everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 5 บทที่ 1 #นิยายวาย
บทที่ 1
ผู้ใดก็มิคาดคิดว่าวังจื๋อผู้มีอำนาจแผ่คลุมน่านฟ้าต้าถง ใครเห็นใครกลัว ถึงกับปรากฏกายด้วยวิธีเช่นนี้
ขณะผางฉีเดินนำเข้ามา ถังฟั่นไม่ทันเห็นคนสวมชุดสามัญชนผู้หนึ่งด้านหลังเขา จึงเพียงยิ้มทักผางฉีว่า “เหล่าผาง กินอาหารเช้าหรือยัง มากินด้วยกันเถอะ!”
“ในหัวมีแต่เรื่องกิน! กลัวไม่อ้วนตายรึ!” สุ้มเสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหลังผางฉี
น้ำเต้าหู้ในปากถังฟั่นแทบสำลักออกจมูก ต้องไอติดต่อกันหลายที
สุยโจวช่วยลูบหลังให้พลางปรายตามองต้นเสียงด้วยแววตาเย็นชา “ทำตัวลับๆ ล่อๆ”
วังจื๋อก้าวยาวๆ ออกจากด้านหลังผางฉี นั่งลงข้างโต๊ะ ได้ยินคำพูดสุยโจวกลับแย้มยิ้ม “ถ้าไม่กลัวคนล่วงรู้ ข้ามีหรือต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ”
ถังฟั่นระบายลมหายใจ มองปากประตูแล้วถาม “ติงหรงเล่า เขาทราบเรื่องที่ท่านออกมา?”
“ไม่รู้ ข้าสั่งให้เขาไปที่อื่น แต่พูดก็พูดเถอะ ข้าไม่เข้าใจ ไฉนต้องให้ข้าปิดบังกระทั่งติงหรง เขาติดตามข้านานปี ความภักดีไม่มีเคลือบแคลง ไว้ใจได้แน่นอน”
“ก่อนความจริงปรากฏ ทุกคนล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย หากมิใช่ทราบว่าท่านไม่มีวันกระทำเรื่องเช่นนี้ อันที่จริงท่านยังน่าสงสัยกว่าติงหรงหรือใครอื่นด้วยซ้ำ”
วังจื๋อถลึงตาดุ “ข้าน่าสงสัยเมื่อใดกัน”
ถังฟั่นซดน้ำเต้าหู้จนหมดชาม รับผ้าเปียกที่สุยโจวส่งมาให้ซับมุมปาก ค่อยกล่าว “ประการแรก ท่านเป็นขันทีรักษาการณ์ต้าถง ในเมืองต้าถงถือว่าตำแหน่งใหญ่อำนาจสูง ผู้ใดล้วนตอแยท่านไม่ได้ แม้แต่หวังเยวี่ยก็ไม่กล้าตอแยท่าน หากท่านต้องการส่งข่าวออกไป นั่นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง ประการสอง ตอนข้ายังอยู่เมืองหลวงเคยได้ยินมีคนตั้งกระทู้กล่าวโทษท่านและหวังเยวี่ยว่าลอบคบคิดกับชาวต๋าต๋า บอกว่าชัยชนะของพวกท่านก่อนหน้านี้ล้วนมาจากชาวต๋าต๋าประเคนให้ แลกกับที่พวกท่านส่งเงินทองและเสบียงไปให้พวกเขา”
วังจื๋อโกรธจัด “ใครเป็นคนกล่าววาจานี้ มันน่าควักหัวใจนัก!”
ถังฟั่นกล่าวเนิบๆ “น่าควักหัวใจจริงๆ แต่ท่านอย่าได้คิดว่าข้าสร้างข่าวเขย่าขวัญ ไม้เด่นเหนือพงพนา ล่อวายุพัดทำลาย ผลงานของพวกท่านในต้าถงสะดุดตาเหลือเกิน คนไม่น้อยล้วนไม่อยากเห็นพวกท่านปรับขั้นเลื่อนตำแหน่งพรวดพราด ย่อมต้องคิดหาวิธีการขัดแข้งขัดขาเป็นธรรมดา ฎีกาลักษณะนี้ตอนอยู่สำนักตรวจการนครหลวงข้าเห็นออกบ่อยไป คนไม่น้อยล้วนไม่หวังให้พวกท่านสร้างความชอบ ทั้งไม่อยากเห็นพวกท่านกลับเมืองหลวง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้พวกท่านแบกรับมลทิน ถูกตัดสินลงโทษและปลดจากตำแหน่ง”
เขาเห็นวังจื๋อนิ่งงันจึงกล่าวต่อ “ท่านและหวังเยวี่ยย่อมไม่มีทางคบคิดกับศัตรูเป็นแน่ ข้าเชื่อพวกท่าน แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะเชื่อพวกท่านเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นท่านรับรองได้หรือว่าผู้ใต้บัญชาท่านและหวังเยวี่ยทั้งหมดล้วนจงรักภักดี? ขอบคุณที่ท่านเชื่อถือข้า จึงปฏิบัติตามคำพูดของข้าทุกประการ ข้าเองจะพยายามสืบคดีนี้ให้แจ่มแจ้งโดยไว เลี่ยงมิให้กระเทือนถึงการศึก”
ถังฟั่นเพิ่งกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ด้วยท่าทีเคร่งขรึมจบ ไม่ทันรอให้วังจื๋อบังเกิดความสะท้อนใจ เขาก็หยิบซาลาเปาลูกหนึ่งขึ้นมากัด
“เอาล่ะ สถานการณ์ของวานนี้ รบกวนท่านเล่าให้ฟังที”
วังจื๋อมองดูจนคันไม้คันมือ ติดที่สุยโจวอยู่ด้านข้าง หมดปัญญาตบคนอีกสักที เขาถลึงตาใส่ถังฟั่นแวบหนึ่งก่อนค่อยกล่าว “พวกเราตรวจสอบพ่อบ้านหวังแล้ว ที่เขาไปโรงรับจำนำเพราะระยะนี้หาเงินมาใช้สอยไม่ทัน จึงนำของที่หวังเยวี่ยให้เขาไปจำนำ”
ถังฟั่นได้ยินก็เผยสีหน้ากังขา
“เขามีนิสัยรักการเสี่ยงโชค มักติดค้างเงินบ่อนพนันเป็นประจำ ทว่าจำนวนไม่มากนัก หนนี้ก็เพราะทางบ่อนเร่งรัดมา เขาเองไม่อยากรบกวนหวังเยวี่ยถึงได้เอาของไปจำนำ”
ถังฟั่นกลืนซาลาเปาลงคอ ตามด้วยน้ำเต้าหู้อีกอึก ก่อนส่งยิ้มเชิงขอบคุณให้คนด้านข้างที่รินน้ำเต้าหู้ให้ ค่อยถามว่า “แล้วระยะนี้เขามีพิรุธอันใดหรือไม่”
“ระยะนี้ไม่พบพิรุธอันใด ไยเจ้าจึงจับจ้องเขา”
“เพราะตอนที่ข้าสะกดรอยพ่อบ้านหวัง เผอิญเจอกับโจรวิ่งราวซึ่งถ่วงเวลาทำให้ข้าไม่อาจสะกดรอยตามเขาพอดี ท่านว่าบนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญปานนี้”
“แต่โจรวิ่งราวคนนั้น ตอนที่หาพบเมื่อวานนี้ได้ตายไปแล้ว”
“ตายได้อย่างไร”
“นี่ต้องถามเจ้าแล้ว”
ถังฟั่นกะพริบตา “หา?”
“ตอนเขาตายในมือยังกำถุงเงินแน่น คนพลิกศพบอกว่าเงินนั้นมียาพิษป้ายอยู่ โจรนั่นเอาก้อนเงินเข้าปากเพื่อตรวจดูคุณภาพ สุดท้ายโดนพิษเสียชีวิตคาที่”
เงินหยวนเป่า* ที่หลอมโดยทางการเป็นเงินบริสุทธิ์ มีส่วนผสมชั้นดี ด้านบนมีตราของทางการประทับอยู่ แต่โดยปกติเมื่อถึงมือตระกูลใหญ่ พวกเขามักเลือกที่จะเก็บไว้แล้วนำเงินที่คุณภาพต่ำออกมาใช้ก่อน เมื่อหมุนเวียนในหมู่ชาวบ้าน เพราะเงินเหล่านี้มีน้ำหนักมาก จึงถูกนำมาตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีการลักลอบหลอมเงิน แน่นอนคุณภาพย่อมเทียบไม่ได้กับเงินที่ทางการทำออกมา
เพื่อจำแนกคุณภาพของก้อนเงิน คนจำนวนมากจึงเลือกวิธีที่สะดวกที่สุด นั่นคือใช้ฟันกัด
ถังฟั่นถามขึ้นว่า “ไฉนพูดอยู่ครึ่งค่อนวันกลับวกมาที่ข้า เงินพวกนั้นเล่า ท่านติดมาหรือไม่”
วังจื๋อล้วงของชิ้นเล็กที่ห่อด้วยผ้าออกมาจากอกเสื้อ พอคลี่ผ้าออกก็เผยให้เห็นเศษเงินเล็กๆ หลายก้อนในนั้น
“ก้อนใดมีพิษ” ถังฟั่นถาม
“เจ้าทาย”
ถังฟั่นจ้องหน้าเขาอย่างหมดวาจา ชี้ไปที่สองก้อนใหญ่สุด “สองก้อนนี้ไม่ใช่ของข้า”
“โอ้ สองก้อนนี้ป้ายยาพิษไว้ เจ้าลองส่องดูใต้แสงแดด จะมองเห็นสีหมอกที่เคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง”
“เป็นผู้ใดมอบให้เขากัน โจรวิ่งราวคนนั้นแค่ชิงถุงเงินของข้าเท่านั้น เขาล่วงรู้สิ่งใดจึงถูกฆ่าปิดปาก”
สุยโจวที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าโจรนั่นโผล่มาตอนที่เจ้าสะกดรอยพ่อบ้านหวังพอดี เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพื่อไม่ให้เจ้าไล่ตาม พ่อบ้านหวังจึงหาโจรมาชิงทรัพย์เจ้า หลังเกิดเรื่องก็ฆ่าทิ้ง ป้องกันไม่ให้เขาซัดทอดมาถึงตน”
ถังฟั่นสั่นหน้า “ทำเช่นนั้นโจ่งแจ้งเกินไป ไม่มีความจำเป็นสักนิด อันที่จริงตอนนั้นฝีเท้าของพ่อบ้านหวังค่อนข้างเร็ว ข้าเกือบไล่ตามไม่ทันแล้ว ไยเขาต้องหาคนมาเบี่ยงเบนความสนใจข้าด้วยเล่า ไม่สมเหตุสมผล…” เขาหันถามวังจื๋อ “เรียกพ่อบ้านหวังมาสอบถามได้หรือไม่”
วังจื๋อกล่าว “อย่าดีกว่า เจ้าบอกเองว่าไม่รู้ว่าไส้ศึกเป็นใคร และตอนนี้หวังเยวี่ยไม่อยู่ในต้าถง หากข้าล้ำเส้นไปจับคนของเขาคงไม่เหมาะนัก ทั้งยังแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย แต่ข้ายังคงยืนกรานคำเดิม ข้ารู้สึกว่าพ่อบ้านหวังไม่น่ากระทำเรื่องเช่นนี้ เพราะตอนเขายังหนุ่มเคยเป็นทหารคนสนิทของหวังเยวี่ย เคยบาดเจ็บแทนหวังเยวี่ยมาไม่น้อย หวังเยวี่ยปฏิบัติต่อเขาเยี่ยงคนในครอบครัว เขาไม่มีความจำเป็นต้องทรยศหวังเยวี่ย และจากที่ข้าส่งคนไปสืบ นอกจากไปบ่อนพนันเป็นครั้งคราวแล้วเขาก็ไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัยอื่นใด”
ถังฟั่นเดินวนเวียนในห้อง
หากไม่ใช่พ่อบ้านหวัง เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น
แต่เพราะเหตุใดจึงบังเอิญปานนั้น คนที่ฆ่าโจรนั่นต้องการปกปิดสิ่งใดกันแน่
เขาจำได้ ตอนนั้นยืนอยู่หน้าร้านยา มองส่งสิงเส่าจื่อเดินออกไป จากนั้นจึงเห็นพ่อบ้านหวัง…
ทันใดนั้นเขาก็หันขวับมามองวังจื๋อ โพล่งว่า “สิงเส่าจื่อ!”
วังจื๋องุนงง “อะไร”
“สิงเส่าจื่อคนนั้นมีปัญหา! แม่นางตู้บอกว่านางอาศัยอยู่ที่อำเภอก่วงหลิง ต่อให้ออกนอกเมืองก็น่าจะเดินไปทางประตูทิศใต้ไม่ก็ประตูทิศตะวันออก และนางเองก็บอกว่าสามียังรอนางกลับไปต้มยาอยู่ที่บ้าน แต่ครั้นออกจากร้านกลับมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันตกของเมือง”
สุยโจวใช้ความคิด “นางอาจนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อของบางอย่าง จึงอ้อมไปทางฝั่งตะวันตกก่อน”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “ก็เป็นไปได้ แต่เมื่อครู่ข้านึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้จำเป็นต้องยืนยันข้อสันนิษฐานของข้าก่อน”
วังจื๋อใจร้อนอยากลากตัวไส้ศึกออกมาให้ได้มากกว่าใครทั้งหมด พอได้ยินเช่นนั้นก็ถาม “ข้อสันนิษฐานอันใด”
ถังฟั่นมองสุยโจว “โดยปกติในร้านยาต้องทำสำเนาใบสั่งยาของลูกค้าทุกรายเก็บไว้ ท่านฉวยใบสั่งยาที่สิงเส่าจื่อนำมาให้แม่นางตู้ได้หรือไม่”
“ได้นั้นได้ แต่ตอนนี้ยังไม่อาจตัดนางออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้ ไปหยิบฉวยใบสั่งยาต้องสะกิดความสงสัยและการคาดเดาอันไม่จำเป็นของนางแน่ ถ้านางเกี่ยวข้องกับไส้ศึก อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ถังฟั่นชะงักกึก คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าจริง จึงอดกลุ้มมิได้
“แต่ก็ใช่ว่าไม่มีวิธี” สุยโจวกล่าว สายตากลับพุ่งไปที่วังจื๋อ
“…” วังจื๋อนิ่งงัน
“เอ๋?” ถังฟั่นงุนงงแล้ว
“รอได้เลย พรุ่งนี้จะนำใบสั่งยามาให้เจ้า!” วังจื๋อเอ่ยเสียงเหี้ยม “ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ขอตัวก่อน!”
จบคำก็ไม่รอพวกถังฟั่นตอบ ลุกจากไปทันที
ถังฟั่นยังงงงันและกังขา “พวกท่านเล่นปริศนาอันใดกัน”
สุยโจวยิ้มน้อยๆ “แค่ให้ร้านยาจ้งจิ่งไฟไหม้หรือโจรขึ้นก็ใช้ได้แล้ว แต่โจรขึ้นออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง ร้านยาต้องมีคนอยู่ยามในเวลากลางคืนแน่ และการขโมยใบสั่งยาก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล ดังนั้นไฟไหม้น่าจะสะดวกกว่า เรื่องทำนองนี้มอบให้เขาย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว”
และยังได้แกล้งวังจื๋อรอบหนึ่งอย่างแนบเนียนอีกด้วย
ถังฟั่นหมดวาจา วิธีเช่นนี้เขาไม่มีทางคิดออกมาได้แน่
“พวกท่านนี่ช่าง…” ถังฟั่นพยายามสรรหาถ้อยคำ เปลี่ยนจากคำว่า ‘ไม่เลือกวิธีการ’ เป็น… “ช่างมีความคิดแปลกใหม่”
“ชมเกินไปแล้ว! น้ำเต้าหู้เย็นแล้ว อย่าดื่มอีกเลย”
สุยโจวฉวยชามในมือเขาไปหน้าตาเฉย เปลี่ยนเป็นซาลาเปาลูกหนึ่ง
ความเคลื่อนไหวของวังกงกงฉับไวยิ่ง เช้าวันถัดมาถังฟั่นและสุยโจวก็ได้ยินข่าวว่าเมื่อคืนร้านยาจ้งจิ่งเกิดไฟไหม้
ว่ากันว่าโชคดีที่พบรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดถึงแก่ชีวิต เพียงลุกไหม้ยาสมุนไพรบางส่วน อีกทั้งสมุดบัญชีและใบสั่งยาจำนวนหนึ่ง นี่นับว่าโชคดีมหาศาลแล้ว ดังนั้นวันนี้หน้าร้านยาจ้งจิ่งจึงแขวนป้ายประกาศหยุดชั่วคราว เวลานี้ตู้กุยเอ๋อร์กำลังจัดเก็บสิ่งของพร้อมเด็กในร้าน
ถังฟั่นและสุยโจวก็มิได้ออกไป เพียงสนทนาฆ่าเวลาอยู่ในบ้านพัก
จวบจนยามเที่ยง ผางฉีกลับจากข้างนอกพร้อมของกินเล่นที่ถังฟั่นสั่งเขาซื้อหนึ่งหอบใหญ่ และยังมีใบสั่งยาหลายฉบับ
ถังฟั่นหยิบมาดู ล้วนเป็นสำเนาใบสั่งยาที่สิงเส่าจื่อไปซื้อยาที่ร้านยาจ้งจิ่ง
ใบสั่งยามีทั้งหมดห้าฉบับ เรียงตามวันเวลาที่ระบุด้านบนอย่างชัดเจน
“ท่านดูสิ นี่ประหลาดมาก รายชื่อสมุนไพรในใบสั่งยาหลายฉบับนี้ไม่เหมือนกัน โรคที่รักษาก็ต่างกันสิ้นเชิง ต่อให้คนผู้หนึ่งอ่อนแอมีโรครุม ทว่าแต่ละโรคก็ไม่น่าผิดแผกกันปานนี้กระมัง” ถังฟั่นชี้ใบสั่งยาพลางบอกสุยโจว
สุยโจวหยิบฉบับหนึ่งจากในนั้นขึ้นมา ตรวจดูวันที่ น่าจะเป็นใบสั่งยาที่สิงเส่าจื่อนำมาซื้อยาเมื่อคราวก่อน
“นี่รักษาโรคอะไร”
สุยโจวรู้ว่าถังฟั่นมีภูมิความรู้กว้างขวาง ทั้งเข้าใจวิชาแพทย์อยู่บ้าง แม้ไม่ถึงขั้นตรวจคนไข้ได้ แต่การแยกแยะโรคจากรายชื่อสมุนไพรนับว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรง
“ชวนซยง ไฉหู ไป๋จื่อ เซียงฟู่ ไป๋เสา อวี้หลี่เหริน ไป๋เจี้ยจื่อ กันเฉ่า…” ถังฟั่นอ่านออกเสียง คิ้วขมวดเล็กน้อย “นี่เป็นตัวยาของน้ำแกงซ่านเพียน”
“น้ำแกงซ่านเพียน?”
“เป็นตำรับยาโบราณ รักษาอาการปวดข้างศีรษะโดยเฉพาะ คราวก่อนพวกต๋าต๋าไปที่ใดของเมืองต้าถง”
“ด่านเพียนกวน”
ข้อนิ้วขาวผ่องเคาะลงบนโต๊ะ ถังฟั่นพึมพำคำว่าด่านเพียนกวนซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ พลันโพล่งถาม “ดูเหมือนจะเป็นเพราะอำเภอเพียนกวนมีช่องเขาแคบแห่งหนึ่งจึงได้ชื่อนี้ ช่องเขาแคบนั้นเรียกว่า…”
สุยโจวเอ่ยต่อให้ว่า “ด่านเพียนกวน มีอีกชื่อหนึ่งว่าด่านเพียนโถว”
ทั้งสองสบตา ถังฟั่นพลันคว้าใบสั่งยาที่ระบุวันที่ล่าสุดนั้นขึ้นมา
“ไหวหนิวซี กันเฉ่า กุ้ยจือ จินหยินฮวา ไท่จื่อเซิน โก่วฉี หมู่ลี่ ซาเหริน ฉบับนี้น่าจะใช้สำหรับบำรุงกระเพาะและอุ่นม้าม ช่วยการไหลเวียนโลหิตบรรเทาอาการปวดเมื่อย เหน็บชา เมื่อวานสิงเส่าจื่อบอกว่าสามีนางติดอยู่บนเขาคืนหนึ่งจึงได้รับพิษไอชื้นทำให้ปวดขา ดังนั้นจึงเขียนใบสั่งยาเช่นนี้ให้ตนเอง นี่กลับตรงกับโรค ใบสั่งยาก็ไม่ได้พาดพิงถึงอะไร…”
ถังฟั่นมุ่นคิ้ว และรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบเมื่อครู่เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
เขานวดขมับครุ่นคิดอย่างหนัก สุยโจวกลับความคิดว่องไวกว่าเขา “ไหวหนิวซี ซาเหริน ดึงหัวท้ายออกมาอย่างละคำก็กลายเป็นไหวเหริน”
ความคิดของถังฟั่นพลันสว่างวาบ “ใช่แล้ว! ข่าวที่วังจื๋อจงใจปล่อยออกไปก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องอำเภอไหวเหรินมีกำลังทหารอ่อนแอพอดี”
หากคิดตามนี้ก็แสดงชัดว่าในใบสั่งยาเหล่านี้ซุกซ่อนความลับไว้ บ้างใช้ชื่อสมุนไพรเป็นสัญลักษณ์ บ้างใช้ตำรับยาโบราณมาอุปไมย ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันถึงข่าวกรองทางทหารทั้งสิ้น!
วิธีนี้ค่อนข้างพรางตา
ประการแรก ขณะตรวจค้นทั่วเมือง ต่อให้ทหารค้นเจอใบสั่งยาบนตัวสิงเส่าจื่อก็ไม่มีทางพบข่าวสารที่แฝงอยู่ในใบสั่งยาเหล่านี้ แม้กระทั่งถังฟั่น หากมิใช่เผอิญเจอสิงเส่าจื่อที่ร้านยาเมื่อวานก็คงไม่ให้ความสนใจต่อสตรีซึ่งไม่มีอันใดผิดแปลกนางนี้เช่นกัน
ประการสอง ร้านยาจ้งจิ่งออกจะสะดุดตาเกินไป และที่สุยโจวจับตามันเป็นพิเศษก็เพราะร้านยาจ้งจิ่งกับหวังเยวี่ยมีความเหมือนกันตรงที่สามารถเข้าออกประตูเมืองได้โดยอิสระนั่นเอง ดังสำนวน ‘ใต้ไม้ใหญ่ย่อมร่มเย็น’ เมื่อมีร้านยาจ้งจิ่ง บวกกับมีคนสอดแนมที่บนตัวซุกซ่อนจดหมายและถูกจับได้ในที่สุดมาเบี่ยงเบนความสนใจ ช่องทางลับของสิงเส่าจื่อสายนี้จึงลึกยิ่งกว่าลึก
ถังฟั่นถือใบสั่งยาเดินไปเดินมาในห้อง “เช่นนั้นโจรคนเมื่อวานที่ชิงทรัพย์ข้าแล้วต่อมาก็ตายต้องมิใช่เรื่องบังเอิญเด็ดขาด เบื้องหลังเขาต้องมีคนบงการ และคนบงการนั้น…”
เขาหันขวับไปมองสุยโจว “ก็คือเถ้าแก่โรงรับจำนำคนนั้น!”
แววตาสุยโจวแน่วนิ่ง “อืม”
สืบเนื่องจากสิงเส่าจื่อคนนี้ เงื่อนงำทั้งหมดได้รับการผูกโยง ถังฟั่นอดตื่นเต้นมิได้ “ใช่แล้ว เป็นเขาไม่ผิดแน่! ท่านยังจำที่แม่นางตู้บอกได้หรือไม่ นางบอกว่าก่อนสิงเส่าจื่อมาซื้อยาที่ร้านมักต้องแวะเอาของไปจำนำก่อนค่อยมีเงินมาซื้อยา โรงรับจำนำแห่งนั้นตั้งอยู่ตรงหัวถนน คนจำนวนมากจะมาร้านยาจ้งจิ่งจำเป็นต้องผ่านที่นั่น เมื่อวานข้าก็เห็นพ่อบ้านหวังออกมาจากโรงรับจำนำถึงได้ไล่ตาม ตอนนั้นที่ข้าเดินผ่านไป เถ้าแก่โรงรับจำนำก็เห็นข้าเช่นกัน
ถ้าพ่อบ้านหวังไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาคือสิงเส่าจื่อ ก็แสดงว่าเถ้าแก่โรงรับจำนำเห็นข้าไล่ตามไปต้องเข้าใจว่าคนที่ข้าสะกดรอยคือสิงเส่าจื่อ จึงหาโจรคนหนึ่ง ให้เขาไปวิ่งราวถุงเงินข้าเพื่อให้สิงเส่าจื่อมีเวลาหนี กลับคิดไม่ถึงว่าความจริงคนที่ข้าไล่ตามคือพ่อบ้านหวัง กลายเป็นกินปูนร้อนท้อง เปิดโปงฐานะตนเองออกมา”
ไม่ว่าการคาดเดาของเขาถูกต้องหรือไม่ เถ้าแก่โรงรับจำนำยังคงน่าสงสัยที่สุด
สิงเส่าจื่อ พ่อบ้านหวัง และตัวถังฟั่นเอง จุดตัดหนึ่งเดียวของพวกเขาทั้งสามก็คือโรงรับจำนำแห่งนั้น
สุยโจวผุดลุกขึ้น “ข้าจะนำกำลังคนไปเดี๋ยวนี้”
ถังฟั่นกล่าว “ข้าไปกับท่านด้วย”
“ได้ยินว่าเมื่อคืนร้านยาจ้งจิ่งไฟไหม้!”
“หา? ไม่มีคนตายกระมัง”
“ไม่มี ได้ยินว่าเด็กที่อยู่เฝ้าร้านตอนกลางคืนเห็นเข้าเสียก่อน จึงแค่ไหม้ของบางส่วน”
“นั่นเพราะพระพุทธองค์คุ้มครองโดยแท้ ท่านหมอผู้เฒ่าตู้จิตใจดี รักษาคนไข้โดยไม่เก็บเงินเสมอ ทำดีได้ดีจริงๆ”
“ใช่ คราวก่อนเกิดไฟไหม้แถวฝั่งตะวันออก บ้านนั้นโดนไฟคลอกตายหมดทั้งห้าคน สภาพสยดสยองมาก จุๆ ตอนนั้นข้ายังไม่กล้าดูเต็มตาเลย เถ้าแก่จิน ข้าว่าท่านเข้าใจเลือกทำเลเปิดโรงรับจำนำได้ดี เพราะมีร้านยาจ้งจิ่ง พวกคนไข้ที่ไม่มีเงินหาหมอล้วนต้องเอาของมาจำนำกับท่าน”
สองหูของเถ้าแก่จินฟังเพื่อนบ้านสนทนาพาที มือก็ดีดลูกคิดเร็วรี่ ไม่แม้แต่ช้อนสายตาขึ้น เพียงยิ้มกล่าว “ดูท่านพูดเข้า หรือมีแต่ข้าที่กิจการค้ารุ่งเรือง พวกท่านมิใช่รุ่งเรืองเช่นกันหรือ”
“ฮ่าๆ ด้วยบุญบารมีของร้านยาจ้งจิ่ง ทุกคนล้วนรุ่งเรือง วันดีๆ ยังมีอีกมาก ขอแค่ชาวต๋าต๋าอย่าได้เข้ามาบ่อยนัก ทุกคนจะได้อยู่เย็นเป็นสุข” เถ้าแก่ร้านขายผ้ายิ้มกล่าว
“จะว่าไป นับวันดูแล้ว นี่ชาวต๋าต๋าคงใกล้มาแล้วกระมัง” ผู้กล่าวคือเถ้าแก่ร้านอัญมณีที่อยู่ตรงข้ามร้านขายผ้า
“ทำเป็นปากดี พอมาก็กลัว พอไม่มากลับเพ้อหา”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ปกติช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิพวกต๋าต๋ามักบุกเข้ามาปล้นสะดม ถ้าไม่มาจริงๆ ข้ากลับรู้สึกใจคอไม่ดี ต้องได้ข่าวว่าพวกมันจะมาค่อยสบายใจหน่อย!”
“พวกมันคงไม่กล้ามาแล้วกระมัง” เถ้าแก่จินกล่าวต่อ มือยังคงดีดลูกคิดเสียงดังก้อง “นับแต่แม่ทัพหวังมาประจำการที่เมืองต้าถง พวกต๋าต๋าคงเกรงกลัวไม่น้อย!”
“พักก่อนได้ยินว่าแม่ทัพหวังแตกคอกับขันทีวังแล้วมิใช่หรือ ถึงกับพาคนไปถึงที่ค่ายอวิ๋นชวนด้วยความโกรธจัด เฮ้อ อยู่ดีๆ ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ แวดวงขุนนางล้วนแต่ขัดแข้งขัดขา ฆ่าคนได้โดยไม่จำเป็นต้องเห็นโลหิต ก็เหมือนกับคนทำการค้าอย่างพวกเรา อดไม่ได้ต้องหักเหลี่ยมเฉือนคมกับลูกค้าประจำ เพื่ออะไร ก็เพื่อกำไรนั่นเอง!” เถ้าแก่ร้านขายผ้าพูดพลางเบะปาก
ในที่สุดเถ้าแก่จินก็คิดบัญชีในมือเสร็จสิ้น เงยหน้าขึ้นมายิ้มกล่าว “นี่มิใช่สิ่งที่พวกเราควรสนใจ ยิ่งมิใช่เรื่องของพวกเรา พวกเราแค่ใช้ชีวิตของตนเองให้ดีก็พอแล้ว เหตุใดต้องสนใจว่าแม่ทัพหวังหรือแม่ทัพจาง ถึงเวลาพอพวกต๋าต๋าบุกมา ไม่ว่าใครก็ต้องวิ่งหนีอยู่ดี”
“นั่นไม่เหมือนกัน ปีที่แล้วข้าไม่ได้หนี มีแม่ทัพหวังทั้งคน พวกต๋าต๋าไม่อาจบุกเข้าเมือง…” เถ้าแก่ร้านอัญมณีพูด แต่ยังพูดไม่จบก็หยุดกึก บรรดาคนว่างจัดเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่หลายคนปราดเข้ามา ล้วนพากันเก็บงำสุ้มเสียง
เถ้าแก่จินตะลึงวูบ รีบฉีกยิ้ม “ทุกท่าน ไม่ทราบมีธุระอันใด จะจำนำสิ่งของ หรือ…”
ท่าทางเช่นนี้ดูก็รู้ว่าผู้มาไม่ประสงค์ดี อย่างไรก็ไม่คล้ายต้องการจำนำสิ่งของ กลุ่มชายฉกรรจ์มิได้ส่งเสียง เพียงแยกยืนสองฝั่งประตู เปิดทางให้อีกสองคนด้านหลังเข้ามา
“เถ้าแก่ ยังจำข้าได้หรือไม่” ถังฟั่นถามยิ้มๆ
เถ้าแก่จินพินิจละเอียด สั่นหน้า “จำไม่ได้”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เมื่อวานข้าเดินผ่านหน้าร้านท่าน ยังสบตากับเถ้าแก่อยู่เลย”
เถ้าแก่จินยิ้มเจื่อน “ดูท่านพูดเข้า ผู้ชราแม้ความจำไม่เลว แต่ก็ไม่ถึงกับจำคนที่เดินผ่านหน้าร้านได้หมด”
ถังฟั่นอมยิ้ม “เช่นนั้นท่านจำสิงเส่าจื่อได้หรือไม่”
“คนนี้ข้าจำได้ นางเอาของมาจำนำบ่อยๆ”
ถังฟั่นล้วงห่อผ้าในอกเสื้อออกมา เทเงินสองก้อนนั้น “แล้วจำสิ่งนี้ได้หรือไม่”
เถ้าแก่จินยิ้มเจื่อนอีกครั้ง “นี่ท่านจงใจแกล้งคนชัดๆ โรงรับจำนำมีเงินผ่านมือนับร้อยนับพันทุกวัน ข้าไหนเลยจะจดจำได้”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ดูท่าเวลาสั้นๆ คงถามตอบไม่ได้ความแจ่มแจ้ง มิสู้ท่านตามพวกเรากลับไปค่อยๆ เจรจาเถอะ”
เพิ่งขาดคำบุรุษสองคนด้านหลังก็พุ่งเข้ามาประกบเถ้าแก่จินทั้งซ้ายขวา ทำให้เขามิอาจขยับตัว
“นี่…นี่จะทำอะไร! หรือเมืองต้าถงไม่มีกฎหมายแล้ว!” เถ้าแก่จินเอะอะโวยวาย
“พวกท่านออกจะหยาบคายเกินไปแล้ว หากขัดแย้งอันใดกับเถ้าแก่จินก็ร้องเรียนทางการสิ แถวนี้ไม่ชมชอบวิธีป่าเถื่อน!” เถ้าแก่ร้านอัญมณีทนดูไม่ได้จึงขึ้นหน้ากล่าว
เถ้าแก่ร้านขายผ้าทำท่าจะย่องออกไป กลับพบว่าปากประตูถูกกั้นไว้ด้วยคนของฝ่ายตรงข้าม จึงอดโวยวายมิได้ “พวกท่านบุกเข้ามาจับคนตามอำเภอใจได้อย่างไร ข้าน่ะรู้จักกับใต้เท้านายอำเภอเชียวนะ”
“องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติภารกิจ ไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่น” สุยโจวเอ่ยคำเดียวก็อุดปากทุกคนสนิท
ทันทีที่ได้ยินคำว่าองครักษ์เสื้อแพร อย่าว่าแต่เถ้าแก่จินเลย สองคนที่เหลือก็พลันตัวสั่นงันงก ตกใจจนหน้าซีดแล้ว
สุยโจวไม่สนใจท่าทีของพวกเขา โบกมือให้ผางฉีนำตัวสองคนนั้นกลับไปก่อน เขากับถังฟั่นยังรั้งอยู่ในโรงรับจำนำ
ถังฟั่นจ้องมองเถ้าแก่จิน “สิงเส่าจื่อกับเจ้ามีความเกี่ยวพันอันใด โจรที่วิ่งราวข้าเมื่อวานนี้เป็นเจ้าบงการใช่หรือไม่”
เถ้าแก่จินยิ้มเจื่อน “ใต้เท้า ต่อให้เป็นองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่อาจใส่ความผู้อื่นเช่นนี้นะขอรับ ข้าน้อยเป็นแค่ลูกจ้างดูแลโรงรับจำนำเท่านั้น ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไหนเลยจะรู้จักโจรขโมย ข้าน้อยบอกแล้ว นางเอาของมาจำนำที่นี่บ่อยๆ ดังนั้นจึงจำได้ เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ขอรับ”
ถังฟั่นค่อนข้างใจเย็น ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “ก่อนมาพวกเราตรวจสอบประวัติเจ้าแล้ว เจ้าไม่ใช่คนพื้นที่ หลายปีก่อนเพราะหนีภัยแล้งจึงอพยพมาอยู่ที่นี่ เป็นเถ้าแก่ของโรงรับจำนำฝูจี้ รายรับทุกเดือนก็ไม่น้อย กลับไม่เสพติดสุราและนารี แม้แต่บุตรภรรยาก็ไม่มี โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่อยากได้ใคร่ดี หากเป็นเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่ว่าคนผู้นี้ปราศจากลับลมคมใน
ท่าทีของเจ้าเมื่อครู่นี้อันที่จริงได้ทรยศเจ้าเรียบร้อยแล้ว คนปกติสมควรเหมือนสองคนนั้น ตกใจ ขุ่นเคือง และไม่กล้าต่อต้าน ส่วนเจ้า หลังจากได้ยินพวกเราเปิดเผยฐานะกลับยังคงเยือกเย็น แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ เยือกเย็นเกินไปกลับจะเป็นการเปิดโปงตนเอง”
เถ้าแก่จินกลับแย้งว่า “ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นเถ้าแก่ที่นี่มาหลายปีแล้ว พบเห็นเรื่องราวใหญ่น้อยนับไม่ถ้วน ย่อมเยือกเย็นเป็นธรรมดา นี่มีอันใดผิดแปลก”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “เจ้าพบเห็นเรื่องราวนับไม่ถ้วน สองคนเมื่อครู่ก็เปิดร้านบนถนนเส้นนี้เช่นกัน ทุกวันพวกเขาไยมิใช่พบเห็นผู้คนเช่นเดียวกับเจ้า หรือพวกเขาพบเห็นเรื่องราวน้อยกว่า? ไฉนพวกเขาแตกตื่นตกใจ เจ้ากลับยังสุขุมอยู่ได้”
“จะพูดมากไปไย พอใช้เครื่องทรมาน แม้แต่ผู้มีอำนาจก็ปากแข็งไม่อยู่!”
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกตามหลังสุ้มเสียงมาติดๆ
ที่ประหลาดคือองครักษ์เสื้อแพรที่เฝ้าประตูอยู่กลับมิได้ขัดขวาง
ทันทีที่เห็นผู้มา สีหน้าเถ้าแก่จินพลันแปรเปลี่ยน
สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ความโหดเหี้ยมขององครักษ์เสื้อแพรขึ้นชื่อปานใด ล้วนเทียบไม่ได้กับบารมีชื่อเสียงของวังจื๋อในต้าถงช่วงสองปีนี้
ภายในเมืองต้าถงชาวบ้านล้วนจำขันทีวังท่านนี้ได้
ชื่อเสียงของคนเสมือนร่มเงาของต้นไม้ ยิ่งแผ่ไกลยิ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ทันทีที่วังจื๋อปรากฏตัว กระทั่งเถ้าแก่จินยังรู้สึกพรั่นพรึงขึ้นมาแล้ว
วังจื๋อกลับรวบรัดยิ่ง เห็นเขาไม่ส่งเสียงก็ยกเข่ากระแทกใส่จุดอ่อนแอของผู้อื่นเต็มรัก
เพียงได้ยินเสียงทึบคราหนึ่ง หัวใจของทุกผู้คนในที่นั้นล้วนสะท้านเฮือก
สีหน้าเถ้าแก่จินพลันเหยเก ก็ไม่ทราบวังจื๋อเอาเศษผ้าจากที่ใดออกมายัดใส่ปากเขา ทำให้เขาอยากร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่อือๆ อาๆ อยู่ในคอ
ถังฟั่นได้ยินเสียงนี้ รู้สึกได้ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งคงแตกหักไปแล้ว และราวกับประสบกับตนเองก็ไม่ปาน ทำให้เขาพลอยเผยสีหน้าเสียวสยองไปด้วย
วังจื๋อเห็นเข้าก็เอ่ยน้ำเสียงรังเกียจ “เจ้าจะปั้นหน้าไปไย เจ้ามิได้โดนเตะสักหน่อย”
“…ข้าเจ็บแทน” ถังฟั่นคราง
วังจื๋อยิ้มเยาะ “ไม่ได้เรื่อง!”
ทว่าเขากลับพบว่ามิใช่แต่ถังฟั่นที่ไม่ได้เรื่อง กระทั่งสุยโจวและพวกผางฉีก็ล้วนหนังหน้ากระตุกเบาๆ เช่นกัน
ชัดเจนว่าการกระทำของเขาเมื่อครู่สามารถทำให้บุรุษทั่วหล้ารู้สึกเหมือนตนเองเป็นผู้ประสบภัย
“ไม่ต้องมองเข้าไปหรอก ประตูหลังก็โดนพวกเรากันไว้หมดแล้ว เด็กในร้านเจ้าก็หนีไม่พ้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เขารู้ย่อมไม่มากเท่ากับเจ้าแน่นอน พวกเราหามีความสนใจต่อเขาไม่”
วังกงกงไม่ใส่ใจพวกถังฟั่น เขาจ้องเถ้าแก่จินเขม็งราวกับงูพิษจ้องเหยื่อ “ข้าเดาว่าต่อให้เจ้าไม่มีลูกเมีย ก็คงไม่อยากกลายเป็นขันทีกระมัง ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้ายังพอรักษาได้ แต่หากยังไม่ตอบตามจริง หึๆ เช่นนั้นก็พูดยากแล้ว!”
ในสายตาถังฟั่น เพียงรู้สึกรอยยิ้มของวังจื๋อใช้คำว่าแสยะยิ้มมาอธิบายจะเหมาะกว่า
“ให้เวลาเจ้าหนึ่งเค่อ อย่าหาว่าข้าวังจื๋อไม่ปรานี” วังจื๋อปัดมือไปมา ชำเลืองกาน้ำหยดด้านข้างแวบหนึ่ง ไม่รอเถ้าแก่จินตั้งตัวก็กล่าวว่า “สาม สอง หนึ่ง เอาล่ะ หมดเวลา คิดเสร็จแล้วหรือยัง”
เขาดึงผ้าในปากเถ้าแก่จินออกมา
“นะ…ไหนว่าหนึ่งเค่อ…” เถ้าแก่จินเบิกตากว้าง เพราะเจ็บมาก น้ำเสียงจึงแตกพร่า
“นั่นมันหนึ่งเค่อของเจ้า ไม่ใช่หนึ่งเค่อของข้า” วังกงกงยิ้มเหี้ยม
เถ้าแก่จินตื่นสะท้านไปกับความเผด็จการและไร้เหตุผลของอีกฝ่าย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถังฟั่นกลั้นยิ้มอย่างยากเย็นเมื่อเห็นสีหน้าเหลือเชื่อของเถ้าแก่จิน
เขานึกถึงคำพูดหนึ่งขึ้นมา…คนเลวย่อมมีคนเลวกว่ากำราบ
ไม่ให้เวลาเถ้าแก่จินรวนเร วังจื๋อหยิบมีดสั้นในตัวออกมา ชักออกจากฝัก เห็นประกายคมปลาบ รับรองฉับเดียวขาดสะบั้น
“เอาล่ะ ถ้าไม่พูด ข้าก็จะตรงไปตรงมา เจ้าวางใจ ชราภาพเยี่ยงเจ้าไม่มีวันได้เข้าวังแน่ แต่บนโลกนี้ยังมีคนแปลกประหลาดที่ชื่นชอบทางเข้าเช่นนั้น ไม่แน่ถึงเวลานั้นเอาเจ้าไปทิ้งในหอหนานเฟิง เจ้าอาจได้รับความกำซาบซ่านอีกครั้ง ไม่ต้องดีดลูกคิดอยู่ที่นี่ทุกวี่วันแล้ว!”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มชวนสะพรึง ยกมือเตรียมตวัดมีด รวบรัดตัดความอย่างยิ่ง
“ข้าพูดแล้ว!!!”
เถ้าแก่จินแทบกรีดร้องคำนี้ออกมาจากลำคอก็ว่าได้ เส้นเสียงเปี่ยมพลังทะลุทะลวง ทำเอาพวกถังฟั่นแก้วหูสะเทือน
แสดงให้เห็นว่าชั่วขณะนั้นความพรั่นพรึงในใจเถ้าแก่จินได้บรรลุถึงระดับใด
“ข้า…ข้า…ข้าพูด…” เถ้าแก่จินน้ำตาไหลเป็นทาง ไหนเลยยังปากคอฉะฉานไม่สะทกสะท้านเช่นครู่ก่อน
“เช่นนั้นก็พูดสิ!” วังจื๋อตวาด
เถ้าแก่จินตัวสั่นเทา น้ำตานองหน้า มองเขาอย่างงงงัน “…พูด…พูด…พูดอันใด”
เขาขวัญผวาจนสมองตื้อไปแล้ว พริบตานั้นยังตั้งสติไม่ทัน
วังจื๋อเตือนด้วยความหวังดี “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับสิงเส่าจื่อคนนั้น”
เถ้าแก่จินตื่นรู้ทันใด “ใช่ๆ เป็นข้าส่งต่อข่าวสารให้นางเอง!”
“ส่งต่ออย่างไร”
“ทุกระยะหนึ่งจะมีคนมาบอกข่าวสารต่อข้า ข้าบอกต่อสิงเส่าจื่อ แล้วนางค่อยส่งถึงนอกเมืองอีกที”
“พูดให้กระจ่างหน่อย อย่าให้ข้าต้องถามทีละข้อ!”
หมื่นเรื่องเพียงยากที่เริ่มต้น เมื่อเปิดปากแล้ว ถัดมาก็ง่ายขึ้นมาก
เถ้าแก่จินกล้ำกลืนความเจ็บ พยายามกล่าววาจาให้ลื่นไหลขึ้น “อย่างเช่นคราวนี้…มีคนเอาใบสั่งยาให้ข้า เมื่อสิงเส่าจื่อมา ข้าก็อ่านใบสั่งยาให้นางฟัง สามีนางเป็นหมอ นางเองก็แตกฉานวิชาแพทย์ ย่อมทราบว่าจะดัดแปลงใบสั่งยาอย่างไรให้สอดคล้องกับโรค จากนั้นนำใบสั่งยาออกนอกเมือง ถึงเวลานั้นย่อมมีคนมารับช่วงต่อ ข่าวกรองทางทหารก็พรางอยู่ในใบสั่งยานั้นนั่นเอง”
“ใครเป็นคนนำใบสั่งยามาให้เจ้า”
ถึงตอนนี้เถ้าแก่จินกลับละล้าละลังขึ้นมา
ถังฟั่นเอ่ยแทรก “เป็นพ่อบ้านหวังของจวนแม่ทัพ?”
เถ้าแก่จินสั่นหน้าระรัว
วังจื๋อกลับไม่มีความอดทนเช่นถังฟั่น เขาเงื้อมีดขึ้นมาแล้ว
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าการใช้กำลังทำให้คนศิโรราบได้ง่ายกว่าความอ่อนโยน โดยเฉพาะคนอย่างเถ้าแก่จิน
ลูกตาเขาเบิกโต ละล่ำละลักว่า “ข้าทราบ ข้าทราบแล้ว อย่าลงมือ คนผู้นั้นก็คือคนในจวนท่าน”
“ใคร!” วังจื๋อตะคอก
เถ้าแก่จินไม่กล้าหายใจแรง “ติงหรง เป็นติงหรง!”
ถังฟั่นพลันนึกได้ คราวก่อนหลังจากตนโดนวังจื๋อตบ ติงหรงเดินออกมาส่งเขา ยังแสดงความห่วงใยบอกให้เขาไปทาซันชีไม่ก็ผูหวง นี่บ่งชัดว่าติงหรงเองก็มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรพอสมควร ดังนั้นการที่เขาสามารถคิดวิธีส่งต่อข่าวสารเช่นนี้ได้ก็มิใช่เรื่องแปลก
คนโดยมากมักไม่ค่อยให้ความสนใจต่อบทสนทนาทั่วไปที่ไร้ความสำคัญชนิดนี้ แต่เมื่อใดที่เกิดเรื่องแล้วย้อนนึกกลับไป จะพบว่าความจริงแล้วเงื่อนงำก็ซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องธรรมดาสามัญเหล่านี้นั่นเอง
เขายังจำได้อีกว่าวังจื๋อเคยกล่าวแต่แรกแล้ว คนที่สามารถรับรู้ข่าวกรองทางทหาร นอกจากเขาและหวังเยวี่ยก็มีเพียงคนสนิทข้างกายพวกเขาและพวกขุนพลใต้บัญชากลุ่มนั้น
และก่อนการประชุมแผนการรบทุกครั้ง หวังเยวี่ยและวังจื๋อจะหาข้อสรุปให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันก่อน เพื่อเลี่ยงมิให้ทั้งคู่ถกเถียงกันต่อหน้าผู้คน จนผู้ใต้บัญชาไม่รู้จะปฏิบัติตามคำสั่งใคร
ในเมื่อมิใช่เขากับหวังเยวี่ยแพร่งพรายออกไป เช่นนั้นคนสนิทข้างกายพวกเขาก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด
แต่ปัญหาคือในเมื่อเป็นคนสนิท ย่อมได้รับความไว้วางใจอย่างสูงจากเจ้านาย เฉพาะแค่ติงหรง คนผู้นี้ติดตามวังจื๋อมาตั้งแต่ครั้งเริ่มเปิดสำนักประจิม บวกกับต่างฝ่ายต่างเป็นขันที ติงหรงจึงได้รับความเชื่อใจจากวังจื๋อยิ่ง กระทั่งมาอยู่ต้าถงเขายังนำคนผู้นี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย เห็นได้ว่าความไว้เนื้อเชื่อใจมิใช่ระดับธรรมดา
ติงหรงก็มิได้สร้างความผิดหวังแก่วังจื๋อเช่นกัน งานทุกชิ้นล้วนจัดการได้เป็นอย่างดี ทั้งนิสัยก็ฉลาดหัวไว มักเห็นหนึ่งก้าวคิดสามก้าว ช่วยแบ่งเบาภาระให้วังจื๋อเสมอ
บุคคลเช่นนี้แม้ในความเป็นจริงจะรู้ว่าเข้าข่ายน่าสงสัย หากในความรู้สึกวังจื๋อก็ยากจะคลางแคลงไปถึงเขา
ทว่าเถ้าแก่จินกลับเอ่ยชื่อติงหรงออกมา
วังจื๋อมองเขาด้วยสีหน้าอำมหิต แววตานั้นประหนึ่งมองดูคนตายก็มิปาน เถ้าแก่จินหวาดกลัวแทบปัสสาวะราดแล้ว สีหน้าอับเฉาห่อเหี่ยว สุ้มเสียงกระท่อนกระแท่น “ข้าไม่ได้โกหก! ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ! ทุกครั้งเขาล้วนเป็นฝ่ายมาหาทั้งสิ้น บางทีมาหาข้า บางทีมาหาเจ้านายข้า แต่เพื่อป้องกันฐานะเปิดเผย พวกเราจึงไม่อาจไปหาเขาได้”
ก่อนวังจื๋อจะลุแก่โทสะ ถังฟั่นรีบชิงถามปัญหาอื่น “เช่นนั้นเท่ากับว่าโจรที่วิ่งราวถุงเงินข้าเมื่อวานนี้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ?”
“ใช่ๆ เป็นข้าสั่งให้เขาทำ เพราะสิงเส่าจื่อเพิ่งผละไป ท่านก็ไล่ตามมาติดๆ ข้ากลัวสิงเส่าจื่อจะถูกจับได้ จึงให้คนผู้นั้นไปวิ่งราวถุงเงินของท่าน เพื่อสิงเส่าจื่อจะได้มีเวลาหลบหนี”
“ต่อมาเขาถูกฆ่าปิดปากก็เป็นฝีมือเจ้าเช่นกัน?” ถังฟั่นถามต่อ
“ใช่ ข้ากลัวว่าหลังถูกพวกท่านจับได้เขาจะซัดทอดถึงข้า จึงป้ายยาพิษบนเงินที่จะให้เขา คนที่ปล้นชิงวิ่งราวหาเลี้ยงชีพ หลังเสร็จงานต้องตรวจสอบเงิน แค่เอาเข้าปากพิษก็จะกำเริบ…”
ถังฟั่นกล่าว “แผนอุบายที่รัดกุมนัก เสียดายคนที่ข้าสงสัยในตอนนั้นกลับมิใช่สิงเส่าจื่อ แต่เป็นพ่อบ้านหวัง เจ้ากินปูนร้อนท้อง กลับกลายเป็นเปิดโปงตนเองเสียแล้ว!”
เถ้าแก่จินปั้นหน้าเศร้า ตอนนี้พูดอันใดล้วนสายไปแล้ว
ถังฟั่นถามอีกว่า “เช่นนั้นคนที่รับช่วงต่อจากสิงเส่าจื่อคือใคร”
เถ้าแก่จินสั่นหน้า “ไม่ทราบ พวกเราติดต่อกันแบบทางเดียว ข้าได้รับข่าวสารจากติงหรง จากนั้นแค่ส่งต่อให้สิงเส่าจื่อตอนนางมาที่นี่เท่านั้น” เห็นทุกคนล้วนสีหน้าไม่เป็นมิตร เขารีบกล่าวเสริม “แต่ข้ารู้ว่าสิงเส่าจื่ออยู่ที่ใด พวกท่านไปหานางได้!”
“เจ้าเป็นคนของใคร พวกต๋าต๋า? หรือลัทธิบัวขาว?” ถังฟั่นถาม
“ปีนั้นบ้านเดิมข้าเกิดภัยแล้ง คนในครอบครัวล้วนตายเกลี้ยง ข้าเองระหว่างหนีภัยแล้งก็เกือบหิวตาย สุดท้ายมีคนช่วยไว้ ต่อมาค่อยทราบว่าพวกเขาเป็นคนของลัทธิบัวขาว ข้าคิดแค่ว่ามีข้าวกินก็พอใจแล้ว ดังนั้นพวกเขาให้ข้าเข้าลัทธิข้าก็เข้า แต่จนบัดนี้ข้ายังคงเป็นแค่สาวกทั่วไป…”
“บนตัวเจ้ามีรอยสักของลัทธิบัวขาว?”
“มีๆ อยู่ตรงเอว!”
องครักษ์เสื้อแพรเลิกเสื้อเขาขึ้นตรวจดู เห็นรอยสักเล็กจิ๋วรูปบัวบานสักอยู่ข้างเอวซ้ายจริง
ตอนนั้น ขณะที่ถังฟั่นเดินลึกเข้าไปในหมู่บ้านร้างนอกเมืองหลวงเพื่อช่วยอาตง เผอิญได้พบจิ่วเหนียงจื่อ ทูตที่ลัทธิบัวขาวส่งไปยังพรรคหนานเฉิง อีกฝ่ายก็เคยบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องรอยสักของลัทธิบัวขาว ทั้งยังขู่เข็ญแกมหลอกล่อจะให้เขาสักรอยสักเช่นนี้เช่นกัน
ทว่าจะเป็นหลี่มั่นก็ดี จิ่วเหนียงจื่อก็ดี บนตัวพวกเขากลับไม่มีรอยสักอันใด ดังนั้นต่อมาพวกถังฟั่นจึงสันนิษฐานว่ารอยสักนี้น่าจะเตรียมไว้สำหรับสาวกระดับล่างเท่านั้น เพื่อควบคุมพวกเขา ทำให้ไม่กล้าทรยศลัทธิ
อย่างที่ทราบกันดีว่าราชสำนักโจมตีลัทธิบัวขาวอย่างหนักหน่วง เมื่อใดที่พบเห็นคนมีรอยสักนี้จะลงทัณฑ์สถานหนัก ด้วยเหตุนี้เองเถ้าแก่จินจึงซื่อสัตย์ยิ่ง ไม่กล้าคิดคด กระทั่งไม่กล้าแต่งภรรยา เพราะเกรงจะเดือดร้อนถึงครอบครัวในภายหน้า
“หมายความว่าเจ้าของโรงรับจำนำแห่งนี้ก็คือคนของลัทธิบัวขาว?” ถังฟั่นถาม
“น่าจะใช่ขอรับ หลังจากข้าเข้าลัทธิก็มาอาศัยอยู่ที่โรงรับจำนำแห่งนี้ตามคำสั่งของพวกเขา ทว่าแทบไม่เคยเห็นเจ้าของร้านเลย เรียกว่าข้าเป็นคนดูแลจัดการที่นี่คนเดียวก็ว่าได้ พวกเขาคล้ายเอาที่นี่เป็นจุดผ่อนถ่ายทรัพย์สินโดยใช้โรงรับจำนำบังหน้า”
เถ้าแก่จินโดนวังจื๋อข่มขู่จนสารภาพหมดเปลือก
สำหรับเขาแล้ววังจื๋อยังน่ากลัวกว่าลัทธิบัวขาวมากนัก
ถังฟั่นขมวดคิ้ว “ก็แปลว่าลัทธิบัวขาวมีขุมกำลังมหาศาลอยู่ในเมืองนี้?”
“ไม่ขอรับ นับแต่แม่ทัพหวังและวังกงกงมาถึงก็โจมตีลัทธิอย่างหนัก ทำให้ได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ขุมกำลังส่วนใหญ่ไม่อาจไม่ถอนกำลังออกไป เท่าที่ข้าทราบเวลานี้เหลือเพียงติงหรงกับข้าเพียงสายเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถึงกับต้องใช้วิธีลับเฉพาะเช่นนี้มาส่งต่อข่าวสารหรอก ก็อย่างที่ใต้เท้าเห็น นานเข้าย่อมจะถูกจับได้ หากมีหลายช่องทางก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นนี้”
นับว่าเขายังซื่อสัตย์ ถังฟั่นผงกศีรษะขึ้นลง “เช่นนั้นติงหรงเล่า เขามีฐานะใดในลัทธิบัวขาว”
เถ้าแก่จินปั้นหน้าเศร้า “ข้าก็ไม่ทราบ เจ้าของร้านเพียงให้ข้าฟังคำสั่งเขาคนเดียว แต่ข้าได้ยินเลาๆ ว่าเจ้าของร้านเหมือนจะเป็นรองหัวหน้าสาขาของลัทธินี้”
“เจ้ารู้ที่อยู่ของเขาหรือไม่” ถังฟั่นถาม
เถ้าแก่จินรีบโพล่ง “ทราบขอรับ ข้าน้อยสามารถทำคุณไถ่โทษ พาพวกท่านไปได้!”
แม้เขาได้รับความช่วยเหลือจากลัทธิบัวขาว แต่ลัทธิบัวขาวช่วยเขาก็เพื่อไว้ใช้สอยเท่านั้น หลายปีมานี้เถ้าแก่จินอกสั่นขวัญผวาจนไม่กล้ามีครอบครัว ช่างทุกข์ทรมานโดยแท้ ยามนี้สารภาพความจริง สำหรับเขาแล้วกลับถือเป็นการหลุดพ้นชนิดหนึ่ง
ได้ยินเขาพูดว่าทำคุณไถ่โทษ วังจื๋อมีหรือจะฟังไม่ออกถึงความคิดของเขา พลันแค่นหัวเราะเหี้ยมเกรียม
เถ้าแก่จินอดตัวสั่นเพราะเสียงหัวเราะของเขามิได้ หากมิใช่สองมือโดนจับไว้ เขาคงได้กุมเป้ากางเกงไปแล้ว
ที่ควรถามล้วนถามแล้ว ถังฟั่นสบตาสุยโจวและวังจื๋อแวบหนึ่ง เห็นพวกเขาไม่มีอันใดจะกล่าว จึงบอกวังจื๋อ “ข้ากับก่วงชวนไปหาสิงเส่าจื่อตามที่เขาบอก ท่านกับเขาไปหาติงหรง เป็นอย่างไร”
วังจื๋อตอบอืมคำหนึ่ง มิได้กล่าวพร่ำเพรื่อก็คว้าตัวเถ้าแก่จินเดินออกนอกร้านไป
สีหน้าของเขาดำทะมึนแทบหยดเป็นน้ำหมึกออกมาแล้ว เถ้าแก่จินถูกเขาคว้าไว้ในมือเหมือนอินทรีคว้าลูกเจี๊ยบ ถึงกับไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ
วกไปวนมา ติงหรงกลับกลายเป็นคนของลัทธิบัวขาวเสียนี่ ซ้ำยังอยู่ข้างกายวังจื๋อมาตลอด กระทั่งเป็นคนสนิทอีกด้วย ความจริงประการนี้ทำให้วังจื๋อสุดจะยอมรับได้ ดังนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีก็ถือเป็นเรื่องปกติ
เรื่องราวไม่ควรรอช้า ถังฟั่นก็ไม่มีแก่ใจไปกลัดกลุ้มแทนวังจื๋อ เขากับสุยโจวหารือกันเสร็จก็เร่งกลับไปเอาม้าดีหลายตัวที่บ้านพักรับรอง ก่อนมุ่งหน้าสู่อำเภอก่วงหลิง
จากที่อยู่ซึ่งเถ้าแก่จินให้มา คณะเดินทางเสาะหาพลางสอบถามไปพลาง ไม่นานก็เจอบ้านสกุลเจียงซึ่งตั้งอยู่ตรงเชิงเขาเชียนฝู
หมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านสกุลเจียงก็คือบ้านเดิมของหมอเจียงสามีของสิงเส่าจื่อนั่นเอง
พวกถังฟั่นปรากฏตัวกะทันหัน สร้างความแตกตื่นให้แก่หมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งนี้
ยามนั้นสิงเส่าจื่อกำลังถืออาหารสัตว์เดินออกมาจากด้านใน เตรียมนำไปโปรยให้ลูกเจี๊ยบในลานบ้าน ครั้นเห็นพวกผางฉีบุกเข้ามาก็พลันตกใจจนชามหลุดมือ ก่อนหมุนตัววิ่งเข้าบ้านไป
พวกผางฉีมีหรือจะให้เวลาอีกฝ่ายวิ่งหนี พลันพุ่งปราดเข้าไป จับสามีภรรยาสกุลเจียงไว้ได้ในบัดดล
ถังฟั่นกับสุยโจวเดินเข้าไปช้ากว่าก้าวหนึ่ง ค่อยพบว่ายามนี้สิงเส่าจื่อมิได้คิดหลบหนีสักนิด นางฟุบอยู่หน้าเตียง กุมมือบุรุษบนเตียงไว้แน่น ฝ่ายหลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ครั้นเห็นพวกถังฟั่นก็พลันเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
ในห้องเล็กอบอวลด้วยกลิ่นยา เห็นชัดว่าเจ้าของห้องนี้กำลังป่วย และมิใช่เพิ่งป่วยแค่วันสองวัน
ดูท่าสิงเส่าจื่อก็มิได้กล่าวเท็จเสียทั้งหมด สามีนางกำลังล้มป่วยจริง
ถังฟั่นมองไปทางบุรุษผู้นั้น “ท่านคือหมอเจียงกระมัง”
“พวกท่านเป็นใคร พวกเราเป็นชาวบ้านทั่วไป ไม่มีทรัพย์สินอันใด ใต้เท้าทุกท่านโปรดละเว้นพวกเราสองคนด้วยเถอะ หากต้องการสิ่งใดก็เชิญนำไปได้เลย”
หรือเห็นพวกเขาเป็นโจรปล้นทรัพย์ไปแล้ว? ถังฟั่นรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
“กระทำเรื่องใดไว้ตนยังไม่กระจ่างอีกหรือ สมคบศัตรู ส่งข่าวทางทหารให้ชาวต๋าต๋า เฉพาะแค่ความผิดประการนี้ก็เพียงพอให้แขวนคอได้แล้ว! เถ้าแก่จินล้วนสารภาพหมดสิ้น ซึ่งเขาสมควรสารภาพอันใดพวกท่านคงทราบ”
สิงเส่าจื่อสีหน้าแปรเปลี่ยน เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา
หมอเจียงกัดฟันกล่าว “พวกเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
ผางฉีแค่นเสียงดุดัน “ป่านนี้แล้วยังคิดบิดพลิ้ว!” พลางขึ้นหน้าคว้าคอเสื้ออีกฝ่าย
แต่กลับถูกถังฟั่นขวางไว้
สายตาของถังฟั่นกวาดมองภายในโดยรอบ ก่อนตกลงบนร่างของสองคนสามีภรรยาที่กอดกันกลมด้วยความหวาดกลัว
“พวกท่านอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ทั้งมิใช่เพื่อเงินและมิใช่เพื่อผลประโยชน์ คิดว่าคงไม่เต็มใจเป็นข้ารับใช้ของลัทธิบัวขาว แต่โดนบังคับขู่เข็ญกระมัง”
สำหรับคนประเภทนี้ใช้ความรุนแรงเหมือนที่ใช้กับเถ้าแก่จินนั้นไม่ได้ผล ต้องค้นหาจุดเจ็บในใจพวกเขาก่อนค่อยลงมือ
ถังฟั่นกล่าวต่อ “ข้าจำได้ แม่นางตู้เคยบอกว่าพวกท่านมีบุตรชายคนหนึ่ง ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร แต่ไปแล้วไปลับ อาจถูกสัตว์ป่าคาบไป ทว่าตอนนี้ดูแล้วที่คาบเขาไปน่าจะไม่ใช่สัตว์ป่าเสียแล้ว”
หมอเจียงกัดฟันแน่นไม่พูดจา สิงเส่าจื่อกลับปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น
ถังฟั่นผ่อนน้ำเสียงลง “พวกเราคือผู้แทนพระองค์ซึ่งจักรพรรดิทรงส่งมาจากเมืองหลวง พวกท่านหากมีความทุกข์ร้อนอันใด สามารถบอกกล่าวได้เต็มที่ พวกเราจะจัดการให้เอง”
เขาหยิบป้ายประจำตำแหน่งของตนเองยื่นส่งไป สามีภรรยาสกุลเจียงอ่านหนังสือออก เพียงเห็นด้านบนสลักคำว่า ‘ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย ถังฟั่น’ ก็เกิดความเชื่อถือไปกว่าครึ่งแล้ว
สำหรับชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่ชายแดนมาตลอดเช่นพวกเขา จักรพรรดิก็คือเจ้าชีวิต ไม่มีสิ่งใดกระทำมิได้ พอฟังว่าอีกฝ่ายคือผู้แทนพระองค์ที่จักรพรรดิส่งมา สิงเส่าจื่อค่อยคลายมือจากสามี กระแทกเข่าลงพื้น “วิงวอนใต้เท้าทุกท่าน โปรดช่วยบุตรชายข้าด้วย”
“อย่าพูด!” หมอเจียงอดตวาดมิได้
สิงเส่าจื่อผินหน้าไป “ไยไม่ให้ข้าพูด ต้าหย่งตอนนี้เป็นตายร้ายดีไม่มีข่าวคราว ให้ข้ารอเช่นนี้ต่อไป มิสู้ตายเสียดีกว่า”
หมอเจียงถอนใจยืดยาว ไม่กล่าวอันใดอีก
ถังฟั่นพยุงนางลุกขึ้น “มีอะไรค่อยๆ กล่าว”
สิงเส่าจื่อเช็ดน้ำตา สูดจมูกพลางเริ่มเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ
สามีภรรยาสกุลเจียงไม่ใช่คนของลัทธิบัวขาว เพียงแต่ก่อนหน้านี้บุตรชายพวกเขาหายตัวไปหลังจากขึ้นเขา ขณะที่ทุกคนช่วยกันตามหาแล้วไม่พบ เข้าใจว่าเขาประสบเหตุร้ายในป่า จู่ๆ มีคนมาหาถึงบ้านแล้วบอกว่าบุตรชายพวกเขายังไม่ตาย แต่สองสามีภรรยาต้องทำตามคำสั่ง มิฉะนั้นต่อให้ตายหลอกก็จะกลายเป็นตายจริง
อีกฝ่ายยังนำจดหมายลายมือบุตรชายของหมอเจียงมาด้วย ลายมือในจดหมายทำให้หมอเจียงและสิงเส่าจื่อเชื่อแล้วว่าบุตรชายเขายังมีชีวิตอยู่จริง
หลังจากนั้นทุกช่วงระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาจะได้รับจดหมายของบุตรชาย การกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่ายนอกจากเพื่อยืนยันว่าบุตรชายของพวกเขายังอยู่ดี ขณะเดียวกันก็เป็นการข่มขู่พวกเขาว่าอย่าได้หุนหันพลันแล่น
เพื่อความปลอดภัยของบุตรชาย พวกเขาไม่อาจไม่ทำตามข้อแม้ของอีกฝ่าย กลายเป็นหนึ่งในห่วงโซ่ของวงจรข่าวสายนี้
ถังฟั่นถาม “คนที่มาหาพวกท่านมีฐานะใด พวกท่านทราบหรือไม่”
สิงเส่าจื่อตอบ “ทราบ เขาชื่อเสิ่นกุ้ย เป็นคหบดีที่รวยมากในอำเภอก่วงหลิง เมื่อข้าได้ใบสั่งยาจากเถ้าแก่จินก็จะนำไปมอบให้เสิ่นกุ้ย”
“แม่นางตู้ทราบเรื่องนี้หรือไม่” ถังฟั่นถาม
“นางไม่ทราบ เป็นข้าที่หลอกใช้ความเมตตากรุณาของพ่อลูกสกุลตู้ เพราะเสิ่นกุ้ยบอกว่าหลังจากได้ใบสั่งยาแล้วต้องไปซื้อยาที่ร้านยาจ้งจิ่งก่อน หากทำเช่นนี้ต่อให้เกิดเรื่องก็อำพรางหูตาผู้อื่นได้สะดวก ผู้อื่นจะเพียงสงสัยร้านยาจ้งจิ่ง ย่อมไม่สงสัยมาถึงตัวข้า นอกจากนั้นอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับร้านยาจ้งจิ่ง บางครั้งยังสามารถออกนอกเมืองพร้อมกับรถม้าขนส่งสมุนไพรของพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบได้อีกด้วย”
สุยโจวนิ่งฟังอยู่นาน ยามนี้ค่อยเปิดปากถาม “หมายความว่าพวกท่านไม่ล่วงรู้สายสนกลในของเรื่องนี้?”
หมอเจียงยิ้มขื่น “พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่จับบุตรชายพวกเราไปเป็นใคร ยิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีฐานะอันใด พวกเขาให้พวกเราทำอย่างไร พวกเราก็ทำอย่างนั้น กระทั่งบนใบสั่งยาซ่อนความลับอันใดไว้พวกเราก็ไม่สนใจไต่ถาม ไหนเลยคิดว่าจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา”
“ตอนนี้เสิ่นกุ้ยอยู่ที่ใด” สุยโจวถาม
สิงเส่าจื่อตอบว่า “เขาเองก็อยู่ในอำเภอก่วงหลิง มีกิจการใหญ่โต ความจริงพวกเราอย่างไรก็คาดคิดไม่ถึง คนซึ่งไม่เกี่ยวข้องอันใดกัน ไยต้องขู่เข็ญพวกเรา…”
ถังฟั่นกล่าว “เถ้าแก่จินที่ให้ท่านส่งข่าวเป็นสาวกลัทธิบัวขาว เสิ่นกุ้ยคนนั้นก็น่าจะเป็นเช่นกัน”
“อะไรนะ!” สามีภรรยาสกุลเจียงล้วนตื่นตะลึง ความตระหนกบนใบหน้าไม่คล้ายเสแสร้ง
“ชะ…เช่นนั้นบุตรชายข้าจะมีอันตรายหรือไม่ ใต้เท้า ท่านต้องช่วยเขาด้วยนะเจ้าคะ!” สิงเส่าจื่อร้อนรุ่มน้ำตาริน
ถังฟั่นเอ่ยเสียงอ่อนโยน “คนที่สมควรช่วยพวกเราย่อมช่วยแน่ ทว่าเวลานี้พวกท่านยังอยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัย ต้องตามพวกเรากลับไปต้าถงก่อน”
สิงเส่าจื่อมองไปทางหมอเจียงอย่างพะวักพะวน
เรื่องถึงขั้นนี้ หมอเจียงก็ไม่มีอันใดให้ต้องลังเลอีกแล้ว เขาพยักหน้า “ใต้เท้ามีคำสั่ง พวกเราย่อมต้องปฏิบัติตาม แม้แต่เสิ่นกุ้ย พวกเราก็พาท่านไปชี้ตัวได้ เพียงหวังว่าจะรักษาชีวิตบุตรชายพวกเราไว้ได้”
เมื่อมีความร่วมมือจากสองสามีภรรยา เรื่องราวกลับราบรื่นกว่าที่คิดไว้
เป็นอย่างที่สิงเส่าจื่อบอกเล่า ในฐานะที่เป็นคหบดีอันดับต้นๆ ของอำเภอก่วงหลิง บ้านสกุลเสิ่นมีกิจการใหญ่โต แค่ร้านค้าในนามก็ครองถนนทั้งสายแล้ว ในบ้านยังมีภรรยาเอยอนุเอย และบุตรธิดาอีกเป็นโขยง คนเช่นนี้ต่อให้หนีก็หนีไม่ได้ไกล ต่างจากคนไร้คู่อย่างเถ้าแก่จิน
อีกฝ่ายคิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าทางสิงเส่าจื่อจะความแตกแล้ว รอจนพวกถังฟั่นบุกถึงประตูบ้าน เสิ่นกุ้ยเพิ่งกลับจากตระเวนตรวจร้านค้าก็เห็นในบ้านโกลาหลอลหม่าน สมาชิกสตรีล้วนถูกต้อนไปรวมกันในเรือนข้าง ส่วนองครักษ์เสื้อแพรกำลังนั่งตระหง่านง้ำอยู่ในโถงใหญ่…รอเชิญท่านลงโอ่ง*
ถูกองครักษ์เสื้อแพรข่มขวัญ เสิ่นกุ้ยล้วนสารภาพหมดสิ้น เขาบอกตนเองไม่ใช่สาวกลัทธิบัวขาว แต่เพราะทำการค้ากับลัทธิบัวขาวและยังเคยให้ความอนุเคราะห์เงินทุนแก่เจ้าลัทธิ จึงได้รับการยกย่องจากลัทธิบัวขาวให้เป็นอาคันตุกะชั้นสูง
เหตุเพราะเสิ่นกุ้ยประกอบการค้านานปี มีความสัมพันธ์อันดีกับทางการท้องถิ่น ทางลัทธิบัวขาวจึงให้เขาช่วยส่งข่าว
สิ่งที่เสิ่นกุ้ยต้องทำก็คือนำใบสั่งยาที่สิงเส่าจื่อมอบให้ไปส่งต่อให้สาวกลัทธิบัวขาวที่นอกด่านโดยอาศัยจังหวะที่ออกไปติดต่อค้าขาย จากนั้นสาวกลัทธิบัวขาวค่อยส่งถึงมือชาวต๋าต๋าอีกทอดหนึ่ง
เขายังบอกอีกว่าบุตรชายของสิงเส่าจื่อไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่ถูกคนของลัทธิบัวขาวพาไป อีกฝ่ายเพียงให้ตนเป็นตัวแทนติดต่อสิงเส่าจื่อเท่านั้น
แม้เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่พวกสุยโจวก็มิอาจเชื่อถือโดยไร้ข้อกังขา เพราะอีกฝ่ายยอมตอบต่อเมื่อถูกถาม ยามนั้นจึงรื้อค้นบ้านสกุลเสิ่นชนิดพลิกคว่ำคะมำหงาย ได้จดหมายต้องสงสัยออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นตรวจยึดบ้านสกุลเสิ่น กวาดต้อนทั้งเด็กทั้งแก่กลับไปที่ต้าถง รอการไต่สวนโดยละเอียดอีกครั้ง
ตอนที่พวกถังฟั่นพาคนกลับถึงต้าถง ม่านรัตติกาลเพิ่งคลี่คลุมลงมา
เพียงแต่ทางฝั่งวังจื๋อกลับดำเนินการได้ไม่ราบรื่นนัก
ขณะวังจื๋อพาเถ้าแก่จินไปถึงบ้านเจ้าของโรงรับจำนำก็มิได้ประสบกับการขัดขืนแต่อย่างใด อีกฝ่ายคิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่จินได้หักหลังตนแล้ว จึงถูกวังจื๋อจับกุมไว้ได้ในบัดดล
แต่อีกด้านหนึ่ง คนที่เขาส่งไปจับตัวติงหรงได้กลับมาแจ้งว่าติงหรงหนีไปแล้ว
ติงหรงคนนี้กลอกกลิ้งยิ่งนัก แม้วังจื๋อและพวกถังฟั่นมิได้แพร่งพรายแผนลับที่ร่วมกันคิดให้เขารู้ แต่ในฐานะคนข้างกายของวังจื๋อ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ระแคะระคายถึงความเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
จากคำบอกเล่าของคนในจวนวัง เช้าตรู่วันนี้วังจื๋อเพิ่งก้าวเท้าซ้าย ติงหรงก็ก้าวเท้าขวาออกไปแล้ว
ก่อนไปเขายังบอกกับคนในจวนวังว่าตนจะไปทำธุระให้กงกง จะกลับล่าช้าหน่อย ทั้งยังกำชับบ่าวไพร่ว่าอย่าอู้งาน ท่าทีสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้แสดงว่ามีการเตรียมตัวแต่แรก
คนรอบข้างล้วนทราบว่าติงหรงเป็นคนสนิทของวังจื๋อ วังจื๋อนิสัยขี้ระแวง คนที่สามารถได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเขามีไม่มากนัก และติงหรงที่พามาจากเมืองหลวงก็คือหนึ่งในนั้น
ด้วยเหตุนี้เวลานั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ ยิ่งไม่มีทางคาดคิดว่าติงหรงออกไปครานี้จะไม่กลับมาอีกแล้ว
ขณะที่ติงหรงจากไป บนตัวถึงขนาดมิได้พกพาสัมภาระแม้ครึ่งชิ้น
ต่อมาวังจื๋อให้คนไปค้นห้องเขา พบว่าเงินสดและตั๋วแลกเงินในนั้นล้วนไม่เห็นแล้ว
พูดถึงเพลิงที่สุมแน่นในอกของวังกงกง ย่อมเป็นเพราะการทรยศของติงหรงอย่างไม่ต้องสงสัย
การหายตัวไปของติงหรงยิ่งเสมือนราดน้ำมันบนกองเพลิง และเขาก็เอาเพลิงโทสะขุมนี้ระบายใส่นายจ้างของเถ้าแก่จิน
เมื่อพวกถังฟั่นมาถึง สิ่งที่เห็นก็คือเจ้าของโรงรับจำนำที่โดนทารุณจนลมหายใจรวยริน
แต่การลงมือคราวนี้ใช่ว่าจะไม่มีดอกผล ตรงข้ามดอกผลค่อนข้างมากด้วยซ้ำ
ก่อนนี้เถ้าแก่จินก็บอกแล้วว่านายจ้างของเขามีอีกสถานะหนึ่งก็คือรองหัวหน้าสาขาของลัทธิบัวขาว
จากปากของรองหัวหน้าสาขาท่านนี้ วังจื๋อได้ทราบว่าลัทธิบัวขาวมิได้มีสาขามากนัก และยิ่งมีจำนวนลดลงหลังการปราบปรามอย่างต่อเนื่องของทางการ
เวลานี้เขตพื้นที่ซานซีเหลือเพียงสาขานี้เท่านั้น และหัวหน้าสาขาก็คือติงหรงนั่นเอง
ขณะพวกถังฟั่นกลับมา วังจื๋อสอบสวนเกือบเสร็จแล้ว คนในจวนวังตั้งแต่บนถึงล่างก็ถูกเขาเรียกมาสอบปากคำจนถ้วนทั่ว พวกที่สนิทสนมกับติงหรงเป็นพิเศษล้วนถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมด
หากในบรรดาคนเหล่านี้มีพิรุธ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด้วยอุปนิสัยเกลียดชังการทรยศหักหลังเป็นที่สุดของวังจื๋อ ย่อมไม่มีทางละเว้นพวกเขาเป็นอันขาด
ทว่าหลังจากถังฟั่นได้ฟังข่าวนี้ ในใจกลับเกิดข้อกังขามากขึ้น “ติงหรงเพิ่งติดตามท่านมาถึงต้าถงได้สองปีเศษเท่านั้น หรือก่อนการมาคราวนี้เขาก็สมคบกับลัทธิบัวขาวแล้ว?”
วังจื๋อเอ่ยชืดๆ “รองหัวหน้าสาขานั่นบอกว่าติงหรงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาขาหลังจากมาถึงต้าถง ก่อนหน้านั้นหัวหน้าสาขาคือเขา ส่วนทางเมืองหลวงเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด บอกได้แค่ว่าสาขาใหญ่ให้ความสำคัญกับติงหรงมาก ข้าเดาว่าก่อนมาต้าถง ติงหรงก็มีสายสัมพันธ์โยงใยกับลัทธิบัวขาวแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องราวก็จะยิ่งซับซ้อน”
“สาขาใหญ่ที่พวกเขาพูดถึงตั้งอยู่ที่ใดกันแน่และเจ้าลัทธิคือใคร” ถังฟั่นถาม
“รองหัวหน้าสาขาบอกว่าเขาก็ไม่เคยเห็นเจ้าลัทธิ แต่หากสามารถหาคนผู้หนึ่งพบ คนผู้นั้นย่อมรู้แน่”
“ใคร”
“หลี่จื่อหลง”
ถังฟั่นกับสุยโจวสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ล้วนตกใจเล็กน้อย
นามของนักพรตหลี่จื่อหลงท่านนี้พวกเขามิใช่ได้ยินเป็นครั้งแรก กล่าวได้ว่ากึกก้องปานอสุนีบาต แม้แต่วังจื๋อในตอนแรกก็ทะยานขึ้นมาจากการคลี่คลายคดีหลี่จื่อหลงเช่นกัน
และหลี่มั่นที่ขัดขาพวกเขาหลายครั้งหลายหนในตอนนั้น ฟังว่าก็เคยร่ำเรียนจากหลี่จื่อหลงมาไม่น้อย จึงสามารถแสดงกลแปลงโฉม สับตัวกับบุตรชายตบตาพวกถังฟั่นเมื่อคราวอยู่เมืองหลวงได้
ถังฟั่นกล่าว “ใช่แล้ว ตอนนั้นจิ่วเหนียงจื่อก็เคยบอกข้า แท้จริงแล้วหลี่จื่อหลงยังไม่ตาย แต่จะว่าไปเขาถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วชัดๆ กลับยังหนีรอดไปได้ หากกล่าวว่ามีพลังอันใดข้าไม่เชื่อเด็ดขาด ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวก็คือมีคนช่วยเขา และคนผู้นี้ต้องแฝงตัวได้ลึกลับมาก ทั้งต้องมีความสามารถไร้เทียมทาน คนผู้นี้จะเป็นใคร วั่นทง? หรือซั่งหมิง?”
วังจื๋อกล่าว “หลังจากหลี่จื่อหลงหลบหนีจากเมืองหลวงก็มาที่นี่ ถึงขนาดหาทางออกนอกด่าน เวลานี้กำลังเกลือกกลั้วอยู่กับพวกต๋าต๋า คึกคักราวกับปลาได้น้ำ ซ้ำยังได้รับการยกย่องเป็นราชครู”
ถังฟั่นรู้สึกนึกขัน “พวกต๋าต๋ายกย่องชาวจงหยวนผู้หนึ่งเป็นราชครู?”
วังจื๋อเบะปาก “เจ้าอย่าได้ดูแคลนเจ้าหลี่จื่อหลงคนนี้เชียว ตอนเกิดคดีจิ้งจอกมารเจ้ามิได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้รายละเอียด ตอนนั้นประชุมในท้องพระโรงอยู่ดีๆ จิ้งจอกมารขนาดมหึมาพลันปรากฏตัวเหนือวัง หลายคนในที่นั้นล้วนเห็นกันทั่ว ฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ข้าจัดตั้งสำนักประจิมขึ้นมาสืบคดีนี้โดยเฉพาะหรอก ต่อให้สิ่งที่เขาทำล้วนเป็นปาหี่หลอกลวงผู้คน แต่ก็แสดงว่าปาหี่ของเขามีระดับล้ำเลิศแล้ว อีกอย่างพวกต๋าต๋าเดิมก็สรรเสริญว่าตนเองเป็นทายาทของเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์หยวน คิดถึงปีนั้นฮูปี้เลี่ย* เคยแต่งตั้งนักพรตชีชู่จี** เป็นราชครู หลี่จื่อหลงสามารถกล่อมจนพวกต๋าต๋าเชื่อถือเขาได้ก็เป็นความสามารถของเขาเช่นกัน”
ถังฟั่นแย้มยิ้ม “กล่าวได้ถูกต้อง เป็นข้าดูแคลนนักพรตหลี่แล้ว ลัทธิบัวขาวไม่ละทิ้งอุดมการณ์ ใคร่จะก่อกบฏมาตลอด ชาวต๋าต๋ายิ่งมีจิตใจทะเยอทะยาน สองฝ่ายจับมือกัน ต่างคนต่างหลอกใช้ นับว่าสมเหตุสมผล”
วังจื๋อขมวดคิ้ว “เรื่องของหลี่จื่อหลงวางไว้ก่อน ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือเรื่องเวยหนิงไห่จื่อยังไม่คลี่คลาย หากทหารต้าหมิงมุ่งหน้าเวยหนิงไห่จื่อแล้วเกิดเรื่อง เช่นนั้นก็ไม่ต้องทำศึกกันแล้ว ต่อไปแค่เฝ้ารักษาเมืองต้าถง ข้าศึกบุกมาก็ไล่ออกไป พวกต๋าต๋าเห็นท่าไม่ดีก็สามารถล่าถอยได้ ไม่มีผลกระทบอันใดต่อพวกตนสักนิด รองหัวหน้าสาขาคนนั้นเดิมทีเคลื่อนไหวอยู่ในเขตพื้นที่ซานซีมาตลอด ไม่เคยออกนอกด่านเพียนกวน จึงถามอะไรเกี่ยวกับเวยหนิงไห่จื่อจากเขาไม่ได้เลย”
“เช่นนั้นก็บังเอิญแล้ว!” ถังฟั่นอุทาน
“อย่างไร” วังจื๋อถาม
ถังฟั่นเพียงยิ้มไม่ตอบคำ มองไปทางสุยโจว
สุยโจวจึงว่า “เสิ่นกุ้ยที่พวกเราพากลับมาเคยไปเวยหนิงไห่จื่อ”
“เป็นความจริงหรือ” วังจื๋อถาม
สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
แท้จริงแล้วเขายังติดใจกับเรื่องที่วังกงกงตบถังฟั่นคราวก่อน จึงคร้านจะเสวนาด้วย
ถังฟั่นเห็นเขาไม่มีทีท่าจะอธิบายเพิ่มเติมก็ได้แต่กล่าวเสริมว่า “เสิ่นกุ้ยเคยแอบพาคนออกนอกด่านไปค้าขายกับพวกต๋าต๋า และเคยได้รับคำเชิญจากหลี่จื่อหลงให้ไปเยือนราชสำนักต๋าต๋า นอกจากนี้เขายังเคยได้ยินหลี่จื่อหลงบอกว่าจะร่ายคาถาที่เวยหนิงไห่จื่อมิให้ทัพต้าหมิงรุกล้ำเข้ามา ช่วยชาวต๋าต๋าลุล่วงการใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเดาว่าจากเวยหนิงไห่จื่อถึงบริเวณเขาหมานฮั่นเป็นไปได้อย่างมากว่าหลี่จื่อหลงได้ลงคาถาไว้ ถึงได้เกิดเรื่องพิสดารเหล่านั้น”
นี่นับเป็นข่าวดีโดยแท้ วังจื๋อแววตาเป็นประกาย “คำพูดของเขาเชื่อถือได้?”
ถังฟั่นกล่าว “เพราะพวกเราจับกุมคนในครอบครัวเขา เขาจำต้องสารภาพหมดเปลือก ระหว่างทางที่มาข้าก็สอบถามไปไม่น้อย ส่วนรายละเอียดยังต้องรอพวกท่านมาถาม แต่ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง พวกเราคงต้องไปสำรวจเวยหนิงไห่จื่อด้วยตนเองดูสักเที่ยว หากสามารถทำลายเวทมนตร์ได้ ปัญหาย่อมจะคลี่คลายไปเอง”
วังจื๋อกลับรั้งรอไม่ได้แม้แต่อึดใจ เขาพลันลุกขึ้นเดินออกด้านนอก “ข้าไปสอบสวนเสิ่นกุ้ยเอง!”
ถังฟั่นรีบร้องเตือน “ท่านอย่าทำเขาตายเล่า เขายังมีประโยชน์อีกมาก”
วังจื๋อไม่ตอบ เพียงส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมกลับมา
ถังฟั่นกุมหน้าผาก บอกกับสุยโจว “ท่านไม่ไปดูหน่อยรึ”
เวลานี้ติงหรงซึ่งเป็นกุญแจสำคัญได้หนีไปแล้ว สิงเส่าจื่อไม่ทราบเรื่อง เถ้าแก่จินเพียงเป็นสาวกระดับล่าง ความสามารถในการหาข่าวมีจำกัด ส่วนรองหัวหน้าสาขาคนนั้นก็ถูกวังจื๋อขุดจนเกลี้ยงแล้ว หนึ่งเดียวที่ยังมีประโยชน์ก็คือเสิ่นกุ้ยผู้นี้
ถังฟั่นหวั่นใจจริงๆ ว่าวังจื๋อจะเอาเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นจากการหาตัวติงหรงไม่พบไประบายใส่เสิ่นกุ้ย ดีไม่ดีอาจพลั้งมือทำคนถึงตายได้
สุยโจวรับคำเสียงหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นเดินออกไป
ถังฟั่นท้องร้องโครกครากจนอดคลำพุงมิได้ ค่อยพบว่าพวกเขารอนแรมมาทั้งวัน อาหารค่ำยังไม่ได้กิน ยามนั้นจึงไม่เห็นตนเองเป็นคนนอก เรียกบ่าวในจวนวังมาสั่งให้จัดหาของกิน
บ่าวรับใช้ในจวนวังคุ้นเคยกับใต้เท้าถังท่านนี้ดี บวกกับวันนี้พวกเขาเพิ่งโดนวังจื๋ออบรมรอบหนึ่ง เมื่อได้รับคำสั่งจากถังฟั่นก็รีบจัดแจงอาหารออกมาหนึ่งโต๊ะ ซ้ำยังรวดเร็วกว่าที่คิด ตอนแรกถังฟั่นคิดแค่ว่ามีเกี๊ยวน้ำสักชามก็พอใจแล้ว ปรากฏว่าพวกเขากลับทำกับข้าวแปดน้ำแกงหนึ่งออกมา วางเรียงเต็มโต๊ะจนผู้คนต้องอุทาน
ไม่เพียงเท่านั้น บ่าวในจวนวังยังยิ้มบอกกับถังฟั่นว่า “ใต้เท้าถัง ท่านดูว่าเท่านี้พอหรือไม่ ไม่พอจะให้พ่อครัวจัดมาอีก!”
ถังฟั่นหัวเราะมิได้ร่ำไห้ไม่ออก “พอแล้ว เจ้าไปดูทีว่านายบ้านเจ้ากับผู้บังคับการสุยทำอะไรอยู่ เชิญพวกเขามากินข้าวด้วยกัน”
จวนขันทีรักษาการณ์ไม่มีห้องลงทัณฑ์ ทว่านี่มิใช่เรื่องยากสำหรับวังจื๋อ ขอเพียงเขาต้องการ ไม่ว่าที่ใดล้วนปรับเปลี่ยนเป็นห้องลงทัณฑ์ได้ทั้งสิ้น แต่มีสุยโจวอยู่ คิดว่าเขาคงไม่ลงมือต่อเสิ่นกุ้ยหนักเกินไป
ถังฟั่นครุ่นคิดเช่นนั้น หากแต่รอแล้วรอเล่ายังคงไม่มีใครมา อาหารเต็มโต๊ะยั่วน้ำลายอยู่ตรงหน้า แต่ละชนิดราวกับเขียนไว้ว่า ‘รีบมากินข้า’ เขาอดใจไม่อยู่ในที่สุด คว้าตะเกียบขึ้นมาแอบคีบวงแหวนล้อมกุ้ง* ชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพ่อครัวจวนวังฝีมือดีหรือเขาหิวจัด หลังคำแรกก็หยุดปากไม่อยู่ วงแหวนล้อมกุ้งจึงถูกกลืนลงท้องไปกว่าครึ่งจาน
มองดูกุ้งสิบตัวที่เคยเรียงสวยอยู่บนจาน ยามนี้เหลือกันอยู่สองตัวอย่างเงียบเหงา ใต้เท้าถังอดประหม่ามิได้ เห็นซ้ายขวาปลอดคนจึงจัดการสองตัวที่เหลือให้เบ็ดเสร็จ จากนั้นเอาจานไปซ่อนไว้ด้านข้าง นึกในใจว่ากับข้าวเจ็ดน้ำแกงหนึ่งน่าจะพอกินแล้ว
ไม่นานด้านนอกก็มีคนกลับมาในที่สุด ถังฟั่นพอมองกลับพบว่าเป็นบ่าวในจวนวังกำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“ใต้เท้า! ท่านรีบรุดไปดูเถอะ! วังกงกงกับใต้เท้าสุยสู้กันใหญ่แล้ว!” บ่าวรับใช้รายงานเสียงหอบ
“หา? รีบพาข้าไป!” ถังฟั่นลุกพรวด วิ่งตามอีกฝ่ายตัดผ่านลานสวนและระเบียงทางเดินมาถึงลานด้านข้างที่อยู่ติดกัน
แว่วเสียงมาแต่ไกล เพิ่งอ้อมผ่านทางเลี้ยว ยังไม่ทันเห็นเงาคนด้วยซ้ำ ถังฟั่นก็ได้ยินเสียงมือเท้าปะทะกันดังสนั่น
ปากประตูมีพวกผางฉีและบ่าวไพร่หลายคนมุงอยู่ กำลังคอยืดคอยาวไปข้างใน
ส่วนเป้าหมายของการชมดูแน่นอนก็คือวังจื๋อและสุยโจว
ลานข้างแห่งนี้พื้นที่ไม่กว้างนัก ตรงกลางยังมีสระบัวและกระถางต้นไม้ แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการแลกคมของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองสักนิด
ความเร็วในการต่อสู้บรรลุจุดสูงสุด หนำซ้ำแต่ละท่าถึงลูกถึงคน ปราศจากการอ่อนข้อโดยสิ้นเชิง
ถังฟั่นเห็นภาพอันดุเดือดเลือดพล่านนี้ แทบจะเข้าใจว่าระหว่างพวกเขามีแค้นลึกล้ำอันใดเสียอีก
ฝีมือของสุยโจวนั้นไม่จำเป็นต้องสงสัย หน้าที่โดยเนื้อแท้ขององครักษ์เสื้อแพรก็คือทหารรักษาพระองค์ มีคุณสมบัติพิทักษ์จักรพรรดิได้ แน่นอนต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดในใต้หล้า สุยโจวได้รับการฝึกอบรมจากผู้เยี่ยมยุทธ์ในวังตั้งแต่เล็ก ทั้งมีประสบการณ์โชกโชน ฝีมือของเขามิใช่เพียงวางท่าอวดโอ่ แต่เป็นความเลิศล้ำที่เคี่ยวกรำออกมาจากภยันตราย ในจุดนี้ถังฟั่นซึ่งร่วมเป็นร่วมตายกับเขาย่อมกระจ่างแจ้งเป็นที่สุด
แต่วังจื๋อก็มิใช่ต่อกรโดยง่าย หากกล่าวว่าขณะเขาอยู่เมืองหลวงยังด้อยกว่าสุยโจวขุมหนึ่ง เช่นนั้นสองปีนี้ที่นำทัพออกศึกพร้อมกับหวังเยวี่ยเขาก็สั่งสมประสบการณ์จากสมรภูมิจริงไม่น้อย ในพลังหมัดถึงกับพกพารังสีสังหารที่ฝึกจากสนามรบเต็มเปี่ยม
สองคนนี้ราวหมาป่าประชันพยัคฆ์ ต่างฝ่ายต่างสู้ตาย ไม่มีย่อหย่อนผ่อนแรง จับจ้องช่องโหว่และจุดอ่อนของอีกฝ่าย พริบตาสั้นๆ พัวพันชุลมุน ยากชี้แพ้ชนะ สร้างความตื่นตาเร้าใจแก่ผู้ชมจนต้องส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่
ยามนี้ถังฟั่นมองออกแล้ว ทั้งคู่ล้วนต่อสู้ด้วยเนื้อหนัง เน้นหนักไปทางประลองวิชา ต่อให้ออกท่าอำมหิต อีกฝ่ายก็ไม่แน่จะเพลี่ยงพล้ำ เขาจึงมิได้ส่งเสียงขัดจังหวะ เพียงยืนทัศนาอยู่ด้านข้างเหมือนกับพวกผางฉี
จังหวะนั้นพลันแว่วเสียงโอดครวญจากในห้องปิดสนิทด้านหลังสุยโจวกับวังจื๋อ “ข้าไม่ไหวแล้ว…ข้าไม่ไหวแล้ว…ละเว้นข้าด้วยเถอะ ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ ถ้าไม่เชื่อข้าพาพวกท่านไปก็ได้…”
เสียงของเสิ่นกุ้ย?
ถังฟั่นผงะ ก่อนเห็นวังจื๋อว่อกแว่กเล็กน้อย ตำแหน่งหัวไหล่ถูกซัดหนึ่งฝ่ามือทันที
เขาถึงกับถอยกรูดสิบกว่าก้าวค่อยยั้งเท้าไว้ได้
ยอดยุทธ์ประมือ ไหนเลยแบ่งแยกสมาธิได้ การว่อกแว่กของวังจื๋อครานี้ แม้เพียงชั่ววูบสั้นๆ ก็ถูกสุยโจวเล็งผลในทันที
หมัดนี้เกรงว่าซัดได้ไม่เบา วังจื๋อกุมไหล่แยกเขี้ยว กล่าวกับสุยโจวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “หมัดนี้ถือว่าชดเชยที่ข้าติดค้างเหมาเหมาในคราวก่อน อย่าเข้าใจว่าข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า คราวหน้าเอาใหม่!”
“…”
“…”
ทั้งถังฟั่นและสุยโจวหมดสิ้นคำพูดทันที ก่อนถังฟั่นจะตบหน้าผาก โอดเสียงขึ้น “เดี๋ยวๆ ไยท่านทราบชื่อเล่นของข้า”
วังจื๋อเลิกคิ้ว “เจ้าอยากรู้?”
“…ใช่”
“ข้าไม่บอกเจ้า”
“…”
วังจื๋อกุมกำปั้นแสยะยิ้ม ตั้งท่าเดินเข้าห้องข้างใน “มารดามันเถอะ! เจ้าหลานเต่านี่จู่ๆ แหกปากร้องลั่น ทำให้ข้าปราชัยไปหนหนึ่ง คืนนี้อย่าหวังได้เป็นสุขเลย!”
ถังฟั่นรีบท้วง “กินข้าวก่อน! กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน! ข้ารู้ว่าท่านกำลังโมโห สู้กันไปครั้งหนึ่งแล้วคงพอช่วยระบายได้บ้างกระมัง”
“ไม่สักนิด ถูกเขาซัดหนึ่งหมัด ตอนนี้เพลิงโทสะยิ่งร้อนแรง”
“…”
ถังฟั่นต้องทั้งฉุดทั้งลากกว่าจะพาวังกงกงกลับไปกินข้าวได้
พอเห็นกับข้าวเจ็ดน้ำแกงหนึ่งบนโต๊ะ วังจื๋อร้องเอ๊ะคำหนึ่ง “ปกติพวกบ่าวตั้งสำรับล้วนเป็นเก้าอย่างมาตลอด ไยวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
ถังฟั่นกระตุกมุมปาก “ท่านมิใช่ยุ่งมากตั้งแต่เช้าจรดค่ำหรอกหรือ ยังมีเวลาสนใจรายละเอียดเหล่านี้อีก”
วังจื๋อขมวดคิ้ว “เพราะเก้าเก้าหวนคืนหนึ่ง* จึงจะสมบูรณ์ครบ ทุกครั้งที่มีแขก ข้าจะให้พวกบ่าวจัดอาหารเก้าอย่าง ดูท่าเรื่องของติงหรงยังให้บทเรียนไม่เพียงพอจึงยิ่งเกียจคร้านเช่นนี้”
ถังฟั่นใช้การไอมากลบเกลื่อนอาการร้อนตัวของตนเอง “ท่านอย่าตำหนิพวกเขาเด็ดขาด ข้าให้พวกเขาจัดอาหารแปดอย่างเอง นัยแฝงของเลขแปดก็ไม่เลวเหมือนกันนี่นา”
ตีให้ตายใต้เท้าถังก็ไม่มีทางสารภาพว่าอาหารจานนั้นถูกตนแอบกินล่วงหน้าหมดแล้ว ทว่านั่นแตกต่างอันใด ขอเพียงวังกงกงใคร่สืบสาวเอาความ เรียกคนครัวมาสอบถามก็ล้วนทราบหมดสิ้น
ดีที่วังกงกงไม่คิดจะจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อยทำนองนี้ หน้าของใต้เท้าถังจึงรักษาไว้ได้ชั่วคราว
บนโต๊ะอาหาร สามคนเริ่มหารือเกี่ยวกับเวยหนิงไห่จื่อ
วังจื๋อกล่าวว่า “เรื่องราวถึงขั้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไปเวยหนิงไห่จื่อสักเที่ยว ในเมื่อเสิ่นกุ้ยยินดีนำทาง ก็ให้เขาไปแล้วกัน”
ถังฟั่นนิ่งงันไปอึดใจค่อยกล่าว “วาจาของเสิ่นกุ้ยไม่ทราบจริงเท็จ ยังต้องหารือให้ดี มิอาจถือสิ่งนี้เป็นหลักฐาน เกิดเขาเล่นลูกไม้ ทุกคนจะเป็นอันตรายได้”
วังจื๋อกล่าว “หากยืดเยื้อออกไปไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ กลับจะราตรียาวนานภาพฝันมากมี** ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะจริงหรือจะเท็จ ล้วนควรค่าแก่การทดลอง ข้าตั้งใจว่าจะไปเองเที่ยวหนึ่ง”
“ท่านไปแล้วใครจะรักษาการณ์ต้าถง” ถังฟั่นถามเสียงฉงน
“ยังมีกัวทังกับพวกเจ้าอยู่มิใช่หรือ” วังจื๋อเอ่ยน้ำเสียงสบายๆ
“อย่าล้อเล่นเลย” ถังฟั่นอ่อนแรง
วังกงกงคีบเป็ดฝูหรงชิ้นหนึ่งเข้าปาก ก่อนบอกความจริงกับพวกเขา “ความจริงหวังเยวี่ยยังอยู่ในต้าถงตลอด”
ถังฟั่นประหลาดใจเล็กน้อย แต่ครุ่นคิดอีกทีก็รู้สึกสมเหตุสมผล
ที่วังจื๋อกับหวังเยวี่ยมีปากเสียงเดิมทีก็เป็นละครฉากหนึ่งที่พวกเขาร่วมกันวางแผนเพื่อตบตากัวทังและไส้ศึก เวลานี้แผนตบตาศัตรูสัมฤทธิผลดังคาด น้ำทั้งสระถูกกวนจนขุ่น ไม่เพียงกัวทังที่ลิงโลดแทบเต้น กระทั่งไส้ศึกก็อดใจไม่อยู่ต้องโผล่หัวออกมาเคลื่อนไหว ส่งข่าวออกสู่ภายนอก จนถูกพวกถังฟั่นบุกถล่มทีละราย แตกพ่ายไม่เป็นขบวน
ยามนี้เรื่องราวคลี่คลาย ไส้ศึกถูกลากตัวออกมาแล้ว หวังเยวี่ยย่อมสมควรปรากฏกาย หากขุนพลบัญชาการไม่อยู่ในเมืองนานวันจะส่งผลกระทบต่อขวัญทหารได้
วังจื๋อกล่าว “หวังเยวี่ยปรากฏตัว ข้าก็ไปสืบสาวทางเวยหนิงไห่จื่อได้ เรื่องของติงหรงช้าเร็วก็ต้องแพร่สะพัด ใครๆ ก็รู้ว่าก่อนนี้เขาคือคนสนิทของข้า หากไม่สามารถจับตัวได้ อย่าว่าแต่หลังจากกลับไปข้าไม่มีปัญญาแก้ต่างเลย ยังไม่ทันกลับไปกัวทังก็รั้งรอจะยื่นกระทู้ฟ้องข้าไม่ไหวแล้ว”
จริงที่สุด หากเรื่องของติงหรงไม่ได้รับการแก้ไขย่อมกลายเป็นภัยต่อวังจื๋อไม่จบสิ้น ลูกน้องคนสนิทเป็นไส้ศึกให้ชาวต๋าต๋า เช่นนั้นเขาซึ่งเป็นขันทีรักษาการณ์ต้าถงจะเป็นอะไร หรือว่าสมคบคิดกับพวกต๋าต๋ามาตลอด? แล้วรายงานหลายฉบับที่ราชสำนักได้รับล้วนมาได้อย่างไร หรือเป็นละครที่พวกเขากับชาวต๋าต๋าร่วมกันแสดง?
คนของกลุ่มอำนาจวั่นเห็นวังจื๋อขัดลูกนัยน์ตามานานแล้ว มีหรือจะไม่ฉวยโอกาสนี้โปะความผิดใส่ศีรษะวังจื๋อ ความโปรดปรานของจักรพรรดิที่มีต่อวังจื๋อเดิมทีก็ลดน้อย หากบวกเรื่องคราวนี้เข้าไป ย่อมส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเส้นทางขุนนางของเขาแน่นอน
“ข้าจะไปกับท่านด้วย” ถังฟั่นเอ่ยขึ้น
“เจ้า?” วังจื๋ออัศจรรย์ใจ นี่มิใช่ภารกิจที่ดี จากเหตุการณ์ทางทหารของต้าหมิงหลายครั้งก่อนเรียกได้ว่าเก้าตายหนึ่งรอด มีไปไร้กลับ ผู้อื่นโดนระบุตัวยังต้องหาทางบ่ายเบี่ยงสุดชีวิต เจ้าทึ่มที่เป็นฝ่ายเรียกร้องขอไปเองอย่างถังฟั่นนี้นับว่าไม่เคยพบเคยเห็น
ถังฟั่นหัวเราะ “ไม่ว่าวั่นอันเตะพวกเรามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด แต่พวกเรารับราชโองการมาสืบเรื่องนี้ หากประสบอุปสรรคก็ระย่อท้อถอยคงไม่ดีกระมัง ท่านก็ทราบ เรื่องที่ทหารหายสาบสูญไปก่อนหน้านี้ คนที่กำลังวังชาดีใช่ว่าจะปลอดภัยไร้เหตุร้ายเสมอไป ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นประสบความยุ่งยากขึ้นมาข้าอาจใช้สมองช่วยพวกท่านออกความคิดก็เป็นได้”
เขาพูดจาถ่อมตัวมาตลอด ไม่เคยเย่อหยิ่งถือดี รู้ทั้งรู้ว่าครานี้ต่อให้ไม่ไป พวกกลุ่มอำนาจวั่นก็มิอาจกล่าวอันใดได้ เพราะเขากับสุยโจวเดิมทีก็มาเพื่อช่วยสืบ อย่างมากก็บอกว่าพวกเขาทำงานไม่สำเร็จ แต่ถังฟั่นทั้งที่ทราบแก่ใจว่าสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอันตราย กลับเป็นฝ่ายอาสาขึ้นมาเอง
การตัดสินใจนี้สาเหตุหลักคือการค้นหาความจริงเพื่อลดทอนความเสียหายของทัพต้าหมิง กระนั้นอย่างน้อยก็มีสองสามส่วนที่เป็นเพราะต้องการช่วยวังจื๋อ
แน่นอนว่าสาเหตุหลังถังฟั่นมิได้กล่าวชัด
ทว่าวังจื๋อกลับมิอาจรับน้ำใจเปล่า อุปนิสัยที่บ่มเพาะจากในวังตั้งแต่เล็กทำให้เขากระทำเรื่องใดๆ ล้วนยึดถือเป้าหมายเป็นที่ตั้ง รวมทั้งไม่เลือกวิธีการ ซึ่งเป็นที่ประณามของผู้อื่นโดยง่าย
วังจื๋อประจักษ์ชัดในจุดนี้ แต่เขาไม่เคยใส่ใจ ที่ผ่านมาก็ให้ร้ายถังฟั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายอยู่บ่อยครั้ง ในใจแม้ชมชอบการมาเดี่ยวไปเดี่ยว ไม่ติดค้างผู้ใด หากก็เคยช่วยถังฟั่นคืนสู่ตำแหน่งผ่านทางไหวเอิน แต่ถ้าจะนับโดยละเอียดแล้ว ถังฟั่นช่วยเขายังมากกว่าเขาช่วยถังฟั่นอยู่ดี
ยามที่ตนกระหยิ่มยิ้มย่อง ข้างกายไม่แน่จะปรากฏเงาร่างของถังฟั่น ทว่าทุกคราที่ตนตกต่ำ วาจาไม่กี่คำของถังฟั่นกลับสามารถทำให้เขาพ้นจากก้นเหวได้
วังจื๋อทบทวนความสัมพันธ์ของตนกับถังฟั่น พบว่าระหว่างพวกเขามิอาจเรียกว่าศัตรู แต่คล้ายเอื้อมไม่ถึงสหายเช่นกัน เป็นอะไรกันแน่ที่ทำให้ถังฟั่นยื่นมือช่วยตนครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่หวังผล
หากเป็นแต่ก่อนตนยังสามารถกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์แทนเขา ตอนนี้เขาสมาคมกับขันทีคนหนึ่งซึ่งเริ่มสูญเสียความโปรดปรานและยังโดนกลุ่มอำนาจวั่นเขี่ยทิ้ง จะมีประโยชน์อันใดกับเขา
วังจื๋อสะกดความกังขาไว้ในใจ มองหน้าสุยโจว ความหมายคือ ‘เขาจะไป เจ้าไม่ห้ามหรือ’
สุยโจวมีหรือจะไม่เข้าใจ คำตอบของเขาคือ “ข้าจะให้ผางฉีกับอีกหลายคนอยู่ที่นี่ช่วยหวังเยวี่ย คนอื่นที่เหลือไปกับพวกเรา”
หรือเพราะมีผู้ให้ท้ายแบบไร้ขีดจำกัดท่านนี้ ทำให้ถังฟั่นรู้สึกว่าที่ใดๆ ล้วนไปได้?
“พวกเจ้าไม่กลัวตาย?” วังจื๋ออดถามมิได้
ถังฟั่นมองเขาด้วยสายตาพิลึก “ดูท่านพูดเข้า ท่านก็ไปด้วยมิใช่หรือ มีผู้ใดสาปแช่งตนเองเช่นนี้กัน”
วังจื๋อค้อนเขาทีหนึ่ง ดีสิ มีคนไปตายเป็นเพื่อน ตนยังจะคิดมากอันใดเล่า
“เช่นนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม เขียนจดหมายล่ำลาเมียใหญ่เมียเล็กของตนเอง เผื่อพวกนางจะมิได้เห็นหน้าพวกเจ้าอีก!”
ถังฟั่นเอ่ยเสียงอ่อนใจ “เฮ้อ ท่านจะคิดในทางดีหน่อยมิได้หรือ”
ฉวยจังหวะที่พวกเขาลับฝีปาก สุยโจวก็ใคร่ครวญรายชื่อคนที่จะให้ติดตามไปด้วยเรียบร้อยแล้ว
“ก่อนนี้ท่านบอกว่ามีทหารเจ็ดนายที่รอดชีวิตจากเวยหนิงไห่จื่อ พาไปนายหนึ่งได้หรือไม่ จะได้บอกทางพวกเรา”
“ได้ นอกจากนั้นยังมีชูอวิ๋นจื่ออีกคน” วังจื๋อกล่าว
ถังฟั่นยิ้มขื่น “พาเขาไปมีประโยชน์อันใด ไปเสกคาถาฝ่านภากับหลี่จื่อหลงรึ”
วังจื๋อปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “ไม่แน่อาจทำได้จริง”
ในเมื่อวังกงกงมีความมั่นใจต่อชูอวิ๋นจื่อเต็มที่เช่นนี้ ถังฟั่นก็ไม่กล่าวอันใดอีก ก็แค่เพิ่มขึ้นมาอีกคนเท่านั้น
“พาอีกคนหนึ่งไปด้วย” สุยโจวเอ่ยขึ้นอีก
“ใคร” วังจื๋อถาม
“ตู้กุยเอ๋อร์” สุยโจวตอบ
“บุตรสาวเจ้าของร้านยาจ้งจิ่ง?”
สุยโจวพยักหน้า “นางว่านางเคยออกนอกด่านไปเก็บสมุนไพร เคยไปถึงแถบเขาหมานฮั่น จะได้มีคนบอกทางอีกคน”
วังจื๋อยิ้มพิลึก “ได้ยินว่าตู้กุยเอ๋อร์อ่อนเยาว์สดสวย รอวันออกเรือน เจ้าถึงขนาดขานนามผู้อื่นแล้ว หรือระหว่างพวกเจ้ายังมีสัมพันธ์อันใดที่มิอาจเปิดเผย”
สุยโจวสีหน้าราบเรียบ “อย่าพูดเหลวไหล เป็นนางคาดเดาได้เองว่าพวกเราช้าเร็วต้องไปที่นั่น จึงบอกว่าหากพวกเราไปให้พานางไปด้วย”
วังจื๋อเลิกคิ้ว ชัดเจนว่าไม่เชื่อ “จริงหรือ”
สุยโจวคร้านจะอธิบาย เพียงมองถังฟั่นแวบหนึ่ง
“…”
เดี๋ยวๆ พวกท่านมองข้าด้วยเหตุใด
ในที่สุดรายชื่อผู้ไปก็ถูกกำหนดขึ้นคร่าวๆ รอทุกสิ่งพร้อมสรรพ รุ่งสางของสามวันถัดมา คณะเดินทางก็ออกจากเมืองต้าถง มุ่งหน้าเวยหนิงไห่จื่อ
* เงินหยวนเป่า คือเงินแท่งหรือทองแท่งที่ใช้กันในสมัยโบราณ มีลักษณะเป็นแท่ง หัวท้ายสองด้านจะกระดกขึ้น ตรงกลางเป็นแอ่งลงไป รูปร่างคล้ายเรือ
* เชิญท่านลงโอ่ง เป็นสำนวน หมายถึงใช้วิธีที่คนผู้หนึ่งเล่นงานผู้อื่นมาเล่นงานคนผู้นั้นกลับไป คล้ายสำนวนว่าดาบนั้นคืนสนอง
* ฮูปี้เลี่ย หรือกุบไลข่าน เป็นผู้นำพามองโกลยึดครองแผ่นดินจีนและสถาปนาเป็นราชวงศ์หยวน ถือเป็นจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์
** ชีชู่จี เป็นนักพรตเต๋าผู้มีชีวิตอยู่ช่วง พ.ศ. 1691 – 1770 เป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาศิษย์เจ็ดคนของนักพรตหวังฉงหยาง
* วงแหวนล้อมกุ้ง คือแตงกวาหั่นเป็นแว่น ยัดไส้กุ้งแล้วนำไปนึ่ง
* คนจีนถือเลขเก้าเป็นเลขสูงสุด เมื่อวนถึงเลขเก้าก็จะกลับไปเริ่มเลขหนึ่งอีกครั้ง ถือว่าครบรอบ
** ราตรียาวนานภาพฝันมากมี หมายถึงยิ่งทิ้งไว้นาน อาจเกิดความพลิกผันไม่แน่นอน