ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 1 #นิยายวาย

ในห้องคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

ถังฟั่นปล่อยมือจากนาง “เป็นที่ขบขันของแม่นางเซียวแล้ว”

เซียวอู่ก้มหน้า กระดากอายจนพูดไม่ออก ได้แต่พึมพำเตือนเขา “ใต้เท้า อาหารเย็นหมดแล้ว เดี๋ยวข้าไปทำใหม่แล้วส่งมาอีกชุดหนึ่ง”

ถังฟั่นเอ่ยเสียงหวาน “ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อนกิน ข้ามีบางถ้อยคำอยากพูดกับแม่นางเซียว”

ศีรษะของเซียวอู่ยิ่งโน้มต่ำ มือบิดชายเสื้อไปมาอย่างเงียบงัน

หลังสัมผัสอันใกล้ชิดเมื่อครู่ กลิ่นอายคลุมเครือระหว่างทั้งสองยิ่งมายิ่งรุนแรง บุคคลเฉกเช่นถังฟั่น หากมิใช่มีใจต่อสตรีนางหนึ่งแท้จริงก็ไม่มีทางจับมือถือแขนอีกฝ่ายเป็นอันขาด

คุณชายผู้งามสง่าเช่นนี้เปิดเผยความในใจสองครั้งสามครา บนโลกนี้จะมีสตรีกี่นางที่ไม่หวั่นไหวเล่า

ดังคาด ได้ยินถังฟั่นเอ่ยถาม “ไม่ทราบแม่นางเซียวมีพันธะสมรสหรือไม่”

ความนัยของคำถามนี้ร้ายแรงนัก ใบหน้าของเซียวอู่ยิ่งแดงจัด ไม่ทราบควรตอบเช่นไรดี

นางพลันนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงเงยหน้าถาม “ใต้เท้า ท่าน…ท่านเมื่อครู่ไฉนเข้าใจว่าข้าวางยาพิษในอาหาร”

ถังฟั่นยิ้มละอายกับนาง “พวกเราเจอกันสองครั้งก่อนหน้านี้ออกจะประจวบเหมาะเกินไป ข้านึกว่าเจ้าคือคนที่ผู้อื่นส่งมา จึงมีเจตนาเลียบเคียง”

เซียวอู่กัดริมฝีปาก “เช่นนั้นตอนนี้เล่า”

ถังฟั่นบอกตามตรง “ตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกว่าบนตัวเจ้ามีจุดน่าสงสัยอยู่มาก แต่…กลับควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้”

คำพูดแรกทำให้เซียวอู่หน้าเผือดสี คำพูดหลังกลับทำให้ผิวหน้านางเปลี่ยนจากเผือดสีเป็นแดงเรื่อ ตื่นตระหนกพลันปรีดิ์เปรม ร่างกายเกือบต้านรับไม่อยู่

เซียวอู่รวนเรอยู่อึดใจกว่าจะปลุกความกล้าขึ้นมาได้ “อันที่จริง…ข้าทราบว่าท่านกำลังคลางแคลงอันใด”

“หืม?”

เซียวอู่ก้มหน้า “กล่าวตามสัตย์ ความจริงข้ามิใช่กุลสตรีดีงามอันใด ก่อนหน้านี้ที่บอกว่ามาพึ่งพิงญาติก็เป็นเรื่องเท็จเช่นกัน บุตรสาวผู้ดีมีสกุลย่อมไม่มีทางประพฤติตัวเยี่ยงข้า ดึกดื่นค่ำคืนวิ่งมาหาบุรุษถึงห้อง”

ถังฟั่นกล่าวเสียงละมุน “เจ้าเต็มใจพูดก็พูด ไม่เต็มใจพูด ข้าก็ไม่ฝืนใจเจ้า”

“เป็นความจริง?” เซียวอู่เงยหน้าขวับ

“ย่อมเป็นความจริง”

หยดน้ำในดวงตาแพรวพราวเอ่อคลออยู่นาน สุดท้ายก็ร่วงริน

มิใช่สาวงามจะร่ำไห้ได้ชวนมองทุกนาง แต่คำ ‘ดอกหลีฮวาแซมน้ำตา’* เมื่อนำมาใช้กับเซียวอู่กลับเหมาะเจาะไม่มีใดเกิน

นางถามถังฟั่น “ท่านเคยได้ยิน ‘หยางโจวเลี้ยงม้าผอม’ หรือไม่”

ถังฟั่นย่อมเคยได้ยินแน่นอน

‘หยางโจวเลี้ยงม้าผอม’ ก็คือการซื้อเด็กหญิงหน้าตาดีจากครอบครัวยากจนในราคาถูกแล้วนำมาฝึกฝน ทำให้เด็กหญิงเหล่านี้เชี่ยวชาญทั้งพิณหมากอักษรภาพ รวมทั้งวิชามัดใจบุรุษบนเตียง ล้วนแต่ฉูดฉาดบาดอารมณ์ เช่นนี้จึงสามารถขายออกไปในราคาสูง บ้างก็เป็นดาวเด่นในหอคณิกา บ้างก็เป็นหญิงบำเรอของพวกผู้ดีมีเงิน เป็นที่นิยมแพร่หลายในแถบเจียงหนาน ถึงขนาดมีคนดำเนินกิจการด้านนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน คล้ายกับพวกพ่อค้ามนุษย์

เห็นถังฟั่นพยักหน้า เซียวอู่จึงกล่าว “เดิมทีข้าก็เป็นม้าผอม ตอนอายุได้สิบสี่ถูกคนซื้อไปเป็นอนุให้กับคหบดีคนหนึ่ง ต่อมาคหบดีคนนั้นเสียชีวิต ภรรยาเอกของเขาเกลียดชังข้าจึงไล่ข้าออกมา นี่ก็คือสาเหตุที่ท่านได้เจอข้าที่นอกเมืองหยางโจว สิ่งที่ข้าร่ำเรียนตั้งแต่เล็กคือวิชาปรนนิบัติบุรุษ ข้าจึงไม่ต่างจากนกแก้วที่ถูกเลี้ยงในกรง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการออกมาหาเลี้ยงชีพตนถึงกับยากเย็นแสนเข็ญปานนั้น หากวันนั้นไม่ได้ใต้เท้าช่วยไว้ เกรงว่าข้าคง…” เซียวอู่ปาดน้ำตา ระบายยิ้มขมขื่น “ตอนนี้ท่านทราบแล้ว ข้า…ข้าไม่ควรบังเกิดความเพ้อฝันหลังจากพบท่านในคืนนั้น กระทั่งจงใจแต่งกายเป็นสาวน้อยทั้งที่ความจริงข้าก็มิใช่สตรีดีงามอันใด…”

นางยิ่งเช็ดน้ำตายิ่งไหลพรั่งพรูไม่หยุด เซียวอู่หมดปัญญาพูดต่อ เพียงลุกพรวดขึ้นมา หมุนตัวผลุนผลันจะออกข้างนอก

ถังฟั่นฉุดมือนางไว้ รวบนางเข้าสู่อ้อมอกอีกรอบ กอดรัดแนบแน่น!

“อู่เอ๋อร์!”

คำเรียกนี้พอเข้าหู เรือนร่างอรชรของเซียวอู่พลันสั่นเบาๆ แล้วอ่อนระทวยกับอ้อมอกเขา

เสียงของถังฟั่นดังขึ้นเหนือศีรษะนาง “ข้าชมชอบเจ้าจริงๆ แวบแรกที่เห็นเจ้าก็ชอบแล้ว…ข้าไม่ถือสาฐานะของเจ้า ขอเพียงเจ้าเอ่ยว่ายินดีติดตามข้า ข้าจะพาเจ้ากลับเมืองหลวง แต่งเจ้าเข้าเรือน!”

เพิ่งขาดคำ เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นอีก

ตี๋หานส่งเสียงจากด้านนอก “ใต้เท้า ดึกมากแล้ว ท่านควรพักผ่อนได้แล้ว”

ถังฟั่นโกรธจัด ตวาดเสียงว่า “ไม่ต้องยุ่ง ให้เจ้ารออยู่ข้างนอกไม่ได้ยินรึ!” แล้วหันมากล่าวเสียงนุ่มกับเซียวอู่ “ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่”

เซียวอู่ส่ายหน้าน้อยๆ

ด้านนอกเงียบลงอีกครั้ง

ทั้งคู่ยังอยู่ในท่วงท่าโอบกอด ถังฟั่นไม่มีทีท่าคลายวงแขน เซียวอู่ก็มิได้ดิ้นหนี นางเพียงเอ่ยเบาๆ “หัวใจของข้าน้อย…เหมือนกับใต้เท้า”

ถังฟั่นอุทานตื่นเต้น “อู่เอ๋อร์!”

เซียวอู่ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แต่ข้ามิกล้าวาดหวังว่าใต้เท้าจะตบแต่งอย่างออกหน้าออกตา ฐานะเช่นข้านี้ขอเพียงได้อยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านก็คือความสุขสุดยอดของข้าแล้ว”

แววตาถังฟั่นทอประกายอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถอะ บิดามารดาข้าล้วนล่วงลับไปแล้ว พี่สาวก็เป็นคนใจคอกว้างขวาง นางไม่กีดกันพวกเราแน่”

เซียวอู่ส่ายหน้า “แต่ฐานะของข้าจะทำให้ท่านเป็นที่เยาะหยันในแวดวงขุนนาง ใต้เท้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ได้รู้ถึงจิตใจท่าน ข้า…ข้าก็ดีใจมากแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ…ตั้งแต่เล็กไม่เคยมีใครจริงใจกับข้าสักคน และไม่เคยมีบุรุษคนใดพูดกับข้าว่าจะแต่งข้าเป็นภรรยา…”

ถังฟั่นผ่อนลมหายใจทีหนึ่ง ฝ่ามือลูบไล้เรือนผมนาง นานพักใหญ่ค่อยเอ่ย “อย่าพูดเรื่องหดหู่พวกนี้ดีกว่า ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องสำคัญมากต้องทำ เฉินหลวนตบตาเบื้องบน เอาเสบียงสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปค้ากำไรเข้ากระเป๋าตนเอง ข้าต้องหาหลักฐานและฟ้องต่อราชสำนักให้ได้ เช่นนี้ข้าจึงสามารถพาเจ้ากลับเมืองหลวงได้เร็วขึ้น ดังนั้นระยะนี้ข้าอาจไม่มีเวลาดูแลเจ้า เจ้าก็อยู่ในบ้านพักรับรองไป พยายามอย่าออกข้างนอก เลี่ยงมิให้เฉินหลวนอับจนหนทางขึ้นมา แล้วจับเจ้ามาเป็นจุดอ่อนข่มขู่ข้า”

เซียวอู่เอ่ยเสียงวิตก “เช่นนั้นท่านจะมีอันตรายหรือไม่”

ถังฟั่นกุมมือนาง “ไม่หรอก ข้ากับองครักษ์เสื้อแพรสนิทกันพอสมควร ถึงให้พวกเขาส่งคนมาคุ้มกันข้า นั่นอย่างไร ข้างนอกก็ยืนอยู่คนหนึ่ง”

เซียวอู่หัวเราะพรืด แย้มยิ้มทั้งน้ำตา “ข้าว่าเขาเหมือนมาคุมท่านมากกว่า”

ถังฟั่นเผยสีหน้าจนใจ “องครักษ์เสื้อแพรชอบวางก้ามเช่นนี้เสมอ ข้าสนิทกับผู้บังคับบัญชาของพวกเขา พวกเขาย่อมพูดอะไรมากไม่ได้ ขอเพียงคุ้มครองข้าได้ ทนหงุดหงิดสองสามวันจะเป็นไรไป”

เซียวอู่พลอยหัวเราะไปกับคำพูดนี้

ถังฟั่นกล่าว “คืนวานไม่ได้นอนเลย เมื่อครู่ข้าก็งีบได้ไม่นาน ตอนนี้เริ่มเพลียแล้ว”

เซียวอู่รีบกล่าว “เช่นนั้นข้าออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยยกอาหารเช้ามาให้ท่าน”

ถังฟั่นยิ้มบอก “หากเจ้ายินดีอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าก็ไม่ถือสา”

เซียวอู่หน้าแดง เขินอายจนไม่ทราบจะตอบเช่นไร ได้แต่ยกถาดอาหารขึ้นแล้วก้มหน้าเดินออกไป

ถังฟั่นก็มิได้ไล่ตาม เพียงมองส่งนางจากไปด้วยสายตาอาวรณ์ แววตาหวานเยิ้มจนแทบจะหยดเป็นน้ำออกมา ถึงเซียวอู่หมุนตัวไม่แลมอง ยังคงสามารถรู้สึกได้ถึงสายตาร้อนเร่าด้านหลังตนเอง

คราวที่อยู่นอกเมืองหยางโจว แม้กล่าวโดยเคร่งครัด คนที่ช่วยนางคือลู่หลิงซี แต่ขอเพียงเป็นสตรีเยี่ยงเซียวอู่ คนที่นางเทิดทูนบูชาย่อมเป็นถังฟั่น

นางแอบชมชอบแต่แรกแล้ว เพียงไม่กล้าเปิดปากพูดออกมา ได้แต่ติดตามถึงซูโจวเงียบๆ และก็บังเอิญนักที่ได้รับความช่วยเหลือจากถังฟั่นอีกคราหนึ่ง

หรือจะเป็นวาสนาฟ้าลิขิตจริงๆ?

หากสามารถติดตามถังฟั่นกลับเมืองหลวง

คิดถึงตรงนี้ดวงหน้าของเซียวอู่พลันแดงปลั่ง กระทั่งฝีเท้าก็พลอยเปะปะไปด้วย

รอจนเซียวอู่ปิดประตูเดินไกลออกไป ถังฟั่นค่อยยืดเอวบิดขี้เกียจ รอยยิ้มยังประดับบนหน้าไม่คลาย

“ตี๋หาน เจ้ายังอยู่ข้างนอกหรือไม่”

“อยู่ขอรับ” มีเสียงตอบจากด้านนอก

“เข้ามาเถอะ” ถังฟั่นบอก

ตี๋หานผลักประตูเข้ามา ได้ยินถังฟั่นเอ่ยขึ้น “ข้าเพลียนิดหน่อย เจ้าไปตักน้ำมาให้ข้าล้างเท้าที”

“…”

ถังฟั่นไม่ได้รับคำตอบจึงช้อนตาเล็กน้อย “อย่างไร ไม่เต็มใจ? เช่นนั้นข้าจะให้นายกองพันเซวียเปลี่ยนคนใหม่มา”

“ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”

เขาหมุนตัวออกไป เพียงครู่ก็ยกอ่างน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว วางไว้ใกล้เท้าถังฟั่น แล้วยื่นมือมาพับชายกางเกงให้ถังฟั่น

ถังฟั่นกระแอมคำหนึ่ง “ไม่ต้อง ข้าทำเองได้ เจ้านั่งเถอะ ข้ามีเรื่องไถ่ถาม”

ตี๋หานไม่สนใจการปฏิเสธของเขา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราทำให้มองอารมณ์ไม่ชัดเจน หากแต่น้ำเสียงกลับนอบน้อมจริงใจยิ่ง “ในเมื่อข้าน้อยติดตามใต้เท้า ย่อมสมควรรับใช้อย่างทั่วถึง ไม่อย่างนั้นหากใต้เท้าไปฟ้องนายกองพันเซวีย ข้าน้อยจะโดนตำหนิ ใต้เท้าโปรดให้โอกาสข้าน้อยสักครั้งเถอะ”

ไม่รอถังฟั่นปฏิเสธเขาก็พับชายกางเกงของถังฟั่นขึ้นมา สองมือแตะน้ำเล็กน้อยแล้วตบบนหลังเท้าเบาๆ กระทั่งอีกฝ่ายชินกับความอุ่นร้อนของน้ำค่อยยกทั้งเท้าวางในอ่าง

ถังฟั่นจะอย่างไรก็เป็นบุรุษ เท้าของเขาย่อมไม่อาจใช้คำว่าสวยงามมาพรรณนา แต่ความเรียวยาวและขาวผ่องไร้รอยกระดูกปูดโปนกลับเป็นความงามที่ลงตัวชนิดหนึ่ง

ขณะตี๋หานกอบกุมเท้าทั้งสองข้างนี้ยังสังเกตเห็นฝ่าเท้าเขามีไตแข็งบางๆ

ขุนนางฝ่ายบุ๋นออกประตูล้วนมีเกี้ยวหรือรถม้า โดยปกติก็เพียงเดินทางใกล้ๆ แล้วไตแข็งๆ มาจากที่ใด

ถังฟั่นคล้ายมองเห็นถึงความสงสัยของเขา เอ่ยเรื่อยเฉื่อยว่า “เจ้าลืมแล้วหรือ ก่อนสอบติดบัณฑิตเอกข้าเคยทัศนาจรทั้งเหนือใต้อยู่หลายปี เส้นทางที่ย่ำผ่านมากมายนับไม่หมด ส้นเท้าหยาบหนาก็เป็นเรื่องปกติ”

ตี๋หานก้มหน้าล้างเท้าให้เขา “ใต้เท้าอาจจำผิดแล้ว ท่านไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้าน้อย จะเรียกว่าข้าน้อยลืมได้อย่างไร”

ถังฟั่นตอบอ้อคำหนึ่ง “สงสัยข้าคงสับสนระหว่างเจ้ากับคนอื่นกระมัง ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าผลุนผลันเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายครั้ง รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด”

ตี๋หานกล่าว “ข้าน้อยเพียงวิตกว่าใต้เท้าจะมีภัย”

“ข้าว่าเจ้ายลโฉมหญิงงามจนลืมตัวมากกว่า อยากจะเข้ามาดูให้มากหน่อยกระมัง” ถังฟั่นหัวเราะ

ตี๋หานอึ้งไปอึดใจ “ใต้เท้า สตรีนางนั้นมีภูมิหลังซับซ้อน มิใช่ชนชั้นสามัญทั่วไป”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ข้าบอกเจ้าก็ได้ ข้าต้องตานางเข้าแล้ว ไม่ช้าก็จะตบแต่งนาง เจ้าอย่าได้ทุ่มเทใจให้นางจะดีกว่า เพราะข้าไม่มีวันยั้งมือไว้ไมตรี…โอ๊ย! ไยเจ้าบีบแรงนัก เท้าข้าจะหักแล้ว”

ตี๋หานคลายมือ เห็นบนนั้นปรากฏรอยแดงจริงๆ จึงยื่นมือช่วยนวดให้ “…ข้าน้อยมิได้เจตนา”

ถังฟั่นหดเท้ากลับมา หยิบผ้ามาเช็ดเองพลางโบกมือไปมาราวกับไล่แมลงวัน “เอาล่ะๆ เจ้าออกไปได้ อย่ารบกวนการนอนของข้า”

ยังพูดไม่จบก็ถูกคนผลักจนหงายหลังโครมไปบนเตียง

ถังฟั่นโกรธเกรี้ยว “นี่เจ้าจะทำอะไร”

สองฝ่ายตาสบตา ปลายจมูกแทบชนกัน ประชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่พ่นออกมา

ตี๋หานเอ่ยเนิบๆ “ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว”

แม้กล่าวเช่นนั้น หากคนกลับยังคงไม่มีทีท่าจะลุกขึ้น

ตี๋หานจ้องเขาเขม็งขณะกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “สตรีนางนั้นมีจิตคิดไม่ซื่อ ใต้เท้าอย่าได้หลงกลนาง”

ถังฟั่นหัวเราะ “ก็แค่หญิงบำเรอคนหนึ่งของเฉินหลวน”

ตี๋หานถึงกับสะอึก “ท่านทราบ?”

ถังฟั่นเอ่ยเรื่อยเฉื่อย “เจ้านึกว่าข้ามีแค่แหล่งข่าวที่ได้จากพวกเจ้าองครักษ์เสื้อแพรก็กล้าบุกมาหยางโจวโดยไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นออกจะดูแคลนข้าเกินไปแล้ว”

“ท่านทราบได้อย่างไร”

“แล้วเจ้าจะทับข้าถึงเมื่อใด”

“…ขออภัย”

ตี๋หานจ้องมองถังฟั่นนิ่งลึกแวบหนึ่งค่อยยอมลุกขึ้น

ถังฟั่นแค่นเสียงฮึ พยักพเยิดคาง “ไป ยกน้ำล้างเท้าออกไป ข้าจะนอนแล้ว”

“ใต้เท้าโปรดไขข้อข้องใจให้ข้าน้อยด้วย”

ถังฟั่นแปลกใจ “เจ้ากำลังขอร้องข้า?”

ตี๋หานเอ่ยนอบน้อม “ขอรับ ข้าน้อยขอร้องใต้เท้า ได้โปรดไขข้อข้องใจให้ข้าน้อยด้วย”

ถังฟั่นเบิกบานยิ่ง “เห็นแก่ความนอบน้อมจริงใจของเจ้า ข้าจะเมตตาเฉลยปริศนาให้เจ้าฟัง ตั้งแต่ครั้งที่สองที่เผอิญเจอนางบนถนนในเมืองซูโจว ข้าก็คลางแคลงในตัวนางแล้ว”

ประสบกับสายตาคาใจของตี๋หาน ถังฟั่นจึงแจงว่า “รู้เขารู้เรา หยั่งเป้าหมายของศัตรู จึงสามารถร้อยศึกไม่ปราชัย ก่อนออกจากเมืองหลวงข้าให้วังจื๋อช่วยสืบประวัติของหูเหวินเจ่า เฉินหลวน และหยางจี้ สำหรับเฉินหลวน วังจื๋อได้ย้ำกับข้าเป็นพิเศษอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือเขามีอนุที่งามมากคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครเคยเห็น ทว่าขอเพียงพบหน้า ไม่มีผู้ใดไม่หวั่นไหวในความงามของนาง และอนุของเขาคนนี้ก็ได้มาจาก ‘หยางโจวเลี้ยงม้าผอม’

ใต้หล้านี้มีสตรีรูปโฉมงดงามอยู่ไม่น้อย แต่ระดับสะท้านขวัญสะเทือนวิญญาณเฉกเช่นเซียวอู่กลับมีไม่มาก อาจไม่ถึงขั้นหนึ่งในหมื่น อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งในพัน และข้าก็มิใช่ปีศาจราคะที่ไม่เคยผ่านโลก นี่อยู่ดีๆ ก็มีสตรีเลอโฉมงามล่มเมืองคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่นอกเมืองหยางโจว ข้ามีหรือจะไม่สะกิดใจ อีกอย่างเมื่อครู่เจ้าบอกเองว่านางมีประวัติไม่ธรรมดา เฉินหลวนทั้งส่งเงินส่งสตรีให้ข้า หากสาวงามคนนี้มิใช่คนที่เขาให้ความสำคัญ เกรงว่าเขาคงไม่วางใจกระมัง ดังนั้นเซียวอู่คนนี้แปดเก้าส่วนก็คืออนุคนโปรดของเฉินหลวนนั่นเอง”

ตี๋หานผงกศีรษะ “ดังนั้นใต้เท้าจึงใช้แผนซ้อนแผน หมายให้นางหลงใหลในความงามของใต้เท้า จากเล่นละครกลายเป็นเรื่องจริง?”

หากตอนนี้ในปากถังฟั่นอมน้ำอยู่ เช่นนั้นเขาต้องพ่นพรวดออกมาแน่ “ข้าไม่มีความงาม และที่ข้าอยากให้หลงใหลก็มิใช่นาง”

ตี๋หานไม่เข้าใจ

 

* ดอกหลีฮวาแซมน้ำตา คือคำเปรียบเปรยท่าทางการร้องไห้ของหยางกุ้ยเฟย ต่อมาใช้พรรณนาความงามเฉิดฉายของสตรี

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com