ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 2 บทที่ 2 #นิยายวาย

บทที่ 2

 

สหายร่วมเรียนของหานเจ่านามว่าเสี่ยวเกา ชื่อที่ไม่ได้ความนี้หานเจ่าเป็นคนตั้ง เขาโตกว่าหานเจ่าไม่กี่ปี ถูกขังอยู่หลายวันจนผ่ายผอมเห็นกระดูก เมื่อเห็นหานฮุยก็ตื่นเต้นจนน้ำตาคลอหน่วย “นายน้อยใหญ่ ท่านมาเสียที! ข้าน้อยบริสุทธิ์ ข้าน้อยมิได้สังหารนายน้อยรอง! ท่านได้โปรดช่วยพูดกับฮูหยินให้ทีเถิด!”

หานฮุยปลอบโยนเขา “ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องร้อนใจ สองวันนี้ฮูหยินไม่สบาย พวกเราต่างไม่กล้าไปกระตุ้นนาง เจ้าอดทนอีกสักนิด อยู่ที่นี่ไปอีกสองสามวันก่อน ข้าจะให้พวกเขานำอาหารมาให้เจ้ามากหน่อย รอสภาพจิตใจของฮูหยินสงบลงกว่านี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว สองท่านนี้คือใต้เท้าที่ราชสำนักส่งมาเพื่อสืบสวนคดีของเสี่ยวเจ่า เจ้าก็ให้ความร่วมมือด้วย ถามอะไรก็ตอบตามความจริง หากเจ้าบริสุทธิ์ ใต้เท้าทั้งสองย่อมคืนความยุติธรรมให้เจ้าแน่”

เสี่ยวเกาพยักหน้าระรัว “ขอรับๆๆ! ข้าน้อยจะให้การเรื่องที่รู้ทุกอย่าง!”

ถังฟั่นกล่าวกับเขา “เจ้าเล่าเหตุการณ์ที่ออกไปกับหานเจ่าวันนั้นตั้งแต่ต้นจนจบมาให้ละเอียด”

เสี่ยวเกาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง นึกย้อนความทรงจำแล้วกล่าวตอบ “วันนั้นพวกเราออกไปด้วยกันเหมือนปกติ เสี่ยวฉานปลุกนายน้อยรองให้ตื่น ปรนนิบัติให้เขาล้างหน้าแต่งตัวและกินข้าว ข้ารออยู่ด้านนอก ออกจากจวนราวๆ ยามอิ๋นสามเค่อ นายน้อยรองดูสดใสดีและไม่มีอะไรผิดปกติ หลังออกจากจวน นายน้อยรองก็นั่งเกี้ยว ข้าก็ตามอยู่ข้างๆ…”

ถังฟั่นตัดบทเขา “ก่อนออกจากจวนพวกเจ้าเจอใครหรือไม่”

“เจอขอรับ เจออาหญิงโจว”

“เสี่ยวโจวซื่อหรือ ลูกพี่ลูกน้องของนายท่านพวกเจ้าสินะ ทีนี้เล่าให้ละเอียด”

“ใช่ขอรับ เป็นนาง อาหญิงโจวพูดคุยกับนายน้อยรองครู่หนึ่ง นายน้อยรองกินข้าวค่อนข้างเร็ว แขนเสื้อจึงยับย่นเล็กน้อย อาหญิงโจวยังช่วยจัดแจงให้นายน้อยรองจนเรียบร้อย”

ถังฟั่นเอ่ยถาม “ปกตินางกับนายน้อยรองของพวกเจ้ามีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร”

เสี่ยวเกากล่าว “ค่อนข้างดีขอรับ นายน้อยรองชอบนางมาก แต่ฮูหยินไม่ชอบนาง จึงไม่ให้นายน้อยรองไปหานาง ทั้งยังกำชับพวกเราให้คอยดูนายน้อยรองให้ดี”

คำให้การนี้เหมือนกับของหานฮุย

เสี่ยวเกากล่าวอีกว่า “แต่เวลาเจออาหญิงโจว นายน้อยรองก็ยังทักทายนาง อาหญิงโจวเข้าใจอาการป่วยทางใจของฮูหยิน จึงมิได้มาหานายน้อยรองอย่างเฉพาะเจาะจง เพียงแต่บางครั้งจะถือโอกาสมอบของเล่นให้นายน้อยรองเวลาเจอกัน”

ถังฟั่นถาม “ของเล่นอะไร”

“มีทั้งของกินของเล่น บางครั้งเป็นขนมโก๋ที่ซื้อมาจากข้างนอก บางครั้งก็เป็นตุ๊กตาปลาที่นางเย็บเอง นายน้อยรองชอบมาก เขายังขอให้พวกเราช่วยปิดเป็นความลับกับฮูหยินด้วย”

ถังฟั่นถาม “นอกจากนางแล้วเจอใครอีกหรือไม่ เกี้ยวได้หยุดระหว่างทางหรือไม่”

เสี่ยวเกาส่ายหน้า “ไม่ขอรับ ออกจากจวนแล้วก็มุ่งหน้าไปถึงนอกประตูวังเลย ข้ามองนายน้อยรองถูกคนในวังพาเข้าไปแล้วข้าจึงกลับ ตอนแรกตกลงกันว่าย่ำค่ำค่อยไปรับ ใครจะคิดว่านายน้อยรองจะ…”

ถังฟั่นคิดว่าไม่จำเป็นต้องสอบถามต่อไปแล้ว เขาหันไปมองหานฮุย “พวกเราอยากพบเสี่ยวโจวซื่อ”

หานฮุยพยักหน้า “เชิญตามข้ามา”

 

เห็นชัดว่าเสี่ยวโจวซื่อได้รับข่าวแล้ว ตอนที่นางออกมา ดวงตาแดงก่ำ บอบบางน่าสงสาร ดูแล้วอายุน่าจะอ่อนกว่าหลินซื่ออยู่พอสมควรจริงๆ ไม่แปลกที่หลินซื่อจะตั้งแง่กับนางมาก

เสี่ยวโจวซื่อได้ยินหานฮุยแนะนำสถานะของพวกถังฟั่นแล้วก็คำนับพวกเขาก่อนจะเอ่ยปาก “แม่ม่ายสามีตาย เดิมก็ไม่เป็นมงคล หากไม่เพราะข้ามักไปเยี่ยมเยียนเสี่ยวเจ่า ไม่แน่เสี่ยวเจ่าก็อาจจะไม่เป็นไร”

ถังฟั่นย่อมไม่มีหน้าที่และไร้อารมณ์จะปลอบโยนนาง เขาถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ข้าฟังเสี่ยวเกาเล่าว่าวันที่หานเจ่าเสียชีวิต ก่อนที่พวกเขาจะออกจากเรือนเพื่อเข้าวัง ท่านได้พบพวกเขาด้วย”

เสี่ยวโจวซื่อพยักหน้า “เจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากำลังจะไปทักทายท่านป้าที่เรือนส่วนหน้า ก็เจอเสี่ยวเจ่าพอดี หลังจากข้ารู้ว่าพี่สะใภ้ไม่ชอบให้ข้าคลุกคลีกับเสี่ยวเจ่า ข้าก็ไม่ค่อยไปเล่นกับเขาแล้ว แต่เสี่ยวเจ่าเป็นเด็กน่ารัก พอเจอเขา ข้าก็อดเล่นอดสนทนากับเขาไม่ได้ วันนั้นข้าพูดคุยกับเสี่ยวเจ่าเพียงครู่เดียว น่าจะประมาณเวลาหนึ่งถ้วยชา* เท่านั้น ตอนนั้นเสี่ยวเกาที่เป็นสหายร่วมเรียนของเสี่ยวเจ่าอยู่ด้วย สาวใช้ของข้าล่าเหมยก็อยู่ด้วย”

ล่าเหมยที่นางกล่าวถึงก็คือสาวใช้วัยสะพรั่งที่ยืนอยู่ด้านหลังนาง อายุไล่เลี่ยกับหานฮุย อีกฝ่ายก้มหน้า มือทั้งสองข้างประสานอยู่ที่หน้าท้อง เห็นเสี่ยวโจวซื่อเอ่ยถึงตน ล่าเหมยจึงคำนับพวกถังฟั่นตามมารยาท

ถังฟั่นมองนางแวบหนึ่ง แล้วกลับมามองเสี่ยวโจวซื่อ “ท่านยังประชิดตัวช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้หานเจ่าด้วย ใช่หรือไม่”

เสี่ยวโจวซื่อนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “ใช่ นี่เกี่ยวอะไรกันด้วยหรือ”

ถังฟั่นไม่ตอบ เพียงแค่เอ่ยถามว่า “ข้าอยากดูห้องของท่านหน่อย ได้หรือไม่”

เสี่ยวโจวซื่อมองถังฟั่น ตะลึงปนสับสน “ใต้เท้า นี่ใต้เท้าสงสัยข้าหรือ”

ถังฟั่นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สงสัยหรือไม่ ดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

เสี่ยวโจวซื่อขบริมฝีปาก สตรีคนหนึ่งถูกค้นเรือน นับเป็นการหยามเกียรติอย่างใหญ่หลวง หนำซ้ำยังเหมือนบอกเป็นนัยไปในตัว “หากข้าไม่ยอมเล่า”

ถังฟั่นมองวังจื๋อ

วังจื๋อที่ยืนประกอบฉากอยู่ข้างๆ ตลอดได้ออกโรงในที่สุด เขาให้ความร่วมมือกับใต้เท้าถังเป็นอย่างดี แสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมทันที “ให้พวกเราค้นตอนนี้ หรือรอเราพาเจ้าไปที่สำนักประจิมแล้วค่อยค้น เจ้าเลือกเอง”

ถังฟั่นลอบยกนิ้วโป้งให้วังจื๋อ

คำพูดประโยคนั้นออกจากปากของผู้บัญชาการสำนักประจิม ประสิทธิภาพย่อมทวีเป็นสิบเท่า ต่อให้ถังฟั่นยกศาลซุ่นเทียนออกมาก็ไร้พลังข่มขวัญอย่างสิ้นเชิง

ใต้เท้าถังคิดในใจ ที่จักรพรรดิให้วังจื๋อมาจับตามองเขาด้วยตนเองพร้อมทั้งให้ความร่วมมือ อันที่จริงก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว

ชื่อเสียงของสำนักประจิม กระทั่งสตรีในเหย้าในเรือนได้ยินแล้วก็ยังพรั่นพรึง ดวงหน้างามของเสี่ยวโจวซื่อซีดเผือดทันที

นางเซถอยหลังไปสองก้าว ล่าเหมยรีบพยุงนาง

เสี่ยวโจวซื่อคำนับอย่างชดช้อย “ขออนุญาตเรียนใต้เท้าทั้งสอง เรื่องนี้ไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ กับข้า ข้าเอ็นดูเสี่ยวเจ่าราวกับหลานในไส้ ไฉนจะทำร้ายเขาได้ ข้าเป็นเพียงสตรี หากให้คนเข้าค้นเรือน ข่าวแพร่ออกไปแล้วข้าจะสู้หน้าคนได้อย่างไร ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ขอใต้เท้าโปรดเห็นใจด้วย”

วาจาของถังฟั่นอ่อนโยน ทว่าน้ำเสียงกลับไร้ความหวั่นไหว “รับราชโองการสืบคดี ก็ขอให้ท่านเข้าใจพวกข้าด้วยเช่นกัน”

พูดจบก็ไม่สนใจเสี่ยวโจวซื่ออีก เขาเดินนำหน้าเข้าไปในเรือน

เวลานี้คนที่วังจื๋อพามาด้วยก็ได้ใช้การพอดี พวกเขาพร้อมทั้งวังจื๋อและถังฟั่นเริ่มทำการรื้อค้นห้อง

คนของสำนักประจิมปฏิบัติหน้าที่ย่อมไม่นุ่มนวลอะไร ไม่นานข้าวของเครื่องใช้ก็ถูกรื้อค้นจนกระจัดกระจาย

ในฐานะห้องส่วนตัวของสตรีคนหนึ่ง ห้องของเสี่ยวโจวซื่อได้รับเกียรติเป็นห้องแรกที่วังจื๋อรื้อค้นด้วยตนเอง

ทว่ากงกงผู้นี้ลงมือเองแล้วกลับป่าเถื่อนยิ่งนัก เขาเลือกค้นเฉพาะซอกมุมที่น้อยคนจะสังเกตสนใจ แม้กระทั่งม่านมุ้งก็ยังถูกเขาดึงลงมา

ผู้ที่มีเมตตาที่สุดคือถังฟั่น จุดที่เขาค้นหาคือพื้นที่อย่างมุมห้องและขาเตียง น้อยมากที่จะรื้อค้นในลักษณะทำลายล้าง

หานฮุยไม่สะดวกจะเข้าไป จึงรออยู่ด้านนอก

เมื่อห้ามมิได้ เสี่ยวโจวซื่อก็ได้แต่เดินตามหลังพวกถังฟั่นเข้าไป แต่พอเห็นสภาพห้องที่ยุ่งเหยิงแล้วร่างบางก็พลันเข่าอ่อน แทบเป็นลมล้มพับ

ล่าเหมยรีบประคองนางพลางส่งเสียงเรียก “นายหญิง! นายหญิง!”

“หัวหน้า!” หนึ่งในสองเจ้าหน้าที่ที่วังจื๋อพามาด้วยเรียกเสียงดัง เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง มือข้างหนึ่งถือแม่เหล็ก กำลังดูดเข็มเงินเรียวเล็กเล่มหนึ่งออกจากช่องบานพับบนขอบหน้าต่าง

วังจื๋อกับถังฟั่นเดินเข้าไปตรวจตามเสียงเรียก

เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่าเข็มเล่มนั้นยาวสองชุ่นกว่า ขนาดพอๆ กับเส้นผม หากมิใช่เพราะเจ้าหน้าที่สืบสวนจากสำนักประจิมคนนี้เชื่อคำพูดของถังฟั่น นำแม่เหล็กมาด้วย ก็ใช่ว่าจะพบวัตถุชิ้นนี้ได้

“เข็มนี่!” วังจื๋อกล่าว ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวโจวซื่อที่ล้มยวบอยู่บนพื้นด้วยแววตาเย็นเยียบ “หานเจ่าตายเพราะเข็มถูกฝังเข้าที่จุดสุ่ยเฟิน เจ้ายังกล้าบอกว่ามิใช่ฝีมือเจ้าอีกเรอะ”

เสี่ยวโจวซื่อเบิกตากว้าง ส่ายหน้าระรัว “ไม่ใช่ข้า! ไม่ใช่ข้า! ข้าไม่รู้ว่าเข็มนั่นเป็นของใคร!”

วังจื๋อไม่ฟังนางแก้ต่าง สั่งกับเจ้าหน้าที่ที่ขนาบซ้ายขวา “จับนางเสีย!”

เสี่ยวโจวซื่อร่ำไห้ “เข้าใจผิดแล้ว! ใต้เท้า ข้าบริสุทธิ์!”

ล่าเหมยเองก็ดึงแขนเสื้อของผู้เป็นนายพลางกรีดร้องด้วยความตระหนก

หานฮุยได้ยินสถานการณ์ในเรือนจึงรีบพรวดพราดเข้ามา เห็นภาพนั้นแล้วก็ตะลึงตาค้าง ละล่ำละลักถามวังจื๋อ “วังกงกง เกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ใช่เข้าใจผิดกันหรือไม่ขอรับ”

วังจื๋อส่งเสียงฮึเย็นชา “เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่ พากลับไปสอบปากคำก็รู้แล้ว!”

หากที่อยู่ที่นี่เป็นถังฟั่นพร้อมกับคนของศาลซุ่นเทียน ย่อมไม่สะดวกจะพาคนไปทันทีเช่นนี้ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรสกุลหานก็เป็นตระกูลขุนนาง หานฟังยังมีความสัมพันธ์ทางจักรพรรดิเฉิงฮว่า แต่วังจื๋อนั้นไม่ต้องพะวงในเรื่องนี้ เขาโบกมือให้เจ้าหน้าที่พาตัวเสี่ยวโจวซื่อไปทันที

หานฮุยมิอาจห้ามได้เลย คำพูดของเขาไร้น้ำหนักในสกุลหาน อีกทั้งปราศจากสถานะขุนนาง ดูจากที่วังจื๋อคร้านจะอธิบายกับเขาก็รู้ หานฮุยไร้หนทาง ได้แต่ไล่ตามหลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองออกไป ก่อนรีบไปรายงานให้หานฟังทราบ

สาวใช้อย่างล่าเหมยนั้นยิ่งทำอะไรไม่ถูก สีหน้าตระหนกลนลาน นางมองวังจื๋อกับถังฟั่นที่ยังอยู่ในห้อง ก่อนจะวิ่งตามออกไปด้วย

วังจื๋อหันกลับไปมอง เห็นถังฟั่นยังยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองเผินๆ คล้ายกำลังชมทิวทัศน์ เข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่อมองนอกหน้าต่างอย่างใจลอย

วังจื๋อย่นคิ้ว ตบแผ่นหลังของเขาไปทีหนึ่ง “ไม่อยากกลับหรือ”

ถังฟั่นถูกตบหลังจนไอโขลกไม่หยุด

เขาไอไปพลางกล่าวไปพลาง “เรื่องนี้บังเอิญเกินไป พวกเรามาเพื่อบอกว่าจะค้น แล้วก็เจอเข็มพอดิบพอดี เข็มที่เล็กเรียวเช่นนี้แค่โยนเข้าไปในสวนดอกไม้ เสียบลงในดิน ก็จะค้นหาได้ยากขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ สมองของเสี่ยวโจวซื่อก็ไม่มีปัญหาเสียหน่อย ไฉนจึงเอาไปเสียบที่ขอบหน้าต่าง รอให้เราค้นเจอเล่า”

วังจื๋อแย้ง “สตรีในห้องหอไหนเลยจะมีปัญญาเฉียบแหลมอันใด หลินซื่อชิงชังนางถึงเพียงนั้น หาเรื่องนางหลายต่อหลายครั้ง ซ้ำยังเหยียดหยามจนนางเกือบฆ่าตัวตาย เสี่ยวโจวซื่อจะเคียดแค้นในใจ หวังสังหารหานเจ่าเพื่อแก้แค้นหลินซื่อ ให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแสนสาหัสก็ไม่แปลกอะไร หลังจากนางสังหารคนแล้วก็ตระหนกลนลาน ย่อมไม่คิดถี่ถ้วนนัก จึงซ่อนเข็มเล่มนั้นลวกๆ และคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะตามมาถึงที่นี่…ไฉนเจ้าเอาแต่จ้องข้า!”

ถังฟั่นถามเสียงเรียบ “ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของวังกงกง ไม่รู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ของตนเองเต็มไปด้วยช่องโหว่หรือ”

วังจื๋อหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าเข้าใจว่าวังกงกงอยากปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด แต่ในขณะที่คดียังคลุมเครือก็ด่วนสรุปทั้งที่ตามหาฆาตกรตัวจริงไม่ได้นั้น ไม่มักง่ายไปหน่อยหรือ”

วังจื๋อไขว้มือไว้ด้านหลัง หรี่ตาลง ความละมุนพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน

ถังฟั่นไม่เกรงกลัวไอสังหารที่อีกฝ่ายแผ่ซ่านออกมา ยังคงสบตาด้วยอย่างสุขุม

ทั้งสองมองหน้ากันคู่หนึ่ง วังจื๋อผ่อนเสียงให้อ่อนลงเล็กน้อย “ข้าเข้าใจที่เจ้าอยากมีผลงาน ถ้าคดีนี้ปิดได้เมื่อไร ข้าก็ย่อมถวายฎีการายงานความดีความชอบให้เจ้า แม้ตอนนี้จะยังยืนยันตัวฆาตกรไม่ได้ แต่เสี่ยวโจวซื่อน่าสงสัยที่สุด ไร้ข้อกังขา ข้าจะให้คนสอบปากคำอย่างละเอียด หากเจ้าสนใจย่อมเข้าร่วมได้”

ในแวดวงขุนนางไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ก่อนหน้านี้วังจื๋อและถังฟั่นอยู่ในสถานะที่ร่วมมือกัน ทั้งสองมีเป้าหมายเดียวกันก็คือคดีตำหนักบูรพา ทว่าเมื่อกล่าวให้ละเอียด จุดประสงค์หลักของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน

จุดประสงค์หลักของถังฟั่นคือหาตัวฆาตกร ส่วนจุดประสงค์หลักของวังจื๋อคือจัดการคดีนี้มิให้บานปลายจนมีบทสรุปเลวร้ายตามมา

เวลานี้เสี่ยวโจวซื่อมีแรงจูงใจมากพอ แผนการก่อคดีก็มีแล้ว ยังมีคนมอบหลักฐานให้ถึงที่ และที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือนางไร้ความเกี่ยวข้องกับคนในวังอย่างสิ้นเชิง และไม่ถือว่าเป็นคนสกุลหาน สอดคล้องกับความต้องการของจักรพรรดิที่หวังปลอบประโลมอาจารย์ของตนได้อย่างครบถ้วน

โอกาสเช่นนี้ไม่คว้าไว้ก็โง่มาก วังจื๋อคิดว่าสวรรค์ได้มอบตัวเลือกฆาตกรที่ดีพร้อมที่สุดให้เขาแล้ว หากปล่อยให้ถังฟั่นสืบลึกลงไป ยากจะรับรองได้ว่าจะไม่สาวเอาเรื่องฉาวโฉ่อะไรออกมา ถึงเวลานั้นก็จะไม่จบโดยที่ทุกฝ่ายยินดีกันถ้วนหน้าเช่นนี้

ไม่ใช่ว่าวังจื๋อไม่ฉลาด แต่เขาฉลาดมากเกินไป จึงเพิ่มปัจจัยต่างๆ ที่ต้องคำนึงถึงเข้าไปในคดีฆ่าคนตายคดีนี้ด้วย

นี่ก็คือจุดแตกต่างระหว่างเขากับถังฟั่น

คนมีปัญญาเฉียบแหลมไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจความคิดของกันและกัน

ทว่าเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ถังฟั่นกลับไม่คิดจะทำตามที่วังจื๋อบอก

เขาระบายยิ้มจางๆ บนหน้า “เหมือนวังกงกงจะลืมเสียแล้ว ตอนนั้นฝ่าบาทรับสั่งว่าให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการสืบคดีนี้ ส่วนท่านแค่มาช่วยเท่านั้น”

วังจื๋อชักฉุน “ถังรุ่นชิง ไว้หน้าเจ้าแล้วก็อย่าอวดดี คดีนี้ควรทำอย่างไร ข้ารู้ดีกว่าเจ้า นี่เป็นผลสรุปที่ดีที่สุด!”

ถังฟั่นกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “แต่มิใช่ผลสรุปที่มีความสัตย์จริงที่สุด หากเสี่ยวโจวซื่อไม่ใช่ฆาตกร มิต้องแบกรับมลทินทั้งที่บริสุทธิ์หรือ ข้าเป็นบัณฑิต ทำการใดล้วนต้องไม่ผิดต่อฟ้าดินและมโนธรรม แม้ขุนนางในราชสำนักยามนี้จะมีแต่พวกสามัญดาษดื่น แต่มิได้หมายความว่าทุกคนจะลืมเลือนคำนั้น วาจาที่ท่านอวี๋กงกล่าวไว้ ข้าไม่เคยลืมแม้วันเดียว”

พูดจบก็ยกมือประสานคำนับวังจื๋อ ก่อนจะหันเดินผละไป

วังจื๋อนิ่วหน้า ขบคิดอยู่อึดใจใหญ่จึงนึกได้ว่าประโยค ‘วาจาที่ท่านอวี๋กงกล่าวไว้’ หมายถึงอะไร

อวี๋กงที่ถังฟั่นกล่าวถึงย่อมหมายถึงอวี๋เชียน อัครเสนาบดีในสมัยจักรพรรดิอิงจงที่ถูกประหารโดยไม่เป็นธรรม และได้รับการล้างมลทินในสมัยจักรพรรดิเฉิงฮว่าขึ้นครองราชสมบัติปีแรก ตัวตนของเขาในยามมีชีวิตเสมือนดั่งบทกวีที่เขาประพันธ์

มิหวั่นเกรงแม้กายแหลกเป็นผุยผง ให้พิสุทธิ์ดำรงคู่แผ่นดิน

นิสัยของถังฟั่นไม่ได้ห้าวหาญอย่างอวี๋เชียน แต่อวี๋เชียนเป็นแบบอย่างของขุนนางพลเรือนในใต้หล้า ความทะนงในเกียรติเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายยึดเป็นแบบอย่าง

เพียงทว่าบางคนกล้าที่จะแสดงออกมา บางคนกลับมีเพียงลมปากเท่านั้น

นับตั้งแต่วังจื๋อบีบให้ซางลู่ลาออก และกวาดล้างคนที่เป็นปรปักษ์กับเขาในราชสำนักเป็นต้นมา ไหนเลยจะเจอผู้ที่กล้าปฏิเสธข้อเสนอของเขา กล้าคัดค้านโต้แย้งกับเขาซึ่งหน้า

ถุย! เหมือนเจ้าซางลู่นั่นไม่มีผิดเพี้ยน ภายนอกดูนุ่มนวล ความจริงแล้วหัวแข็งดื้อรั้น!

วังจื๋อด่าทอไปหลายคำ โทสะพวยพุ่ง กับหานฟังเองเขาก็คร้านจะพิธีรีตองด้วยแล้ว สะบัดแขนเสื้อจากไป เพียงแค่ส่งคนไปบอกต้นสายปลายเหตุกับหานฟัง ถือเสียว่าเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายแล้ว

อันที่จริงในใจถังฟั่นเองก็มีโทสะ ถ้าจะทำเช่นนี้ก็ไม่ควรให้เขาสืบคดีนี้แต่แรก ตกลงกันแล้วว่าจะให้เขารับผิดชอบ กลับกลายเป็นว่าดันสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว!

แต่เขาก็เข้าใจ กระแสทิศทางลมในยามนี้ก็เป็นเช่นนี้ ทำการใดก็ช่างยากเย็น แม้กระทั่งซางลู่ที่เป็นถึงราชเลขาธิการสภาขุนนางก็ยังทนไม่ไหว จนต้องลาออกปลดระวางไป

ทว่าถังฟั่นไม่คิดจะล้มเลิก หลังจากทะเลาะกับวังจื๋อแล้วก็มุ่งหน้าไปที่กองปราบฝ่ายเหนือ

เซวียหลิงตามสุยโจวไปทำภารกิจ แต่ผางฉีผู้ใต้บัญชาอีกคนของเขายังอยู่

ถังฟั่นให้ผางฉีช่วยตรวจสอบภูมิหลังของเสี่ยวโจวซื่อ

ในเมื่อมีความเห็นแตกแยกกับวังจื๋อ เขาจึงไม่คิดจะให้สำนักประจิมช่วยเหลือ หากมีเจตนารมณ์ของวังจื๋อ สำนักประจิมจะสร้างหลักฐานอะไรขึ้นมาหน่อยก็ง่ายเหมือนดีดนิ้ว

ทว่าผลการตรวจสอบที่ผางฉีได้มากลับทำให้ถังฟั่นประหลาดใจ

หลังจากสามีตายเสี่ยวโจวซื่อก็ออกจากภูมิลำเนามาอาศัยที่สกุลหาน เรื่องนี้ถังฟั่นรู้แต่แรก ทว่าที่แท้สามีของเสี่ยวโจวซื่อเป็นหมอประจำร้านขายยา อดีตเคยมีร้านขายยาเล็กๆ ในภูมิลำเนา เสี่ยวโจวซื่อเองก็พอมีความรู้ด้านการแพทย์ ทั้งยังช่วยดูแลร้านด้วย เพียงแต่สามีของนางเสียชีวิตไปก่อน สตรีตัวคนเดียวไม่ชำนาญการบริหารร้าน จึงต้องปิดร้าน เดินทางขึ้นเหนือมาพึ่งสกุลหาน

ตอนที่ตรวจสอบสาเหตุการตายของหานเจ่า หมอหลวงซุนก็ได้กล่าวไว้ว่าจุดสุ่ยเฟินเป็นจุดลมปราณที่ค่อนข้างอันตราย หากจัดการไม่ดีก็ทำให้คนตายได้ แต่เรื่องนี้คนทั่วไปย่อมไม่รู้แน่นอน มีเพียงผู้ที่อ่านตำราแพทย์อย่างชำนาญ มีความรู้ด้านแพทย์เท่านั้นจึงจะคิดใช้วิธีนี้สังหารคนได้

ซึ่งเสี่ยวโจวซื่อกลับสอดคล้องกับเงื่อนไขเหล่านี้พอดี

มีความแค้นกับมารดาของหานเจ่า มีการประชิดตัวหานเจ่าในวันที่เขาตาย นางเองก็เป็นคนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ อีกทั้งยังมีเข็มเล่มสำคัญที่พบในห้องของนาง แม้รูปการณ์จะเข้าร่องเข้ารอยเช่นนี้ หากแต่เสี่ยวโจวซื่อก็คือฆาตกรที่สังหารหานเจ่าแน่แล้วหรือ…

ถังฟั่นขมวดคิ้วมุ่น เขาคิดว่ามันประหลาดมากเกินไป ราวกับมีคนจงใจชักนำพวกเขาไปยังทิศทางหนึ่ง ด้วยการส่งตัว ‘ฆาตกร’ มาให้ถึงตรงหน้า ทั้งยังมอบหลักฐานที่สมบูรณ์ไร้ที่ติให้อีกต่างหาก

เพราะว่าสมบูรณ์ไร้ที่ติเกินไป ฉะนั้นจึงยิ่งชวนให้กังขา

แต่ผลสรุปเช่นนี้คาดว่าสำหรับวังจื๋อแล้วนับเป็นผลสรุปที่ดีที่สุด

หากอยากขัดขวางมิให้วังจื๋อระบุให้เสี่ยวโจวซื่อเป็นฆาตกร ก็ต้องหาหลักฐานที่มีน้ำหนักกว่ามาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเสี่ยวโจวซื่อ

 

วันรุ่งขึ้น ถังฟั่นไปรายงานตัวที่ศาลซุ่นเทียนก่อน

แม้คดีที่เขาสืบสวนในเวลานี้จะไม่ขึ้นกับศาลซุ่นเทียน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นผู้พิพากษาของศาลซุ่นเทียน พันปินเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเขา ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือหน้าที่ ถังฟั่นก็ต้องทำตามกฎระเบียบ และยิ่งต้องคำนึงถึงความรู้สึกของพันปิน ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนได้ร่มไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงก็ลืมคนเก่าเสียแล้ว

พันปินพอใจกับการรู้จักมองสถานการณ์ของถังฟั่นเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่มีความเห็นอะไรกับเรื่องที่ถังฟั่นสืบสวนคดีตำหนักบูรพาอยู่แล้ว ถังฟั่นเป็นคนของศาลซุ่นเทียน และยามส่วนตัวยังต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่ด้วยซ้ำ ไม่ว่าภายภาคหน้าจะมีวาสนาอะไร สายสัมพันธ์นี้ก็ไม่มีวันตัดขาดได้ หากจะริษยาที่ถังฟั่นมีบุญวาสนา มีเส้นสายกับคนในวังในเวลาอันสั้น มิสู้ถือโอกาสนี้สานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น อนาคตจึงจะมีวันที่ได้ผลตอบแทน

เมื่อเผชิญกับความกระตือรือร้นของศิษย์พี่ ถังฟั่นกลับได้แต่ยิ้มเจื่อน

อย่าเห็นว่าผู้พิพากษาเล็กๆ แห่งศาลซุ่นเทียนอย่างเขา ปุบปับก็ถูกจักรพรรดิไหว้วานให้สืบคดีด้วยตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแสนวิเศษ โชคที่หล่นจากฟ้า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเขาอาจประสบเคราะห์กรรมเนื่องจากผลการสืบสวนไม่เป็นที่พอใจของเบื้องสูงได้ทุกเมื่อ นี่ก็คือหลักการที่ว่าในความโชคดีมักมีโชคร้ายแฝงเร้น

แต่เขาไม่ได้บอกอะไรกับพันปินมากนัก เพียงแค่เออออตามเรื่องไปไม่กี่คำ จากนั้นก็อ้างว่าจะสืบคดี มุ่งหน้าไปสำนักประจิม

ที่สำนักประจิม เขาได้พบเสี่ยวโจวซื่อ อีกฝ่ายยังคงร่ำไห้ขอความเป็นธรรมซ้ำไปซ้ำมา ทว่านางมิได้ถูกทุบตีกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เพราะจู่ๆ วังจื๋อก็รู้จักอ่อนโยนกับอิสตรี แต่เพราะคดีนี้ต้องรายงานต่อเบื้องบน ขอเพียงมีหลักฐานเพียงพอ ท้ายที่สุดจักรพรรดิย่อมเป็นผู้ตัดสิน วังจื๋อไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่เปลืองแรงทว่าไม่ได้ประโยชน์

เห็นถังฟั่นมา วังจื๋อก็หยิบเอกสารเบาหวิวฉบับหนึ่ง โยนลงบนโต๊ะตัวข้างๆ

“เจ้าดูเอาเอง อย่าหาว่าข้าจงใจป้ายมลทินผู้บริสุทธิ์ สามีของเสี่ยวโจวซื่อเป็นหมอ ตัวนางเองก็มีความรู้ด้านการแพทย์ หากมิใช่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องฝังเข็มจุดใด!”

ถังฟั่นยิ้มเจื่อน “เรื่องนี้ข้ารู้อยู่แล้ว”

วังจื๋อเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย รอให้อีกฝ่ายยอมจำนน “เช่นนั้นก็ดี เสี่ยวโจวซื่อโกรธแค้นที่พี่สะใภ้ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงลงมือกับหานเจ่า บัดนี้หลักฐานแน่นหนา กลับยังปากแข็งไม่ยอมรับ ต้นสายปลายเหตุล้วนชัดเจน อีกเดี๋ยวเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เจ้าน่าจะรู้ว่าควรกราบทูลอย่างไรใช่หรือไม่”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ขออภัย วังกงกง ข้ายังไม่คิดจะเข้าวังกับท่าน”

วังจื๋อคาดไม่ถึงว่าถังฟั่นไม่เพียงไม่ยอมจำนน กลับยังหัวแข็งถึงเพียงนี้ จึงกล่าวด้วยความโกรธ “ถังรุ่นชิง เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้า หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่ที่ฝ่าบาททรงไหว้วานภารกิจสำคัญให้เจ้าด้วยพระองค์เองล่ะก็ ข้าได้ถีบเจ้าไปให้พ้นทางนานแล้ว!”

ถังฟั่นยังคงมีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “วังกงกงมิต้องเดือดดาลไป สำหรับข้า คดียังไม่คลี่คลาย ก็ต้องสืบต่อไป หากท่านอยากเข้าวังไปรายงาน ท่านก็ไปของท่าน ส่วนข้าก็จะสืบสวนคดีของข้าไป เราสองคนไม่เกี่ยวข้องกัน”

ไม่เกี่ยวข้องกันกับผีน่ะสิ!

วังจื๋อแทบสบถคำผรุสวาท บริภาษในใจ…เจ้าสืบสาวราวเรื่องของเจ้าต่อไป ส่วนข้าก็ปิดคดีไปรายงานผลงานอย่างระรื่น ถึงตอนนั้นหากเกิดปัญหาอะไรขึ้น ข้าก็ต้องรับกรรมพร้อมกับเจ้าอยู่ดีมิใช่หรือ?!

ตอนนี้เขาเริ่มเสียใจภายหลังแล้วว่าเหตุใดจึงต้องแนะนำถังฟั่นต่อเบื้องพระพักตร์ หากมอบให้สำนักประจิมสืบสวนโดยตรง เขาอยากจะสืบอย่างไรก็สืบอย่างนั้น ไหนเลยจะมีปัญหาจุกจิกมากมายเช่นเวลานี้

วังจื๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มโทสะเดือดดาลให้สงบ “เจ้าอยากจะทำอย่างไรกันแน่”

เห็นวังจื๋อถูกตนไล่ต้อนจนยั้งกิริยาไม่อยู่ ถังฟั่นเองก็จะเอาแต่แข็งกร้าวตลอดไม่ได้ มิเช่นนั้นถึงเวลาหากสืบคดีไม่ได้ก็ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น

ถังฟั่นประสานมือคารวะ “วังกงกงโปรดใจเย็น ข้าคิดว่าสกุลหานยังมีอะไรให้สืบ อยากไปที่สกุลหานอีกครั้ง หากวังกงกงยินดีร่วมทางกับข้า ข้าจะอธิบายให้ท่านฟังระหว่างทาง ดีหรือไม่”

คนคนนี้ไม่สยบทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง เวลานี้วังจื๋อก็ไร้ปัญญาจะจัดการเขาจริงๆ ทว่าตอนนี้ไร้ปัญญาไม่ได้แปลว่าภายหน้าจะไร้หนทาง ครั้งนี้เป็นเพราะวังจื๋อเป็นคนเสนอชื่อถังฟั่น เลี่ยงไม่ได้ที่จะกลัวอีกฝ่ายดึงตนติดร่างแหไปด้วย ขันทีแก้แค้น สิบปีก็ไม่สาย เขาลอบคิดบัญชีนี้ไว้ในใจเงียบๆ คิดในใจว่ารอสะสางคดีแล้ว หากไม่เล่นงานอีกฝ่ายให้ร้องขอชีวิต เขาก็จะไม่ขอใช้แซ่วัง!

เมื่อในใจมีความคิดเช่นนี้ น้ำเสียงและสีหน้าของวังจื๋อจึงดีขึ้นเล็กน้อย “ถังฟั่น ฝ่าบาททรงให้เราร่วมกันรับผิดชอบคดีนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเปิดเผยจริงใจต่อกัน ข้าหวังว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก!”

รู้ทั้งรู้ว่าวังจื๋อใจร้อนอยากจะจับฆาตกรเพื่อปิดคดีอย่างสุกเอาเผากิน ทั้งยังทำตัวเป็นผู้ร้ายชิงโวยวาย กลับดำเป็นขาว แต่ถังฟั่นก็ทำอะไรเขามิได้ ได้แต่จำใจพยักหน้ายอมรับ

เห็นท่าทีของอีกฝ่ายอ่อนลง ในที่สุดวังจื๋อจึงค่อยสบายใจขึ้นบ้าง “บอกมาเถอะ เจ้าพบความคืบหน้าอะไร”

“เรื่องนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานของข้า ยังยืนยันมิได้ว่าจริงหรือไม่ ต้องไปที่จวนสกุลหานก่อนจึงจะรู้” เห็นวังจื๋อถลึงตาใส่เขาอีก ถังฟั่นก็ยิ้มเจื่อน “ได้ๆๆ ข้าพูด ข้าพูดแล้ว ข้าคิดว่าสาวใช้ของเสี่ยวโจวซื่อน่าสงสัย”

“อ๋อ สาวใช้คนนั้น นางมีชื่อว่าอะไรสักอย่าง”

“ล่าเหมย” ถังฟั่นกล่าว

“ใช่ ล่าเหมย เหตุใดเจ้าจึงคิดว่านางน่าสงสัย” วังจื๋อถาม

“เอกสารที่ท่านให้ข้าฉบับนั้นข้าอ่านแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ขอให้สหายที่กองปราบฝ่ายเหนือช่วยสืบประวัติเสี่ยวโจวซื่อ…”

วังจื๋อเหยียดหยัน “ข้าก็นึกว่าไหว้วานใคร หน่วยงานไร้ประโยชน์อย่างกองปราบฝ่ายเหนือหรือจะเทียบชั้นกับสำนักประจิมได้!”

ใครเหนือกว่าใครมิใช่ประเด็นหลักเสียหน่อย มิหนำซ้ำหน่วยงานสืบสวนอันน้อยนิดในต้าหมิง นอกจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรแล้วก็คือสำนักบูรพาและสำนักประจิม หากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรไร้ความสามารถ แล้วยังมีใครที่มีความสามารถ

ถังฟั่นรู้สึกหมดแรง “ที่ข้าจะพูดมิใช่เรื่องนี้ เอาเป็นว่าตอนที่เสี่ยวโจวซื่อยังมิได้มาทางเหนือ ล่าเหมยคนนี้ก็ติดตามรับใช้นางแล้ว ล่าเหมยอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด ซึ่งก็หมายความว่านางติดตามเสี่ยวโจวซื่อมาหลายปีแล้ว ตามหลักแล้วความสัมพันธ์น่าจะพึ่งพิงกันกับเสี่ยวโจวซื่อ นายบ่าวผูกพันกันมากจึงจะถูก แต่ท่าทีของนางเมื่อวานกลับทำให้กังขาในจุดนี้ คนเราเมื่ออยู่ในภาวะคับขันมักมีพฤติกรรมวู่วามอยู่บ้าง แต่ตอนที่เสี่ยวโจวซื่อถูกจับ ล่าเหมยกลับเพียงดึงแขนเสื้อของผู้เป็นนายพอเป็นพิธีเท่านั้น ส่งเสียงมากกว่าเคลื่อนไหว ราวกับกลัวเจ้าหน้าที่จะถูกตัวอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ยังมีตอนที่เสี่ยวโจวซื่อถูกพาตัวไป ล่าเหมยก็เพียงวิ่งร้องไห้ตามอยู่ด้านหลัง ชวนให้รู้สึกว่าสุขุมเกินไป”

วังจื๋อเยาะหยัน “แล้วมันแปลกตรงที่ใด สตรีใจเสาะกันอยู่แล้ว ยิ่งสาวใช้อย่างนาง แทบไม่เคยได้เปิดหูเปิดตา เมื่อเกิดเรื่องกับผู้เป็นนาย นางต้องคิดเผื่อตนเอง กลัวจะติดร่างแห คนเราล้วนมีความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องปกติ”

ถังฟั่นส่ายหน้า “วังกงกงลองคิดดู ยามนั้นล่าเหมยเดินทางมาพึ่งสกุลหานทางเหนือพร้อมกับเสี่ยวโจวซื่อได้ สตรีอ่อนแอสองคน ต่อให้มีบ่าวรับใช้ชายมาส่ง ระหว่างทางก็ย่อมเหนื่อยยากไม่น้อยใช่หรือไม่ ระยะทางยาวไกล จะบอกว่าล่าเหมยไม่เคยได้เปิดหูเปิดตาได้อย่างไร ต่อให้ขี้กลัวเก็บตัวเพียงใดก็คงจะใจกล้าขึ้นบ้างแล้ว”

ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกหนึ่ง เขายังไม่ได้บอกเล่า ต้องรอให้เจอล่าเหมยแล้วทุกอย่างจึงจะกระจ่างเอง

วังจื๋อประชดเขา “ถังรุ่นชิง เจ้านี่รู้หน้าไม่รู้ใจ ดูไม่ออกจริงๆ เจ้าเอาแต่พูดว่าเป็นบัณฑิตร่ำเรียนคัมภีร์ปรัชญา แต่กลับรู้จักอิสตรีถึงเพียงนี้เชียว!”

ถังฟั่นพูดไม่ออก ถูกตีความเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกันนี่

อารมณ์ของกงกงผู้นี้ดีร้ายมิอาจคาดเดา ประเดี๋ยวก็เป็นกันเอง ล้อเล่นด้วยอย่างไรก็ได้ ประเดี๋ยวก็เปลี่ยนสีหน้าขึงขังเป็นงานเป็นการ เฉียบแหลมร้ายกาจจนน่าพรั่นพรึง ก็ไม่แปลกที่ผู้ใต้บัญชาของเขาจะเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด เผชิญหน้ากับผู้บังคับบัญชาที่เอาใจยากเช่นนี้ จะไม่ให้เกร็งเครียดหรือหงอยเหงาเศร้าซึมได้อย่างไร

คนของสกุลหานเห็นพวกวังจื๋อมาก็ไม่กล้าแม้แต่จะรั้ง บ่าวรับใช้รีบร้อนไปรายงานพวกหานฮุย พร้อมกับปล่อยให้พวกเขาพรวดพราดเข้าสู่จวน เดินไปยังเรือนส่วนของเสี่ยวโจวซื่อ

ปรากฏว่าวังจื๋อกับถังฟั่นเพิ่งไปถึงนอกเรือนของเสี่ยวโจวซื่อก็ปะทะกับหลินซื่อที่รีบร้อนตามมาพอดี

“ไฉนถึงเป็นนางหญิงเสียสติคนนี้อีกแล้ว โชคร้ายเสียจริง!” ถังฟั่นได้ยินวังจื๋อบ่นพึมพำข้างๆ

หลังจากนั้นก็เป็นจริงตามคำพร่ำบ่นของวังจื๋อ เมื่อหลินซื่อเห็นพวกเขาก็ถลาเข้ามาทันที อากัปกิริยาว่องไว ไม่ทันให้ตั้งตัว

วังจื๋อมีวิชาเก่งกล้า เบี่ยงกายหลบวูบออกด้านข้างอย่างปราดเปรียวก็พ้นรัศมีทันที

ผลคือถังฟั่นถูกนางกระโจนเข้าใส่อย่างจัง

วังจื๋อส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ทำนอง ‘สหายตาย ตัวข้ารอด’ วูบหนึ่งให้ถังฟั่น

ถังฟั่นนิ่งอึ้ง

เป็นไปตามคาด สีหน้าท่าทางของหลินซื่อคลุ้มคลั่ง คว้าเสื้อของเขาได้ก็กุมแน่นไม่ยอมปล่อย

หลินซื่อจ้องเขา “ข้าได้ยินว่าพวกท่านจับฆาตกรได้แล้ว ใช่หรือไม่!”

“ฮูหยิน ท่านปล่อยข้าก่อน…” ถังฟั่นกล่าว

หลินซื่อไม่สนใจคำพูดของเขา “ข้านึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นนาง ข้านึกอยู่แล้วเชียว! นางแพศยาไร้ยางอาย เห็นข้ามีลูกชาย นางไม่มีก็คิดริษยา ยังคิดจะให้ยายแก่นั่นขับไล่ข้า แล้วแต่งงานกับนายท่าน แผนแรกไม่ได้ผลก็คิดแผนใหม่ ตอนนั้นข้าคิดอยู่แล้วว่านางต้องทำเรื่องเช่นนี้แน่…”

เรี่ยวแรงของนางมากขึ้นเรื่อยๆ คอเสื้อของถังฟั่นถูกรัดจนเจ็บ เขาขยับถอยหลังสองก้าว หลินซื่อกลับยังไม่ยอมปล่อยมือ วังจื๋อยืนดูอยู่อีกทางด้วยความสนุก ไม่มีคำสั่งจากเขา คนของสำนักประจิมก็ไม่เข้าไปห้าม

ถังฟั่นจำต้องยกมือขึ้น ออกแรงผลักหลินซื่อออกไป ก่อนจะกล่าวเสียงดัง “เสี่ยวโจวซื่อมิใช่ฆาตกร!”

ทันทีที่ถ้อยคำนี้ออกจากปาก ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริด

หลินซื่อถูกเขาผลักจนเซถลาไปด้านหลัง เกือบล้มลงไปกองที่พื้น นางกลับไม่มีเวลาร้องโอดโอย จับแขนของสาวใช้ตะกายลุกขึ้น โค้งคำนับขออภัยกับถังฟั่น “เมื่อครู่ข้าน้อยเอาแต่คิดถึงการตายของลูก จึงขาดสติไปชั่วขณะ กิริยาวาจาไร้มารยาท ขอใต้เท้าโปรดอภัย หากเสี่ยวโจวซื่อไม่ใช่ฆาตกร แล้วเช่นนั้นเป็นใครกันแน่ ขอท่านทั้งสองโปรดบอกกล่าวให้ทราบด้วย”

นางปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง พูดจามีแบบแผนแจ่มชัด ต่างจากท่าทางคลุ้มคลั่งเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ราวกับมิใช่คนเดียวกัน

อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนี้ทำให้ถังฟั่นปรับตัวรับมือไม่ถูก ทว่ายามหลินซื่อเป็นปกติ วางตัวเหมาะสม ท่วงท่ากิริยางดงามน่ายกย่อง ไม่แปลกที่หานฟังจะรักใคร่นางมาก

ถังฟั่นจัดแจงคอเสื้อ มิได้ตอบคำถามนาง กลับย้อนถาม “ล่าเหมยอยู่ที่ใด”

พ่อบ้านสกุลหานที่นำทางพวกเขามาเมื่อครู่รีบตอบ “นางยังพักอยู่ในเรือนสวนนี้ขอรับ”

วังจื๋อออกคำสั่ง เจ้าหน้าที่สำนักประจิมชิงเข้าไปค้นหา ค้นหาทั้งในและนอกเรือนอยู่รอบหนึ่งจึงรีบตะลีตะลานไปรายงานกับวังจื๋อ “ไม่พบตัวขอรับ งานปักที่ทำค้างไว้วางอยู่ข้างเตียง ประตูหลังของสวนเล็กเปิดอยู่ คิดว่าน่าจะเพิ่งไปไม่นาน!”

ขณะที่คนรายงานกำลังพูด เจ้าหน้าที่คนอื่นของสำนักประจิมก็ไล่ตามออกไปทางประตูนั้นแล้ว

เรือนสวนที่เสี่ยวโจวซื่อพักมีประตูเล็กด้านหลังเชื่อมติดกับสวนดอกไม้ด้านนอก ใช้สำหรับให้บรรดาบ่าวรับใช้เข้าออก

แม้ล่าเหมยจะชำนาญเส้นทางในจวนสกุลหานมากกว่า ทว่าสตรีอ่อนแออย่างนางจะมีฝีเท้าเร็วกว่าเจ้าหน้าที่สำนักประจิมได้อย่างไร ไม่นานก็ถูกจับตัวกลับมา

นางมีสีหน้าตื่นตระหนก เรือนผมกระเซอะกระเซิง คาดว่าระหว่างถูกไล่จับตัวกลับมาคงดิ้นขัดขืนไม่น้อย

ถังฟั่นเอ่ยถาม “ล่าเหมย เหตุใดเจ้าจึงต้องหนี”

ล่าเหมยอ้ำอึ้ง “ข้า…ข้าไม่ได้หนี…”

สายตาของถังฟั่นกวาดมองผ่านใบหน้าของนาง “เข็มเงินที่เราพบบนขอบหน้าต่างในห้องส่วนในเมื่อวาน เจ้าเป็นคนวางไว้ ใช่หรือไม่”

ล่าเหมยปฏิเสธ “ไม่ ไม่ใช่!”

ถังฟั่นมองนางอย่างเย็นชา “เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะโกหกอีกหรือ บอกมาเถอะ เลือดเนื้อเชื้อไขในท้องของเจ้าเป็นลูกใคร”

ล่าเหมยผุดสีหน้าตะลึง ท่าทางที่มองถังฟั่นไม่ต่างจากเห็นผี

ไม่เพียงนาง คนอื่นๆ ได้ยินคำถามนั้นแล้วก็ล้วนตะลึงปนประหลาดใจ

วังจื๋อฉลาดหลักแหลม เห็นสีหน้าของล่าเหมยก็รู้ว่าถังฟั่นพูดถูก

เขามองท้องของล่าเหมยด้วยความฉงน แล้วถามถังฟั่น “จริงหรือล้อเล่น เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ถังฟั่นไม่มีเวลาตอบคำถามของวังจื๋อ ยังคงจดจ้องการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของล่าเหมยอย่างไม่ละสายตา “เจ้ากับเสี่ยวโจวซื่อเป็นนายบ่าวกันมานานหลายปี หากไม่มีสาเหตุก็ไม่มีทางหักหลังป้ายความผิดให้นางได้ ทั้งหมดนี้เพื่อปกป้องคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าใช่หรือไม่ เขาเป็นใคร บิดาของลูกเจ้าหรือ”

ล่าเหมยไหนเลยจะเคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ ถูกคำถามคาดคั้นของเขารุกไล่ให้จนมุม ได้แต่ส่ายหน้าระรัว อยากแก้ต่างแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มแก้ต่างจากจุดใด เดิมทีนางก็มิใช่คนพูดจาฉะฉานอยู่แล้ว ก่อนหน้านางเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย จึงทำให้ไม่เป็นที่สนใจ ทว่าตอนนี้หลังจากถังฟั่นเปิดเผยแล้ว คนอื่นๆ พิจารณาให้ดีก็จะรู้สึกว่าล่าเหมยมีจุดน่าสงสัยไม่น้อยจริงๆ

เห็นล่าเหมยก้มหน้าไม่ปริปาก คล้ายกับตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะปิดบังให้ถึงที่สุด วังจื๋อก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย

คนของสำนักประจิมเข้าใจทันที ทำท่าจะใช้ด้ามดาบประจำกายกระทุ้งท้องของล่าเหมย

“หากฟาดลงไป เด็กในท้องของเจ้าย่อมรักษาไว้ไม่ได้แน่ และดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิตก็เป็นได้” วังจื๋อขู่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

รับมือกับคนลักษณะนี้ สำนักประจิมย่อมเชี่ยวชาญไม่ต้องเปลืองแรง

ดังความคาดหมาย ล่าเหมยได้ยินถ้อยคำนั้นแล้วใบหน้าก็ซีดเผือดไร้สีเลือด ร่างบางเริ่มสั่นเทา นางกัดริมฝีปาก น้ำตาไหลพรากดั่งสายฝน

ถังฟั่นกับวังจื๋อยังมีความอดทนรอ แต่หลินซื่อกลับมิอาจข่มใจไว้ได้ นางกระโจนเข้าไป ยกมือทั้งสองข้างขึ้น สลับฝ่ามือตบอีกฝ่ายจนเลือดกบปาก พวงแก้มสองข้างบวมเป่ง ปากก็ตวาดด่าทอ “เจ้าหมั้นหมายกับลูกชายของพ่อบ้านเรือนหลักแล้วมิใช่รึ มารหัวขนนี่เป็นของเขารึ เสี่ยวโจวซื่อให้เจ้าทำใช่หรือไม่ พูด! พูดมาสิ!”

เรื่องที่บุตรชายถูกสังหารทำให้หลินซื่อเจ็บปวดแสนสาหัส ควบคุมตนเองไม่อยู่

เพียงแต่เพื่อเค้นถามให้ได้ตัวฆาตกร หลินซื่อจึงสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ขยักหนึ่ง ไม่ถึงกับขาดสติเฉกเช่นก่อนหน้านี้

ถังฟั่นกับวังจื๋อต่างย่นคิ้วเล็กน้อย ไม่รอให้พวกเขาปริปาก หานฟังก็เดินหน้าเข้าไปดึงนางออกมา

“เซวียนเหนียง! เซวียนเหนียง! เจ้าสงบสติหน่อย รอให้นางเป็นคนพูดเอง!”

“นายท่าน ใจของข้าเจ็บปวดรวดร้าวเหลือเกิน! อาเจ่าเป็นเด็กดีน่ารักถึงเพียงนั้น คนพวกนี้ทำได้อย่างไร! ทำได้อย่างไร!” หลินซื่อร่ำไห้ปิ่มขาดใจกับอกของหานฟัง

“ข้ารู้! ข้ารู้!” หานฟังเองก็มีสีหน้าโศกเศร้าเจ็บปวด เขาลูบหลังภรรยาพร้อมปลอบเสียงนุ่ม พยุงนางไปอีกทางกับสาวใช้ของนาง

ถังฟั่นมองล่าเหมยที่นิ่งอึ้งพูดไม่ออก ก่อนเอ่ยถามปุบปับ “เป็นหานฮุยหรือ”

ล่าเหมยสะดุ้งเล็กน้อย

ถังฟั่นยิ่งมั่นใจข้อสันนิษฐานของตนเอง “บิดาของลูกในท้องเจ้าคือหานฮุย”

การตอบสนองของวังจื๋อไวยิ่งกว่า ได้ยินวาจาของถังฟั่น บวกกับสีหน้าของล่าเหมยแล้ว ก็ออกคำสั่งทันที “ไปเอาตัวหานฮุยมา!”

“ขอรับ!” คนของสำนักประจิมทำตามบัญชาอย่างรวดเร็ว

วังจื๋อเอ่ยถามถังฟั่น “เจ้าวิเคราะห์เรื่องที่ล่าเหมยมีสัมพันธ์กับหานฮุยได้อย่างไร”

ถังฟั่นจึงตอบว่า “คราวก่อนที่พวกเรามาสกุลหาน ตอนที่พบสหายร่วมเรียนของหานเจ่า คำพูดที่เขาพูดประโยคแรก ท่านจำได้หรือไม่”

วังจื๋อฉงนสงสัย “ข้าจะจำได้อย่างไร เขาพูดอะไร”

ถังฟั่นถอนใจเฮือกหนึ่ง “ตอนนั้นพอเห็นพวกเรากับหานฮุย สหายร่วมเรียนของหานเจ่าก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘นายน้อยใหญ่ ท่านมาเสียที!’ นั่นบ่งบอกถึงอะไร บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้หานฮุยไม่ได้มาเจอสหายร่วมเรียนของหานเจ่า ซึ่งนี่ก็คือช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุด! ต้องเข้าใจว่าหานฮุยเองก็บอกว่าเขาสนิทกับหานเจ่ามาก เฝ้ามองมาตั้งแต่เล็กจนโต ปรากฏว่ายามนี้น้องชายตายแล้ว สาเหตุการตายคลุมเครือ วันเกิดเหตุยังเป็นสหายร่วมเรียนเดินทางไปวังหลวงด้วยกันกับหานเจ่า หานฮุยกลับไม่ถามไถ่สาเหตุการตายของน้องชายเพียงเพราะหลินซื่อสั่งให้ขังเด็กคนนั้น นี่มันไม่มีเหตุผลมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว นั่นก็คือหานฮุยรู้สาเหตุการตายของหานเจ่าเป็นอย่างดี และไม่อยากยุ่งเกี่ยวจนเผยพิรุธ พอดีหลินซื่อจับสหายร่วมเรียนขังไว้แล้ว เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียเลย

อีกอย่าง ตอนที่หานฮุยคุยกับพวกเราก็มุ่งประเด็นสนทนาไปที่หลินซื่ออย่างแยบยล ทั้งยังอาศัยโอกาสที่พบหลินซื่อ ให้เราเห็นกับตาว่านางอารมณ์ไม่คงที่ ใช้เหตุนี้เป็นข้อยืนยันว่าหลินซื่อนิสัยเลวร้าย อยู่ในสกุลหานล้วนมีแต่ศัตรู เมื่อเป็นเช่นนี้การที่มีคนปองร้ายหานเจ่าเพราะไม่ชอบหลินซื่อก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ฉะนั้นตอนแรกพวกเราจึงคิดว่าการตายของหานเจ่าเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของสตรีในสกุล โดยเฉพาะเมื่อยังมีคนอย่างเสี่ยวโจวซื่ออยู่ด้วย อีกฝ่ายกับหลินซื่อมีความแค้นต่อกันไม่น้อย สามีที่ตายไปก็เป็นหมอ เงื่อนไขทุกอย่างล้วนครบถ้วนแล้ว

ทว่าข้าบอกแต่แรกแล้วว่าเรื่องราวมากมายบนโลกนี้ล้วนมีเบาะแสให้แกะรอย หากไม่ทำก็จะไม่ผิด เมื่อทำมากก็จะผิดมาก ร่องรอยที่เผยออกมาก็จะมากตามไปด้วย เมื่อไม่อยากให้ใครรู้ก็ต้องไม่กระทำ หานฮุยเตรียมหลักฐานการกระทำผิดของเสี่ยวโจวซื่อได้อย่างพรั่งพร้อม กระทั่งเข็มเล่มนั้นก็ยังวางให้เราเห็นง่ายๆ ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องที่สมบูรณ์ไร้ที่ติเช่นนี้

ครั้งก่อนที่เรามาที่นี่ ข้าเห็นล่าเหมยมีอากัปกิริยาหนึ่งบ่อยครั้ง นางมักเอามือไปกุมท้องน้อยบ่อยๆ จริงอยู่ว่าคนเรานั้นหากไม่สบายกระเพาะก็จะเลื่อนมือไปลูบบ่อยๆ หากไม่สบายที่ศีรษะก็จะยกมือไปกดบ่อยๆ แล้วท้องน้อยเล่า หรือจะบอกว่าล่าเหมยปวดท้อง แต่ตอนนั้นสีหน้าของนางดูปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่ตอนที่เห็นเสี่ยวโจวซื่อถูกพาตัวไปก็ไม่กล้าเข้าไปขวาง ราวกับกลัวว่าจะถูกกระแทกกระทั้น หากครุ่นคิดให้ถี่ถ้วนก็ผูกเรื่องได้ไม่ยาก”

อะไรเรียกว่าผูกเรื่องได้ไม่ยาก…วังจื๋อลอบเบ้ปากให้กับถ้อยคำที่คล้ายจะถ่อมตัวของถังฟั่น

เขามั่นใจว่าไหวพริบและการสังเกตการณ์ของตนเองนับว่าร้ายกาจมากแล้ว แต่ตอนนั้นกลับไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้

หรือก็คือคนบางคนถือกำเนิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านนี้

วังจื๋อไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตนเลื่อมใสถังฟั่น

ด้านถังฟั่นเมื่อกล่าวจบแล้วก็มองไปที่ล่าเหมยอีกครั้ง “ใช่หรือไม่ หาหมอหญิงมาจับชีพจรดูก็รู้แล้ว”

วังจื๋อสำทับอยู่อีกทางอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็ถือโอกาสทำแท้งเด็กไปด้วยเลยแล้วกัน”

ล่าเหมยจึงเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ นางหลั่งน้ำตาไม่ขาดสาย คล้ายอยากจะโผเข้าไป แต่ถูกคนของสำนักประจิมกดตัวไว้แน่น ทำให้ได้แต่มองถังฟั่นพลางวิงวอนขอร้อง “ไม่นะเจ้าคะ ใต้เท้า ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ไว้ชีวิตลูกข้าด้วย เขาไม่มีความผิด!”

ถังฟั่นจดจ้องนาง ถามซ้ำอีกครั้ง “ใช่หานฮุยหรือไม่”

“…ใช่” ตอบคำนี้ออกไปแล้วนางก็ล้มทรุดลงราวกับร่างกายหมดสิ้นเรี่ยวแรง

“หากอยากผ่อนโทษหนักให้เป็นเบา ก็สารภาพทุกอย่างมาให้ละเอียด”

เมื่อเริ่มก้าวแรกได้ หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรให้ลำบากใจและสับสนแล้ว

ล่าเหมยซับน้ำตา เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่นางกับหานฮุยรู้จักกัน

เสี่ยวโจวซื่อสูญเสียสามี ล่าเหมยติดตามเสี่ยวโจวซื่อเดินทางมาทางเหนือ ตอนนั้นนางยังเป็นสาวใช้จากสกุลเล็กๆ ที่ไม่ประสีประสา มาอาศัยบารมีสกุลหานด้วยกันกับเสี่ยวโจวซื่อ แม้จะไม่ต้องกังวลว่าหญิงม่ายอายุน้อยจะถูกคนรังแกอีกต่อไป ทว่าสกุลหานเป็นสกุลใหญ่ ภายในก็มีความขัดแย้งไม่น้อยเช่นกัน

หานฮุย นายน้อยใหญ่ของเรือนรองสกุลหานมีความรู้และมารยาท นิสัยสุภาพอ่อนโยน กลับมีมารดาบุญธรรมอย่างหลินซื่อ จับผิดจุกจิกกับเขาเป็นอย่างมาก ซ้ำยังคิดว่าเขาคือคนที่แม่สามีส่งมาจับตามองตนเอง ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกจึงค่อนข้างเลวร้าย

ล่าเหมยเห็นนายน้อยใหญ่หานอ่อนน้อมจำยอม หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อหน้ามารดาอยู่บ่อยครั้ง จึงเกิดความเห็นใจเขาอย่างเลี่ยงมิได้ ยามได้พบกันโดยบังเอิญเป็นครั้งคราว ทั้งสองก็จะสนทนากันเล็กน้อย ล่าเหมยเพิ่งเคยมีรักแรก หานฮุยเองก็ถูกชะตากับสาวใช้หน้าตาหมดจดผู้นี้

นานวันเข้าทั้งสองจึงมีสัมพันธ์ฉันชู้สาว ทว่าตอนนั้นเสี่ยวโจวซื่อเชื่อคำพูดของผู้เป็นป้า จึงตัดสินใจหมั้นหมายล่าเหมยกับบุตรชายของพ่อบ้านเรือนหลัก เสี่ยวโจวซื่อคิดว่านั่นเป็นการแต่งงานที่ดีสำหรับล่าเหมย กลับคาดไม่ถึงว่าล่าเหมยจะมีคนที่รักอยู่ในใจ มีบุรุษให้ฝากฝังแล้ว

หลังจากล่าเหมยรู้เรื่องก็เสมือนถูกฟ้าผ่า นางจึงไปหาหานฮุย

หานฮุยมิได้มีเจตนาเห็นล่าเหมยเป็นดอกไม้ริมทาง เขาหวังให้ล่าเหมยเป็นอนุอย่างจริงจัง ฐานะของล่าเหมยย่อมไม่อาจเป็นภรรยาเอกได้ นางเองก็รู้ดี การได้เป็นอนุของหานฮุยก็นับว่าไม่ผิดต่อใจแล้ว

ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ล่าเหมยจะถูกหมั้นหมายกับคนอื่น ทั้งสองสับสนมึนงงไปชั่วขณะ เรื่องเช่นนี้หานฮุยไม่อาจไปหารือกับหลินซื่อได้ เพราะเขารู้ว่ามารดาบุญธรรมไม่มีทางช่วยออกหน้าให้เขา ไม่เพียงเท่านั้น หลินซื่ออาจรังเกียจด่าทอเพราะล่าเหมยเป็นสาวใช้ของเสี่ยวโจวซื่ออีกด้วย ส่วนหานฟังนั้นแม้จะถือว่ารักใคร่เอ็นดูหานฮุย แต่อย่างไรก็เป็นบุรุษ ไม่สะดวกจะยื่นมือยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในเรือนเช่นนี้ ฉะนั้นหานฮุยจึงไปหานายหญิงของสกุลโดยตรง ซึ่งก็คือภรรยาของหานฉี่ โจวซื่อผู้เป็นป้าของเสี่ยวโจวซื่อ

โจวซื่อไม่ชอบคนของเรือนรอง แน่นอนว่าไม่ตกลงกับการสู่ขอล่าเหมยไปเป็นอนุของหานฮุย เนื่องจากหานฮุยมีเรื่องที่ต้องพะวง จึงมิได้บอกว่าตนกับล่าเหมยลอบได้เสียกันแล้วออกไป

เอาล่ะ ตอนนี้หยุดเรื่องไม่สำคัญไว้ก่อน ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าใจของหนุ่มสาวคู่นี้จะมีอุปสรรคพายุเพียงใด และคิดวิธีแก้ปัญหาอย่างไร สรุปก็คือว่าล่าเหมยกับหานฮุยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้ว

ช่วงเวลานั้น ยามล่าเหมยลอบพบกับหานฮุยจะสังเกตเห็นว่าหานฮุยมีท่าทีแปลกๆ หลังจากซักไซ้ไล่เลียง หานฮุยก็ไม่ยอมบอก ล่าเหมยจึงคิดว่าเขาถูกมารดาบุญธรรมต่อว่าอีกแล้ว จึงเอ่ยปลอบเขาไป

ตอนนั้นหานฮุยสอบถามนางเรื่องจุดลมปราณบนร่างกาย ล่าเหมยมิได้ระแวงสงสัย ไม่เพียงสอนให้เขารู้จักจุดลมปราณบางส่วนอย่างละเอียดด้วยตนเอง ยังอธิบายข้อห้ามด้วย หานฮุยฉลาดเฉลียว เรียนรู้หลักการแพทย์ขั้นพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเรียนอย่างพิถีพิถัน แม้แต่การลงเข็มกี่ชุ่นก็สอบถามอย่างชัดเจน ตอนนั้นล่าเหมยถามเขาว่าจะฝึกไปเพื่อเหตุใด เขาให้คำตอบว่ามารดาสุขภาพไม่ดี อยากเรียนฝังเข็มสักหน่อย หัดไว้เอาใจนาง จะได้ถูกตำหนิติเตียนน้อยลงบ้าง

ปรากฏว่าผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ล่าเหมยตกใจที่พบว่าระดูของตนขาดไปสองหนแล้ว สามีของเสี่ยวโจวซื่อเป็นหมอประจำร้านขายยา เสี่ยวโจวซื่อเองก็มีความรู้ด้านการแพทย์ ล่าเหมยติดตามใกล้ชิดนางเสมอ จึงเรียนรู้ด้วยวิธีครูพักลักจำ ถึงขั้นจ่ายยาตำรับโรคทั่วไปได้ ย่อมรู้ว่าตนเองมิได้เจ็บไข้ หากแต่ตั้งครรภ์แล้ว

และในเวลานั้นเอง จู่ๆ หานฮุยก็ไปหานาง ให้นางช่วยซ่อนเข็มเล่มหนึ่งในเรือนของเสี่ยวโจวซื่อ

แม้ล่าเหมยจะประสบการณ์ทางชีวิตน้อย แต่มิได้โง่เขลา หานฮุยทำเช่นนั้น นางต้องคาดคั้นแน่นอน

ตอนแรกหานฮุยไม่ยอมบอก ล่าเหมยจึงต้องเปิดเผยเรื่องมีบุตรกับเขา

หลังจากตะลึงพรึงเพริดแล้วในที่สุดหานฮุยก็ยอมเล่าเรื่องให้นางฟัง แต่มิได้เล่าทั้งหมด บอกเพียงว่าราชสำนักกำลังส่งคนออกสืบหาสาเหตุการตายของหานเจ่า ไม่แน่อาจสืบมาถึงสกุลหานในเวลาไม่ช้า ขอให้นางช่วยเหลือ

ด้านหนึ่งคือผู้เป็นนาย อีกด้านคือบิดาของบุตรในครรภ์ ล่าเหมยลำบากใจเหลือแสน สุดท้ายก็ตัดสินใจทำตามคำพูดของหานฮุย

นี่ก็คือสาเหตุที่พวกถังฟั่นพบเข็มเงินที่หักท่อนเล่มนั้นในห้องของเสี่ยวโจวซื่อ

เรือนของเสี่ยวโจวซื่อเป็นส่วนเรือนพักญาติสตรี อย่าว่าแต่หานฮุย เด็กอย่างหานเจ่าก็ไม่สะดวกจะเข้าออกบ่อยๆ มีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในเรือนอย่างล่าเหมยจึงจะรีบหาที่วางเข็มได้ตามปรารถนาก่อนที่พวกถังฟั่นจะมา

ต้นสายปลายเหตุถูกเชื่อมต่อด้วยคำให้การของล่าเหมย ในที่สุดความจริงก็เปิดเผย

เวลานี้หนึ่งในหลายคนที่รับคำสั่งจากวังจื๋อให้ไปตามจับหานฮุยกลับมา กล่าวกับวังจื๋อว่า “ตอนที่พวกข้าไปจับตัวที่สำนักการศึกษา หานฮุยได้ข่าวก่อนจึงชิงหนีไปแล้ว เวลานี้คนอื่นๆ กำลังไล่ตาม ข้าจึงกลับมารายงานให้ท่านทราบ!”

สีหน้าของวังจื๋อบูดบึ้ง “ไม่ได้เรื่อง! แค่บัณฑิตอ่อนแอไร้กำลังคนหนึ่งก็ยังปล่อยให้หลุดมือ ถ้าตามจับกลับมาไม่ได้ พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องกลับมา!”

อีกฝ่ายถูกวังจื๋อด่าทอจนหน้าชา ไม่กล้าปริปาก

ด้านหลินซื่อจู่ๆ ก็สะบัดหลุดจากการประคองของหานฟัง ผลักเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ตะคอกเสียงดัง “ดูสิ ท่านดู ตอนนั้นที่มารดาท่านบอกให้พวกเรารับเลี้ยงหานฮุย ข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไร ชุบเลี้ยงคนอกตัญญู ทั้งยังต้องสังเวยชีวิตของอาเจ่าไปด้วย! ท่านไปถามมารดาท่านดู ตอนนี้นางเห็นครอบครัวเราบ้านแตกสาแหรกขาด พอใจแล้วหรือไม่!”

“เซวียนเหนียง…”

หลินซื่อร่ำไห้พลางแค่นหัวเราะเสียงเย้ยหยัน “อาเจ่าของข้าไร้ความผิดใดๆ! เขาเห็นหานฮุยเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ใครจะคิดว่าพี่ชายแท้ๆ กลับวางแผนให้เขาตาย! ยังมีโรคเสียสติของข้านี่อีก หากมิใช่เพราะถูกมารดากับพี่สะใภ้ท่านกลั่นแกล้ง ไหนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้! สกุลหานของพวกท่านมิใช่ที่ที่มนุษย์อยู่ ทำให้อาเจ่าของข้าต้องตาย!”

พูดจบนางก็ถลาเข้าไปหวังตบตีล่าเหมย กลับถูกคนของสำนักประจิมขวางไว้ พวกเขามิกล้าใช้กำลังเท่าไร จึงได้แต่ปล่อยให้นางยื้อยุดฉุดกระชากอยู่ตรงนั้น สถานการณ์ชุลมุนทันที

“อาละวาดพอหรือยัง!” ถังฟั่นตวาดเสียงดังลั่น กลบเสียงโวยวายจนมิด

หลินซื่อหยุดการเคลื่อนไหว มองมายังต้นเสียง

ถังฟั่นกล่าวกับหลินซื่อ “หานฮูหยิน แม้เวลานี้จะหาตัวฆาตกรได้แล้ว หน้าที่ของข้าก็นับว่ายุติแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องในครอบครัวของพวกท่าน เดิมข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยว แต่ท่านเอาแต่บอกว่าหานเจ่าเห็นหานฮุยเป็นพี่ชายแท้ๆ แล้วตัวท่านเล่า ท่านเคยเห็นหานฮุยเป็นบุตรชายแท้ๆ หรือไม่!”

ถังฟั่นสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนมีเหตุและผล ตอนที่พวกท่านรับเลี้ยงหานฮุย เขาเป็นเพียงเด็กน้อยที่เพิ่งหัดเดิน แล้วเวลานั้นเขารู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้แล้วหรือ หากมิใช่เพราะท่านมีอคติกับเขา จนไม่ยอมอบรมสอนสั่ง มีอะไรก็เอาแต่กล่าวโทษด่าทอ ภายหลังมีหานเจ่าแล้วก็รักและตามใจหานเจ่าถึงที่สุด เปรียบเทียบกันแล้วท่านจะให้หานฮุยข่มความขุ่นเคืองได้อย่างไร จะห้ามไม่ให้เขาคิดอะไรได้อย่างไร ความไม่พอใจสั่งสมทุกเมื่อเชื่อวันกลายเป็นความเคียดแค้น จนทำให้หลงผิดลงมือกับน้องชายตนเอง นี่ย่อมเป็นความผิดของเขา ฆ่าคนผิดกฎหมาย บ้านเมืองมีอาญาลงโทษ แต่หานฮูหยินท่านไร้ความเกี่ยวข้องใดๆ แน่หรือ สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องในวันนี้ ท่านถามใจตนเองดู หากวันนั้นท่านให้ความรักกับหานฮุยและหานเจ่าเท่าๆ กัน วันนี้จะเป็นอย่างไร”

หลินซื่อมองเขาอย่างนิ่งงัน มือชะงักอยู่กลางอากาศ ค้างอยู่ในท่าที่หมายตบล่าเหมยเมื่อครู่ แต่กลับมิได้ตวัดฝ่ามือลงไปเสียที

สีหน้าของนางเปลี่ยนผัน สับสน เจ็บแค้น เสียใจ อารมณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้น และผสมผสานเป็นสีหน้าที่ซับซ้อนยิ่ง

ใจคนยากจะหยั่งถึง ถังฟั่นมิอาจล่วงรู้ได้ว่าในใจนางจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองในอดีตสักนิดหรือไม่ เห็นเพียงหลินซื่อค่อยๆ ลดมือลง ก่อนยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า สะอื้นไห้เสียงเบา

หานฟังถอนใจเฮือกหนึ่ง รั้งนางเข้าไปในอ้อมกอด กล่าวด้วยความเจ็บปวดเศร้าใจ “เรื่องในวันนี้ ข้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ!”

หานฟังกล่าวมิผิด ทว่าเขาเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิ ถังฟั่นจึงไม่สะดวกจะตำหนิว่ากล่าว เวลานี้วังจื๋อส่งสายตาบอกใบ้เขา ทั้งสองจึงเดินออกไปด้านนอก

ออกมาแล้ววังจื๋อก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าเสี่ยวโจวซื่อไร้ความผิด ข้าจะให้คนปล่อยตัวนาง แต่ล่าเหมยนั้นต้องพากลับไปสอบสวน ยังมีทางหานฮุย รอจับตัวได้เมื่อไร เรื่องราวก็นับว่าจบโดยสมบูรณ์แล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ คลี่คลายได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาด รอได้คำให้การของหานฮุยแล้วข้าจะรายงานความดีความชอบให้เจ้า ถึงเวลาเรื่องอื่นไม่ขอรับรอง แต่เลื่อนขั้นหนึ่งขั้นน่าจะไม่มีปัญหา”

สีหน้าของถังฟั่นกลับปราศจากรอยยิ้ม เขาย้อนถาม “วังกงกงคิดว่าเรื่องราวจบโดยสมบูรณ์แล้วจริงหรือ”

วังจื๋อหุบรอยยิ้ม จ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ น้ำเสียงเน้นหนักทีละคำ “ถูกต้อง หาตัวฆาตกรเจอ ไขคดีได้แล้ว ก็ถือว่าจบแล้ว”

ถังฟั่นกล่าวทอดถอน “ไยวังกงกงต้องหลอกตนเองด้วยเล่า ต่อให้หานฮุยเก่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้ว่าวันที่เขาสังหารหานเจ่า วั่นกุ้ยเฟยจะให้คนนำของหวานไปส่งพอดี อีกอย่างในเมื่อหานฮุยมิใช่คนในวัง หนำซ้ำเขาไม่มีทางเข้าวังได้ด้วยซ้ำ เช่นนั้นเขาก็จำเป็นต้องมีคนในให้ติดต่อ แล้วคนในวังผู้นี้จะเป็นใคร วังกงกงไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยข้อสงสัย ควรสืบต่อไปหรือไม่”

วังจื๋อผงกศีรษะ “เรื่องนี้ข้าจะสืบเอง แต่หลังจากนี้เป็นธุระของสำนักประจิม เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว รอราชโองการให้เจ้าเลื่อนขั้นอย่างสบายใจก็พอ”

ถังฟั่นเข้าใจ เห็นชัดว่าวังจื๋อต้องการกีดกันเขา หากสืบพบเรื่องราวความลับอะไรก็ปกปิดอำพรางได้สะดวก

วังจื๋อเห็นเขาไม่พูดจาจึงกล่าวย้ำ “ถังรุ่นชิง เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็อย่ารู้ให้มาก เช่นนั้นจึงจะเป็นขุนนางได้ยาวนาน ข้ายังพอถูกชะตากับเจ้า อย่าเอาเยี่ยงอย่างนิสัยแย่ๆ ของพวกขุนนางพลเรือน!”

“เมื่อเป็นเช่นนั้น วังกงกงก็มิควรให้ข้ามาสืบคดีตั้งแต่แรก หากข้าสันนิษฐานไม่ผิด หยวนเหลียงขันทีคนสนิทของรัชทายาท รวมถึงฝูหรูนางกำนัลของวั่นกุ้ยเฟย ทั้งสองล้วนน่าสงสัย เมื่อวังกงกงยืนยันจะตรวจสอบเอง ท่านรับรองได้หรือว่าบทสรุปสุดท้ายจะอยู่ในความควบคุมของท่านได้ หากวั่นกุ้ยเฟยทรงทราบเรื่องนี้ คาดเดาเรื่องหยวนเหลียงจนเชื่อมโยงไปถึงรัชทายาท คิดว่ารัชทายาทใช้การตายของหานเจ่าป้ายสีพระนางแล้วทรงไปฟูมฟายกับฝ่าบาท บทสรุปเหล่านี้วังกงกงเคยคิดหรือไม่”

วังจื๋อชักโกรธ “ไยข้าจะไม่เคยคิด อย่าพูดเหมือนมีแต่เจ้าคนเดียวที่คำนึงถึงรัชทายาท! หากขุนนางฝ่ายนอกอย่างเจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย คงยากที่กุ้ยเฟยจะไม่ทรงทราบ วิธีที่ดีที่สุดก็คือข้าให้คนสืบอย่างลับๆ ในวังไปก่อน!”

ถังฟั่นกล่าวตาใส “ข้ามิได้พูดเสียหน่อยว่าจะยุ่งด้วย วังกงกงจะตระหนกกราดเกรี้ยวไปไย”

วังจื๋อไม่สบอารมณ์ “เจ้าทำได้เช่นนั้นย่อมดีที่สุด!”

“เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับรัชทายาท แต่หากผู้มีเจตนาแอบแฝงล่วงรู้เข้าก็อาจจงใจโยงไปที่รัชทายาท วังกงกงโปรดระวังด้วย”

วังจื๋อหงุดหงิด “รู้แล้ว! รู้แล้ว! เจ้าเป็นแค่ผู้พิพากษาเล็กๆ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้ากังวล! หากข้าไม่หวังดีกับรัชทายาทแล้วเหตุใดจึงเสนอให้เจ้าสืบคดีตั้งแต่แรกเล่า!”

ในเมื่ออีกฝ่ายมีแผนในใจ ถังฟั่นเองก็ไม่พูดมากแล้ว

ก่อนหน้านี้วังจื๋ออยากให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะกลัวว่าเบื้องหลังจะพัวพันถึงวั่นกุ้ยเฟยหรือรัชทายาท ด้านหนึ่งคืออดีตผู้เป็นนาย อีกด้านคือรัชทายาท เขาไม่อยากผิดใจด้วยแม้แต่ฝ่ายเดียว แต่หากพิสูจน์ได้ว่าทั้งสองมิได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถังฟั่นเชื่อว่าวังจื๋อน่าจะทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม

 

เจ้าหน้าที่สำนักประจิมที่ไปตามจับหานฮุยนำตัวเขากลับมาได้ในเวลาอันสั้น ตอนแรกหานฮุยถูกไล่ล่าจนมุม ยังคิดจะกระโดดแม่น้ำ ปรากฏว่าถูกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ตามจับเตะเข้าจากด้านหลังจนร่วงตกลงไปในน้ำเอาจริงๆ หานฮุยว่ายน้ำไม่เป็น ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำอยู่นานจึงถูกเจ้าหน้าที่สำนักประจิมลากขึ้นมา นับว่าสิ้นฤทธิ์ในที่สุด

มีหลักฐานคำให้การจากล่าเหมย หานฮุยย่อมแก้ตัวไม่ขึ้น คำให้การของเขาไม่ต่างจากการสันนิษฐานของถังฟั่นเท่าใดนัก

เริ่มแรกหยวนเหลียงขันทีคนสนิทของรัชทายาทติดต่อกับเขาก่อน แม้หานฮุยจะเข้าวังไม่ได้ ทว่าเขาส่งหานเจ่าเข้าวัง ตอนอยู่ที่ประตูวังย่อมมีโอกาสพบหยวนเหลียงที่มารับหานเจ่า หยวนเหลียงรู้จากหานเจ่าว่าหลินซื่อไม่ดีกับหานฮุย จึงใช้เรื่องนั้นหว่านล้อมหานฮุย ให้เขาลงมือกับหานเจ่า พร้อมยืนยันกับอีกฝ่ายว่าตนใช้เส้นสายในวังช่วยอำพรางปกปิดให้เขาได้

ตอนแรกหานฮุยย่อมตกตะลึง อีกทั้งยืนกรานไม่ยอมตกลง หยวนเหลียงเองก็มิได้บีบคั้นเขา กลับเป็นหานฮุยที่กลับไปแล้วร้อนรนอยู่หลายวัน เห็นหยวนเหลียงไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ในใจมิได้สงบลง ตรงกันข้ามกลับร้อนรนขึ้นมา

เนื่องจากเรื่องของล่าเหมย ตอนนั้นหานฮุยจึงไม่กล้าไปบอกกล่าวกับหลินซื่อ ทว่าหลินซื่อเคยเห็นเขาสนทนากับล่าเหมยก็ด่าทอว่ากล่าวเขาไปหลายครั้ง ความแค้นเคืองที่สั่งสมมานานหลายปีของหานฮุยจึงปะทุออกมาในที่สุด เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายไปหาหยวนเหลียงแล้วตอบตกลง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ดำเนินไปตามแผนการ

หยวนเหลียงกับหานฮุยติดต่อหารือกันล่วงหน้า ตกลงกันว่าจะลงมือทำตามแผนเมื่อไร จากนั้นหานฮุยจึงไปที่ห้องของหานเจ่าก่อนคืนเกิดเหตุเพื่อนอนด้วย แม้หานเจ่าจะมิได้ถือกำเนิดร่วมสายโลหิตกับหานฮุย ทว่าเขาให้ความเคารพพี่ชายคนนี้มาก มิฉะนั้นก็คงไม่ตัดพ้อกับหยวนเหลียงเพราะมารดาไม่ดีกับพี่ชายจนทำให้หยวนเหลียงรู้เรื่องความขัดแย้งในสกุลหานแล้ว

หลังจากหานเจ่ารู้ว่าหานฮุยจะนอนกับตนเองก็ตอบตกลงด้วยความยินดี แม้อายุของสองพี่น้องจะห่างกันมากพอสมควร ทว่ายามปกติทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกัน บางครั้งหานฮุยก็จะมาสนทนาค้างคืนกับหานเจ่า จึงไม่มีใครคิดมาก แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหานฮุยจะใช้โอกาสนี้คำนวณเวลาที่หานเจ่าใกล้ตื่น ฝังเข็มเล่มนั้นที่จุดสุ่ยเฟินของอีกฝ่าย

เข็มทั้งเล็กและสั้น เรียวบางราวกับขนวัว ฝังเข้าที่จุดสุ่ยเฟินแล้วก็เพียงคาอยู่บนชั้นผิวหนังเท่านั้น ทว่าพอหานเจ่าตื่นนอน ลุกขึ้นมาสวมใส่อาภรณ์ เคลื่อนไหวเดินเหิน เข็มก็ค่อยๆ ไหลลึกเข้าสู่ร่างกาย จนก่อให้เกิดเหตุเศร้าสลดในที่สุด

แต่หานฮุยเพียงลงมือก่อเหตุในช่วงเวลาตามที่หยวนเหลียงบอกเท่านั้น ส่วนหลังหานเจ่าเข้าวังแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หยวนเหลียงอำพรางให้เขาอย่างไร หานฮุยไม่รู้เรื่องใดๆ แล้ว

หานฮุยหลงผิดชั่ววูบ มารร้ายสิงสู่หัวใจ จนก่อเหตุสังหารน้องชาย กฎหมายต้าหมิงมีมากมาย อย่างไรก็ต้องมีข้อหนึ่งที่บัญญัติไว้สำหรับโทษของเขา แต่ก็เหมือนอย่างที่ถังฟั่นกล่าว เรื่องราวยังมิได้จบบริบูรณ์ เหตุใดหยวนเหลียงจึงต้องสมรู้ร่วมคิดกับหานฮุย เป็นความคิดของขันทีผู้นี้เองหรือมีใครคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และหยวนเหลียงรู้ได้อย่างไรว่าวันนั้นวั่นกุ้ยเฟยจะส่งถั่วเขียวต้มไป่เหอไปพอดี ใช่นางกำนัลฝูหรูสอดมือหรือไม่ และฝูหรูทำเพื่ออะไร

ปมปริศนามากมายรอให้คลี่คลาย ทว่าถังฟั่นมีใจแต่ไร้กำลังแล้ว เนื่องจากเป็นไปตามที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ วังจื๋อไม่ให้เขามีโอกาสยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังหาตัวฆาตกรมิได้เขายังสามารถใช้เรื่องสืบคดีเป็นข้ออ้างเข้าวังหลวง บัดนี้วังจื๋อไม่ยอมเข้าวังกับเขาอีก ด้วยตำแหน่งผู้พิพากษาเล็กๆ แห่งศาลซุ่นเทียนอย่างเขา หากไม่มีราชโองการก็ไม่มีทางเข้าออกวังหลวงได้ตามอำเภอใจแน่นอน

หากเป็นคนอื่นทำได้ถึงขั้นนี้ก็มองว่าปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จลุล่วงแล้ว ทว่าถังฟั่นกลับรู้สึกคาราคาซัง แต่นั่นก็มิใช่เรื่องที่เขาจะกำหนดได้ หลังออกจากสำนักประจิมถังฟั่นก็ตรงกลับเรือน

หลายวันนี้วิ่งวุ่นอยู่ตลอด ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะกินข้าวให้ดีๆ เมื่อภาระถูกปลดเปลื้องแล้วก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โดยเฉพาะเมื่อกลับถึงเรือนแล้วพบว่าอาตงไม่อยู่ สุยโจวก็ยังไม่กลับมา ความรู้สึกหดหู่สายนั้นของถังฟั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

สุยโจวยังไม่กลับนั้นเป็นเรื่องปกติ เห็นว่าเขาไปที่เจียงซีแล้ว ส่วนไปทำคดีอะไร เนื่องจากอีกฝ่ายไปอย่างรีบร้อน ถังฟั่นจึงไม่ทันได้ถามให้ละเอียด

ทว่าเด็กน้อยอาตง นับตั้งแต่ชินที่ทาง ทั้งยังรู้จักกับบ้านใกล้เรือนเคียงแล้วก็เริ่มซุกซน เพื่อนบ้านมีเด็กหญิงอายุไล่เลี่ยกับนางอยู่สองสามคน อาตงเล่นกับพวกนางจนสนิทกันแล้ว พ่อแม่ของอีกฝ่ายมักจะเชิญนางไปกินข้าวที่เรือน ยังมีสุยปี้น้องสาวของสุยโจวก็ค่อนข้างสนิทกับอาตง เด็กน้อยคนนี้เหมือนมีอัธยาศัยดีกับผู้อื่นโดยกำเนิด จุดนี้ช่างคล้ายกับถังฟั่นที่เป็นพี่ชาย…แน่นอน ประโยคสุดท้ายนั้นใต้เท้าถังเพิ่มเติมเข้าไปเองอย่างไร้ยางอาย

ระยะนี้ถังฟั่นมักไม่อยู่เรือน อาหารสามมื้อก็ไม่เป็นเวลา กลางวันอาตงอยู่ในเรือนว่างเปล่าตามลำพังก็เงียบเหงา ย่อมอดใจออกไปเล่นกับสหายมิได้ ปรากฏว่าวันนี้ถังฟั่นกลับมาเร็ว จึงหาคนมาทำกับข้าวให้ไม่ได้

มองห้องครัวที่ปราศจากควันลอยขึ้นมา ใต้เท้าถังก็ยิ่งทวีความหงอยเหงา

เมื่อก่อนตนอาศัยอยู่ตามลำพังไม่เคยรู้สึกอะไร เวลานี้ชินกับความรู้สึกมีครอบครัว ปุบปับก็กลับมามีชีวิตลำพังดังเดิม จึงหงอยเหงาเป็นพิเศษ

“จากชีวิตอดออมเป็นฟุ้งเฟ้อนั้นง่าย จากชีวิตมั่งมีมามัธยัสถ์นั้นยาก” ถังฟั่นเอ่ยทอดถอนพลางเดินเข้าห้องครัว อยากดูว่าอาตงเก็บอาหารอะไรไว้บ้าง

รื้อซ้ายรื้อขวาอยู่รอบหนึ่ง ยังดีที่รื้อขนมแป้งข้าวเหนียวขาวเนียนออกมาได้จานหนึ่ง ทั้งยังเป็นไส้ถั่วเขียวงาเสียด้วย

แม้จะเย็นชืดแล้ว ทว่ากับขนมนั้นไม่เป็นไร ถังฟั่นคร้านจะเข้าครัวเอง แต่ต่อให้เขามีใจทำ เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี ด้วยเหตุนี้จึงดื่มน้ำแกล้มขนมแป้งข้าวเหนียว

เดิมทีเขาท้องว่างอยู่แล้ว ทั้งยังกินขนมแป้งข้าวเหนียวที่ย่อยยากไปพลางดื่มน้ำไปพลาง จนทำให้แป้งข้าวเหนียวอืดในท้อง ครู่เดียวก็เริ่มปวดกระเพาะ ใต้เท้าถังปวดจนพูดไม่ออก นั่งคิดไม่ตกอยู่ตรงนั้นว่าตนควรไปหาหมอ หรืออดทนให้หายปวดไปเองดี

และในเวลานี้เองก็มีคนเคาะประตูด้านนอก

ถังฟั่นจำต้องลุกขึ้นยืน เดินกุมกระเพาะไปเปิดประตู

เขานึกว่าเป็นอาตง ปรากฏว่าเมื่อเปิดประตู ด้านนอกกลับเป็นหญิงสาวแปลกหน้าสองคน

คนที่เคาะประตูเป็นสาวใช้อายุน้อย หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังน่าจะเป็นคุณหนูสกุลดี ท่อนบนสวมเสื้อหน้าแขนแคบทับด้วยเสื้อกั๊กยาวสีชมพู ด้านล่างเป็นกระโปรงจีบข้างสีชมพูเข้ม ยืนอรชรอ่อนช้อย

เขาแปลกใจเล็กน้อย ส่วนสองคนนั้นกลับประหลาดใจยิ่งกว่า

สาวใช้ถอยหลังสองก้าว แหงนหน้ามองป้ายประตูแล้วพึมพำ “ไม่ผิดหลังนี่นา…”

ถังฟั่นเอ่ยถาม “สองท่านมาหาใครหรือ”

สาวใช้ตอบ “พวกเรามาหานายกองร้อยสุย เขามิได้อยู่ที่นี่หรือ”

ถังฟั่นร้องอ๋อ “เขายังอยู่ที่นี่ แต่ช่วงนี้เขาไปทำภารกิจต่างถิ่น ข้าเป็นสหายที่อยู่กับเขา ถ้ามาหาเขา รออีกสองสามวันค่อยมาใหม่เถอะ”

สาวใช้ตัวน้อยสดใสร่าเริง ดวงตาใสวาวกลอกไปมา “ท่านเป็นสหายอะไรของเขา เหตุใดพวกเราจึงไม่เคยรู้มาก่อน”

ถังฟั่นอยู่ในชุดคลุมยาวผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อน บนเอวมีผ้าคาด ทว่าหลังจากเปลี่ยนชุดเมื่อกลับถึงเรือนแล้วก็มิได้ผูกป้ายหยกติดตัวเหมือนที่กำลังนิยมกันเพราะความขี้เกียจ บวกกับหน้านิ่วคิ้วขมวดเนื่องจากปวดกระเพาะ มองแล้วจึงเหมือนบัณฑิตตกยากที่ล้มเหลวสอบไม่ติด ยากจะคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับขุนนางราชสำนัก

ชัดเจนว่าสาวใช้ตัวน้อยผู้นี้กังขากับคำบอกเล่าของถังฟั่นที่อ้างว่าเป็นสหายของสุยโจว

หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังถึงกับย่นคิ้วเล็กน้อย ราวกับเห็นถังฟั่นเป็นหัวขโมยที่ฉวยโอกาสบุกรุกเข้ามาตอนที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ นางกล่าวถาม “ขอถามว่าท่านชื่อแซ่ใด พี่ชายข้ามีนิสัยสันโดษ ไฉนจึงชักชวนมาอยู่ด้วยกันได้”

ใต้เท้าถังรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย แม้เขาจะไม่ถึงกับเป็นพวกใครเห็นใครก็ชอบ แต่ก็ไม่เคยประสบกับการถูกรังเกียจเช่นนี้มาก่อน

อีกอย่างใครบ้างที่จะชอบอยู่คนเดียวตั้งแต่เกิด หากมิใช่ว่าสกุลสุยมีบรรยากาศเช่นนั้น สุยโจวเองก็คงไม่ย้ายออกมากระมัง เพียงวาจาประโยคนั้นก็รู้ได้แล้วว่าลูกพี่ลูกน้องของสุยโจวผู้นี้มิได้รู้จักนิสัยใจคอของเขา

“ข้ามีนามว่าถังฟั่น รับราชการอยู่ที่ศาลซุ่นเทียน เนื่องจากหาบ้านพักมิได้ โชคดีที่ได้พี่ชายเจ้าช่วยเหลือ ฉะนั้นจึงมาขออาศัยเขาชั่วคราว”

เห็นอีกฝ่ายเปิดเผยตัวตนแล้ว สีหน้าเคลือบแคลงของหญิงสาวจึงอ่อนลง “เช่นนั้นพวกเราจะกลับไปก่อน อีกสองสามวันรอพี่ชายกลับมาแล้ว รบกวนท่านช่วยบอกเขาทีว่าข้ามาหา”

“แม่นางแซ่โจวใช่หรือไม่” ถังฟั่นถาม

หญิงสาวพยักหน้า

ถังฟั่นรู้ว่านอกจากมารดาของสุยโจวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าโจวยังมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง เนื่องจากเป็นขุนนางอยู่ต่างถิ่น ฉะนั้นจึงย้ายครอบครัวไปที่นั่น เวลานี้หญิงสาวกลับปรากฏกายที่นี่ ไม่รู้ว่ากลับมาเยี่ยมผู้ใหญ่ที่เมืองหลวง หรือเตรียมย้ายกลับมาถาวร

แต่เห็นชัดว่ายามนี้ไม่เหมาะที่เขาจะสืบข่าว ถังฟั่นจึงตัดบท “แม่นางวางใจเถอะ รอก่วงชวนกลับมาแล้ว ข้าจะบอกเขาให้เอง”

หญิงสาวรับคำ จากนั้นก็แสดงท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านเรียกนามรองของพี่ชาย? เขายอมให้ท่านเรียกเช่นนี้หรือ”

ถังฟั่นแปลกใจ “นามรองมีไว้ก็เพื่อให้คนรุ่นเดียวกันเรียกขานมิใช่หรือ แปลกด้วยหรือ”

หญิงสาวกะพริบตา “ด้วยนิสัยของพี่ชาย น้อยมากที่ข้าจะเห็นเขาไปมาหาสู่กับสหาย เห็นทีท่านกับเขาคงสนิทกันน่าดู!”

ถังฟั่นระบายยิ้มบนใบหน้า ไม่อยากพูดมาก “ก็พอประมาณ”

เท่าที่เขาเห็น แม้สุยโจวจะเรียกไม่ได้ว่ามีการคบหาสมาคมกว้างขวาง แต่ก็ไม่สันโดษแน่นอน อย่างน้อยเหล่าผู้ใต้บัญชาของเขาในกองปราบฝ่ายเหนือก็ถูกเขาฝึกจนเคารพเชื่อฟัง หากนิสัยสันโดษจริงๆ ย่อมไม่มีทางสนใจทำอะไรเช่นนี้แน่ อย่างสุยโจวก็แค่เงียบขรึมพูดน้อย ทำงานเด็ดขาดเข้มงวด ดูเหมือนเย็นชาไปบ้างเท่านั้น

หญิงสาวแสนจะสนใจใคร่รู้ เอ่ยถามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุยโจวอีกไม่น้อย ถังฟั่นปวดกระเพาะมาก ไร้เรี่ยวแรงต้อนรับขับสู้ จึงปราศจากรอยยิ้มและวาจาที่นุ่มละมุนดุจอาบด้วยสายลมยามวสันต์เฉกเช่นปกติ

อีกฝ่ายมองออกว่าถังฟั่นต้อนรับอย่างขอไปที จึงเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา นางถลึงตาจ้องเขาแวบหนึ่งก่อนหมุนร่างเดินจากไป

สาวใช้กระวีกระวาดวิ่งตามหลัง และไม่ลืมหันขวับกลับมาถลึงตาใส่ถังฟั่น

ถังฟั่นรู้สึกขำเล็กน้อย แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องอื่นแล้ว ระหว่างที่สนทนากันเมื่อครู่ก็ยิ่งปวดกระเพาะขึ้นเรื่อยๆ

เขาปวดจนทนไม่ไหว ต้องจับขอบประตูงอร่างลงนั่งบนธรณีประตู

เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากเบื้องหน้า ถังฟั่นเงยหน้าขึ้นมอง เป็นคนของสำนักประจิม

“ไม่ว่าเวลานี้พวกเจ้าจะมีเรื่องด่วนอะไร ข้าก็เดินไม่ไหวแล้ว” ใต้เท้าถังกล่าวอย่างอ่อนแรง

เขาสาบานว่าคราวหน้าจะไม่กินขนมแป้งข้าวเหนียวตอนท้องว่างอีกแล้ว

เจ้าหน้าที่สำนักประจิมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าฉายแววลำบากใจ หนึ่งในนั้นประสานมือคำนับ “ใต้เท้าถัง ผู้บัญชาการให้เรามาเชิญท่านเข้าวัง เขากำลังรอท่านอยู่หน้าประตูวังขอรับ!”

วาจาของอีกฝ่ายสุภาพเกรงใจ มิใช่เพราะเจ้าหน้าที่สำนักประจิมเกิดเปลี่ยนนิสัยกะทันหันจนอ่อนโยนเป็นมิตรขึ้นมา หากแต่เพราะพวกเขาเห็นว่าถังฟั่นรับราชโองการสืบคดีโดยตรงจากวังหลวง แม้แต่วังจื๋อก็ไม่เคยวางอำนาจสั่งการเขา จึงเลือกตามลมด้วยการให้เกียรติถังฟั่นตามมารยาท

แน่นอนหากถังฟั่นไม่ยอมไปกับพวกเขา มีบัญชาของวังจื๋ออยู่ คนเหล่านี้ก็หิ้วปีกถังฟั่นเข้าวังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงเช่นเดียวกับที่เรียกเขาเข้าวังในคืนนั้นได้

นี่เรียกว่าใช้ไม้อ่อนก่อนไม้แข็ง เจรจาก่อนใช้กำลัง

ถังฟั่นเองก็รู้ เขาจึงต้องลุกขึ้น คลึงกระเพาะเบาๆ รู้สึกเหมือนจะไม่อึดอัดเหมือนเมื่อครู่แล้ว กล่าวว่า “ไปกันเถอะ”

“ขอบคุณใต้เท้าถังที่เข้าใจ” อีกฝ่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังเอ่ยถามความเห็นจากเขา “ไม่ทราบว่าใต้เท้าจะขี่ม้าหรือนั่งเกี้ยว พวกเราเตรียมไว้แล้ว!”

มีเกี้ยวให้นั่ง ถังฟั่นย่อมไม่อิดออดเกรงใจ ก้มร่างมุดเข้าไปในเกี้ยวที่มีคนหามทันที

อาจเพราะถูกหัวหน้าที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างวังจื๋อควบคุมมานาน ประสิทธิภาพการทำงานของสำนักประจิมจึงไม่ธรรมดา ถังฟั่นเพิ่งเข้าไปนั่งก็สัมผัสได้ว่าเกี้ยวลอยวูบขึ้นทันที และเริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ที่หายากคือเกี้ยวโคลงเพียงเล็กน้อย เขาเลิกม่านขึ้นมองสำรวจด้านนอกก็เห็นทิวทัศน์ฝั่งซ้ายขวาราวกับเลื่อนถอยหลังอย่างไววูบ ทะยานผ่านจนมองตามแทบไม่ทัน มองอยู่นานจนเริ่มวิงเวียนตาลาย เขารีบปล่อยม่านลง ถือโอกาสนี้หลับตาพักผ่อนในเกี้ยว

ครั้นหลับตาลงก็ดันเผลอหลับไป เขาตื่นตอนที่มีคนมาตบบ่าสองที แล้วก็เห็นเจ้าหน้าที่สำนักประจิมชะโงกหน้าเข้ามากล่าวกับเขาในเกี้ยว “ใต้เท้า ถึงหน้าประตูวังแล้ว”

ถังฟั่นลืมตาขึ้น รู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากแล้ว หลังจากพักผ่อนช่วงสั้นๆ อาการปวดกระเพาะก็หายไปด้วย เขายืดเส้นยืดสาย ก้มตัวออกจากเกี้ยว

วังจื๋อกำลังรอเขาอยู่ตรงนั้น สีหน้าหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ เห็นเขามาแล้วก็หันเดินกลับเข้าวังไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“รีบไปเร็ว ชักช้าก็ไม่ได้เจอแล้ว!”

“อะไรหรือ” ถ้อยคำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาถังฟั่นมึนงง

“หยวนเหลียงกลืนทองฆ่าตัวตาย” วังจื๋อมองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าว

หา? คราวนี้ถังฟั่นตะลึงพรึงเพริดไม่น้อย

“ท่านทำอะไรกันแน่”

“อะไรคือข้าทำอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” วังจื๋อกล่าวอย่างเดือดดาล

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ข้าเพิ่งแยกจากมาแค่ครึ่งวัน หยวนเหลียงก็…รัชทายาททรงทราบเรื่องนี้หรือไม่” ถังฟั่นรีบละล่ำละลักถาม

วังจื๋อเรียกให้เขาเข้าวังก็ย่อมต้องให้เขารู้ต้นสายปลายเหตุ จึงใช้ช่วงเวลาระหว่างเดินไปที่ตำหนักฉือชิ่ง บอกเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ

ถังฟั่นจึงเพิ่งรู้ว่าหลังจากที่เขาแยกย้ายกับวังจื๋อ อีกฝ่ายก็เข้าวัง ตรงไปหาหยวนเหลียง ซักถามถึงสาเหตุการตายของหานเจ่า

หยวนเหลียงย่อมปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ปัดความผิดให้พ้นตัว

วังจื๋อเห็นหยวนเหลียงไม่ยอมบอกความจริง คิดในใจว่าตนเห็นแก่รัชทายาท มีใจช่วยปิดบัง อีกฝ่ายยังไม่ยอมรับแต่โดยดี เช่นนั้นก็โทษเขามิได้แล้ว

เขาจึงข่มขู่หยวนเหลียง บอกว่ารู้เรื่องที่อีกฝ่ายสมคบกับฝูหรูแล้ว หากหยวนเหลียงไม่ยอมพูดความจริงก็จะไปรายงานวั่นกุ้ยเฟย ถึงเวลาหยวนเหลียงจะตายอย่างอนาถ แม้แต่รัชทายาทและพระนางอู๋ก็คงติดร่างแหด้วย

ข่มขู่ก็ส่วนข่มขู่ ความจริงวังจื๋อยังไม่ได้คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป

หานฮุยลงมือสังหารหานเจ่า แต่ก็ดันเลือกช่วงเวลาที่วั่นกุ้ยเฟยส่งของหวานไปพอดี นั่นย่อมมีการร่วมมือรู้เห็นเป็นใจจากทั้งสองฝั่ง

หนึ่งคือหยวนเหลียง หยวนเหลียงเป็นคนพาหานเจ่าไปที่ตำหนัก และเป็นคนในวังเพียงคนเดียวที่ติดต่อกับหานฮุยได้

สองก็คือข้างกายวั่นกุ้ยเฟยต้องมีคนคำนวณเวลาส่งของหวานอย่างแม่นยำ หารือกับหยวนเหลียงล่วงหน้าเรียบร้อย จากนั้นจึงเลือกลงมือในเวลานั้น

ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ถังฟั่นก็เคยวิเคราะห์กับวังจื๋อแล้ว

วั่นกุ้ยเฟยมีอุปนิสัยริษยาและเจ้าคิดเจ้าแค้น นางเกลียดชังใครก็คือเกลียดเข้ากระดูกดำ ไม่มีวันเปลี่ยนความคิด ตอนที่รัชทายาทจูโย่วเชิงยังไม่ปรากฏตัว สตรีฝ่ายในและบุตรล้วนต้องมีจุดจบย่อยยับเมื่ออยู่เบื้องหน้าวั่นกุ้ยเฟย เนื่องจากจักรพรรดิโปรดปรานและอนุญาตเงียบๆ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักไร้คนกล้าออกเสียงคัดค้าน จนทำให้จักรพรรดิอายุมากแล้วก็ยังไม่มีโอรสแม้แต่องค์เดียว มีวี่แววจะไร้ทายาทสืบบัลลังก์

จู่ๆ รัชทายาทปรากฏกายขึ้น หนำซ้ำยังอายุหกขวบแล้ว ซึ่งก็คือมีชีวิตอยู่ปลายจมูกนางมาหกปีเต็ม วั่นกุ้ยเฟยกลับถูกคนในวังปิดหูปิดตาจนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกที่ถูกหลอกลวงครั้งใหญ่เช่นนี้ วั่นกุ้ยเฟยผู้เป็นใหญ่ในตำหนักในมาตลอดมีหรือจะทนได้ ฉะนั้นต่อให้นางรู้ว่ารัชทายาทรู้ความแล้ว อนาคตอาจคิดแก้แค้น ก็ยังสังหารจี้เฟยมารดาของรัชทายาท จางหมิ่นที่ช่วยปกปิดตัวตนของรัชทายาทในตอนนั้นหวาดกลัวจนกลืนทองฆ่าตัวตายก็เพราะกลัวจะถูกวั่นกุ้ยเฟยแก้แค้น

ดังนั้นเมื่อวิเคราะห์จากนิสัยของวั่นกุ้ยเฟย นางยอมที่จะสนับสนุนโอรสที่ถือกำเนิดจากสนมคนอื่นเป็นรัชทายาทมากกว่าที่จะให้จูโย่วเชิงเป็นรัชทายาทแน่นอน

ในเมื่อไม่ปรารถนาให้จูโย่วเชิงเป็นรัชทายาท ไฉนนางจึงต้องส่งถั่วเขียวต้มไป่เหอไปเอาใจรัชทายาทด้วยเล่า เห็นได้ว่ามิใช่ความตั้งใจแต่แรกเริ่มของนางแน่นอน การส่งของหวานไปย่อมต้องเพราะข้างกายนางมีคนสนิทเกลี้ยกล่อมหว่านล้อม จนเปลี่ยนความคิดของวั่นกุ้ยเฟยได้

คนที่รับใช้วั่นกุ้ยเฟยอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเกลี้ยกล่อมนางได้ บุคคลเช่นนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หัวหน้านางกำนัลฝูหรูที่ได้รับความไว้ใจจากวั่นกุ้ยเฟยย่อมเป็นหนึ่งในนั้น

ฉะนั้นถังฟั่นกับวังจื๋อจึงสันนิษฐานว่าหากหยวนเหลียงสมคบกับคนสนิทของวั่นกุ้ยเฟย เช่นนั้นฝูหรูคือคนที่มีความเป็นไปได้สูงสุด

ทว่าวังจื๋อมิอาจไปรายงานสถานการณ์กับวั่นกุ้ยเฟยโดยตรงได้ เพราะเมื่อเรื่องที่หยวนเหลียงสมรู้ร่วมคิดกับฝูหรูเป็นที่เปิดเผย หยวนเหลียงเนื่องจากเป็นขันทีคนสนิทของรัชทายาท วั่นกุ้ยเฟยจะต้องคิดว่ารัชทายาทหวังใส่ร้ายตนและเป็นได้คิดบัญชีกับรัชทายาทแน่นอน หลังจากนั้นจุดประสงค์ที่อยากประจบเอาใจทั้งสองฝ่ายของวังจื๋อก็จะพังทลาย

อีกอย่างฝูหรูเป็นนางกำนัลประจำตัวของวั่นกุ้ยเฟย เหตุใดอยู่ดีๆ จึงสมรู้ร่วมคิดกับหยวนเหลียงก่อเหตุเช่นนี้กันเล่า

ดังนั้นวังจื๋อต้องคิดหาวิธีหนึ่งที่สามารถหาตัวฆาตกรและไม่ทำให้วั่นกุ้ยเฟยมีข้ออ้างในการล้มล้างฝ่ายในได้ด้วย

แน่นอนนี่มิใช่เพราะวังจื๋อมีเมตตากรุณา แต่เพราะเขาต้องการหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง

ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไรก็ดี เอาเป็นว่าวังจื๋อก็เดินหน้าสู้ไม่ถอยแล้ว

ใช่ว่าเขาจะไม่อยากลากตัวหยวนเหลียงกลับไปเค้นคอ แต่หากทำเช่นนั้นแล้วเรื่องก็จะลุกลามใหญ่โต วั่นกุ้ยเฟยเองก็จะล่วงรู้ ฉะนั้นวังจื๋อได้แต่ใช้โอกาสช่วงสืบคดี ลอบส่งคนไปสอบสวนฝูหรู ส่วนตนก็ไปหาหยวนเหลียงเป็นการส่วนตัว บอกอีกฝ่ายว่าฝูหรูกับหานฮุยสารภาพแล้วทั้งคู่ ทางที่ดีให้หยวนเหลียงรู้จักดูสถานการณ์ เรื่องที่ควรสารภาพก็สารภาพเสีย จะได้ไม่มีคนพลอยเดือดร้อนไปมากกว่านี้ แต่หากไม่ยอมดูสถานการณ์ ถึงเวลาถูกทรมานสารพัด อยากตายก็ตายไม่ได้

เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวที่วังจื๋อเปิดโปงออกมา หยวนเหลียงย่อมไม่อาจแก้ตัวได้อีก ทว่าเขากลับมีท่าทีเยือกเย็น กล่าวกับวังจื๋อว่าเขาทำผิดก็ยินดีรับผิดเพียงผู้เดียว ขออย่าให้พัวพันไปถึงใครอื่นอีก เขาได้รับการฝากฝังจากจี้เฟย เฝ้ามองรัชทายาทเติบโต จึงยิ่งไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้ฉุดรัชทายาทลงสู่โคลนตม

วังจื๋อเยาะหยันอย่างไม่แยแสว่าเรื่องนี้มิต้องให้หยวนเหลียงกำชับ หากเขาอยากให้เรื่องบานปลายก็คงไปรายงานกับวั่นกุ้ยเฟยเพื่อความดีความชอบแล้ว

เมื่อหยวนเหลียงได้รับคำยืนยันเช่นนี้ก็บอกว่าอยากพบรัชทายาทเป็นครั้งสุดท้าย เขายังมีเรื่องจะพูดกับรัชทายาท

วังจื๋อตอบตกลง

หลังจากนั้น…วังจื๋อก็รีบร้อนออกจากวังมารอถังฟั่น

ถังฟั่นฟังจบแล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “เขาเข้าเฝ้ารัชทายาทแล้วก็ปลิดชีพตนเองหรือ”

วังจื๋อพยักหน้า “เขากลืนทอง นั่นไม่ถึงกับทำให้ตายทันที ยังพอมีเวลา คนที่รู้เรื่องนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบก็มีเจ้ากับข้า ข้าตามเจ้าเข้าวังมาเพราะอยากให้เจ้าถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดหยวนเหลียงถึงต้องทำเช่นนี้ ดูว่าเขาทำเพราะเหตุผลส่วนตัว หรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง แล้วก็…พวกเราต้องหารือกันหน่อยว่าจะจัดการกับฝูหรูอย่างไรจึงจะปิดวั่นกุ้ยเฟยได้”

ตั้งแต่ตอนที่หยวนเหลียงบอกว่าอยากพบรัชทายาทเป็นครั้งสุดท้าย วังจื๋อก็คาดไว้แล้วว่าเขาจะทำเช่นนี้ เพราะหากจะปกป้องรัชทายาท หยวนเหลียงก็ต้องตายสถานเดียว เรื่องราวทุกอย่างจึงจะยุติโดยสมบูรณ์ ถึงเวลาก็ตั้งข้อหาฝูหรู แล้วค่อยจัดการทางหานฮุย เท่านี้ก็นับว่าไร้พยานบุคคลแล้ว

ระหว่างสนทนา ทั้งสองก็มาถึงตำหนักฉือชิ่ง

รัชทายาทออกมาพบพวกเขาอย่างรวดเร็ว ตาของเขาแดงรื้นเล็กน้อย สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่รู้ว่ารัชทายาทรู้เรื่องอะไรหรือไม่ เพียงกล่าวกับพวกวังจื๋อว่า “วังเน่ยเฉิน ใต้เท้าถัง ขันทีหยวนป่วยหนัก เขา…เขาอยากพบพวกท่าน…”

เริ่มต้นเสแสร้งแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด วังจื๋อพยักหน้า ทำทีกล่าวว่า “รัชทายาทโปรดทรงนำทางด้วย”

รัชทายาทกล่าว “พวกท่านตามข้ามา”

ต้องบอกว่าบรรดาข้าหลวงที่รับใช้ในตำหนักบูรพามีความจงรักภักดีสูง เนื่องจากคนเหล่านี้ส่วนใหญ่ในอดีตต่างเป็นคนที่เสี่ยงชีวิตปิดบังวั่นกุ้ยเฟย ช่วยจี้เฟยเลี้ยงดูรัชทายาทและเฝ้ามองเขาเติบโต ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าอนาคตเด็กคนนี้จะได้เป็นรัชทายาท และไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเด็กคนนี้จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรหรือไม่ พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าหากวั่นกุ้ยเฟยทราบเรื่อง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือหายนะถึงความตาย กระนั้นคนเหล่านี้ก็ยังคงทำเช่นนี้ต่อไป

เหตุผลไม่ซับซ้อน นั่นคือต่อให้เป็นดินแดนที่ดำมืดเพียงใดก็ยังมีน้ำใจงดงามของมนุษย์ และเพราะมีคนเหล่านี้ รัชทายาทจึงมิได้เติบโตไปในทางที่เลวร้าย ยังคงเติบโตอย่างงดงาม จิตใจเมตตาอารี ถังฟั่นสามารถมองผ่านตัวอักษรในบทความเข้าไปถึงภายในใจของอีกฝ่ายได้ และเชื่อมั่นเช่นเดียวกันว่ารัชทายาทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องนี้

ไม่ว่าภายนอกจะฝนตกลมพัดเช่นไร ตำหนักบูรพาก็เป็นโลกใบเล็กที่ผู้คนมากมายสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องรัชทายาทตัวน้อย นั่นมิใช่สิ่งที่ทรัพย์สินเงินทองจะว่าจ้างได้ ฉะนั้นกระทั่งอำนาจสำนักประจิมของวังจื๋อก็ไม่อาจแทรกซึมเข้าไป

บอกตามตรง มีสถานที่เช่นนี้ กลุ่มคนเช่นนี้ ถังฟั่นเองก็ประหลาดใจมากว่าเพราะอะไรหยวนเหลียงจึงยังต้องทำเช่นนี้อีก

รัชทายาทพาถังฟั่นกับวังจื๋อไปยังเรือนเล็กๆ ลับตาหลังหนึ่งในตำหนักบูรพา

เวลานี้หยวนเหลียงกำลังเอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาเหลืองซีด ต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน ลมหายใจรวยริน ท่าทางเหมือนเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

การกลืนทองปลิดชีพตนเองเป็นการตายที่ทรมานกว่าการผูกคอและดื่มยาพิษ ทว่าในวังหลวงนั้นการผูกคอตายไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจถูกพบเห็นได้ทุกเมื่อ ยาพิษนั้นยิ่งหาได้ยาก เทียบกันแล้วการกลืนทองเป็นวิธีที่สะดวกกว่ามาก ด้วยสถานะของหยวนเหลียง หลายปีนี้ย่อมต้องเก็บสะสมสมบัติส่วนตัวได้ไม่น้อย เพียงแค่นำเศษทองมาตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรอกใส่ปากแล้วดื่มตามด้วยสุรา ก็ปลิดลมหายใจตนเองได้แล้ว นี่เป็นวิธีที่คนในวังหลวงทำกัน ในอดีตขันทีจางหมิ่นกลัวจะถูกวั่นกุ้ยเฟยแก้แค้นเพราะเรื่องที่ปิดบังการถือกำเนิดขององค์ชาย เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้

ว่าไปแล้ววั่นกุ้ยเฟยเองก็นิสัยเจ้าอารมณ์และมักด่าทอทุบตีนางกำนัลในตำหนักเสมอ หากบอกว่าฝูหรูทนการกระทำของวั่นกุ้ยเฟยไม่ไหวจนเกิดความแค้น ถังฟั่นย่อมเชื่อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่วางยาพิษวั่นกุ้ยเฟยโดยตรง กลับใช้วิธีการอ้อมค้อมเช่นนี้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปริศนาที่รอให้ไขกระจ่าง

แม้หยวนเหลียงจะเข้าใกล้ความตายทีละก้าว สีหน้ากลับสงบเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เห็นทั้งสองมาถึง เขาจึงเชิญรัชทายาทออกไปก่อน และไม่รอให้พวกถังฟั่นเอ่ยถามก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าพวกท่านจะถามอะไร ข้าจะบอกทั้งหมด แต่ขอร้องพวกท่านเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับรัชทายาทแม้แต่น้อย หลังจากข้าตายแล้วพวกท่านโปรดอย่าให้เรื่องนี้พัวพันไปถึงพระองค์ได้หรือไม่”

วังจื๋อมีสีหน้าปราศจากอารมณ์ “เลิกพล่ามได้แล้ว รีบบอกมา เจ้าทำเช่นนี้เพราะอะไร”

หยวนเหลียงถอนใจเฮือกหนึ่ง สีหน้าหม่นลง “ตอนที่ข้าเพิ่งเข้าวังถูกจัดสรรให้ไปช่วยงานทำความสะอาดที่หอตำราฝ่ายใน ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย ไม่รู้ความ มักล่วงเกินคนอื่นเป็นประจำ ทั้งยังโดนทุบตี โชคดีที่ได้พี่หญิงจี้ในหอตำราคอยปกป้องข้าเสมอ ทั้งยังสอนข้าเขียนอ่าน ตอนที่ข้าถูกลงโทษไม่ได้กินข้าว นางก็แบ่งส่วนของตนเองให้ข้า ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืมน้ำใจของนางเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าสังเกตว่าพี่หญิงจี้แปลกๆ ไป นางกินข้าวไม่ลง ทั้งยังคลื่นไส้อาเจียน ข้าห่วงว่านางจะไม่สบายจึงซักไซ้คาดคั้น พี่หญิงจี้จึงยอมบอกข้าว่านางอาจตั้งครรภ์

หลังจากรู้ว่าเป็นสายพระโลหิตของฝ่าบาท ข้าทั้งดีใจและกังวลแทนนาง ที่ดีใจคือตอนนั้นตำหนักในไม่มีใครให้กำเนิดบุตรเลย หากพี่หญิงจี้ให้กำเนิดพระโอรส เช่นนั้นก็ต้องได้เป็นพระสนมชั้นเฟยแน่ ไม่แน่พระโอรสอาจถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทอีกด้วย แต่เรื่องที่น่ากังวลคือฝ่ายในอยู่ใต้อำนาจของวั่นกุ้ยเฟย แม้แต่พระอัครมเหสีก็ยังถูกปลดเพราะล่วงเกินพระนาง เวลานั้นวั่นกุ้ยเฟยทรงไม่มีโอรส พระนางจะทรงยอมให้พี่หญิงจี้คลอดพระโอรสหรือ

เป็นไปตามคาด ผ่านไปไม่นาน วั่นกุ้ยเฟยทรงทราบเรื่องที่พี่หญิงจี้ตั้งครรภ์ ก็ส่งนางกำนัลมาบังคับนางทำแท้ง พี่หญิงจี้เป็นคนดี คนที่เคยได้รับน้ำใจจากนางเหมือนข้ามีไม่น้อย หลังจากนางกำนัลคนนั้นกรอกยาทำแท้งให้พี่หญิงจี้ถ้วยหนึ่งก็ทานการวิงวอนขอร้องของพวกเราไม่ไหว จึงมิได้บังคับนางอีก และไปทูลวั่นกุ้ยเฟยว่าพี่หญิงจี้กินยาแล้วแต่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด น่าจะแค่ไม่สบาย มิได้ตั้งครรภ์

เคราะห์ดียานั้นมิได้ก่อให้เกิดผลอะไรนัก ในที่สุดรัชทายาทก็ประสูติ พวกท่านดูพระเกศาบนกระหม่อมของรัชทายาทที่เบาบางในยามนี้ ล้วนเป็นเพราะพิษที่ตกค้างจากฤทธิ์ยาในวันนั้น”

หวนระลึกถึงอดีต แววตาของหยวนเหลียงก็เลื่อนลอย ดวงตาเริ่มเปียกชื้น

“หลังจากรัชทายาทประสูติ พี่หญิงจี้ก็พาพระองค์หลบๆ ซ่อนๆ ทุกวี่วัน พี่หญิงจี้สุขภาพไม่ดี ทั้งยังไม่มีเบี้ยหวัด พระกระยาหารของรัชทายาทล้วนพึ่งพวกเราเสาะหาจากทั่วทิศ ทั้งยังต้องปิดพระเนตรพระกรรณวั่นกุ้ยเฟย ใช้ชีวิตด้วยความอกสั่นขวัญผวาทุกวัน

เป็นเช่นนี้จนกระทั่งรัชทายาทอายุหกชันษา จางหมิ่นทูลฝ่าบาทเรื่องพระองค์ จึงทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท พวกเราต่างยินดีกันถ้วนหน้า ดีใจแทนพี่หญิงจี้ คิดว่าในที่สุดนางก็จะมีชีวิตที่ดีแล้ว ใครจะรู้ว่าถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทได้ไม่กี่เดือน พี่หญิงจี้ก็ตายลง”

เขาหลั่งน้ำตา เอ่ยแต่ละคำอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “ภาษิตว่าทำดีได้ดี แต่ข้าไม่เข้าใจ เพราะอะไรคนดีๆ อย่างนางจึงไม่มีจุดจบที่ดี”

คำถามนี้อย่าว่าแต่หยวนเหลียง แม้แต่ถังฟั่นเองก็ตอบไม่ได้

บนโลกมีผู้คนมากมายที่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองแล้วก็ทำลายผู้อื่นได้แม้กระทั่งเอาชีวิต

วั่นกุ้ยเฟยไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายได้แล้ว อีกทั้งรัชทายาทก็ถูกแต่งตั้งแล้ว แต่กล่าวว่านางยังปองร้ายจี้เฟย สำหรับนางแล้วมีประโยชน์อันใด

หากมองในมุมของวั่นกุ้ยเฟย นางย่อมตอบว่ามี เพราะนางเกลียดจี้เฟยที่มีบุตรชาย ในขณะที่นางไม่มี เพราะนางโกรธแค้นที่จี้เฟยซ่อนตัวบุตรชายได้นานหลายปี เกลียดที่ตนเองถูกหลอกเหมือนคนโง่ เพราะนางกลัวว่าภายภาคหน้าเมื่อรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ จี้เฟยก็จะเป็นพระพันปี ในขณะที่นางเป็นเพียงกุ้ยเฟยเท่านั้น…

ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาดังกล่าว หากวั่นกุ้ยเฟยต้องการฆ่าคน ย่อมคิดหาเหตุผลได้เป็นกระบุง

ในใจของนางไม่มีคำว่าให้อภัย ไร้คำว่าใจกว้าง และปราศจากการประนีประนอม

ยามนี้ขุนนางเต็มราชสำนัก รวมถึงเสนาบดีผู้สูงส่งหลายต่อหลายคนในสภาขุนนาง แต่พวกเขาก็หาได้เคร่งครัดปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ไม่ มิปะทะแตกหัก อะลุ้มอล่วยเป็นนิจ แต่ละคนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งร่ำรวย

ยามที่วั่นกุ้ยเฟยปองร้ายเหล่าสตรีและบรรดาบุตรในตำหนักใน พวกเขาเป็นถึงเสาหลักของบ้านเมืองแท้ๆ กลับไม่กล้าปริปากแม้แต่คำเดียว ด้วยกลัวว่าวั่นกุ้ยเฟยจะเป่าหูจักรพรรดิแล้วตนก็จะหลุดจากตำแหน่ง จึงปล่อยให้นางเหิมเกริมตามอำเภอใจ

กลับเป็นเหล่านางกำนัลและขันทีซึ่งมักถูกพวกขุนนางพลเรือนดูแคลนในยามปกติ ปกป้องรัชทายาทด้วยชีวิต แต่ท้ายที่สุดกลับมิได้มีจุดจบที่ดี

หรือจะจริงดังคำที่กล่าวว่าผู้สัตย์ซื่อมักถูกให้ร้าย คนโฉดชั่วกลับได้ดีมีสุข

* ‘หนึ่งถ้วยชา’ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com