง แม้กระทั่งเห็นศพก็ยังนิ่วหน้า หลบเลี่ยงเสียไกล ภาระหน้าที่ทุกอย่างก็อาศัยขุนนางผู้น้อยใต้บัญชาเพราะตนไม่คุ้นเคย ดังนั้นผู้ใต้บัญชาบอกกล่าวอะไรก็ไม่สงสัยแปลกใจ ทำให้ท้ายที่สุดถูกปิดหูปิดตา เกิดการหลอกลวงเบื้องบนปิดบังเบื้องล่างจนก่อความเสียหาย
เทียบกันแล้ว ถังรุ่นชิงผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นขุนนางที่ปฏิบัติงานจริงคนหนึ่ง ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เขามีความรู้ด้านการพลิกศพหรือไม่ ลำพังเพียงความตั้งใจที่ยอมลงมือด้วยตนเองก็มากพอให้คนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาได้แล้ว
ถังฟั่นที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้ลงมือตรวจศพอีกครั้ง แม้กระทั่งฝ่ามือกับฝ่าเท้าก็ไม่ปล่อยผ่าน สายตาของเขาพินิจอยู่บนร่างของเจิ้งเฉิงทุกอณูอย่างเนิบช้า เลื่อนขึ้นจากสะดือ ผ่านหน้าอก ลำคอ คาง จมูก หน้าผาก สุดท้ายไปจรดที่กระหม่อม
ตอนที่เจิ้งเฉิงเสียชีวิตนั้นอยู่ในสภาพผมเผ้ากระเซิง เวลานี้กลับถูกหวีรวบเป็นมวยสูงเฉกเช่นยามปกติ
ใบหน้าของเขาไม่มีบาดแผลที่เห็นได้ชัด บวกกับสาเหตุการตายที่สันนิษฐานก่อนหน้านี้ ทำให้ยิ่งกระตุ้นให้ความสนใจไปจดจ่อส่วนที่อยู่ใต้ลำคอลงมา กลับละเลยส่วนกลางกระหม่อม
“ใครเป็นคนหวีผมให้เขา” ถังฟั่นถาม
“ตอนที่นำมาจากจวนอู่อันโหวก็เป็นเช่นนี้แล้ว” สุยโจวตอบ
ถังฟั่นไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขายื่นมือคลายมวยผมของเจิ้งเฉิง สอดนิ้วเข้าไปในเรือนผมของอีกฝ่าย แล้วควานหาอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นมือของถังฟั่นพลันชะงัก สีหน้าดูแปลกพิกลเล็กน้อย
สุยโจวสังเกตเห็นทันที “มีอะไร”
“ท่านมาจับตรงนี้ กลางกระหม่อม จุดไป่ฮุ่ย*”
สุยโจวยื่นมือไปจับตามที่อีกฝ่ายบอก คลำอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วหนาก็ขมวดแน่น
“ตรงจุดไป่ฮุ่ยมีรอยบุ๋มเล็กน้อย” นายกองกล่าว
ถังฟั่นพอมีความรู้ด้านการแพทย์ เขากล่าวพลางครุ่นคิด “ข้าจำได้ว่าหากฝังเข็มตรงจุดไป่ฮุ่ย จะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ใจสงบมีสมาธิ”
สุยโจวเป็นผู้มีวิชายุทธ์ จึงมีความรู้ด้านนี้มากกว่าถังฟั่น “เนื่องจากจุดไป่ฮุ่ยเป็นจุดร้อยบรรจบเส้นลมปราณพิเศษซันหยาง จึงได้มีชื่อนี้ การกระแทกจุดไป่ฮุ่ยอย่างรุนแรงจะส่งผลให้บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ หรืออาจถึงแก่ความตาย”
“แต่คืนนั้นมีเพียงสาวใช้อาหลินที่อยู่ในที่เกิดเหตุ นางเป็นเพียงสตรีไร้กำลัง อีกทั้งเจิ้งเฉิงยังอยู่ในภาวะรู้สึกตัว เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ถูกกระแทกกระหม่อมจนตาย อีกอย่างอาหลินมีเจตนายั่วยวนเจิ้งเฉิงอยู่แล้ว ชัดเจนว่าทั้งสองยินยอมพร้อมใจ ไร้การบังคับฝืนใจ ไร้ความจำเป็นที่นางจะขัดขืนสู้ตาย” ถังฟั่นกล่าว
สุยโจวพยักหน้า “ยังมีอีกสถานการณ์ ไม่จำเป็นต้องกระแทกรุนแรง ขอเพียงรู้จักจุดลมปราณนี้เป็นอย่างดี แล้วเคาะด้วยแรงที่พอเหมาะทุกวัน ผู้ที่ถูกเคาะจะไม่หมดสติจนถึงแก่ความตายทันที ทว่านานวันเข้ากลับจะทำให้ระบบชีพจรแปรปรวนเสียหายจนถึงแก่ความตาย”
ถ้าเช่นนั้น ผู้ที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเจิ้งเฉิงทุกเช้าค่ำ จึงจะเป็นผู้ที่มีแนวโน้มเป็นฆาตกรมากที่สุด
ถังฟั่นส่ายหน้า “มิน่า เนื่องจากกระหม่อมมีผมปกปิด เดิมทีก็สังเกตเห็นได้ยากอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุการตายของเจิ้งเฉิงยิ่งไม่ทำให้เอะใจคิดโยงไปถึงจุดนี้ในทันทีทันใด”
“เจ้าเคยเห็นบรรดาภรรยาของเจิ้งเฉิงหรือ” สุยโจวถาม
“ถูกต้อง ระหว่างที่มาที่นี่ ข้ายังค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง กำลังจะบอกท่านพอดี”
“เรื่องอะไร”
“ข้าเพิ่งเห็นคนที่ไปซื้อไฉหูในภาพคนนั้น จึงนึกได้แล้วว่าเคยเจอที่ใด” ถังฟั่นเอ่ย
สุยโจวชะงักไปทันที
ถังฟั่นกล่าวต่อว่า “เขาเป็นคนของจวนอู่อันโหว”
“เจ้าแน่ใจหรือ”
ถังฟั่นพยักหน้า “ข้าจำไม่ผิดแน่ คืนเกิดเหตุ จวนอู่อันโหวชุลมุนวุ่นวาย บ่าวไพร่ผู้คนค่อนข้างมาก จึงทำให้ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกเพียงว่าคุ้นหน้า เมื่อครู่ได้เห็นเจ้าตัวอีกครั้ง ข้าก็เลยนึกออก คืนนั้นข้าเจอคนผู้นี้ในกลุ่มบ่าวรับใช้ของจวนอู่อันโหว”
นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง
ทั้งสองออกจากห้องเก็บศพ สุยโจวสั่งให้คนนำตัวเจิ้งฝูมา ส่วนถังฟั่นออกไปล้างมือ
เมื่อครู่ใช้มือสัมผัสศพเป็นความจำเป็นด้านหน้าที่ ไม่มีทางเลือก ใต้เท้าถังผู้รักสะอาดจึงจัดการล้างมือจนผิวหนังแทบเปื่อยกว่าจะยอมหยุด
เจิ้งฝูเด็กรับใช้ของเจิ้งเฉิงถูกคุมตัวอยู่ที่กองปราบฝ่ายเหนือตลอด จึงถูกนำตัวมาในเวลาอันรวดเร็ว แม้คุกหลวงของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรจะเลื่องชื่อลือชา แต่มิใช่ใครก็ได้จะได้รับเกียรติให้เข้าไปใช้งาน กับชาวบ้านเล็กๆ เช่นนี้ ยังไม่ถึงกับต้องใช้วิธีการสารพัดของหน่วยองครักษ์ เพียงแต่เจิ้งฝูถูกขังอยู่ตลอดหลังจากเจิ้งเฉิงเสียชีวิต สภาพจิตใจค่อนข้างตึงเครียด เขาจึงซูบผอมไปอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากท่าทางปราดเปรียวมีไหวพริบอย่างตอนที่ถังฟั่นพบเขาครั้งแรกราวกับคนละคน
เดิมทีเจิ้งฝูเห็นภาพเหมือนแล้วก็ยังมึนงงสับสน ได้ยินถังฟั่นบอกว่าเคยเห็นคนผู้นี้ในจวนอู่อันโหว จึงร้องอุทาน “ข้าน้อยจำได้แล้ว คนผู้นี้อยู่ในจวนอู่อันโหวจริงขอรับ!”
สุยโจวตีหน้าเคร่งขรึม “ก่อนหน้านี้เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก”
เจิ้งฝูก้มศีรษะคำนับแตะพื้น “คนในจวนโหวมีมากหน้าหลายตา แม้ข้าน้อยจะติดตามรับใช้นายน้อยอย่างใกล้ชิด ก็ไม่อาจจำได้ทุกคน อีกทั้งคนคนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นคนของจวนโหว เขาเป็นญาติห่างๆ ทางบ้านเดิมของฮุ่ยอี๋เหนียง* ที่มาขออาศัย พักอยู่เรือนฝั่งนอกตลอด ข้าน้อยเองก็เคยเจอหน้าเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น…”
“เขาอยู่ที่จวนมานานเท่าไรแล้ว” สุยโจวถามต่อ
เจิ้งฝูเล่าว่า “ราวๆ ครึ่งปีได้ ได้ยินนายน้อยบอกว่าเป็นญาติ ตอนนั้นฮุ่ยอี๋เหนียงมาอ้อนวอนนายน้อย บอกว่าคนในครอบครัวของนางตายหมดแล้ว เหลือแค่อาผู้นี้คนเดียวเท่านั้น หวังจะให้หางานในจวนสักอย่างทำเลี้ยงปากท้อง นายน้อยตอบตกลง จึงจัดแจงให้เขาไปช่วยงานที่โรงเลี้ยงม้า น้อยครั้งมากที่นายน้อยจะขี่ม้า เวลาเดินทางมักนั่งเกี้ยว ข้าน้อยเองก็ไม่ค่อยได้เจอคนคนนี้ แต่ได้ยินว่าเป็นคนซื่อสัตย์เถรตรง ไม่เคยก่อเรื่องก่อราวอะไร หากไม่ใช่ว่าใต้เท้าถังสะกิด ข้าน้อยก็นึกไม่ออกจริงๆ ขอรับ!”
สุยโจวไม่พูดอะไรอีก สั่งให้คนพาเจิ้งฝูไป แล้วให้พวกเซวียหลิงเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังจวนอู่อันโหว
ถังฟั่นที่นั่งเงียบไม่ปริปากอยู่ข้างๆ มองเขาสอบปากคำเจิ้งฝู จู่ๆ เอ่ยปากกะทันหัน “ช้าก่อน!”
เสียงท้วงนั้นไม่เพียงเซวียหลิงที่หยุดฝีเท้า แม้แต่สุยโจวก็หันมามอง
ถังฟั่นกล่าวกับสุยโจวว่า “ผลของการไปครั้งนี้ นายกองสุยไตร่ตรองดีแล้วใช่หรือไม่”
ต่อให้สุยโจวมีไหวพริบเพียงใด ได้ยินคำถามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยประโยคนี้ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “หมายความว่าอย่างไร”
“เมื่อเจิ้งฝูเล่าเช่นนี้ พวกเราต่างก็รู้แล้วว่าญาติของฮุ่ยอี๋เหนียงคนนั้นไปซื้อไฉหูมาสังหารเจิ้งเฉิง ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮุ่ยอี๋เหนียงแน่นอน แต่ฮุ่ยอี๋เหนียงเป็นสตรีเรือนหลัง อ่านเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าการเพิ่มไฉหูลงในยาฟู่หยางชุนสามารถปลิดชีวิตคนได้ ต้องมีคนคอยบงการวางแผนอยู่อีกต่อแน่ เมื่อมีร่างแหพัวพันเช่นนี้ ไม่แน่อาจดึงเอาความลับในจวนอู่อันโหวออกมาด้วยก็ได้ แม้อู่อันโหวเจิ้งอิงบัดนี้นับว่าไร้อำนาจในมือ แต่อย่างไรก็เป็นทายาทของขุนนางผู้มีผลงานในสงครามจิ้งหนาน หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมไม่เป็นผลดีกับท่าน” ถังฟั่นอธิบาย
สุยโจวมีสีหน้าเย็นเยียบ “หากใต้เท้าถังกลัว ก็เชิญตามสบาย ข้าย่อมไม่ฝืนใจ”
เซวียหลิงเองก็โวยวาย “เรื่องราวถูกสืบสาวมาถึงขั้นนี้ ฆาตกรกำลังจะถูกลากคอออกมาได้อยู่แล้ว จะล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร! ข้าว่านะใต้เท้าถัง ท่านขี้ขลาดเกินไปแล้ว ทำงานได้เฉพาะกับใต้เท้าพันจริงๆ!”
ถังฟั่นส่ายหน้า “พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้กลัว แค่ปรามให้พวกท่านไตร่ตรองให้ดีก่อน เรื่องนี้ไล่เรียงกันแล้ว ปัญหาเกิดเพราะแรกสุดศาลซุ่นเทียนไร้กำลังสืบคดีให้กระจ่าง หลังจากนี้หากได้ความดีความชอบ ข้าจะไม่ยื้อแย่งกับกองปราบฝ่ายเหนือแน่นอน แต่หากต้องแบกความรับผิดชอบ ก็โปรดอย่าลืมส่วนของข้าด้วย”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเอ่ยออกมา เซวียหลิงก็สะอึกอึ้ง จากนั้นหัวเราะชอบใจ ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น “ยอดเยี่ยม ใต้เท้าถังเป็นลูกผู้ชาย ข้าชื่นชมยิ่งนัก!”
เกี๊ยวน้ำชามหนึ่งก่อนหน้านี้ทำให้เขากับถังฟั่นได้ผูกมิตรไมตรีกันขั้นแรก แต่มิตรภาพเช่นนั้นไม่ได้มั่นคง ยามนี้ได้ยินวาจากล้าทำกล้ารับของถังฟั่นแล้ว เซวียหลิงจึงมีความเลื่อมใสต่อขุนนางผู้สุภาพคนนี้ขึ้นมาจริงๆ
บ้านเมืองยามนี้ ผู้ที่ตักตวงแย่งชิงผลงานมีไม่น้อย ทว่าผู้ที่ยินดีแบกรับความรับผิดชอบกลับน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
สีหน้าของสุยโจวเองก็อ่อนลง “เรื่องนี้ข้ามีแผนในใจ มิต้องกังวล”
ภูมิหลังของสุยโจวนั้น พันปินได้เคยบอกเล่าแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ได้ เช่นนั้นก็คาดว่าย่อมไม่มีปัญหา
หน่วยองครักษ์เสื้อแพรวางอำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าของขุนนางขั้นสูงหากแต่กลับไร้อำนาจจริงในมือเหล่านั้น
ถังฟั่นพยักหน้า ไม่เอ่ยอะไรอีก
เขาเพียงต้องบอกกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นให้ได้ ส่วนคนฟังจะรับน้ำใจหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของอีกฝ่าย
ทว่าท่าทีเช่นนี้ของเขากลับทำให้สุยโจวและเซวียหลิงมองเขาในแง่ดี
สุยโจวลุกขึ้น “ไปกันเถอะ ไปจวนอู่อันโหว”