everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 4 บทที่ 2 #นิยายวาย
บทที่ 2
ก่อนหน้านี้ขณะถังฟั่นอยู่คฤหาสน์สกุลเหวย อาศัยเงื่อนงำในซอกเล็บของเหวยจูเหนียงก็ตีกรอบขอบเขตของฆาตกรออกมาได้แล้ว
แน่นอนว่าฆาตกรต้องเป็นบุรุษ ต้องมีความบาดหมางกับผู้ตายแน่ แต่เหวยจูเหนียงเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง จะมีความแค้นล้ำลึกกับผู้ใดเล่า ดังนั้นถังฟั่นแนะนำให้นายอำเภอเวิงเริ่มตรวจสอบจากมารดาของเหวยจูเหนียงและคนรอบตัว
สำคัญกว่านั้นก็คือฆาตกรน่าจะต้องสนิทสนมกับคนสกุลเหวยในระดับหนึ่ง มิฉะนั้นเขาไม่มีทางสะกดรอยเหวยจูเหนียงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จนกระทั่งสังหารนางและหลบหนีไปก่อนที่ผู้อื่นจะพบเห็น
ขอเพียงนายอำเภอเวิงไม่ทึ่มทื่อเกินควร การสืบหาตัวฆาตกรตามขอบเขตและเบาะแสที่ถังฟั่นวิเคราะห์ออกมาก็จะมีปัญหาแค่เวลาเท่านั้น
ทว่ายามนี้นายอำเภอเวิงส่งคนมาบอกกับถังฟั่น คฤหาสน์สกุลเหวยเกิดเรื่องอีกแล้ว
เมื่อถังฟั่นไปถึงคฤหาสน์สกุลเหวยก็ถูกคนสนิทของนายอำเภอเวิงนำทางไปยังโถงใหญ่
เวลานี้ทั้งนอกและในของคฤหาสน์สกุลเหวยชุลมุนวุ่นวาย มีแขกบางส่วนกลับไปแล้ว บางส่วนยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไป จำต้องรั้งอยู่ในคฤหาสน์ จึงอดพร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจมิได้ ถังฟั่นเห็นเข้าก็ได้แต่มุ่นคิ้ว
ตามความคิดของเขา ก่อนจะได้ตัวฆาตกร ทางที่ดีแม้แต่คนเดียวก็ไม่อาจปล่อยไป
ทว่านี่เห็นชัดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะแขกเหรื่อที่มาในวันนี้ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาประจำอำเภอ พวกเขาแทบจะผูกขาดที่นาส่วนใหญ่ไว้ทั้งหมด ผลงานแต่ละปีของนายอำเภอเวิง ทางการสามารถเก็บภาษีได้กี่มากน้อยล้วนต้องพึ่งพาความเอื้อเฟื้อจากพวกเขา และนี่ก็คือสาเหตุที่นายอำเภอเวิงไม่อาจกำราบพวกเขาได้
เวลานี้ถังฟั่นมิใช่ขุนนางราชสำนักอีกแล้ว ต่อให้ขัดนัยน์ตาก็ไม่มีสิทธิ์สอดมือ ก่อนหน้านี้บอกกล่าวเบาะแสก็แล้วไปเถอะ แต่หากจุ้นจ้านเกินควรจะกลายเป็นล้ำเส้นได้
ขณะนี้ในโถงใหญ่คฤหาสน์สกุลเหวยมีคนสองคนนั่งอยู่ นอกจากนายอำเภอเวิงที่สีหน้าเคร่งขรึมยังมีเหวยเช่อที่หน้าตาโศกาอาดูร เขานั่งทอดอาลัยอยู่บนเก้าอี้ สาวใช้ด้านข้างกำลังทาขี้ผึ้งสมุนไพรบนขมับเขา
ก่อนถังฟั่นจากไป เหวยเช่อแม้เศร้าตรม หากก็ไม่ถึงระดับนี้
ชัดเจนว่าคนที่ประสบเหตุเป็นรายที่สองต้องมีความสำคัญต่อเหวยเช่ออย่างมาก
เห็นถังฟั่นมาถึง นายอำเภอเวิงจึงลุกขึ้นต้อนรับ “น้องถัง”
“พี่เวิง ได้ยินว่าเกิดเรื่องอีกแล้ว”
นายอำเภอเวิงพยักหน้าเครียดขรึม “ผู้ตายคือบุตรคนเล็กของสกุลเหวยที่อายุเพิ่งเต็มเดือนในวันนี้”
ถังฟั่นอุทานดังอา
ที่แท้หลังจากถังฟั่นจากไป นายอำเภอเวิงก็ทำตามอย่างที่หารือกับถังฟั่นก่อนหน้า เริ่มสืบสวนผู้ต้องสงสัยภายในคฤหาสน์
มิคาดขณะนั้นแม่นมและสาวใช้ที่ดูแลคุณชายน้อยสกุลเหวยวิ่งหน้าตาตื่นมารายงานว่าคุณชายน้อยเกิดเรื่องแล้ว
เหวยเช่อได้บุตรชายในยามชรา จึงรักบุตรชายคนนี้ดั่งแก้วตาดวงใจ จัดหาแม่นมคนหนึ่งกับสาวใช้สองคนมาดูแลเป็นพิเศษ ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่หากนี่ก็ถือว่าค่อนข้างฟุ่มเฟือยแล้ว
หูซื่อหมัวมัวที่เป็นแม่นมดูแลคุณชายน้อยสกุลเหวยเป็นคนที่มารดาของทารกพามาด้วยจากบ้านเดิม จงรักภักดียิ่ง สาวใช้สองคนมีชื่อว่าเสี่ยวลู่กับเสี่ยวซวง เป็นลูกบ่าวในคฤหาสน์ ระดับความภักดีก็ล้วนไม่น่าสงสัย
วันนี้เป็นงานเลี้ยงอายุครบเดือน คุณชายน้อยเหวยในฐานะเจ้าของงาน แต่กลับไม่มีวาสนาได้ลิ้มลองอาหารโอชารสนานาชนิด หลังจากเขาถูกอุ้มออกไปให้แขกเหรื่อชมดูรอบหนึ่งก็ถูกอุ้มกลับมานอนในห้องเล็กๆ ของตนเอง หลี่ซื่อมารดาของเขาได้แวะมาดูรอบหนึ่ง
ต่อมาได้ยินข่าวการตายของเหวยจูเหนียง หูซื่อและสองสาวใช้ต่างตกใจไม่น้อย จึงให้เสี่ยวลู่ไปสอบถามสถานการณ์ เพราะข้างกายคุณชายน้อยยังมีหูซื่อกับเสี่ยวซวงอยู่ ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหา
ผ่านไปชั่วครู่ หลี่ซื่อให้คนมาตามหูซื่อ หูซื่อจึงออกไป
ให้บังเอิญว่าคุณชายน้อยเหวยปัสสาวะรดที่นอนพอดี เสี่ยวซวงสาวใช้อีกคนจึงลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มกับฟูกผืนใหม่จากห้องติดกันมาเปลี่ยนให้เขา
ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าไม่เคยมีเหตุการณ์ที่เผอิญไม่อยู่พร้อมกันสามคน เพราะระหว่างนั้นเป็นเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ โดยปกติแล้วไม่น่าเกิดเรื่องอันใด ทว่าวันนี้กลับยกเว้น
เมื่อเสี่ยวซวงหยิบผ้าห่มกลับมาที่ห้องเด็กก็เข้าไปดูคุณชายน้อยบนเตียงเล็กเหมือนเคย แต่แล้วก็ต้องตื่นตระหนกยกใหญ่เมื่อพบว่าทารกน้อยไม่มีลมหายใจแล้ว
คลื่นลูกแรกไม่ทันสงบ ลูกสองก็โหมซัด เรื่องของเหวยจูเหนียงยังไม่ทันคลี่คลายก็เกิดคดีคุณชายน้อยสกุลเหวยขึ้นอีก
ทันทีที่ทราบข่าว มารดาบังเกิดเกล้าของเด็กน้อยหมดสติไปเดี๋ยวนั้น
เหวยเช่อยิ่งราวกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
เพียงวันเดียวเขาสูญเสียลูกไปสองคน หนึ่งในนั้นยังรวมถึงทายาทผู้สืบทอดของสกุลเหวยอีกด้วย
นายอำเภอเวิงประสบกับโจทย์ยากอีกครั้ง
เขาให้คนตรวจสอบแล้ว ชายสกุลเหวยทุกคน แขกบุรุษ รวมทั้งผู้ติดตามที่พวกเขาพามา กลับไม่มีสักคนที่ปรากฏรอยข่วนบนท่อนแขน ก็หมายความว่าการวิเคราะห์ของถังฟั่นอาจผิดพลาดก็เป็นได้
ขณะเดียวกันบุตรชายคนเล็กของสกุลเหวยก็มาเสียชีวิตอีกคน นี่ทำให้นายอำเภอเวิงปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่อาจไม่ตามถังฟั่นมาอีกครั้ง ซึ่งจุดประสงค์ก็คือขอความช่วยเหลือ
ถังฟั่นฟังพวกเขาเล่าจบ อดจะขมวดคิ้วมิได้ “แน่ใจว่ามิได้ตกหล่นใครคนใดคนหนึ่งไป?”
นายอำเภอเวิงพยักหน้า “แน่ใจ ข้านั่งคุมการตรวจสอบด้วยตนเอง ไล่ดูทีละคนตามรายชื่อ ไม่พบคนที่มีรอยขีดข่วนบนท่อนแขนจริงๆ จะมีก็แต่สามคนที่โดนน้ำแกงร้อนๆ ลวกมือเท่านั้น หมอเพิ่งมาตรวจอาการ ตอนนี้บนมือยังพันผ้าพันแผลอยู่เลย”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “สามคนนั้นเป็นใคร”
ผู้ตอบคำถามกลับเป็นเหวยเช่อ “คนหนึ่งแซ่ไฉ เป็นญาติผู้พี่ของจัวจิงอนุอีกคนของข้า สองคนที่เหลือล้วนเป็นคู่ค้าของข้า”
“แต่พวกเขาไม่น่าใช่ฆาตกรสังหารบุตรคนเล็กของบ้านสกุลเหวย” นายอำเภอเวิงกล่าว
“เพราะอะไร” ถังฟั่นถาม
“เพราะขณะที่เด็กทารกเสียชีวิต สามคนนี้ล้วนอยู่ในโถงใหญ่ ตอนนั้นเกิดเรื่องของเหวยจูเหนียงพอดี โถงใหญ่ชุลมุนวุ่นวาย ทุกคนล้วนอยากมาดูเรื่องระทึก มีหลายคนที่เห็นกับตาว่าสามคนนี้โดนน้ำแกงร้อนๆ รดใส่ ดังนั้นพวกเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะมีวิชาแยกร่าง”
“ข้าอยากเจอสามคนนั้น” ถังฟั่นเอ่ยเสียงขรึม
นายอำเภอเวิงพยักหน้า “พวกเขารออยู่ห้องด้านข้างนี่เอง เหล่าหวง เจ้าไปตามพวกเขามา” ฉวยจังหวะที่รอคนไปตาม เขาจึงถามถังฟั่น “ท่านพอจะมีเงื่อนงำอันใดหรือไม่”
ถังฟั่นส่ายศีรษะยิ้มเจื่อน “เพียงฟังต้นสายปลายเหตุเท่านี้เกรงว่ายากจะมีเงื่อนงำอันใด ว่าแต่บุตรชายของสกุลเหวยเสียชีวิตได้อย่างไร”
นายอำเภอเวิงกล่าว “เสียชีวิตเพราะโดนผ้าห่อตัวอุดปากจมูกจนขาดใจ”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าแม่นมหรือสาวใช้ไม่ระวัง คลุมผ้าห่มสูงเกินไป ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าไม่เคยมีคดีในลักษณะนี้” ถังฟั่นกล่าว
เหวยเช่อแทรกขึ้นว่า “คุณชายถัง นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะเสี่ยวซวงถึงกับสาบานเลยว่าตอนนางไปหยิบผ้าห่มกับฟูก ผ้าห่มถูกดึงลงมาถึงใต้คอเด็ก แต่เมื่อนางกลับเข้ามา ผ้าห่มนั่นก็ปิดอยู่บนปากแล้ว แสดงว่าระหว่างนั้นต้องมีคนเข้ามาแน่”
ระหว่างที่พูด สามคนนั้นถูกนำตัวมา ถังฟั่นกวาดตาดู ปรากฏว่าบนมือพวกเขามีผ้าพันอยู่จริง
สามคนนั้นสีหน้าเซื่องซึม หลังจากโค้งคำนับทีละคน นายอำเภอเวิงก็ให้พวกเขานั่งลง
ถังฟั่นถามพวกเขา “ตอนนั้นน้ำแกงลวกโดนมือได้อย่างไร ต่อให้พวกท่านสามคนนั่งติดกัน แล้วจะโดนลวกที่มือในเวลาเดียวกันได้อย่างไร”
ไฉเจ๋อ ญาติผู้พี่ของภรรยาเอกของเหวยเช่อกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ตอนนั้นข้าไม่ได้นั่งอยู่กับพวกเขา เพียงเดินผ่านด้านข้าง ก็ไม่ทราบเป็นผู้ใดไม่มีตา ชนถูกโถใบนั้น น้ำแกงกระเซ็นถูกมือข้าทันที พี่หวังก็อยู่ข้างๆ ข้า จึงโดนไปด้วย”
อีกคนหนึ่งชื่อเป้าอี้ กล่าวว่า “ตอนแรกข้านั่งอยู่ตรงนั้น เห็นพวกเขาโดนน้ำแกงลวกจึงรีบลุกขึ้นไปจับโถใบนั้น แต่ข้างในยังมีน้ำแกงเหลืออยู่ ก็เลยลวกถูกมือข้าอีกคน”
“รบกวนท่านทั้งสามแกะผ้าพันแผลออกให้ข้าดู” ถังฟั่นกล่าว
สามคนต่างผงะ นี่เพิ่งจะพันมาหมาดๆ
แต่นายอำเภอเวิงด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “แกะออกเถอะ”
พวกเขาได้แต่แกะผ้าพันแผลอย่างไม่เต็มใจนัก
ตำแหน่งที่โดนลวกของทั้งสามคน แม้เป็นที่มือเหมือนกัน แต่บ้างซ้ายบ้างขวา เพราะตอนนั้นหวังต๋าเดินอยู่ด้านหลังไฉเจ๋อ หลังจากที่ไฉเจ๋อโดนลวกเขาก็ร้องอุทานพลางเบี่ยงตัวออกข้าง คนด้านหลังกรูกันขึ้นมา หวังต๋าซึ่งอยู่หน้าสุดจึงถูกน้ำแกงเข้าที่มือพอดี
ส่วนเป้าอี้ เรื่องราวตรงกับที่บอกเล่า ตอนนั้นเขายื่นมือไปขวาง กลับลืมว่าในโถมีน้ำแกงร้อนจัด สุดท้ายจึงโดนลวก บาดแผลของเขาอยู่ที่อุ้งมือ บริเวณหลังมือก็โดนเล็กน้อย
บาดแผลใต้ผ้าพันแผลบวมแดงเป็นตุ่มพอง บางจุดโดนลวกจนหนังลอก และป้ายยาขี้ผึ้งสีเข้ม แลดูเหวอะหวะน่ากลัว
ถังฟั่นพินิจอย่างละเอียด จากนั้นค่อยให้พวกเขาพันผ้ากลับไป และให้ทั้งสามออกไปได้
นายอำเภอเวิงเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน “เป็นอย่างไร”
ถังฟั่นส่ายหน้า มิได้ตอบคำ
ยามนั้นเหวยเช่อเริ่มคืนสติช้าๆ แม้สีหน้ายังหม่นหมอง แต่พอจะมีเรี่ยวแรงพูดจาบ้างแล้ว
เขาบอกกับนายอำเภอเวิงและถังฟั่น “เมื่อครู่ข้าคิดแล้วคิดอีก รู้สึกเรื่องนี้น่าจะเป็นฝีมือหวังต๋า”
“มีหลักฐานหรือไม่” นายอำเภอเวิงถาม
เหวยเช่อตอบ “หลักฐานน่ะไม่มี แต่หวังต๋าคนนี้เมื่อก่อนเคยอยากให้ข้าแนะนำคนของกองอากรเกลือให้เขา ใต้เท้าท่านก็ทราบ ร้านค้าเกลือเป็นกิจการครัวเรือนของข้า ไหนเลยจะประเคนให้ผู้อื่นได้เล่า จึงทำเป็นไม่สนใจเขา ต่อมาหวังต๋าถามข้าหลายครั้ง ข้าก็หาข้ออ้างกลบเกลื่อนไป ก็ไม่ทราบเขาจะเจ็บแค้นในใจเพราะเหตุนี้หรือไม่ จึงกลับมาแก้แค้นข้า”
นายอำเภอเวิงขมวดคิ้ว “เขาสังหารเหวยจูเหนียงกับบุตรชายคนเล็กของท่านจะก่อประโยชน์อันใด หากเจ็บแค้นท่าน เช่นนั้นลงมือกับท่านมิดีกว่าหรือ”
ถังฟั่นพยักหน้า “ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง”
เห็นใต้เท้าทั้งสองล้วนไม่เห็นด้วยกับความคิดของตน เหวยเช่อก็หน้าม่อย
นั่งรออย่างแห้งแล้งให้หลักฐานเป็นฝ่ายมาหาก็ใช่ที่ ถังฟั่นจึงเสนอว่าจะไปเดินดูโถงใหญ่ที่จัดงานในตอนนั้น
เหวยเช่อพยายามทำตัวกระฉับกระเฉง เดินนำทางด้วยตนเอง
อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ นายอำเภอเวิงจึงติดตามด้านหลัง
สถานที่นี้ถังฟั่นเคยมาแล้ว ย่อมไม่แปลกตาแต่อย่างใด หลังฉากบังตาก็คือบริเวณที่เขาได้เจอวังกงกงที่ปลอมตัวมาและทำให้เขาตกใจแทบกระโดด ด้านหน้าฉากบังตาเป็นโถงรับแขก กว้างขวางมาก โต๊ะเก้าอี้ของเดิมถูกยกย้ายออกไป จัดวางโต๊ะกลมทำจากไม้หวงฮวาหลีและกลางโต๊ะฝังหินอ่อนไว้สิบแผ่น หนึ่งโต๊ะนั่งแปดคน มีช่องว่างเหลือเฟือ
ทว่ากลางโถงในตอนนั้นนอกจากแขกเหรื่อแล้วยังมีบ่าวไพร่ที่ยกอาหาร สาวใช้ที่ช่วยรินสุรา มีบางคนลุกขึ้นคารวะสุรา เดินกันขวักไขว่ เช่นนี้แล้วต่อให้สถานที่กว้างใหญ่ก็แลดูจอแจแออัดได้เช่นกัน
ถังฟั่นถามเหวยเช่อ “ตอนนั้นเป้าอี้นั่งอยู่โต๊ะใด”
เหวยเช่อก็จำไม่ได้ จึงหันมองพ่อบ้าน
พ่อบ้านที่ติดตามซ้ายขวารีบชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ริมประตู “ตัวนั้นขอรับ”
ถังฟั่นถามต่อ “พวกเขาบอกว่าถูกน้ำแกงลวก เป็นความจริงหรือไม่ ตอนนั้นข้ามีธุระจึงกลับก่อน คล้ายว่าไม่มีอาหารชนิดนี้”
พ่อบ้านตอบ “ขอรับ น้ำแกงนั้นเป็นรายการก่อนสุดท้าย มีชื่อว่าน้ำแกงเป๋าฮื้อมรกต โดยต้องเอาโถสิบกว่าใบตุ๋นไว้ด้วยกัน จากนั้นก็เอาขึ้นโต๊ะในขณะที่ยังร้อนให้แขกทั้งหลาย คฤหาสน์สกุลเหวยไม่มีครัวใหญ่ถึงเพียงนั้น และไม่มีโถมากพอ ดังนั้นอาหารชนิดนี้ต้องทำเสร็จจากร้านให้เรียบร้อยก่อนค่อยส่งมาอีกที”
“ร้านใด ห่างจากที่นี่เท่าใด” ถังฟั่นถาม
“ร้านแห่งนั้นชื่อว่าปี้อวิ๋นเทียน เป็นร้านอาหารที่ใหญ่สุดของอำเภอนี้ ห่างจากที่นี่…ระยะเดินเท้าราวหนึ่งถ้วยชาขอรับ” พ่อบ้านตอบ
“พวกท่านสั่งอาหารชนิดนี้จากร้านอาหาร ต่อให้ทำสดใหม่ แต่จะขึ้นโต๊ะเมื่อไรคงต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้อื่นมีเวลาตระเตรียมกระมัง” ถังฟั่นถาม
พ่อบ้านรับคำ “ท่านกล่าวถูกแล้ว พวกเราแจ้งล่วงหน้าหนึ่งวัน น้ำแกงชนิดนี้ต้องตุ๋นสิบสองชั่วยามเต็ม รสชาติจึงเข้าเนื้อ จนกระทั่งทางนี้นำอาหารรายการที่สามขึ้นโต๊ะก็ส่งคนไปบอกพวกเขาให้เริ่มส่งโถมาได้”
ถังฟั่นกล่าว “ไปกลับก็กินเวลาเท่ากับสองถ้วยชา อาหารมื้อนี้กว่าจะขึ้นโต๊ะครบทั้งหมดอย่างน้อยต้องมีหนึ่งชั่วยาม ซึ่งก็หมายความว่าหลังจากโถถูกส่งมาถึงที่นี่ต้องวางไว้ครึ่งชั่วยามเป็นอย่างต่ำ จากนั้นค่อยนำขึ้นโต๊ะ”
พ่อบ้านพยักหน้า “ขอรับ แต่เพราะอากาศร้อน บวกกับโถมีฝาปิดมิดชิด ดังนั้นจวบจนขึ้นโต๊ะเริ่มกินก็ยังไม่เย็นชืด”
ถังฟั่นกล่าวกับเหวยเช่อ “เวลานั้นนายอำเภอเวิงกลับไปก่อนข้าก้าวหนึ่ง ย่อมไม่ได้ดื่มน้ำแกงแน่นอน ท่านดื่มหรือไม่ ลวกปากหรือไม่”
เหวยเช่อยิ้มแห้งๆ “ตอนนั้นข้าได้ยินข่าวบุตรสาวเกิดเรื่องก็รีบผลุนผลันไปดู จึงมิได้ดื่ม”
พ่อบ้านกล่าวว่า “ข้าน้อยได้ชิมคำหนึ่ง ลวกปากจริงขอรับ”
“ถ้าตอนนั้นน้ำแกงสาดใส่มือท่าน ท่านคิดว่ามือของตนจะพุพองเหมือนกับพวกเขาหรือไม่”
พ่อบ้านรวนเร “เอ่อ…น่าจะเหมือน”
การตอบสนองของนายอำเภอเวิงว่องไวกว่าคนอื่น ได้ยินเข้าจึงถาม “ท่านสงสัยว่าสามคนนั้นใช้บาดแผลน้ำร้อนลวกปกปิดรอยข่วนบนมือใช่หรือไม่”
“ใช่” ถังฟั่นผงกศีรษะ
“แต่พวกเขาทั้งหมดคงมิได้สมคบกันกระมัง” นายอำเภอเวิงขมวดคิ้ว
“ย่อมมิใช่” ถังฟั่นกล่าว
“เช่นนั้นข้าจะแยกสอบสวนพวกเขาทีละคน” นายอำเภอเวิงกล่าว
“ยังไม่ต้องรีบร้อน” ถังฟั่นกล่าว มิได้ชี้แจงมากความ แต่เอ่ยถามพ่อบ้านก่อน “ตอนนี้ที่ร้านปี้อวิ๋นเทียนมีน้ำแกงเป๋าฮื้อมรกตที่ท่านพูดถึงหรือไม่ หรือจำเป็นต้องทำสดๆ”
พ่อบ้านตอบว่า “มีขอรับ ร้านอาหารแห่งนี้มีลูกค้าหนาแน่น ทุกวันต้องตุ๋นไว้สองโถและต้องตุ๋นนานสิบสองชั่วยามเช่นเดียวกัน หากไปช้าก็ไม่มีแล้ว ต้องสั่งจองล่วงหน้า ดังนั้นอาหารชนิดนี้จึงขายดีมาก”
ถังฟั่นกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้ท่านไปที่ร้าน ดูว่ายังมีน้ำแกงชนิดนี้หรือไม่ หากมีก็ซื้อกลับมาโถหนึ่ง ให้ใช้วิธีส่งและเส้นทางเหมือนวันนี้ หนึ่งชั่วยามให้หลังค่อยยกเข้ามา”
พ่อบ้านไม่เข้าใจเจตนาของเขา อดชำเลืองเหวยเช่อมิได้ ฝ่ายหลังรีบสั่ง “ทำตามที่คุณชายถังบอก”
กระทั่งพ่อบ้านเร่งรีบออกไป ถังฟั่นค่อยกล่าวกับพวกเขา “พวกท่านคิดดู โต๊ะใหญ่ถึงเพียงนี้ อาหารที่ส่งขึ้นมาโดยปกติมักวางไว้ตรงกลาง มีเพียงน้ำแกงในโถที่วางไว้ริมโต๊ะเพราะต้องตักให้แขกเดี๋ยวนั้น”
ทั้งสองต่างผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย
“ขณะนั้นวุ่นวายมาก คนทั้งหมดได้ยินเรื่องของเหวยจูเหนียง ล้วนอยากออกไปชมดูเหตุการณ์ จังหวะนั้นไม่ทราบใครชนถูกโถ จากที่เป้าอี้บอกเมื่อครู่ น้ำแกงหกไปทางฝั่งตรงข้ามของเขา จากนั้นเขายื่นมือไปจับถึงได้โดนลวก ก็แสดงว่าโถต้องถูกข้อศอกเขาชนจนล้ม และปากโถหันไปทางไฉเจ๋อกับหวังต๋าซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะพอดี”
เขาวาดมือประกอบคำพูด นายอำเภอเวิงกับเหวยเช่อพอดูก็เข้าใจทันที
ถังฟั่นกล่าว “สมมติหนึ่งในสามคนคือฆาตกร และคนคนนี้คือเป้าอี้ด้วย เช่นนั้นเขาก็เจตนาชนโถใบนี้ให้ล้ม แต่หากฆาตกรคือหวังต๋าหรือไฉเจ๋อคนใดคนหนึ่ง เขาย่อมไม่มีทางคำนวณได้ว่าเป้าอี้จะชนถูกโถน้ำแกง”
นายอำเภอเวิงกล่าวเสริม “ดังนั้นไม่ว่าสถานการณ์ใด เป้าอี้ล้วนกล่าวเท็จทั้งสิ้น!”
ถังฟั่นพยักหน้า “ถูกต้อง! แต่พวกเราตอนนี้ยังต้องพิสูจน์อีกเรื่องหนึ่ง หากสามารถยืนยันได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็ง่ายแล้ว”
เหวยเช่อยังมึนงง นายอำเภอเวิงกลับแจ่มแจ้ง เขาลูบเคราพลางยิ้ม “มิผิด!”
เขาไม่ใช่คนนิสัยอิจฉาริษยา หนำซ้ำถังฟั่นเองก็รู้จักกาลเทศะ มิได้ทำตัวเด่นกว่า ยังกำนัลผลงานให้เขา เขาจึงรู้สึกประทับใจในตัวถังฟั่นมาก จึงไม่ตระหนี่วาจาชื่นชม “น้องถังมีความสามารถแท้จริง ราชสำนักไม่ใช้สอยขุนนางเยี่ยงท่านนับเป็นความสูญเสียของพวกเขาจริงๆ”
คำว่า ‘พวกเขา’ ในที่นี้หมายถึงใคร นายอำเภอเวิงมิได้กล่าวชัด แต่ต่างฝ่ายล้วนทราบ
ถังฟั่นส่ายหน้า “มิกล้ารับคำชมของพี่เวิง ข้าเองก็ทำได้แค่สืบคดีเท่านั้น ไม่รู้จักวิถีการเป็นขุนนาง รู้จักแต่สืบคดีจะมีประโยชน์อันใด”
ประโยคนี้ของเขาทำให้นายอำเภอเวิงพลอยคิดถึงเส้นทางรับราชการอันขรุขระของตนเอง พลันอดยิ้มด้วยความหดหู่ใจมิได้
เหวยเช่อเห็นพวกเขาถกวาทะคำคมกันจึงสอดปากถาม “แล้วการตายของบุตรชายข้าเล่า ใต้เท้าทั้งสองใช่มีเบาะแสหรือไม่”
“หากพวกเราสันนิษฐานไม่ผิด การตายของหนึ่งบุตรหนึ่งธิดาของท่านน่าจะไม่ใช่ฆาตกรคนเดียวกัน” นายอำเภอเวิงกล่าว
เหวยเช่ออุทานดังอา สีหน้าแตกตื่นตกใจ “นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร”
คนเป็นพ่อค้า สุภาพอ่อนน้อมคือภารกิจอันดับหนึ่ง แต่ต่อให้พ่อค้าที่ละมุนละม่อมปานใด ในสนามการค้าแล้วย่อมมีคู่แข่งและคู่แค้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ต่างจากพวกถังฟั่นที่ไม่เคยขาดศัตรูในแวดวงขุนนาง
แต่ทว่าศัตรูที่ความแค้นลึกล้ำถึงขั้นสังหารคนในครอบครัวผู้อื่นนับว่าน้อยยิ่งกว่าน้อย
ฆ่าคนต้องประหาร นี่เป็นกฎที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์ฉิน แม้ในกฎข้อนั้นยังมีข้อจำกัดและความยืดหยุ่นนานาชนิด แต่ต่อให้เป็นสามัญชนเดินดินก็ล้วนทราบว่าการฆ่าคนตายหาใช่เรื่องราวเล็กน้อยไม่
นายอำเภอเวิงกล่าวว่า “ท่านลองคิดดูดีๆ นอกจากหวังต๋าแล้วท่านยังล่วงเกินผู้ใดบ้าง”
เหวยเช่อหน้าเศร้า “คนที่เคยล่วงเกินย่อมมีไม่น้อย ทำมาค้าขาย ฝ่ายหนึ่งกำไร ฝ่ายหนึ่งย่อมต้องขาดทุน แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครฆ่าคนเพราะเหตุนี้! อีกอย่างบุตรสาวข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ หากจะล้างแค้น ไยไม่พุ่งเป้ามาที่ข้า”
นายอำเภอเวิงกับถังฟั่นต่างมิได้เอ่ยคำ พวกเขารับราชการมาหลายปี พบเห็นคดีสยดสยองกว่านี้มานักต่อนัก ดังนั้นแม้สะเทือนใจ ทว่าก็ไม่เทียบเท่าเหวยเช่อ
ระหว่างสนทนา พ่อบ้านเดินเข้ามา ด้านหลังมีบ่าวชายประคองโถใบหนึ่ง
“ใต้เท้า ในโถนี้ก็คือน้ำแกงเป๋าฮื้อมรกต ได้ทำตามที่ท่านสั่ง ยกขึ้นจากเตาวางทิ้งไว้หนึ่งชั่วยามค่อยนำมาที่นี่ขอรับ”
นายอำเภอเวิงสั่งว่า “วางไว้บนโต๊ะ จากนั้นหาคนมาคนหนึ่ง เปิดฝาโถแล้วเทบนมือ”
“หา?” พ่อบ้านหน้าตาแตกตื่น ไม่เข้าใจว่านี่คือเรื่องอันใด
ถังฟั่นทางด้านข้างจึงเอ่ย “เจ้าไปหาบ่าวที่ยินดีทำเช่นนี้มาคนหนึ่ง เสร็จเรื่องแล้วมีรางวัลให้เขา”
เหวยเช่อก็เปิดปาก “ตกรางวัลสิบตำลึง”
นี่มิใช่จำนวนเล็กน้อย บ่าวชายที่มาพร้อมกับพ่อบ้านพลันดวงตาเป็นประกาย ขึ้นหน้ากล่าวว่า “นายท่าน บ่าวใช้ได้หรือไม่ขอรับ”
เหวยเช่อหันมองนายอำเภอเวิง
นายอำเภอเวิงผงกศีรษะ “ได้ เจ้าเทให้พวกเราดู ห้ามหดมือหลบ พวกเราจะดูว่ามือเจ้าโดนลวกแล้วเป็นอย่างไร”
บ่าวคนนั้นพึมพำในใจ ใต้เท้าท่านนี้สงสัยสติวิปลาส แต่เงินทองยั่วใจ เพื่อสิบตำลึงนั้นเขาอย่างไรก็ขอสู้ตายแล้ว
พ่อบ้านเปิดฝาโถทันที แล้วเทลงบนมือทั้งสองของบ่าวชายที่ยื่นออกมา
น้ำแกงร้อนควันกรุ่นราดรดบนมือ ถึงเตรียมใจล่วงหน้า บ่าวชายคนนั้นยังคงอดร้องออกมามิได้ ใบหน้าเหยเก
น้ำแกงหกลงพื้น กลิ่นหอมของน้ำแกงเป๋าฮื้อมรกตกระจายฟุ้งทันใด
ชั่วครู่ให้หลังนายอำเภอเวิงค่อยอนุญาตให้บ่าวคนนั้นไปล้างมือ แต่มิให้ทายา เพียงกำชับว่าล้างเสร็จให้กลับมา
จวบจนพ่อบ้านพาคนกลับมา พวกถังฟั่นต่างมองดูมือของบ่าวชายที่ยื่นออกมา
เพียงเห็นผิวหนังส่วนที่โดนน้ำแกงเมื่อครู่นี้บวมแดงเป็นปื้น
ทว่ากลับมิได้สาหัสถึงระดับเดียวกับพวกหวังต๋า
เหวยเช่อเห็นเข้าก็ร้องดังอา “นี่มันเรื่องอะไรกัน ไยบาดแผลของพวกนั้นจึงต่างจากของเหล่าต่ง หรือเป็นเพราะเหล่าต่งเนื้อหนาหนังหยาบ?”
นายอำเภอเวิงให้พ่อบ้านพาบ่าวชายที่ถูกเรียกว่าเหล่าต่งไปใส่ยา จากนั้นไขข้อข้องใจของเหวยเช่อ “มิใช่เขาหนังหนา แต่น้ำแกงที่ลวกพวกหวังต๋าทั้งสามคนโถนั้นเป็นโถที่นำไปเพิ่มความร้อนอีกครั้งหลังจากส่งมา”
เหวยเช่อกระจ่างแล้ว “ดังนั้นเมื่อครู่คุณชายถังจึงให้พ่อบ้านแสดงเหตุการณ์การส่งน้ำแกงในวันนี้อีกรอบหนึ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อพิสูจน์ว่าขณะที่โถน้ำแกงเหล่านั้นขึ้นโต๊ะ แม้ยังร้อนลวกปาก หากก็ไม่รุนแรงพอที่จะลวกจนเกิดบาดแผลเช่นนั้นได้”
นายอำเภอเวิงผงกศีรษะ “มิผิด ดังนั้นขอเพียงไปสืบหาคนในโรงครัวที่เพิ่มความร้อนให้โถใบนั้น ก็สามารถคลำไปตามเบาะแสนี้ จนกระทั่งได้ตัวฆาตกร”
ที่สามารถช่วยได้ก็ช่วยแล้ว เรื่องราวถัดจากนั้นจึงไม่เกี่ยวข้องอันใดกับถังฟั่น
เขาเอ่ยปฏิเสธคำเชิญชวนให้ร่วมสอบสวนของนายอำเภอเวิง แล้วพาเฉียนซันเอ๋อร์กลับคฤหาสน์สกุลเฮ่อ
วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน เวลานี้เข้าสู่ยามสนธยาแล้ว ถังฟั่นยังไม่ได้กินข้าว รู้สึกหิวจนไส้กิ่ว ตอนนี้เลยเวลาอาหารมาแล้ว ให้บ่าวในบ้านทำให้ตอนนี้คงไม่เหมาะ ทั้งสองจึงจะหาอะไรง่ายๆ กินจากข้างนอก
ไม่ทันคิดว่าอำเภอเซียงเหอไม่ได้เจริญเท่าเมืองหลวง พอตกค่ำ แม้แต่ร้านอาหารก็ปิดแล้ว นอกจากหอคณิกาเหล่านั้นมีสักกี่ร้านที่ยังเปิดทำการค้าอยู่
เฉียนซันเอ๋อร์หัวเราะคิก เสนอให้ไปกินข้าวที่หอคณิกา จะได้ถือโอกาสนี้คลี่คลายปัญหาชีวิตไปพร้อมกันทีเดียวเลย กลับโดนถังฟั่นตบท้ายทอยทีหนึ่ง คนถึงกับปากเบะ ไม่กล้าส่งเสียงอีก
ถังฟั่นเตือนเขา “ถ้าอยากติดตามข้าก็อย่าคิดเรื่องพวกนี้ วันหลังหาภรรยาสักคน ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข!”
เฉียนซันเอ๋อร์ปั้นหน้าน้อยใจ เขาแค่มีใจแต่หามีความกล้าไม่ จึงเผยสีหน้าเจ็บปวดต่อเจ้านายที่กำลังใช้สายตาเหมือนมองคนหื่นกาม “ข้าสาบานได้ แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยไปสถานที่เช่นนั้น!”
ถังฟั่นถลึงตา “เจ้าสาบานต่อข้ามีประโยชน์อันใด ไปสาบานต่อภรรยาในอนาคตของเจ้าไป!”
เฉียนซันเอ๋อร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใต้เท้า ท่านเป็นคนกว้างขวาง แนะนำให้ข้าสักคนเป็นไร ข้าเชื่อสายตาท่าน”
“ถ้าข้าหาให้เจ้าต้องเอานะ”
“แน่นอน!”
“เช่นนั้นก็ดี รอกลับเมืองหลวงก่อนข้าจะพาเจ้าไปสู่ขอเถ้าแก่เนี้ยร้านขายเล่าปิ่ง* ตรงปากตรอกฝั่งตะวันตก”
เฉียนซันเอ๋อร์ร้องเสียงหลง “โธ่ใต้เท้า! สตรีนั่นอายุสี่สิบเข้าไปแล้ว ซ้ำยังอ้วนกลมเป็นลูกหนัง ใต้เท้าจะใจดำส่งลูกแกะอย่างข้าเข้าปากเสือเชียวหรือ”
ได้ยินเขาพรรณนาตนเองเป็นแกะ ถังฟั่นเกือบหลุดขำออกมา “เจ้าพูดเองมิใช่หรือ ทุกครั้งที่ไปซื้อเล่าปิ่งนางต้องเล่นหูเล่นตากับเจ้าตลอด”
เฉียนซันเอ๋อร์ทำเสียงหน่าย “นั่นเป็นเพราะนางขายเล่าปิ่งอยู่ตรงนั้นทุกวัน ไม่เคยเห็นชายรูปงามเยี่ยงข้า ดังนั้นจึงเกิดจิตเสน่หา แต่จะให้ข้าส่งตนเองเข้าสู่อุ้งมือมารเพราะความเห็นใจนางไม่ได้หรอก”
“ไปๆๆ นึกว่าตนเองรูปงามเสียเต็มประดา ออกไปห่างๆ อย่ามาใกล้ข้า”
ทั้งสองเดินกลับมา พบว่าหน้าประตูเรือนไม้ไผ่มีเสียงเอะอะมะเทิ่งมาแต่ไกล
ถังฟั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบสืบเท้าขึ้นหน้า
ต้นเหตุของความอึกทึกคือนายท่านรองของสกุลเฮ่อ
เฮ่อหลินกับถังอวี๋
พูดให้ชัดก็คือเฮ่อหลินดื่มสุราจนเมามาย กำลังพาลพาโลใส่ถังอวี๋
เบื้องหน้าถังอวี๋มีเหยียนหลี่กับกงซุนเยี่ยนขวางอยู่ ด้วยฐานะของเฮ่อหลิน พวกเขาจึงไม่กล้าลงมือโดยตรง แต่มีพวกเขาอยู่ เฮ่อหลินเองก็หมดปัญญาเข้าใกล้ถังอวี๋
องครักษ์เสื้อแพรสองคนใช้สายตาเอือมระอาจ้องมองเฮ่อหลิน ส่วนเฮ่อหลินที่โดนสายตาเช่นนี้จ้องมองยิ่งทำให้โมโหฟาดหัวฟาดหาง
สำหรับสกุลเฮ่อ และยิ่งสำหรับเฮ่อหลินแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มากมายจริงๆ
เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองไปดื่มสุรางานเลี้ยงอายุครบเดือนบ้านคนอื่นแท้ๆ กลับดื่มจนได้เรื่องมากองใหญ่เช่นนี้
สถานการณ์ในตอนนั้น สายตาคลางแคลงทุกคู่ล้วนพุ่งมาที่ร่างตน ส่วนเฮ่อเฉิงกลับไม่เอ่ยปากพูดแก้ตัวไป เฮ่อหลินรู้สึกว่าถ้าเป็นคนอื่นคงคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แน่ และเขาก็ไม่รู้สึกว่าตนเองผิดอันใดที่ลงมือทุบตีบุตรชาย
แต่ถังฟั่นกลับจะเสนอหน้าออกมาให้ได้ เริ่มจากยกองครักษ์เสื้อแพรและท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อมากดดันตน ต่อหน้าธารกำนัลน้องภรรยากลับไม่แยกแยะสูงต่ำ ติเตียนพี่เขยอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งยังให้ท้ายลูกสมุน นี่เป็นเรื่องที่เฮ่อหลินซึ่งรักหน้าตามาชั่วชีวิตมิอาจทานทนได้
หลังออกจากคฤหาสน์สกุลเหวยด้วยโทสะคุกรุ่นเขาก็ไปดื่มสุรา และเผอิญเจอะเจอสหายหลายคนที่ร่วมกันต่อโคลงร่ายกลอนเป็นประจำ คนเหล่านั้นล้วนได้ยินข่าวสกุลเหวยจึงเอ่ยวาจาเยาะหยันทำนองว่าภรรยาไม่อยู่ในโอวาท โดนพี่น้องตนเองข่มยังพอทน ตอนนี้แม้แต่น้องภรรยาก็ยังดูแคลน และยังกระเซ้าอีกว่าเขาต้องกลับไปนั่งยองๆ ซักผ้าด้วยหรือไม่
ถ้อยคำเหล่านี้สำหรับเฮ่อหลินแล้วไม่ต่างจากราดน้ำมันบนกองไฟ คนดื่มสุรามักใจกล้าบ้าบิ่น เขาจึงไม่มีความกริ่งเกรงต่อองครักษ์เสื้อแพร ในใจมีเพียงความคิดหนึ่งเดียว…คิดบัญชีกับถังอวี๋!
เฮ่อหลินไม่มีทางใคร่ครวญในมุมของถังอวี๋ และไม่มีทางเข้าอกเข้าใจความยากลำบากหลายปีมานี้ของถังอวี๋เช่นกัน เขาเห็นแค่ว่าถังอวี๋มีน้องชายหนุนหลังจึงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา หลังจากวันนี้ไปตนอยู่ในคฤหาสน์สกุลเฮ่อ อยู่ในอำเภอเซียงเหอ ยังจะมีศักดิ์ศรีอันใด
ทั้งหมดนี้จึงนำมาซึ่งภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าถังฟั่น
ถังอวี๋เห็นท้องฟ้ามืดแล้ว เดิมทีเตรียมจะกลับเรือนพักของตนเอง แต่นางเป็นห่วงเฮ่อเฉิง กลัวว่าหลังกลับไปจะโดนเฮ่อหลินหาข้ออ้างทุบตีอีก จึงตั้งใจให้บุตรชายพักในเรือนไม้ไผ่ ให้ถังฟั่นช่วยดูแลคืนหนึ่ง แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังคงไม่เห็นแม้เงาถังฟั่น นางได้แต่กำชับเฮ่อเฉิงให้ตั้งใจท่องตำรา อย่าวิ่งเล่นเพ่นพ่าน จากนั้นจึงเดินออกมา
ไม่คาดว่าเพิ่งถึงหน้าประตูก็เจอเฮ่อหลินที่กลับมาด้วยอาการเมามาย
เหยียนหลี่กับกงซุนเยี่ยนขมวดคิ้วจับจ้องเฮ่อหลินที่เริ่มลงมือลงไม้เพราะฤทธิ์สุรา พวกเขากำลังใคร่ครวญว่าจะกำราบอีกฝ่ายสักยกดีหรือไม่ แต่อย่างไรเฮ่อหลินก็เป็นสามีของถังอวี๋ เป็นพี่เขยของถังฟั่น ดังนั้นทั้งสองตัดสินใจไม่ถูก ได้แต่เฝ้ารอถังฟั่นกลับมา
เห็นถังฟั่นปรากฏตัวเบื้องหน้า ทั้งสองต่างยินดียิ่ง “คุณชาย!”
เฮ่อหลินไม่ทราบดื่มสุราจนสมองเลอะเลือนหรือด้วยสาเหตุใด ตวาดใส่ถังอวี๋โดยไม่แม้แต่เหลียวหน้ากลับมา “นับแต่เจ้าแต่งเข้าสกุลเฮ่อ ข้ามีเรื่องใดผิดต่อเจ้า! เพื่อเจ้าแล้ว ข้าไม่ติดสุรานารี แม้แต่เฮ่อเซวียนก็ยังมีอนุ ข้ากลับไม่มีเลยสักคน คนอื่นล้วนบอกว่าเจ้าอิจฉาริษยา ข้าก็ช่วยพูดแก้ตัวแทนเจ้าตลอด แล้วเจ้าเล่า เจ้าปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงไร มีภรรยาที่ใดให้น้องชายตนเองมาทำให้สามีเสียหน้าต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้บ้าง สกุลเฮ่อเคยปฏิบัติต่อเจ้าขาดตกบกพร่องหรือ อย่านึกว่ามีน้องชายหนุนหลังก็จะทำอะไรตามอำเภอใจได้! หย่าโดยสมัครใจเจ้าอย่าได้หวัง ข้าจะถอดถอน…”
“หยุดปาก!” เสียงตวาดดังก้อง
ไม่ใช่ถังฟั่น เขาไม่มีพลังเสียงที่ดุดันปานนี้
ทุกคนหันมองต้นเสียง เห็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อถือไม้เท้าก้าวฉับๆ เข้ามา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เงื้อมือสูง กำนัลเฮ่อหลินหนึ่งฉาด
ภรรยาที่ตามหลังมาตกใจผงะ เห็นท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อทำท่าจะตบอีก นางรีบร้องห้าม “มีอันใดค่อยพูดค่อยจา”
เรือนไม้ไผ่เดิมทีก็อยู่ติดกับคฤหาสน์สกุลเฮ่อ เฮ่อหลินเอะอะอาละวาดเช่นนี้ คนสกุลเฮ่อย่อมล่วงรู้อย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่ถังฟั่นยืนอยู่ทางหนึ่งมิได้เข้าไปเพราะอยากรอฟังว่าเฮ่อหลินจะกล่าวอันใด เผื่อไว้ใช้เป็นข้อต่อรองได้
คิดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อจะรุดมารวดเร็วและประจวบเหมาะปานนี้
เฮ่อหลินโดนตบหนึ่งฉาดจนมึนงง สีหน้าตะลึงลานและพูดไม่ออกแล้ว
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อยังอยากจะซ้ำอีกฉาด หากก็โดนคนยับยั้งไว้
คนที่ยับยั้งเขาก็คือถังฟั่น
ถังฟั่นกล่าวว่า “ท่านลุง ตบตีคนไม่อาจแก้ปัญหา ในเมื่อพี่เขยมาถึงจุดที่อยากจะหย่ากับพี่สาวข้า ข้าคิดว่าพวกเรายังคงนั่งลงเจรจากันด้วยดีเถอะ”
แม้ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อจะไม่เข้าใจถังฟั่น แต่ก็รู้สึกว่าท่าทีของเขาเฉื่อยชาเกินไป และยิ่งสงบก็ยิ่งมิใช่เรื่องดี
“หลานชาย ข้าแค่จะบันดาลโทสะแทนเจ้า เจ้าลูกชั่วนี่สมควรโดนสั่งสอนเสียบ้าง” ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อสีหน้าโกรธกริ้ว “เจ้าอย่าห้ามข้า ข้าจะตีขามันให้หัก!”
ถังฟั่นค่อนขอดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามีโทสะอันใดให้ผู้อื่นระบายแทนเล่า พี่สาวข้าต่างหากที่ควรมีโทสะ”
อากัปกิริยาของท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อชะงักเล็กน้อย มองถังอวี๋แล้วมองเฮ่อหลินที่เมามายแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้าถอนหายใจ “เวรกรรม! เวรกรรม!”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามีวาจาจะกล่าว” ถังอวี๋จู่ๆ ก็เอ่ยปากหลังจากนิ่งเงียบมาตลอด
สีหน้านางเกือบเย็นชา เมื่อครู่ขณะเฮ่อหลินโหวกเหวกโวยวายนางก็มิได้เผยสีหน้าประหลาดใจหรือเศร้าใจอันใดออกมา ยามนี้กลับยิ่งเงียบขรึมเป็นพิเศษ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฮ่อกล่าวว่า “มีวาจาอันใด เข้าไปพูดในเรือนเถอะ”
“พรุ่งนี้ค่อยพูดดีหรือไม่ วันนี้พี่หญิงกับเจ้าเจ็ดก็พักอยู่ที่เรือนไม้ไผ่แล้วกัน” ถังฟั่นกลับเอ่ยขึ้น
ท่านผู้เฒ่าผงกศีรษะ เขาก็ไม่อยากยืนอยู่ด้านนอกกลางค่ำกลางคืนเพราะเรื่องในบ้านที่ยุ่งเหยิงจนแก้ไม่ตกนี้ บวกกับเรื่องของสกุลเหวยที่เพิ่งประสบมา วันนี้ทุกคนต่างอ่อนล้า มีก็แต่เฮ่อหลินที่เอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูโดยไม่สนใจอันใด
เขาสั่งคนคุมตัวเฮ่อหลินและยืนดูด้วยตนเอง ครั้นเห็นเฮ่อหลินยังขัดขืนจึงให้คนนำเชือกมามัดกลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเฮ่อกำชับถังอวี๋ให้พักผ่อนดีๆ และบอกว่าพรุ่งนี้ตนจะมาเยี่ยมหลานอีกครั้ง ไม่ลืมสั่งให้บ่าวไพร่ปรนนิบัติรับใช้ให้ดี จากนั้นค่อยผละไป
เมื่อคนเหล่านั้นลับตา ถังฟั่นก็เดินเข้าด้านในพร้อมถังอวี๋ เห็นว่าปราศจากคนนอกแล้วถังอวี๋จึงถลึงตาใส่ถังฟั่น “เจ้าน่าจะให้ข้าเอาความเจ็บช้ำหลายปีประเคนกลับไปให้พวกเขา ข้าอุตส่าห์สะสมโทสะเต็มท้อง ใคร่จะก่นด่าให้สาสมใจ กลับถูกเจ้าทำลายโอกาสเสียแล้ว”
ถังอวี๋ในตอนนี้ค่อยมีบุคลิกแห่งคุณหนูใหญ่สกุลถังในวันวานขึ้นมาบ้าง
แต่งเป็นภรรยาผู้อื่นมานานปี เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็แทบลืมไปแล้วว่าตนเองเคยเป็นเช่นไร
ถังฟั่นตัดพ้อ “ก็ท้องข้าหิวนี่นา กินอิ่มแล้วถึงจะมีแรงวิวาท เกิดถกเถียงอยู่ดีๆ แล้วเป็นลมเพราะหิวจัดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ถังอวี๋ทั้งขำทั้งเอ็นดู แม้แต่ความคับข้องและเจ็บช้ำเมื่อครู่นี้ก็โยนทิ้งไปสิ้น
“หรือหลายปีมานี้เจ้าอยู่ข้างนอกล้วนไม่เคยดูแลตนเองเลย ไปนั่งรอข้างใน ข้าจะไปต้มบะหมี่!”
“พี่หญิง ขอเพิ่มไข่ดาวหนึ่งฟอง” ถังฟั่นยิ้มปริ่ม เขาเหลือบเห็นเฉียนซันเอ๋อร์ที่น้ำตาคลอเบ้าอยู่ด้านข้างจึงเสริมอีกคำอย่างใจดี “พี่หญิง เพิ่มอีกชามหนึ่ง ซันเอ๋อร์ก็ยังไม่ได้กิน”
เพียงให้แสงสว่างเล็กน้อยเฉียนซันเอ๋อร์ก็จะเปล่งประกาย พลันฉีกยิ้มกว้าง “ข้าก็ขอไข่ดาวหนึ่งฟองด้วยขอรับ”
ถังฟั่นโต้กลับทันที “ไปทอดเอง!”
รุ่งสางวันถัดมา ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อส่งคนมาเชิญถังอวี๋ถังฟั่นสองพี่น้องไป
สถานที่เจรจาอยู่ในโถงกลางของเรือนหลักของคฤหาสน์สกุลเฮ่อ
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อและภรรยานั่งตำแหน่งประธาน ด้านล่างจัดวางเก้าอี้สองแถว
ถังฟั่นสองพี่น้องนั่งอยู่ฟากหนึ่ง เฮ่อหลินนั่งอีกฟากหนึ่ง
แบ่งฝ่ายชัดเจน
เฮ่อหลินสีหน้าเครียดขรึม ใบหน้ายังมึนเมาไม่สร่าง แม้เขานั่งอยู่ตรงนี้ สายตากลับไม่แลถังอวี๋สักนิด
ถังอวี๋สีหน้าเรียบเฉย คล้ายก็มิได้รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของเฮ่อหลินเช่นกัน นางก้มหน้าเล็กน้อย สายตากลับตกลงบนมือที่วางซ้อนกันอยู่บนท้องน้อย
หลังเหตุการณ์ที่คฤหาสน์สกุลเหวย บวกกับการอาละวาดที่หน้าประตูเรือนไม้ไผ่ของเฮ่อหลินเมื่อคืน เฮ่ออิงและสวี่ซื่อต่างล้วนไม่แช่มชื่นนัก
สกุลเหวยนั่นแล้วไปเถอะ แม้มีผู้เสียชีวิต แต่พวกเขาเป็นแค่ญาติเกี่ยวดองของสกุลเฮ่อ อย่างไรก็ห่างจากบ้านนี้ชั้นหนึ่ง
แต่เฮ่อหลินบุตรชายคนนี้กลับสร้างความปวดเศียรให้เฮ่ออิงเป็นอันมาก
แม้ในบรรดาบุตรชายสามคน พ่อแม่ต่างมีลูกรัก แต่กล่าวตามสัตย์พวกเขาก็มิได้ขาดตกบกพร่องต่อคนใดเป็นพิเศษ เพียงแต่เฮ่อหลินไม่รักดีเอง หลายปีนี้สอบไม่ผ่าน เมื่อไร้ความสำเร็จก็เริ่มบ่นฟ้าโทษคน ถึงขนาดตัดพ้อต่อว่าบิดามารดาที่แต่งภรรยาซึ่งไร้บ้านเดิมให้เขา มิใช่เพียงครั้งเดียวที่พูดกับคนนอกว่าหากเขาแต่งภรรยาที่มาจากตระกูลขุนนางใหญ่โตเฉกเช่นพี่ใหญ่เฮ่ออี้ หรือไม่ก็ภรรยาที่มาจากตระกูลคหบดีเหมือนเจ้าสามเฮ่อเซวียน อย่างน้อยคงพอให้ความเกื้อกูลสามีได้บ้าง
แต่เฮ่ออิงจำได้แม่นยำ เมื่อครั้งแต่งเหวยซื่อเข้าสกุลเฮ่อ เฮ่อหลินยังรู้สึกว่าเหวยซื่อเป็นบุตรีคหบดี แลดูไม่ค่อยมีเกียรตินัก ตรงข้ามกับถังอวี๋ที่มาจากตระกูลผู้ดี ดังนั้นจึงพึงใจอย่างที่สุด
ปรากฏว่าเวลาผันผ่าน ความพึงใจในวันวานกลับกลายเป็นความไม่พอใจในวันนี้
พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นเป็นเพราะตนเองล้มเหลวกลับไม่ยอมรับ เอาแต่จ้องหาสาเหตุจากตัวผู้อื่น
บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เฮ่ออิงจึงผิดหวังต่อบุตรชายคนนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ถังฟั่นเอ่ยปากก่อน “ท่านลุง ข้ายังจำได้ ก่อนพี่สาวข้าแต่งเข้าสกุลเฮ่อ ตอนนั้นบิดามารดาข้าล้วนล่วงลับไปแล้ว ข้ากับพี่สาวต่างรู้สึกไม่คู่ควรกับสกุลเฮ่อ หวังว่าจะสามารถยกเลิกการแต่งงานได้ ท่านกลับคัดค้านเสียงแข็ง ยืนกรานจะทำตามสัญญา การรักษาสัจจะเช่นนี้ทำให้หลานรู้สึกเลื่อมใสไม่คลายจริงๆ”
เฮ่ออิงส่ายหน้า “ในเมื่อเคยตกลงสัญญาหมั้นหมายเอาไว้ก็สมควรปฏิบัติตามนั้น ผู้ไร้สัจจะหามีที่ยืนไม่ สกุลเฮ่อทำสิ่งที่พึงกระทำ คำยกย่องของเจ้านี้เราผู้เฒ่ามิอาจรับไว้จริงๆ”
ถังฟั่นเอ่ยชืดๆ “รับได้แน่นอน! ดังคำว่ายามรุ่งเรืองผู้คนเข้าหา ยามตกต่ำผู้คนตีจาก ยุคสมัยนี้ผู้คนเพียงรู้จักสอพลอผู้มีอำนาจ ไหนเลยยังรู้จักรักษาคำมั่น การกระทำของท่านลุง ข้ากับพี่สาวต่างสำนึกบุญคุณล้นพ้น ทว่าหลานมีเรื่องหนึ่งไม่กระจ่าง ใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านลุงและท่านป้า”
เฮ่ออิงพอจะอนุมานได้ว่าเขาต้องการกล่าวอันใด แม้ใจไม่ยินดี หากก็ไม่อาจไม่พูดว่า “หลานชายเชิญกล่าว”
“เรียนถามท่านลุงท่านป้า หลังจากพี่สาวข้าแต่งเข้าสกุลเฮ่อได้เคยฝ่าฝืนหลักศีลธรรมจรรยาของสตรีหรือไม่”
เฮ่ออิงรู้แก่ใจว่าเขาใคร่กล่าวอันใด กลับไม่อาจไม่ตอบว่า “ไม่เคย”
“สิบกว่าปีมานี้ พี่เขยสอบหลายครั้งไม่ผ่าน อารมณ์หงุดหงิดวุ่นวายใจ ได้รับการหยามหมิ่นดูแคลน พี่สาวข้าไม่เพียงไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ตรงข้ามกลับปฏิบัติต่อเขาด้วยความอ่อนโยนเอาใจใส่เฉกเช่นที่ผ่านมา ใช่หรือไม่”
เขาไม่มองเฮ่อหลินสักแวบ แต่ต่อให้เป็นเฮ่อหลินก็ไม่อาจลืมตาพูดจาส่งเดชว่ามิใช่
เฮ่ออิงระบายลมหายใจทีหนึ่ง “ใช่ สะใภ้ใหญ่ติดตามสามีไปรับราชการต่างเมือง สะใภ้สามก็เพิ่งแต่งเข้ามาภายหลัง ก่อนหน้านั้นหลายปี ดีที่สะใภ้รองมีความกตัญญู ปรนนิบัติบิดามารดา ทั้งยังให้กำเนิดเจ้าเจ็ด นางนับว่ามีคุณงามความดีต่อสกุลเฮ่อ”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “ขอบคุณวาจาเที่ยงธรรมของท่านลุง มีถ้อยคำเหล่านี้ของท่าน การอดทนต่อความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาหลายปีของพี่สาวข้าก็นับว่ามิได้สูญเปล่า เมื่อคืนพี่เขยบอกว่าจะหย่าภรรยา ไม่ทราบท่านลุงคิดเห็นเช่นไร”
เฮ่ออิงไม่แม้แต่จะคิดก็โพล่งขึ้น “วาจาเมามายของเจ้าลูกชั่ว ไหนเลยถือเป็นจริงจังได้!”
ถังฟั่นส่ายหน้า “วาจาหลังเมามายมักจริงแท้ ตามกฎหมายต้าหมิง การถอดถอนภรรยานั้น ฝ่ายหญิงต้องมีพฤติกรรมหนึ่งใดใน ‘กฎเจ็ดออก’ ก็คือไม่กตัญญูต่อบิดามารดา ไร้บุตรธิดา คบชู้สู่ชาย อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง วาจาพร่ำเพรื่อ ลักขโมย ขอเรียนถามพี่เขย พี่สาวข้าประพฤติผิดประการใด”
เฮ่อหลินสองตาแดงก่ำ ทว่าอย่าได้เข้าใจผิด นี่มิใช่ร่ำไห้ แต่ยังไม่สร่างเมาดี
เขาคล้ายมิได้รู้สึกละอายต่อกิริยาวาจาเมื่อคืนของตนเองสักนิด กลับหัวเราะเสียงเย็น “พี่สาวเจ้าแต่งเข้าสกุลเฮ่อหลายปี เจ้าเคยมาเยี่ยมกี่หน เวลานี้มีองครักษ์เสื้อแพรหนุนหลังก็เดินอาดๆ เข้ามาอวดเบ่งแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องของข้ากับนางก็มิใช่กงการอันใดของเจ้า เจ้านับเป็นตัวอะไร!”
“น้องชายข้ามิใช่ตัวอะไร เขาเป็นคน! ท่านต่างหากที่เป็นตัวอะไร!” ได้ยินเฮ่อหลินก่นด่า ถังอวี๋ก็หมดความอดทน ไม่รอถังฟั่นเปิดปากก็ชิงสวนคำกลับไป
ปกตินางเป็นคนอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เคยกราดเกรี้ยวหน้าดำหน้าแดง ต่อให้โดนสามีเย็นชาก็เพียงกล้ำกลืนไว้ในใจ ดังนั้นคนสกุลเฮ่อจึงไม่เคยเห็นท่าทางโกรธกริ้วรุนแรงของนางมาก่อน พริบตานั้นทุกคนล้วนตะลึงงัน รวมทั้งเฮ่อหลินด้วย
แต่ในสายตาถังฟั่น นี่ต่างหากคือพี่สาวที่เขาคุ้นเคย
ก่อนออกเรือนคุณหนูใหญ่สกุลถังเป็นคนคล่องแคล่วปานใด หลังแต่งเข้าสกุลเฮ่อ การเป็นภรรยากับเป็นบุตรีนั้นย่อมแตกต่าง นางไม่อาจไม่ซ่อนคมงำประกายที่มีทั้งหมด จวบจนวันนี้ข่มจนเหลือจะข่ม เมื่อครู่จึงกลับสู่นิสัยเดิม
แต่ถังฟั่นทราบ หากตนมิได้ปรากฏตัว ไม่ทราบถังอวี๋ต้องอดกลั้นอีกนานเท่าใด
คิดถึงตรงนี้เขาอดตำหนิตนเองในใจมิได้
สีหน้าของถังอวี๋เย็นชายิ่ง หลังถอดหน้ากากที่เคยใส่ต่อหน้าผู้อื่นมาตลอด นางในสายตาของคนสกุลเฮ่อก็เปลี่ยนเป็นแปลกหน้าขึ้นมา
“สกุลถังเข้มงวดกวดขัน แต่เล็กก็อบรมบุตรีด้วยสี่ตำรา* ข้าแม้ไม่อาจนับว่าประเสริฐเลิศล้ำทุกด้าน แต่ตำราเตือนหญิงและนิวาสศึกษากลับท่องจำขึ้นใจ อาศัยในสกุลเฮ่อ ปรนนิบัติพ่อสามีแม่สามี ปรนนิบัติสามี อบรมบุตรธิดา มิกล้าบกพร่องแม้แต่วันเดียว ถึงแม้เฮ่อหลินสอบจวี่เหรินไม่ผ่าน ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าเขาไม่ได้ความแต่อย่างใด
เพราะในสายตาข้า บุรุษผู้หนึ่งจะประเสริฐหรือไม่มิได้ขึ้นอยู่กับเขาเป็นขุนนางใหญ่โตปานใด แต่อยู่ที่จิตใจของเขากว้างขวางหรือไม่ ความประพฤติดีงามหรือไม่ ข้าแต่งให้เฮ่อหลินก็ไม่เคยวาดหวังว่าเขาจะนำพาเกียรติยศอันใดให้ข้าแต่แรก เพียงอยากใช้ชีวิตร่วมกับเขาอย่างสงบสุขเท่านั้น”
“เจ้าโกหก! เจ้ามิได้คิดเช่นนี้สักนิด เจ้ารังเกียจที่ข้าไม่เอาถ่าน ไม่อาจเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้า เจ้ารังเกียจที่ข้าไม่อาจทำให้เจ้าเป็นภรรยาของจวี่เหรินเหมือนกับเจ้าสาม!” เฮ่อหลินคำราม
ถังอวี๋แค่นเสียงออกจมูก “ภรรยาของจวี่เหรินมีดีอันใด ข้ายังเป็นพี่สาวของจิ้นซื่อด้วยซ้ำ!”
ถังฟั่นแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ รีบปั้นหน้าเคร่งขรึม
พลังการต่อสู้ของถังอวี๋ไม่เพียงทำให้เขาทึ่ง ยังทำให้คนสกุลเฮ่อต้องตะลึงด้วยความทึ่งเช่นกัน
“แต่ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านก็เห็นแล้ว ข้าทำทุกสิ่งที่พึงกระทำทั้งหมดแล้ว เฮ่อหลินกลับเอาแต่เข้าใจผิดข้า หาว่าข้ารังเกียจเขา เย็นชาต่อข้าสารพัด นี่จะให้ข้าชี้แจงอันใดได้อีก
ตอนข้าออกเรือน เพราะบุพการีล่วงลับ ปราศจากที่พึ่งพิง แต่รุ่นชิงรักถนอมข้า แทบจะเอาทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดมาเป็นสินเดิมให้ข้าแต่งเข้าสกุลเฮ่อ หลายปีนี้ค่าใช้จ่ายที่สกุลเฮ่อมอบให้เรือนของพวกเราคือสามสิบตำลึงต่อเดือน เสื้อผ้าสี่ชุดต่อปี นี่เดิมทีเพียงพอแล้ว แต่เฮ่อหลินต้องออกนอกบ้านเยี่ยมเยือนสหาย ต้องเลี้ยงสุราอาหาร ต้องซื้อตำราอ้างอิง บางครั้งเดือนหนึ่งก็ใช้จ่ายไปกว่าครึ่งแล้ว
เดิมทีข้าสามารถประหยัดในส่วนของข้าได้บ้าง แต่สกุลเฮ่อเป็นตระกูลขุนนาง จึงมีงานเลี้ยงไม่ว่างเว้น ฐานะที่เป็นสะใภ้สกุลเฮ่อข้าย่อมมิอาจออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าไม่กี่ชุดซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เสื่อมเสียหน้าตาสกุลเฮ่อ นี่จึงมีค่าใช้จ่ายอย่างเลี่ยงมิได้ บวกกับค่าตำราและหมึกพู่กันของเจ้าเจ็ด ขอเอ่ยอย่างจาบจ้วงล่วงเกิน สามสิบตำลึงที่สกุลเฮ่อให้ข้านั้นหาพอใช้ไม่ ดังนั้นจึงมิอาจไม่นำสินเดิมออกมาสมทบ”
สวี่ซื่อไม่พอใจเล็กน้อย อดกล่าวมิได้ “เงินที่พวกเราให้เจ้าใหญ่กับเจ้าสามก็เป็นจำนวนเท่ากัน ไยพวกเขาไม่เคยตัดพ้อมาก่อน”
ถังอวี๋หัวเราะ “ผู้คนล้วนทราบ เจ้อเจียงอุดมสมบูรณ์ พี่ใหญ่ในฐานะเจ้าเมืองเจียซิง สามสิบตำลึงนี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาเขาสักนิด ท่านพ่อก็เคยเป็นขุนนางใหญ่ คงทราบว่าข้ามิได้กล่าวเท็จ ส่วนน้องสะใภ้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นบุตรสาวของคหบดีใหญ่ อาศัยความโปรดปรานที่ท่านพ่อท่านแม่มีต่อน้องสาม คาดว่าก็คงแอบจุนเจืออยู่บ้าง ไม่ถึงกับทำให้พวกเขาทั้งสองได้รับความไม่เป็นธรรม”
นางแม้มองเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสวี่ซื่อ กลับมิได้หยุดยั้งวาจาของตนเอง “ท่านแม่ ที่ข้าบอกเล่าสิ่งเหล่านี้หาได้มีจิตคิดตัดพ้อ เป็นเพียงแจกแจงข้อเท็จจริงเท่านั้น หลายปีนี้นำสินเดิมมาสำรองให้เฮ่อหลินข้าก็ไม่เคยปริปาก สามีภรรยาเสมือนคนเดียวกัน นี่ก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว แต่ไม่อาจเพราะนี่เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วมาทำให้ผู้อื่นมองข้ามการเสียสละของข้าไปเสียสิ้น ถึงขนาดโดนกล่าวหาว่าใจร้ายใจดำ ทิ้งขว้างไม่ไยดี ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านว่าที่ข้าพูดมาถูกหรือไม่”
ถังฟั่นอดอุทานชื่นชมพี่สาวมิได้
สามคนในโถงสีหน้าผิดแผก จะอย่างไรเฮ่ออิงกับสวี่ซื่อก็ยังรักหน้าอยู่ เมื่อถูกนางแฉออกมาเป็นฉากๆ เช่นนี้จึงอดรู้สึกหน้าม้านมิได้ แต่เฮ่อหลินกลับไม่คิดเช่นนั้น
เขาแค่นหัวเราะ “พูดอยู่นานสองนานเจ้าก็แค่หาข้ออ้างให้ตนเอง ถ้าเต็มอกเต็มใจจริง ไยต้องจดจำละเอียดลออปานนั้น”
ถังอวี๋หมดหวังกับคนผู้นี้แล้ว จึงหัวเราะเย็นชากลับไปโดยไม่ไว้ไมตรี “แล้วเป็นอย่างไร ท่านแม้แต่จวี่เหรินยังสอบไม่ผ่าน วันทั้งวันเอาแต่หงุดหงิดงุ่นง่าน พูดแต่ว่าคนสกุลเฮ่อไม่มีใครไม่ดูแคลนท่าน ในเมื่อท่านมีศักดิ์ศรีก็ไปทำมาหาเลี้ยงตนเองสิ ไยต้องอาศัยสามสิบตำลึงของบิดามารดาเล่า”
“เจ้า! นางหญิงปากร้าย!” เฮ่อหลินเดือดดาลจนหน้าซีดหน้าขาว พูดจาไม่ออก
ถังอวี๋ไม่สนใจเขา แต่กล่าวกับเฮ่ออิงและสวี่ซื่อต่อ “เดิมทีข้าคิดว่ารอเจ้าเจ็ดเติบใหญ่ ข้าก็นับว่ามิได้ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ผิดหวังแล้ว ถึงตอนนั้นไม่จำเป็นต้องมีใครมาถอดถอนข้า ข้าก็จะจากไปด้วยตนเอง แต่ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านก็เห็นกับตา เขาในฐานะบิดากลับไม่แยกแยะผิดถูกก็ลงมือต่อลูกด้วยอำมหิต หากรุ่นชิงรุดมาไม่ทันเวลา ไม้พลองที่เขาหวดลงไปนี้เจ้าเจ็ดจะเป็นเช่นไร ท่านพ่อท่านแม่ เมื่อวานพวกท่านก็อยู่ในที่นั้น โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าและเจ้าเจ็ดด้วย!”
เฮ่ออิงกระแอมคำหนึ่ง “พฤติกรรมนี้ของกันอวี่ออกจะเกินเลยไปจริงๆ เมื่อวานข้าก็ดุด่าเขารอบหนึ่ง…”
ถังอวี๋เอ่ยชืดๆ “เกรงว่าคงใช้คำว่าเกินเลยมาบรรยายมิได้กระมัง ตอนนั้นหากเฆี่ยนตีข้าก็แล้วไปเถอะ แต่หวดใส่ร่างกายเจ้าเจ็ด หากเขาเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นจะแขวนคอที่นี่ ให้ผู้คนล้วนยลยินว่าเฮ่อหลินเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมปานใด”
เฮ่อหลินย่อมมีเหตุผลของตนเอง “ตอนนั้นทุกคนต่างเคลือบแคลงเจ้าเจ็ด เขาเองก็ไม่ปริปาก หากข้าไม่เฆี่ยนตีเขา จะล้างมลทินให้เขาได้อย่างไร จะรักษาชื่อเสียงสกุลเฮ่อได้อย่างไร”
ถังอวี๋ย้อนถาม “หรือการเฆี่ยนตีเด็กน้อยคนหนึ่งสามารถรักษาชื่อเสียงสกุลเฮ่อไว้ได้? ท่านในฐานะบิดาของเจ้าเจ็ดไฉนไม่เข้าใจอุปนิสัยของบุตรชาย เช่นนั้นรุ่นชิงคงไม่จำเป็นต้องสอบถามเจ้าเจ็ดก็สามารถสืบหาความจริงออกมาได้แล้ว”
เฮ่อหลินอับอายกลายเป็นเคืองขุ่น “พูดมาพูดไปก็คือเจ้ารังเกียจว่าข้าไม่มีความสามารถเท่าน้องชายเจ้า”
“…”
ถังฟั่นนับว่ากระจ่างแล้วว่าเหตุใดพี่สาวจึงหมดหวังในตัวพี่เขยโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากเฮ่อหลินเปลี่ยนเป็นดันทุรังไม่ฟังเหตุผล นับแต่ประสบอุปสรรคบนเส้นทางการสอบเคอจวี่ ในสายตาก็เหลือเพียงเรื่องนี้เท่านั้น นี่เกือบกลายเป็นโรคทางใจของเขาไปแล้ว ความน้อยเนื้อต่ำใจส่งผลให้อ่อนไหว และความอ่อนไหวส่งผลให้หงุดหงิดงุ่นง่าน ดังนั้นไม่ว่าคนรอบข้างบอกกล่าวเช่นไร เขาล้วนสามารถคิดโยงมาถึงสิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
หลายปีที่ผ่านมา ด้วยจิตใจใสพิสุทธิ์ของถังอวี๋ มักปลอบโยนและพยายามสื่อสารกับเขาเสมอ ขอเพียงมีความหวังที่จะพลิกสถานการณ์อยู่บ้างนางก็คงไม่เป็นเช่นเวลานี้ที่ปรารถนาจะพาเจ้าเจ็ดไปจากสกุลเฮ่ออย่างแน่วแน่
เฮ่อหลินจมปลักอยู่ในโลกของตนเองและยากจะถอนตัวนานแล้ว
เฮ่ออิงก็รู้สึกได้ว่าบุตรชายเช่นนี้เป็นที่ขายหน้าผู้อื่น จึงไม่รอถังอวี๋และถังฟั่นเอ่ยคำ ตบที่เท้าแขนอย่างแรง “เจ้าหุบปาก!” ก่อนหันมากล่าวกับสองพี่น้องสกุลถัง “สะใภ้รอง เจ้าคิดเห็นหรือมีแผนอันใดก็บอกกล่าวออกมา หากพวกข้าสามารถทำได้ ย่อมจัดการให้เจ้าแน่นอน”
เขารู้ดีว่าที่ถังอวี๋สาธยายยืดยาวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมจริงจังต้องมิใช่เป็นเพียงปรับทุกข์เท่านั้น
ปัญหาเช่นเงินรายเดือนของเรือนรองไม่พอใช้ เฮ่ออิงก็เคยระแคะระคายมาบ้าง
แต่ประการแรก โดยพื้นฐานแล้วบุตรชายสามคนล้วนเท่าเทียม ตนมิได้ลำเอียงแต่อย่างใด ต่อให้เรือนใดเงินทองขัดสน เรือนใดเงินทองเหลือเฟือ นั่นก็เป็นความสามารถของตัวพวกเขาเอง
ประการที่สอง อำนาจใหญ่ภายในบ้านล้วนอยู่ในมือของสวี่ซื่อ ในฐานะสามี เขาต้องให้เกียรติภรรยาเอก ไม่อาจก้าวก่ายเกินควร เพราะอย่างไรบุตรชายทั้งสามล้วนเป็นนางให้กำเนิด ลำเอียงเพียงใดก็คงไม่มากน้อยไปกว่ากัน
ดังนั้นแต่ไรมาเขาจึงไม่เคยแทรกแซง
ถังอวี๋ก็ตระหนักในจุดนี้จึงไม่เคยตัดพ้อ แต่ในเมื่อตอนนี้ได้ตัดสินใจแน่วแน่ ทุกคนเปิดอกเจรจา จึงไม่อาจไม่แจกแจงให้ชัดเจน เลี่ยงมิให้ผู้อื่นเข้าใจว่านางโวยวายไร้เหตุผล
นางได้ยินเฮ่ออิงเอ่ยถามเช่นนี้จึงเหลียวมองถังฟั่น
ทั้งสองพูดจาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ให้ถังฟั่นเป็นคนออกหน้าจัดการเรื่องนี้
ถังฟั่นจึงกล่าว “ก่อนหน้านี้พี่เขยกล่าวว่าต้องการถอดถอนภรรยา แต่พี่สาวข้าไม่เพียงมิได้ประพฤติผิดอันใดใน ‘กฎเจ็ดออก’ ยังจัดอยู่ในเงื่อนไข ‘ภรรยาไร้บ้านเดิมพึ่งพิง’ ของ ‘สามไม่ไป’ ดังนั้นตามกฎหมายแล้วพี่เขยไม่อาจถอดถอนนางได้ ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ต่อให้ฝืนอยู่ด้วยกันเกรงว่าคงไม่มีความสุข ในเมื่อพี่เขยรู้สึกว่าพี่สาวข้าไม่ดี พี่สาวข้ายินดียกตำแหน่งภรรยาเอกให้พี่เขยแต่งกุลสตรีอื่น”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อหลักแหลม จึงกระจ่างโดยพลัน “พวกเจ้าต้องการหย่าโดยสมัครใจ?”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “มิผิด หย่าโดยสมัครใจ รวมทั้งพาเจ้าเจ็ดไปด้วย”
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อสีหน้าแปรเปลี่ยน
หลังการปูพื้นข้างต้น ทุกคนย่อมคาดเดาได้ว่าพวกถังฟั่นจะเสนอให้หย่าโดยสมัครใจ
แต่สำหรับการอยู่หรือไปของเจ้าเจ็ดกลับมีความเห็นแตกต่าง
เฮ่ออิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด “นี่เป็นไปไม่ได้ เจ้าเจ็ดเป็นหลานชายของสกุลเฮ่อ ตามเหตุผลสมควรอยู่บ้านสกุลเฮ่อ สะใภ้บ้านใดล้วนไม่มีเหตุผลพาลูกไปด้วยหลังการหย่าโดยสมัครใจ!” เขาเห็นสีหน้าของสองพี่น้องสกุลถังยังคงเฉยเมย จึงผ่อนน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม “รุ่นชิง เรื่องราวลุกลาม ข้าเองก็มิได้อยากให้เป็นเช่นนี้ ดีที่ยังไม่สายเกินแก้ ไม่ว่าสะใภ้รองหย่าโดยสมัครใจหรือแต่งงานใหม่ เมื่อออกสู่ภายนอกยังคงได้รับการหยามหมิ่นดูแคลน เจ้าก็คงไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนั้น มิหนำซ้ำสะใภ้รองก็ไม่อาจตัดใจจากเจ้าเจ็ด ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าอย่าได้สอดมือเข้ามาดีกว่า ให้พวกเขาสามีภรรยาเจรจากันเองเถอะ มีน้องภรรยาที่ใดยุยงให้พี่สาวกับพี่เขยแยกทางกันเล่า”
ถังฟั่นถอนหายใจ “ท่านลุง ข้าเพียงมีความเคารพต่อท่าน หามีเจตนาอื่นใดไม่ ทว่าเรื่องราวถึงขั้นนี้ไยต้องดึงดัน ไม่ว่าหย่าโดยสมัครใจหรือไม่นางก็ยังคงเป็นพี่สาวของข้า หากนางแต่งใหม่ไม่ง่าย ข้าเลี้ยงดูนางทั้งชีวิตก็ย่อมได้ ส่วนเจ้าเจ็ด พวกเราก็ใช่ว่าจงใจสร้างความลำบากใจ ลองตรองดู ขณะพี่สาวข้ายังอยู่ เจ้าเจ็ดยังเกือบถูกตีตาย หากพี่สาวข้าไม่อยู่ เขาไม่ยิ่งย่ำแย่หรอกหรือ แม้ท่านลุงท่านป้าจะรักและเอ็นดูหลานชาย แต่คงไม่อาจเฝ้าดูตลอดทั้งวันกระมัง เด็กอยู่กับมารดาย่อมเติบใหญ่ได้ดีกว่า และพวกเราก็ไม่คิดบังคับเจ้าเจ็ดเปลี่ยนแซ่ ไม่ว่าอย่างไรเขายังคงเป็นลูกหลานของสกุลเฮ่อ เพียงแต่พำนักอยู่กับมารดาเท่านั้น”
แต่หากเรื่องราวแพร่ออกไป สกุลเฮ่อจะเอาหน้าไว้ที่ใด
เฮ่ออิงส่ายหน้า ย่อมไม่ยินยอมแน่นอน
เขาเห็นพี่น้องสกุลถังสีหน้ายืนกรานจึงนิ่งงันชั่วครู่ ก่อนถอยให้ก้าวหนึ่ง “เช่นนี้เถอะ หย่าโดยสมัครใจไม่มีปัญหา แต่เจ้าเจ็ดต้องอยู่คฤหาสน์สกุลเฮ่อ”
ทว่าฝ่ายนี้เพิ่งกล่าวจบ เฮ่อหลินพลันโพล่ง “ข้าไม่เห็นด้วย” เขาผุดลุกขึ้น ทิ้งท้ายคำหนึ่ง “นอกจากข้าจะถอดถอนเจ้าก็อย่าหมายจะหย่าโดยสมัครใจ” แล้วจากไปโดยไม่สนไม่แล
ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อตะโกนไล่หลัง “หยุดตรงนั้น!” ทว่าเฮ่อหลินกลับไม่แม้แต่เหลียวหน้า
ปกติเขามีนิสัยเครียดขรึมก็จริง หากยังพอเชื่อฟังบิดามารดา ทว่าพฤติกรรมในเวลานี้กลับสร้างความโกรธกริ้วต่อท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อยิ่งนัก
การเจรจาล้มเหลว ซึ่งก็มิได้เหนือความคาดหมาย
ถังฟั่นเดิมทีก็ไม่คิดว่าสกุลเฮ่อจะสามารถยอมรับเงื่อนไขของตนได้ในคราเดียว
ในสายตาพวกเขา หย่าโดยสมัครใจยังพอทน สะใภ้อย่างไรก็คนนอก หลานชายต่างหากจึงเป็นคนในครอบครัว ถึงแม้สกุลเฮ่อมิได้มีหลานเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ หากก็เป็นอย่างที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อกล่าวไว้ ถ้าให้ถังอวี๋พาเฮ่อเฉิงไป ผู้อื่นย่อมรู้สึกว่าสกุลเฮ่อแม้แต่หลานคนเดียวก็รั้งไม่อยู่
เรื่องราวบนโลกเป็นเช่นนี้ ใช่ว่าแรงมนุษย์จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
มิสู้เสนอเงื่อนไขที่อีกฝ่ายไม่มีทางยอมรับได้ออกไปในคราวเดียว จากนั้นค่อยเพิ่มเดิมพันขึ้นทีละน้อย
เช่นนี้ความมั่นใจที่จะบรรลุเป้าหมายจึงจะยิ่งทบทวี
ตั้งแต่แรกเริ่มเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาก็มิใช่หย่าโดยสมัครใจ แต่เป็น ‘แบ่งทรัพย์แยกบ้าน’
นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งนอกจากหย่าโดยสมัครใจและถอดถอนภรรยา ยุคสมัยนี้แม้แต่หย่าโดยสมัครใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว อันที่จริงหากบ้านเดิมของภรรยามีอำนาจ สามีคิดถอดถอนภรรยาก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เหมือนกรณีของเฮ่อหลิน หากไม่มีถังฟั่น เขาอาจถอดถอนถังอวี๋จากตำแหน่งภรรยาได้ แต่เวลานี้มีถังฟั่นอยู่ แค่คิดก็อย่าได้หวัง หรือต่อให้เขาคิด ท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อก็คงไม่ยอม
ดังนั้นคำพูดที่เขาเพิ่งกล่าวในโถงใหญ่ล้วนกล่าวด้วยโทสะทั้งสิ้น เพราะต่อให้เขาไร้สมองปานใดก็ควรทราบว่าถังอวี๋เวลานี้มีน้องชายถือหาง มิใช่คนที่สกุลเฮ่อจะข่มเหงได้
แต่ถ้าหย่าโดยสมัครใจเล่า ก็เฉกเช่นท่านผู้เฒ่ากล่าวไว้ ล้วนยังคงไม่ยุติธรรมต่อสตรี หลังหย่าโดยสมัครใจ สิ่งที่สตรีต้องประสบแน่นอนมิใช่เพียงสายตาดูแคลนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงมีวิธีที่พบกันครึ่งทางคือการแบ่งทรัพย์แยกบ้าน
พูดให้ชัดก็คือสามีภรรยาแยกกันอยู่ จะอย่างไรก็มิได้หย่าร้าง โดยอาจจะอ้างต่อคนภายนอกว่าฝ่ายหญิงร่างกายอ่อนแอ กลับไปรักษาตัวที่บ้านเดิมเป็นต้น ทั้งยังสามารถรักษาหน้าฝ่ายชาย ขจัดความยุ่งยากได้ไม่น้อยทีเดียว
ในตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หากความรักของสองฝ่ายชายหญิงไม่กลมเกลียว ฝ่ายหญิงมีบ้านเดิมให้พึ่งพิง ทั้งไม่ยินดีร่วมชีวิต ก็สามารถเสนอวิธีนี้ได้ ถังฟั่นอยู่เมืองหลวงล้วนเคยพบเห็น ทว่าอำเภอเซียงเหอนั้นเล็กจึงไม่ค่อยพบเห็นเท่านั้นเอง
สำหรับสตรีแล้ว เช่นนี้ก็เท่ากับยังมิได้ตัดสัมพันธ์สามีภรรยา ถังอวี๋จึงย่อมไม่อาจแต่งงานใหม่ นี่เป็นข้อเสียเปรียบ
แต่ถังฟั่นเคยสอบถามถังอวี๋ก่อนหน้า ถังอวี๋กล่าวว่าในตอนนี้ตนไม่มีความคิดแต่งงานใหม่ เพียงอยากทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงดูเฮ่อเฉิง ใช้ชีวิตที่เป็นของตนเองอย่างสงบสุข
เมื่อเป็นเช่นนี้ แบ่งทรัพย์แยกบ้านจึงกลายเป็นทางเลือกที่ประเสริฐสุด
เหตุที่ถังฟั่นมิได้เสนอให้แบ่งทรัพย์แยกบ้านแต่แรกเพราะเกรงว่าสกุลเฮ่อจะไม่อาจยอมรับได้ จึงเสนอการหย่าโดยสมัครใจขึ้นมาก่อน จวบจนพวกเขาค่อยๆ เผชิญหน้ากับความจริง ค่อยโยนวิธีนี้ออกมา ย่อมราบรื่นขึ้นเป็นอันมาก
แน่นอน ก่อนอื่นต้องให้เฮ่อหลินเห็นด้วย อย่าได้ขัดขวางกลางปล้อง
หลังออกจากเรือนใหญ่ของท่านผู้เฒ่าสกุลเฮ่อ ถังอวี๋มีทีท่าซึมเซา จะอย่างไรก็เป็นสามีภรรยา เรื่องราวลุกลามถึงขั้นนี้ ไม่ว่าผู้ใดย่อมไม่ยินดีทั้งสิ้น หากมิใช่เพราะสุดทน นางเองก็ไม่อยากกระทำรุนแรงปานนี้
อย่าเห็นถังอวี๋ตอนนี้ดูราวคนละคนในชั่วข้ามคืน ความจริงล้วนเป็นเพราะมีถังฟั่นอยู่
แต่อย่างไรถังฟั่นก็ไม่อาจรั้งอยู่อำเภอเซียงเหอตลอดไป เมื่อเขาจากไปถังอวี๋ก็จะไร้ที่พึ่งพิง นางโดดเดี่ยวในสกุลเฮ่อ ถึงตอนนั้นรังแต่จะยิ่งทุกข์ใจ
นางตระหนักในจุดนี้ดี ดังนั้นจึงต้องหักใจอำมหิต ฉวยโอกาสนี้หนึ่งดาบตัดสัมพันธ์ เลี่ยงมิให้พลิกผันในวันหน้า
ถังอวี๋ทอดถอนใจ “เพียงหวังว่าเจ้าเจ็ดเติบใหญ่จะไม่ตำหนิข้า”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เขารู้ความปานนั้น วันหน้าต้องเป็นเด็กดีแน่นอน ท่านทำทุกสิ่งล้วนเพื่อเขา เขาย่อมสามารถเข้าใจได้”
ถังอวี๋พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
ถังฟั่นเอ่ยปลอบ “พี่สาวแสนดีของข้า อย่าทำหน้าตาเศร้าสร้อยเช่นนี้ หากเจ้าเจ็ดเห็นเข้า ดีไม่ดีจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เด็กคนนั้นจิตใจอ่อนแอ ภายหน้ามีโอกาสต้องขัดเกลาให้ดีถึงจะได้”
ถังอวี๋พยักหน้า “เป็นข้าผิดเอง วันๆ เขาเห็นบิดาเป็นเช่นนั้น ไม่ห่อเหี่ยวคงเป็นไปไม่ได้”
“ท่านโทษตนเองอีกแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ข้าว่าความผิดอยู่ที่ท่านพ่อมากกว่า ตอนนั้นยกท่านให้แก่คนอย่างเฮ่อหลินได้อย่างไร” ถังฟั่นกล่าว
ถังอวี๋เอ็ดว่า “อย่าพูดเหลวไหล! เจ้าไฉนกล่าวโทษท่านพ่อ ท่านผู้เฒ่าไหนเลยจะล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ไกลปานนั้น”
ถังฟั่นยิ้มพราย “ก็หรือมิใช่เล่า ท่านพ่อท่านแม่ในปรภพย่อมไม่อยากเห็นท่านรันทดใจเช่นนี้ หากได้รับทราบ พวกเขาต้องโกรธเคืองกว่าท่านแน่ เอาล่ะๆ ข้าว่าสองวันนี้เจ้าเจ็ดคงยังเจ็บอยู่ ไม่อาจเข้าเรียนได้ พรุ่งนี้ข้าพาพี่หญิงกับเขาไปเดินเที่ยวในเมืองแล้วกัน”
พี่สาวและน้องชายกลับถึงเรือนไม้ไผ่ ถังอวี๋ก็ขอตัวไปดูเฮ่อเฉิง
ถังฟั่นกำลังอยากให้พวกเหยียนหลี่ไปสืบดูความคืบหน้าของคดีสกุลเหวย เฉียนซันเอ๋อร์ก็กลับจากด้านนอกเข้ามาพอดี
เขาทำสีหน้าลึกลับ “ใต้เท้า ท่านทายดู ข้าไปได้ยินอะไรมาแล้ว”
ถังฟั่นหรี่ตามองเขา “ไม่รู้”
เฉียนซันเอ๋อร์ยิ้มมีเลศนัย “ท่านลองทายดู”
ถังฟั่นก็ยิ้มด้วย “ไม่ทาย เจ้าไม่เล่า ข้าถามเหยียนหลี่ก็ได้ ให้เจ้าอึดอัดตายไปเลย”
เฉียนซันเอ๋อร์ยอมแพ้ “ตกลงๆ ข้าพูดก็ได้ ฟังว่าคฤหาสน์สกุลเหวยมีผี!”
ถังฟั่นชะงักฝีเท้า โดนเขาดึงดูดความสนใจจนได้
เฉียนซันเอ๋อร์เห็นเข้าก็ได้ใจ “ท่านคงทายไม่ถูกกระมัง ทั้งยังมีหลายกระแสด้วย กระแสหนึ่งบอกว่าก่อนเหวยเช่อจะร่ำรวยขึ้นมา เดิมทีเขามีคู่หมั้นหมายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่เพราะอยากรวยจึงแต่งจางซื่อเป็นภรรยา ทรยศว่าที่คู่หมั้นคนนั้น ด้วยความอับอายและโกรธแค้น ว่าที่คู่หมั้นของเขาจึงกระโดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย ก่อนตายได้สาบานว่าชาตินี้ท่านทรยศข้าเพื่อความร่ำรวย ชาติหน้าข้าจะทำให้ท่านไร้ผู้สืบสกุล!”
เฉียนซันเอ๋อร์บีบเสียงเหมือนร้องเพลงสั่งลา “จากนั้นวิญญาณตนหนึ่งก็กลายเป็นปีศาจดุร้าย ดักซุ่มอยู่ในคฤหาสน์สกุลเหวย ท่านก็เห็นว่าหลายปีมานี้สกุลเหวยมีแต่บุตรีทั้งสิ้น ก็เพราะปีศาจสาวตนนี้คอยก่อกวน ต่อมาเมื่อมีบุตรชาย อายุเพิ่งเดือนเดียวก็ตายเสียแล้ว”
“…ข้าว่าเจ้าค่อนข้างมีความสามารถทีเดียว”
เฉียนซันเอ๋อร์กระหยิ่มยิ้มย่อง “แน่อยู่แล้ว ให้รู้บ้างว่าคนของใคร ข้าเป็นบ่าวรับใช้ของใต้เท้าถังสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค!”
ถังฟั่นหมั่นไส้เสียเต็มประดากับความขี้คุยของเขา “ได้ยินว่าในโถงใหญ่ของร้านปี้อวิ๋นเทียนยังขาดนักเล่านิทาน อยากให้ข้าแนะนำเจ้าไปทดลองดูหรือไม่”
“แล้วไปเถอะ ท่านหรือจะขาดข้าได้ บ่าวรับใช้ที่ภักดียิ่งชีพและความสามารถโดดเด่นเช่นข้าคนนี้มิใช่จะหาได้โดยง่าย”
ถังฟั่นยกเท้าถีบโครมอย่างเหลืออดพลางยิ้มด่า “พอที เข้าประเด็น!”
“กระแสที่สองบอกว่าทรัพย์สมบัติของสกุลเหวยในตอนนี้ เหวยเช่อล้วนแย่งชิงจากมือผู้อื่นมา เขาใช้วิธีสกปรกแย่งกิจการของผู้อื่น จากนั้นมาเริ่มชีวิตใหม่ในอำเภอเซียงเหอ คนที่โดนเขาทำร้ายจนตายจึงได้กลายเป็นปีศาจดุร้าย มุ่งหน้ามาล้างแค้น เป้าหมายคือทำให้เหวยเช่อไร้ผู้สืบสกุล ต้องเสียใจในการกระทำของตนเองไปชั่วชีวิต ดังนั้นสกุลเหวยจึงมีคนตายติดต่อกัน”
“ไฉนเป็นปีศาจดุร้ายทั้งหมด มีอันใดแปลกใหม่หรือไม่” ถังฟั่นคลางแคลง
“มีแน่นอน ที่แปลกใหม่ก็คือ…” เฉียนซันเอ๋อร์ลากเสียงยาว เห็นถังฟั่นไม่ร้อนใจสักนิดจึงได้แต่เล่าต่อ “ได้ตัวฆาตกรสังหารเหวยจูเหนียงแล้ว”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “เป็นไฉเจ๋อ?”
เฉียนซันเอ๋อร์หน้าละห้อย “เอ๋? ท่านรู้แล้ว? เช่นนั้นยังให้ข้าพูดอันใดเล่า”
ถังฟั่นสั่นหน้า “ข้าเพียงคาดเดา ไฉเจ๋อ หวังต๋า เป้าอี้ ในสามคนนี้มีเพียงไฉเจ๋อน่าสงสัยที่สุด”
เฉียนซันเอ๋อร์ลืมเจตนาแรกเริ่มที่จะอวดว่าตนเองรู้ข่าว กลับกลายเป็นกังขาขึ้นมา “เพราะเหตุใด ในเมื่อเหวยเช่อเองบอกว่าหวังต๋าคือคนที่มีความแค้นกับเขา ส่วนไฉเจ๋อสนิทกับเขาที่สุด”
ถังฟั่นกล่าว “เจ้าอย่าลืม ก่อนนี้ข้าเคยพูดไว้ สามารถเดินหาเหวยจูเหนียงและสังหารนางได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่สะกิดความสงสัยของผู้อื่น มีเพียงคนที่สนิทคุ้นเคยกับสกุลเหวยจึงสามารถกระทำได้ เฉพาะจุดนี้ก็มีแค่ไฉเจ๋อเท่านั้นที่สอดคล้อง”
เฉียนซันเอ๋อร์ตบหน้าผาก “ใช่ๆ ข้าลืมจุดนี้ไปเลย มิผิด นายอำเภอเวิงก็สืบสวนจากจุดนี้เช่นกัน เรื่องนี้อาศัยแค่ไฉเจ๋อคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ ได้ยินว่าภรรยาเอกของเหวยเช่อซึ่งเป็นญาติผู้น้องของไฉเจ๋อจงใจสั่งบ่าวรับใช้ให้เอาน้ำแกงนั้นไปเพิ่มความร้อน จากนั้นค่อยส่งขึ้นโต๊ะ แล้วไฉเจ๋อก็บอกกับเป้าอี้ว่าญาติผู้น้องของตนเกลียดชังหวังต๋าคนนี้มาก อยากให้อีกฝ่ายอับอายต่อหน้าฝูงชน จึงนัดแนะกับเป้าอี้ ขณะอยู่ในงานเลี้ยงให้เขาชนน้ำแกงโถนั้น และยังสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทน ให้เขาช่วยกลบเกลื่อนพิรุธ สุดท้ายก็ถูกนายอำเภอเวิงไต่สวนออกมาจนได้”
“ไยไฉเจ๋อต้องฆ่าเหวยจูเหนียงด้วย เด็กหญิงคนหนึ่งจะมีความแค้นอันใดกับเขา” ถังฟั่นถาม
“เพราะไฉเจ๋อกับไฉซื่อเห็นเหวยเช่อได้บุตรชายและจะยกทุกอย่างให้เขา จึงรู้สึกขัดเคืองใจ คิดวางแผนจัดการเหวยเช่ออย่างลับๆ เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติของเขา สุดท้ายตอนที่หารือกัน เหวยจูเหนียงเดินผ่านมาพอดี ทั้งสองเกรงว่าแผนชั่วจะถูกเปิดโปง จึงชิงลงมือก่อน”
ถังฟั่นส่ายหน้า “คิดว่าคงเป็นเพราะพวกเขากินปูนร้อนท้องมากกว่า หากเหวยจูเหนียงได้ยินที่พวกเขาสนทนากันจริงคงเอะอะไปนานแล้ว เหวยเช่อมีหรือจะไม่รู้”
“ถูกต้อง ท่านฉลาดจริงๆ ก็คือเหตุผลนี้นั่นเอง! หลังจากนั้นนายอำเภอเวิงก็ได้สอบถามเหวยเช่อกับมารดาแท้ๆ ของเหวยจูเหนียง พบว่าเหวยจูเหนียงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพวกเขาเลย เห็นได้ว่านี่เป็นการร้อนตัวไปเองของไฉเจ๋อกับญาติผู้น้องชัดๆ ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นยกก้อนหินทุ่มขาตนเอง”
คดีนี้เดิมทีก็มิได้ซับซ้อน เงื่อนงำมากมายล้วนวางอยู่ตรงนั้น ไขคดีเพียงเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น แต่ที่ถังฟั่นสนใจกลับเป็นอีกคดีหนึ่ง
“แล้วการตายของบุตรชายคนเล็กของสกุลเหวยเล่า มีความคืบหน้าหรือไม่” ถังฟั่นถาม
“หลังเกิดเรื่องนี้ขึ้น เหวยเช่อก็เกลียดชังสองพี่น้องสกุลไฉเข้ากระดูก ยืนกรานหนักแน่นว่าพวกเขาเป็นคนทำ แต่อย่างไรสองคนนั้นก็ไม่ยอมรับ จนถึงตอนนี้คล้ายว่ายังไม่ได้ข้อสรุป”
“ข้าก็รู้สึกว่าพวกเขามิได้เป็นคนทำ ในเมื่อเหวยเช่อสามารถมีบุตรชายได้ ถึงตายไปคนหนึ่งก็มีใหม่อีกคน ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อันใด ในเมื่อพวกเขาอยากทำร้ายเหวยเช่อโดยตรง จะฆ่าหรือไม่ฆ่าทารก ความจริงไม่มีอันใดแตกต่าง”
เฉียนซันเอ๋อร์เอียงคอ “ขนาดเรื่องโง่เขลาอย่างการฆ่าเหวยจูเหนียง พวกเขายังทำได้ คิดฆ่าบุตรคนเล็กของสกุลเหวยอีกคนก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นเช่นกัน”
ถังฟั่นหัวเราะ “เจ้าพูดมีเหตุผล ความคิดข้าคงคับแคบเกินไป”
เฉียนซันเอ๋อร์ได้ยินใครเอ่ยชมเป็นไม่ได้ พอฟังคำนี้ของถังฟั่นก็หน้าบาน
“โธ่ ท่านกล่าวเช่นนี้ข้ามิกระดากแย่หรอกหรือ เช่นนั้นข้าไม่ฉลาดกว่าใต้เท้าถังผู้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในปฐพีแล้วหรืออย่างไร”
ถังฟั่นเหล่มองเขาแวบหนึ่ง “ข้าไปเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในปฐพีตั้งแต่เมื่อใดกัน วันหน้าเดินถนนอย่าบอกว่ารู้จักข้าเชียว เดี๋ยวข้าได้โดนอัดไปด้วย”
เฉียนซันเอ๋อร์ยื่นหน้าทะเล้นมาใกล้ “พวกเราคุ้นเคยกันปานนี้ ทั่วทั้งอำเภอเซียงเหอมีผู้ใดไม่ทราบว่าข้ากับท่านเป็นสหายเก่า ท่านอย่าหลอกตนเองไปหน่อยเลย”
ถังฟั่นไม่ทราบจะร้องไห้หรือหัวเราะดี “ข้าว่าเจ้าหนังหน้าหนาอันดับหนึ่งในปฐพีมากกว่า ใครเขาเป็นสหายเก่ากับเจ้า ใช้คำไม่เหมาะสม ผายลมสุนัขส่งเดช!”
“โอ๊ยๆ! ท่านจะพูดก็พูด อย่าเอะอะลงไม้ลงมือ ปัญญาชนขยับปากไม่ขยับมือ!”
* เล่าปิ่ง เป็นขนมพื้นเมืองของจีนที่ทำจากแป้ง ลักษณะคล้ายแพนเค้ก ในบางท้องถิ่นอาจเพิ่มไข่ ต้นหอม และงาเข้าไปด้วย อาจมีไส้หรือไม่มีก็ได้ วิธีการทำคือปิ้งให้สุกบนเตาโดยพลิกกลับไปมา
* สี่ตำราสอนสตรีของจีนในสมัยโบราณ (นารีจตุรปกรณ์) ประกอบด้วย ‘เตือนหญิง’ ‘หลุนอวี่สำหรับสตรี’ ‘นิวาสศึกษา’ และ ‘บันทึกสตรีต้นแบบ’