everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 1 #นิยายวาย
ทองหยวนเป่านั่นแล้วไปเถอะ แม้แต่ไข่มุกยังเป็นขนาดเดียวกัน กลมเกลี้ยงแวววาว ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู เฉียนซันเอ๋อร์เคยบุกเหนือล่องใต้ ทั้งเคยไปสุสานกษัตริย์ราชวงศ์ซ่ง ไหนเลยมองไม่ออกถึงมูลค่าของสิ่งเหล่านี้
แต่เขากลับไม่ดีใจสักนิด เพราะของขวัญที่ส่งมาสูงค่าเท่าใด ความยุ่งยากของถังฟั่นก็มากขึ้นเท่านั้น
“ใต้เท้า” เฉียนซันเอ๋อร์ร้อนรุ่ม “ตอนนี้พวกเราทำอย่างไรดี หรือท่านจะรับไว้จริงๆ”
“รับ! ไฉนจะไม่รับ!” ถังฟั่นยิ้มกล่าว “อยากนิทราก็มีหมอนส่งมาจริงๆ ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลปานนี้ หากรับไว้ ครึ่งชีวิตที่เหลือก็ไม่ต้องอนาทรแล้ว!”
เฉียนซันเอ๋อร์ร้อนใจจนเกาหูเกาหัวอยู่ด้านข้าง
ขุนนางต้าหมิงรับสินน้ำใจจากพ่อค้ามิใช่เรื่องไม่ปกติ ตรงกันข้ามนี่กลับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง
ถึงขั้นที่ว่าเบื้องหลังพ่อค้าวาณิชจำนวนมากล้วนมีขุนนางราชสำนักเปล่งเสียงสนับสนุนพวกเขา นี่ถึงกับกลายเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วโดยไม่ต้องประกาศด้วยซ้ำ
แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวถังฟั่น มองอย่างไรก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกแปลกพิลึก
ขณะถังฟั่นมองดูทองหยวนเป่าเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มที่เผยออกมาช้าๆ เฉียนซันเอ๋อร์ก็หมดความอดทนในที่สุด “ใต้เท้า…”
ถังฟั่นตัดบทเขา “สิ่งที่ข้าจะพูดต่อจากนี้เจ้าตั้งใจฟังให้ดี”
เฉียนซันเอ๋อร์ผงะวูบ ลืมเรื่องเมื่อครู่สนิท ก่อนยืดหลังตรงแน่วโดยสัญชาตญาณ “ใต้เท้าเชิญสั่ง”
ถังฟั่นล้วงแผ่นป้ายและตั๋วเงินปึกหนึ่งจากอกเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “สิ่งของหีบนี้ รวมทั้งตั๋วเงินเหล่านี้ เจ้าล้วนนำไป”
เฉียนซันเอ๋อร์ตกใจ “นำไปที่ใด”
ถังฟั่นกล่าว “นำป้ายนี้ไปหานายกองพันเซวียที่หน่วยทหารซูโจว ให้เขาอย่าได้รอช้า รีบนำสิ่งของเหล่านี้ส่งถึงเมืองหลวง มอบแก่วังจื๋อ”
“ใต้เท้า นายกองพันเซวียคนนั้นไว้ใจได้หรือ”
ถังฟั่นพยักหน้า “ได้ เขาเป็นคนของก่วงชวน ข้าจะให้อี้ชิงเข้าเมืองหลวงพร้อมเขา อาศัยความสัมพันธ์ของอี้ชิงกับไหวเอินก็สามารถเพิ่มช่องทางได้อีกสายหนึ่ง”
เฉียนซันเอ๋อร์ถามอีก “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ใต้เท้ายังมีคำสั่งใดฝากไปหรือไม่”
ถังฟั่นนิ่งคิด “เจ้ารอเดี๋ยว”
ในห้องมีเครื่องเขียนเตรียมไว้พร้อม แม้แต่หมึกดำก็ไม่ต้องฝน เขานั่งลง คลี่กระดาษสำหรับเขียนฎีกาโดยเฉพาะ ใช้ความคิดชั่วขณะก่อนตวัดพู่กันขีดเขียนฎีกาฉบับหนึ่ง
เฉียนซันเอ๋อร์มองดูจนอ้าปากกว้าง เขารู้จักตัวหนังสือไม่มาก ทว่านับแต่ไปช่วยถังอวี๋ดูแลร้านก็เรียนรู้ได้ไม่น้อย แต่จะให้เหมือนถังฟั่นที่จับพู่กันก็เขียนอักษรออกมาอย่างคล่องแคล่วนั้นคงเป็นไปไม่ได้
นี่ทำให้เขายิ่งเทิดทูนถังฟั่นเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แต่เฉียนซันเอ๋อร์หารู้ไม่ว่าเหล่านี้ล้วนเป็นทักษะพื้นฐานของการเป็นขุนนางต้าหมิง แม้คนโดยมากล้วนมีที่ปรึกษาคอยเขียนให้ หากก็มิได้หมายความว่าพวกเขาเองนั้นเขียนไม่เป็น
ไม่นานฎีกาก็เรียบร้อย ถังฟั่นรอจนหมึกแห้งค่อยม้วนเก็บแล้วส่งให้เฉียนซันเอ๋อร์
“เอาฎีกากับตั๋วเงินใส่ไว้ในหีบ ทั้งหมดนี้ล้วนนำส่งวังจื๋อที่เมืองหลวง วังจื๋อเห็นก็จะทราบเองว่าต้องทำอย่างไร”
เฉียนซันเอ๋อร์เอ่ยเสียงรวนเร “ใต้เท้า ฝีมือของลู่หลิงซีเหนือกว่าข้ามากนัก หากเขาไม่อยู่ใครจะคุ้มกันใต้เท้าเล่า เกิดเจ้าลูกเต่าเจิงเผยกับอู๋จงสองตัวนั้นระรานถึงประตูขึ้นมา ข้าเกรงว่าจะต้านไม่อยู่…”
ถังฟั่นยืดเอวบิดขี้เกียจ ยิ้มกล่าวไม่สะทกสะท้าน “ไม่อยู่ก็ยิ่งดี หากพวกเจ้าอยู่ ข้าจะใกล้ชิดคนงามได้อย่างไร”
เฉียนซันเอ๋อร์ตะลึงตาค้าง อึดใจใหญ่ผ่านไปก็พลันโพล่ง “แล้ว…แล้วผู้บังคับการสุยจะทำอย่างไร”
“…”
“…”
“…รีบยกของแล้วออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
“…ขะ…ขอรับ”
ลู่หลิงซีกลับมาอย่างรวดเร็ว พอฟังเฉียนซันเอ๋อร์พูด เขาพลันคัดค้าน “ไม่ได้ พี่ถัง! ตอนนี้ท่านตัดสินใจเด็ดขาดจะงัดข้อกับเฉินหลวนแล้ว เกิดเขาจนตรอกขึ้นมาแล้วทำร้ายท่านจะทำอย่างไร”
ถังฟั่นบอก “นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าให้พวกเจ้าไปขอความช่วยเหลือจากองครักษ์เสื้อแพร เจ้าให้พวกเขาส่งคนสองคน ไม่ สี่คนมาที่นี่ สองคนรั้งอยู่ข้างกายข้า ส่วนอีกสองไปอารักขาหูเหวินเจ่า เขาจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวัน”
ลู่หลิงซียังใคร่กล่าวอันใด ถังฟั่นโบกมือห้าม “อี้ชิง เรื่องนี้สำคัญมาก ของมีค่าเหล่านี้แม้มิใช่หลักฐานสำคัญที่สุด แต่เมื่อมีของเหล่านี้ฝ่าบาทจะยิ่งเชื่อถือในคำพูดของข้า ข้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อสืบหาสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงของเฉินหลวนต่อไป เรื่องเข้าเมืองหลวงต้องขอไหว้วานเจ้าแล้ว เจ้าและซันเอ๋อร์ต้องนำของและฎีกาส่งให้ถึงมือวังจื๋อหรือไหวเอินให้ได้”
เวลานี้เขาไม่อยากออกห่างจากถังฟั่นสักนิด แต่ภาระใหญ่หลวงกดทับลงมา ลู่หลิงซีไม่มีอันใดให้พูดอีก ได้แต่เงียบงัน
ถังฟั่นตบไหล่เขาพลางกล่าวเสียงละมุน “เอาเถอะ เลิกเอาแต่ใจเสียที เจ้าเป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉ ไฉนกลับทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้”
ลู่หลิงซีกลับย้อน “ข้าไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย”
“ได้ๆๆ เจ้าไม่ใช่เด็กน้อย” ถังฟั่นหัวเราะ “ซันเอ๋อร์แม้สัตย์ซื่อแต่ฝีมืออ่อนด้อย หนำซ้ำเจ้าสนิทกับไหวเอิน ย่อมหาวิธีเข้าพบเขาด้วยตนเองได้แน่ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องมอบให้เจ้า หากทุกอย่างราบรื่น พวกเราพบกันคราวหน้าก็คือที่เมืองหลวงแล้ว”
ลู่หลิงซีกัดฟัน “ข้าจะรีบนำส่งให้ไหวเอินโดยเร็วที่สุด จากนั้นกลับมาหาท่าน”
จบคำก็หมุนตัวออกไป กระทั่งบอกลาก็ลืมแล้ว
ยังว่ามิใช่เด็กน้อยอีก? ถังฟั่นคิดอย่างอ่อนใจ
ลูกไม้ของเฉินหลวนผุดขึ้นไม่หยุดยั้ง เริ่มจากจับมือกับหยางจี้เล่นละครตบตาราชสำนัก ต่อมาก็พาถังฟั่นไปดูสถานที่ซึ่งอุปโลกน์ขึ้นมา และกำนัลด้วยตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึง จากนั้นส่งเงินทองมาให้ในนามของสมาคมพ่อค้า แม้แต่คนของสำนักบูรพาก็ร่วมวงด้วย หากอุดมการณ์ของถังฟั่นอ่อนแอกว่านี้สักนิด ไม่แน่ว่าเวลานี้อาจโอนอ่อนผ่อนตามไปแล้ว คงไม่เสียเวลากระทำเรื่องที่กินแรงพรรค์นี้ให้เหนื่อยเปล่า
แต่นึกถึงผู้ประสบภัยเหล่านั้นเมื่อใด ถังฟั่นยังคงยืนกรานในความคิดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ขอเพียงโค่นเฉินหลวนได้ ราษฎรที่อยู่นอกเมืองพวกนั้นจึงจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม และยังสามารถเป็นบทเรียนตักเตือนผู้มาทีหลัง เลี่ยงมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในภายหน้า
หลังลู่หลิงซีและเฉียนซันเอ๋อร์จากไป ถังฟั่นค่อยรู้สึกถึงความอ่อนเพลียจากการอดนอนทั้งคืน เขาคร้านจะผลัดเสื้อผ้าจึงขึ้นเตียงล้มตัวนอนทั้งอย่างนั้น ไม่ถึงครู่ก็เข้าสู่นิทรารมณ์ ไม่รับรู้เรื่องภายนอก
ถังฟั่นลืมตาตื่นอีกครั้งเพราะเสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียงไถ่ถามของสตรี
“ด้านในมีคนอยู่หรือไม่”
ขนตากระพือไหว ถังฟั่นลืมตาช้าๆ สติยังไม่ตื่นดี
นี่คือ…?
คนข้างนอกส่งเสียงอีกครั้ง “ใต้เท้าถัง ท่านอยู่ด้านในหรือไม่”
ถังฟั่นตอบอืมคำหนึ่ง ขยี้ศีรษะกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง “เป็นแม่นางเซียวรึ”
“เป็นข้าเอง”
“มีธุระหรือไม่”
“ข้านำมื้อดึกมาให้ท่าน”
ถังฟั่นสดับคำ ‘มื้อดึก’ พลันชะเง้อมองนอกหน้าต่าง ยามนี้ค่อยพบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว
ตอนแรกเขาจะบอกว่าเรื่องเช่นนี้ให้เฉียนซันเอ๋อร์ทำก็ได้ แต่คิดอีกทีเฉียนซันเอ๋อร์กับลู่หลิงซีถูกเขาใช้ออกไปข้างนอกแล้ว ย่อมไม่เห็นแม้เงา
ที่สั่งให้ไปหาองครักษ์เสื้อแพรไม่รู้หามาได้แล้วหรือไม่ ถังฟั่นนึกในใจพลางลงจากเตียง
“แม่นางเซียวรอสักครู่ ข้าใส่เสื้อผ้าก่อน”
“เจ้าค่ะ” เซียวอู่รับคำเสียงหวาน
อึดใจถัดมา ถังฟั่นแต่งกายเรียบร้อย “เชิญ”
เซียวอู่ผลักประตูเข้ามา
ถังฟั่นยามนี้ค่อยเห็นนางประคองถาดซึ่งมีอาหารวางอยู่ คล้ายว่าจะหนักพอสมควร นางยังอุตส่าห์ยืนถืออยู่ข้างนอกเป็นนานสองนานโดยไม่บ่นสักคำ
เขารับถาดไว้ “ลำบากแม่นางแล้ว เจ้าไม่ต้องนำมาส่งเองก็ได้ ที่นี่มีเด็กรับใช้”
เซียวอู่ระบายยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เด็กรับใช้มีงานในบ้านให้ทำ ข้ากลับว่างอยู่คนเดียว ใต้เท้ามีเรื่องอันใดสามารถเรียกใช้ได้เต็มที่”
นางเปิดฝาโถตุ๋น กลิ่นหอมของน้ำแกงไก่ลอยแตะจมูก ข้างๆ ยังมีข้าวสวยอีกชามและผัดผักจานเล็ก น่ากินไม่มีใดเกิน
หากเป็นเมื่อก่อนถังฟั่นคงเริ่มสวาปามไปแล้ว แต่ตอนนี้ต่อให้ท้องเริ่มร้องประท้วง เขากลับยังไม่หวั่นไหว เพียงจ้องมองเซียวอู่นิ่งๆ คล้ายมีหมื่นถ้อยพันวจีใคร่จะเอ่ย แต่ไม่ทราบควรเริ่มต้นเช่นไร
ภายใต้สายตาเช่นนี้ ตุ๊กตาหิมะก็ยังละลาย ประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเป็นๆ เช่นเซียวอู่
พวงแก้มนางระเรื่อขึ้นช้าๆ ศีรษะค่อยๆ ก้มต่ำ เผยต้นคอด้านหลังอันเนียนขาวใต้ปกเสื้อออกมา
บรรยากาศในห้องเริ่มระอุและคลุมเครือ
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
โดนคนขัดจังหวะ ถังฟั่นไม่สบอารมณ์นัก “ใคร!”
สุ้มเสียงห้าวทุ้มดังขึ้นที่ด้านนอก “ใต้เท้า ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากนายกองพันเซวียหน่วยทหารซูโจว รุดมาอารักขาใต้เท้าขอรับ”
เซียวอู่คล้ายตื่นตัวจากบรรยากาศที่ผิดแผกนี้เช่นกัน สีหน้ากลับแดงซ่านกว่าเดิม
ถังฟั่นฉุนจัด ร้องสั่งเสียงห้วน “รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก!” แล้วหันมาเอ่ยเสียงอ่อนโยนกับเซียวอู่ “ไยมีข้าวแค่ชามเดียว แล้วของเจ้าเล่า”
เซียวอู่ก้มหน้าเอียงอาย “ข้าน้อยกินแล้ว ใต้เท้ารีบกินเถอะ”
ถังฟั่นผงกศีรษะ ชื่นชมกิริยาขวยอายของคนงามอยู่ครู่หนึ่ง ยามนี้ค่อยถอนสายตากลับมาอย่างอาวรณ์ หยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำแกงไก่คำหนึ่งเตรียมส่งเข้าปาก
ช้อนเพิ่งจ่อริมฝีปาก เขาพลันหยุดค้าง “ข้าพลันนึกถึงเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่งขึ้นมา”
เซียวอู่เผยสีหน้างุนงง
“ในน้ำแกงนี้มิได้เจือปนสิ่งใดกระมัง” ถังฟั่นอมยิ้ม “อย่างเช่นสารหนู อูโถว* หรือมั่นถัวหลัว** อะไรพวกนี้”
เซียวอู่ตะลึงมองเขา “ใต้เท้า ท่านกำลังกล่าวอันใด ข้าฟังไม่เข้าใจ”
เสียงเคาะประตูอันน่ารำคาญใจดังขึ้นอีกรอบ
ถังฟั่นยิ้มละไมให้เซียวอู่ “เช่นนั้นรบกวนแม่นางสักเรื่องหนึ่ง”
“ใต้เท้าเชิญกล่าว”
ถังฟั่นยื่นมือไปรั้งอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมอก
ตามหลังเสียงอุทานเบาหวิวของเซียวอู่ บานประตูก็เปิดผลัวะจากด้านนอก
บุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดนายกองขั้นเจ็ดองครักษ์เสื้อแพรยืนตระหง่านอยู่นอกประตู
หากจะต้องกล่าวให้ได้ว่าเขามีเอกลักษณ์เด่นชัดอันใด นั่นก็คืออีกฝ่ายถูกหนวดเคราบดบังไปครึ่งหน้า
ทว่าดวงตาทั้งคู่ของเขากลับแวววับ คนยืนผงาดอยู่ตรงนั้น แล้วยังแผ่รัศมีอันจับตา สง่างามเหนือผู้คน
เสียดายถังฟั่นไม่เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ หากลู่หลิงซีอยู่ตรงนี้คงทราบว่าอีกฝ่ายคือยอดฝีมือผู้หนึ่ง
บุรุษผู้นั้นประสานมือกล่าวกับถังฟั่นที่โอบกอดคนงามอยู่ “ข้าน้อยตี๋หาน นายกององครักษ์เสื้อแพรประจำหน่วยทหารอำเภออู๋เซี่ยน คารวะใต้เท้าถัง”
ถังฟั่นขมวดคิ้ว “ใครส่งเจ้ามา”
ตี๋หานตอบ “ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากนายกองพันเซวียหน่วยทหารซูโจว รุดมาอารักขาใต้เท้าโดยเฉพาะ”
ถังฟั่นตีหน้าเข้มขรึม “นายกองพันเซวียให้เจ้ามาคุ้มกันข้า เจ้ากลับบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีเจตนาใด”
ตี๋หานก้มหน้าต่ำ “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าน้อยเพียงเห็นใต้เท้าไม่ตอบรับจึงบุกเข้ามาด้วยความร้อนใจ เกรงใต้เท้าจะเกิดเหตุร้าย”
ถังฟั่นเอ่ยเสียงเย็น “คงมิใช่นายกองตี๋รู้สึกว่าอารักขาข้าเป็นการดูแคลนความสามารถของเจ้ากระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าสามารถบอกกับนายกองพันเซวียให้เขาเปลี่ยนคนอื่นมาแทนได้”
ตี๋หานได้ฟังพลันคุกเข่า “ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ใต้เท้าโปรดอย่าไล่ข้าน้อยไป นายกองพันเซวียกำชับนักหนาให้ข้าน้อยเชื่อฟังวาจาของใต้เท้าทุกประการ เป็นข้าน้อยมุทะลุ ใต้เท้าโปรดอภัย”
ถังฟั่นจ้องเขาอยู่นาน ค่อยกล่าว “ข้ามิใช่บอกให้นายกองพันเซวียจัดส่งมาสองคนหรอกหรือ ไฉนมีเจ้าคนเดียว”
ตี๋หานกล่าว “อาจเพราะนายกองพันเซวียเห็นว่าข้าน้อยฝีมือไม่ต่ำทราม จึงคิดว่าคนเดียวก็เพียงพอ”
ถังฟั่นหัวเราะฉุนๆ “ช่างไม่รู้จักถ่อมตนจริงๆ!”
ตี๋หานกลับตอบหน้าตาเฉย “ขอบคุณใต้เท้าที่ชมเชย ข้าน้อยมิบังอาจน้อมรับ”
สาวงามล่มเมืองอย่างเซียวอู่นั่งอยู่ตรงนั้น เขากลับชำเลืองแวบเดียวเมื่อเข้าประตูมา จากนั้นเส้นสายตาก็ไม่เคยหยุดลงบนร่างของนางอีกเลย
ถังฟั่นกล่าว “ในเมื่อนายกองพันเซวียให้เจ้าเชื่อฟังคำสั่งข้าทุกประการ เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะให้เจ้าทำเรื่องหนึ่ง”
“ใต้เท้าเชิญสั่ง”
“ออกไป” ถังฟั่นบอก
ในที่สุดตี๋หานก็ผงะแล้ว
ถังฟั่นทวนซ้ำอีกรอบ “ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้าออกไป ปิดประตู อย่ารบกวนพวกเรา ได้ยินหรือไม่”
“…ขอรับ” ตี๋หานรับคำ
เขาถอยออกไปเงียบๆ
ถังฟั่นเพิ่งจะคลายมือจากเอวของเซียวอู่ บานประตูก็ถูกผลักเปิดพร้อมกับใบหน้าที่ตอแยไม่เลิกของตี๋หานปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้า ข้าน้อยรักษาการณ์อยู่ด้านนอก หากท่านมีคำสั่งใด เพียงเรียกคำหนึ่งก็ใช้ได้”
ถังฟั่นโมโหจนแผดเสียงก้อง “ออกไป!!”
* อูโถว หรือโหราเดือยไก่ เป็นไม้ล้มลุก รากมีพิษ
** มั่นถัวหลัว หรือต้นลำโพงม่วง เป็นพืชในวงศ์ Solanaceae ทุกส่วนของพืชชนิดนี้มีพิษในระดับอันตราย