everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 2 #นิยายวาย
สถานที่ซึ่งถังฟั่นพาเซียวอู่มากลับมิใช่ที่ใด เป็นสาขาขององครักษ์เสื้อแพรในพื้นที่นั้น
นายกองพันเซวียรีบออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นตี๋หานด้านหลังถังฟั่น ท่าทีพลันคึกคักอักโข ทั้งสนทนาปราศรัย ทั้งเอาใจใส่สารพัด ขาดก็แต่ประเคนน้ำชามาส่งด้วยตนเองเท่านั้น
ด้วยคำสั่งของนายกองพันเซวีย คนร้ายถูกคนในหน่วยทหารนำตัวไปจัดการทันที
แม้พวกถังฟั่นล้วนทราบว่าคนร้ายมาเยือนด้วยสาเหตุใด แต่หากสามารถงัดแงะสิ่งใดจากตัวพวกมันได้มากขึ้นก็สามารถเพิ่มข้อหาให้เฉินหลวนโทษฐานลอบสังหารผู้แทนราชสำนักได้อีกหนึ่งข้อหา
นายกองพันเซวียกล่าว “ผู้น้อยเกรงว่าจะรบกวนการทำงานของใต้เท้า ดังนั้นหลังจากใต้เท้ามาถึงซูโจว จึงมิได้ไปเยี่ยมคารวะถึงที่พัก ใต้เท้าโปรดอภัย”
ถังฟั่นแย้มยิ้ม “นายกองพันเซวียเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราต่างหากที่รบกวนความสงบสุขของท่าน เรื่องในครั้งนี้ต้องลำบากท่านแล้ว มาตรว่าผู้บังคับการสุยอยู่ไกลถึงเมืองหลวง กลับเอ่ยถึงนายกองพันเซวียเสมอ ชมว่าท่านเก่งกล้าสามารถ ห้าวหาญชาญฉลาด”
นายกองพันเซวียชำเลืองสุยโจวที่นั่งเป็นใบ้ไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้างหลายแวบ รอยยิ้มยิ่งแจ่มจ้า “ใต้เท้าถังชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิกล้าน้อมรับ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะผู้บังคับการอบรมได้ดี”
หยวนปินอดีตผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหลังออกจากตำแหน่งได้มอบขุมกำลังที่สร้างขึ้นมาเองกับมือให้สุยโจว บวกกับองครักษ์คนสนิทของสุยโจวเอง ทำให้พอจะตั้งตัวเป็นอิสระจากวั่นทงผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรคนปัจจุบันได้
องครักษ์เสื้อแพรในเวลานี้แบ่งเป็นสองขั้วอำนาจ ขั้วหนึ่งมีวั่นทงเป็นผู้นำ อีกขั้วหนึ่งกลับภักดีต่อสุยโจว
ดังนั้นถึงแม้องครักษ์เสื้อแพรยังคงเป็นองครักษ์เสื้อแพร แต่ในความเป็นจริงเพราะวั่นทงประชันฝีมือกับสุยโจว คนที่อยู่เบื้องล่างจึงพลอยตบเท้าเข้าแถวไปด้วย
และนายกองพันเซวียก็พอดีเป็นคนของสุยโจว
ครั้งนี้พี่ใหญ่ออกโรงเอง โอกาสทองมาถึง นายกองพันเซวียย่อมจะต้องทุ่มเทเป็นพิเศษ
ถังฟั่นสนทนากับนายกองพันเซวียได้พักหนึ่งก็ทิ้งให้ตี๋หานอยู่คุยกับนายกองพันเซวีย แล้วพาเซียวอู่ไปพักผ่อนยังเรือนเล็กที่อีกฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้
“อู่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่ ต้องให้ข้าสั่งคนไปเชิญหมอหรือไม่” เขาไม่ปริปากเรื่องสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงสักคำ กลับไถ่ถามถึงสุขภาพของอีกฝ่ายก่อน
เซียวอู่ส่ายศีรษะไปมา สีหน้ายังมีรอยตระหนกไม่หาย มือข้างหนึ่งยังกำแขนเสื้อถังฟั่นแน่น คล้ายมีแต่ทำเช่นนี้จึงสามารถทำให้ตนเองระงับสติอารมณ์ได้บ้าง
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่ เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดได้เลย” ถังฟั่นกล่าวปลอบพลางรินน้ำชาให้นาง
กอบกุมถ้วยชา ความร้อนจากอุ้งมือแผ่ซ่านไปทั่วกาย เซียวอู่ค่อยรู้สึกสงบลง
นางสูดหายใจลึก “ใต้เท้า ความจริงข้าหลอกท่านมาตลอด”
เซียวอู่ไม่โง่ ตรงข้ามนางฉลาดมาก ทั้งมีจริตมารยาของสาวน้อย ไม่อย่างนั้นเฉินหลวนคงไม่ส่งนางมามอมเมาถังฟั่น
แต่เพราะมั่นใจในความงามของตนเอง ก่อนหน้านี้เสมือนหนึ่งใบไม้บังตา นางจึงเข้าใจมาตลอดว่าตนเองสามารถลุล่วงภารกิจอย่างราบรื่น
จนกระทั่งเวลานี้เรื่องราวเหนือการควบคุม นางตรึกตรองไปมา รู้สึกว่าการสารภาพทุกอย่างต่อถังฟั่นอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ถังฟั่นได้ฟังคำนี้ไม่เพียงไม่แสดงอาการแปลกใจหรือโกรธกริ้ว กลับแย้มยิ้มด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าหลอกอะไรข้า”
เซียวอู่ตะลึงวูบ “ท่านทราบแต่แรกแล้ว?”
ถังฟั่นอมยิ้ม “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าแม่นางเซียวมีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงอยู่ในมือ”
ไม่รู้ว่านางมีสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงอยู่ในมือ เช่นนั้นก็หมายถึงรู้แต่แรกว่านางเป็นคนที่เฉินหลวนส่งมา
แล้วเขายังร่วมเล่นละครกับนางอยู่ได้ตั้งนาน มิใช่เห็นนางเป็นคนโง่หรอกหรือ ทางหนึ่งเสแสร้งแกล้งทำไปตามน้ำ ทางหนึ่งเห็นตนเป็นตัวตลก
เห็นสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวของเซียวอู่ ถังฟั่นจึงเอ่ยปลอบ “เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ในเมื่อแรกเริ่มเจ้าไม่ยอมเปิดเผยฐานะ หากข้าเปิดโปงโดยเร็วก็นับว่าตีหญ้าให้งูตื่น เจ้ากับข้าต่างมีจุดยืน เจ้าทำเช่นนี้จะบอกว่าเจ้าผิดก็ไม่ได้ แต่เวลานี้เจ้าละทิ้งทางมืดหันหาทางสว่าง ข้าย่อมยินดีต้อนรับ”
แล้วเขายังอู่เอ๋อร์ๆ ไม่ขาดปาก แกล้งทำเป็นเจ้างั่งที่ตกอยู่ในห้วงรักก็มิปาน!
บุรุษตรงหน้าผู้นี้ดวงหน้าคมคายประดับรอยยิ้ม ดวงตาใสกระจ่าง ไร้ซึ่งท่าทางลุ่มหลงงมงายเช่นก่อนหน้าแม้ครึ่งส่วน
เซียวอู่เดือดกรุ่นในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าความงามและเสน่ห์ของตนใช้ไม่ได้ผล แต่นางไม่กล้าบันดาลโทสะ เพราะหากตนอยากรักษาชีวิต ตอนนี้มีแต่ต้องพึ่งพิงถังฟั่น
นางอดจะถามให้แจ่มแจ้งมิได้ “ในเมื่อท่านล่วงรู้ฐานะข้าแต่แรก เช่นนั้นการลอบสังหารในวันนี้ก็เป็นแผนของท่าน?”
ถังฟั่นส่ายหน้า “ย่อมมิใช่! ข้าเพียงวางแผนเรื่องยาพิษเมื่อตอนก่อนหน้าเท่านั้น เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วไยข้ายังต้องทำร้ายตนเองอีกเล่า ข้าล่วงรู้ฐานะเจ้าแต่แรกย่อมสามารถสกัดข่าวสารที่เจ้าจะส่งออกไปให้เฉินหลวนได้เช่นกัน สุดท้ายเฉินหลวนรอแล้วรอเล่ายังคงไม่ได้รับข่าวจากเจ้า บวกกับได้ยินข่าวลือข้างนอกก็คิดว่าเจ้าหักหลังเขาจริงๆ คนร้ายเหล่านั้นก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด ครั้งนี้พวกนั้นเอาชีวิตเจ้าไม่สำเร็จ ย่อมต้องคิดหาวิธีลงมืออีกแน่ หนทางหนึ่งเดียวที่สามารถช่วยเจ้าได้ก็คือเกาะกุมหลักฐานการกระทำผิดที่แท้จริงของเฉินหลวน เพื่อนำตัวเขามาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว”
ประหวัดถึงภาพเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ก่อน เซียวอู่ยังผวาไม่หาย แต่หลังจากที่นางไม่จำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าถังฟั่นแล้ว นางกลับไม่ปรารถนาจะเผยอาการหวาดกลัวต่อหน้าเขาจึงกัดฟันฝืนกล่าว “ต่อให้ท่านได้สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงมาก็ไม่มีประโยชน์ เบื้องหลังเขายังมีกลุ่มอำนาจวั่นสนับสนุน เฉินหลวนส่งมอบบรรณาการให้พวกเขาเป็นจำนวนมากทุกปี ไม่แน่กลุ่มอำนาจวั่นอาจปกป้องเขา”
ถังฟั่นกล่าว “แม่นางเซียว เจ้าแม้ฉลาดเฉลียว ทว่ายังคงไม่เข้าใจการขับเคี่ยวในราชสำนัก ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เฉินหลวนมีประโยชน์ต่อกลุ่มอำนาจวั่นน้อยมาก ปราศจากเขา พวกนั้นยังคงสามารถให้คนอื่นมาเป็นนายอำเภออู๋เจียงแทนได้ นี่ง่ายดายมาก และข้าก็มีวิธีของข้าเช่นกัน”
เซียวอู่กังขา “วิธีอะไร”
ถังฟั่นส่งยิ้มเป็นคำตอบพร้อมแบมือ
ความหมายชัดเจนยิ่ง ‘หากเจ้ายังอมพะนำอิดออดก็จับเจ้าโยนออกไปเสียเลย เผชิญกับความเดือดดาลของเฉินหลวน ดูว่าเขาจะยอมเชื่อเจ้าหรือไม่’
ช่วงระยะนี้ไม่เพียงเซียวอู่เล่นละครด้วยความเหน็ดเหนื่อย ถังฟั่นก็เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน การแสดงของเขามิได้ไร้ค่า อย่างน้อยผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าเขาลุ่มหลงเซียวอู่ไม่เสื่อมคลาย ข่าวลือหนาหูเข้า เฉินหลวนมีหรือจะไม่เชื่อ
หากเซียวอู่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากถังฟั่น คะเนว่าเมื่อก้าวออกจากที่นี่ต้องถูกยิงเป็นเม่นทันที
โฉมงามต้องมีลมหายใจด้วยถึงจะชวนให้ผู้คนรักถนอม โฉมงามที่ไร้ลมหายใจไม่ต่างจากหลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้นเอง
เซียวอู่ปราศจากทางเลือก
นางนิ่งเงียบอยู่นาน “หากข้าเอาสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงออกมา ใต้เท้าจะรับรองอันใดให้ข้าได้บ้าง”
ถังฟั่นเก็บรอยยิ้ม เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมชนิดที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน “ถังรุ่นชิงขอสาบานด้วยชีวิตและเกียรติ จักรักษาความปลอดภัยของแม่นางเซียวสุดความสามารถ หากผิดจากนี้ขอให้ฟ้าผ่ากลางกระหม่อมห้าครา มิได้ตายดี!”
เซียวอู่เผยแววซาบซึ้ง
ผู้คนในยุคนี้ให้ความสำคัญต่อคำสาบานยิ่ง ถังฟั่นสามารถให้คำมั่นเช่นนี้ อย่างน้อยพิสูจน์ได้ถึงความจริงใจของเขา และพิสูจน์ว่าคนผู้นี้แกร่งกล้ากว่าเฉินหลวนไม่รู้กี่เท่า
เสียดายที่บุคคลเยี่ยงนี้พานไม่ลุ่มหลงในความงามของตน
เซียวอู่มองเขาอย่างเจ็บช้ำแวบหนึ่ง “สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงของเฉินหลวนเล่มนั้นวางอยู่ในคฤหาสน์ซึ่งข้าเคยพำนักอยู่ แต่หลังจากที่เขาส่งข้าออกมาย่อมต้องย้ายที่เก็บเป็นแน่”
ถังฟั่นขมวดคิ้ว รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้เฉินหลวนไฉนยังไล่ล่านางไม่เลิกรา จะต้องกำจัดนางให้ได้?
จริงดังคาด เซียวอู่กล่าวหักมุม “แต่ว่าข้าสามารถเขียนสิ่งที่อยู่ในสมุดบัญชีเล่มนั้นออกมาได้”
“เป็นความจริงหรือ” ถังฟั่นลิงโลด
เซียวอู่เม้มปากยิ้มด้วยความมั่นใจ “จริงแท้แน่นอน ไม่อย่างนั้นลำพังแค่ความงาม เฉินหลวนหรือจะโปรดปรานข้าคนเดียวเนิ่นนานปานนี้ และไฉนยังต้องกำจัดข้าให้ได้”
ถังฟั่นถาม “ต้องใช้เวลานานเพียงใดจึงเขียนออกมาได้”
เซียวอู่ก็มิได้กระบิดกระบวน กล่าวตอบทันควัน “หนึ่งคืน ให้เวลาข้าหนึ่งคืนก็พอ”
ถังฟั่นตบโต๊ะ “ดี! ขอเพียงจัดการเฉินหลวนได้โดยราบรื่น เจ้าไม่เพียงรักษาชีวิตไว้ได้ ข้ายังสามารถส่งเจ้าไปยังสถานที่ปลอดภัยซึ่งไม่มีใครรู้จัก รวมทั้งมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เจ้าใช้ชีวิตครึ่งหลังอย่างสุขสบาย”
เซียวอู่แววตาเป็นประกาย
เฉกเช่นที่เคยบอกถังฟั่น เมื่อก่อนเซียวอู่เคยถูกคหบดีคนหนึ่งซื้อมาเป็นอนุ เมื่อคหบดีเสียชีวิต นางก็ถูกขับออกจากบ้าน ต่อมาค่อยถูกเฉินหลวนเลี้ยงดูในเรือนทอง แต่ถึงนางจะชอบความหรูหราร่ำรวย หากก็ไม่ใคร่ยินดีรับใช้เฉินหลวนที่อารมณ์แปรปรวนผู้นี้
“ท่านไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิงกับข้าเลยหรือ ไม่อยากรับข้าเป็นอนุเหมือนอย่างเฉินหลวนบ้างหรือ หรือความงามของข้าไม่อาจสั่นคลอนจิตใจท่าน?” เซียวอู่ถาม
ถังฟั่นระบายยิ้ม “แม่นางเซียวสวยสะคราญล่มเมือง ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยพบเจอ หากกล่าวว่าไม่หวั่นไหว นั่นไยมิใช่กำลังลืมตาพูดปด คิดว่าคงไม่มีบุรุษคนใดในหล้ากล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าแม่นางกระมัง”
เซียวอู่หวานชื่นทรวงใน “แล้วไฉนท่านไม่ต้องการข้า”
ถังฟั่นยิ้มตอบ “จิตใจหวั่นไหวไม่เท่ากับมีใจปฏิพัทธ์ ยิ่งกว่านั้นแม่นางเลอโฉมปานนี้ รั้งอยู่ข้างกายข้า สำหรับเจ้าสำหรับข้าล้วนเป็นทุกข์มากกว่าสุข”
เซียวอู่มองเขาด้วยแววตาขุ่นมัวระคนตัดพ้อ
กล่าวตามสัตย์ นางมิได้มีความรู้สึกแบบชายหญิงต่อถังฟั่น อย่างมากแค่ชื่นชอบดวงหน้าคมคายและบุคลิกสง่าผ่าเผยของเขาเท่านั้น
แต่นางเฉิดฉายปานนี้ ผู้ที่ได้ยลโฉมไม่มีสักรายที่ไม่เคลิบเคลิ้มใหลหลง แม้แต่เฉินหลวนซึ่งเย่อหยิ่งทะนงตนปานนั้นก็ไม่ยกเว้น สุดท้ายกลับเตะถูกแผ่นเหล็กเช่นถังฟั่น ทำให้อดรู้สึกล้มเหลวมิได้
เซียวอู่รู้ดีว่าสำหรับตน สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือหนีให้พ้นจากอุ้งมือมารของเฉินหลวน รักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
นางกล่าว “ข้าทราบแล้ว รบกวนใต้เท้าเตรียมหมึกพู่กันและกระดาษให้ข้า นอกจากนี้ข้าขอสาวใช้ที่พอเข้าใจเรื่องหมึกพู่กันคนหนึ่งช่วยข้าจัดแจงสิ่งที่ข้าจดออกมา”
ถังฟั่นพยักหน้า “แม่นางเซียวคิดว่าข้าเป็นอย่างไร”
เซียวอู่ผงะ ก่อนผุดยิ้มสดใส “ใต้เท้ายินดีลดเกียรติให้ความช่วยเหลือ ย่อมประเสริฐอย่างหาที่เปรียบมิได้”
เมื่อสลัดหน้ากากแห่งความเสแสร้งทิ้งไป ต่างฝ่ายต่างจริงใจต่อกัน กลับง่ายต่อการคลุกคลีกว่าที่ผ่านมามากนัก
ถังฟั่นไม่จำเป็นต้องทำท่าลุ่มหลงงมงาย เซียวอู่ก็มิต้องกล้ำกลืนฝนทนปิดบังฐานะตนเอง
เซียวอู่มิได้หลงรักถังฟั่นด้วยเหตุนี้ กลับเป็นถังฟั่นที่มองเซียวอู่ในมุมที่เปลี่ยนไป เขาพบว่าสตรีนางนี้มีสิ่งที่เหนือกว่าผู้อื่นจริงๆ
หนึ่งคืนผ่านพ้น สองคนไม่หลับไม่นอน สองตาดำคล้ำ กลับมิใช่เพราะกระทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอันใด แต่คนหนึ่งขีดเขียน คนหนึ่งจัดระเบียบ กระทั่งกลายเป็นสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงออกมา
ที่เซียวอู่บอกว่าตนอ่านรอบหนึ่งก็จดจำไม่ลืมนั้นมิได้โป้ปด เพราะตัวเลขรายการบัญชีทั้งหมดในสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงล้วนถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของนางอย่างแม่นยำ มิน่าเล่าเฉินหลวนถึงได้กระวนกระวายปานนั้นหลังจากที่สงสัยว่าเซียวอู่หักหลังตน กระทั่งส่งคนร้ายมาลอบสังหาร
กล่าวได้ว่าถังฟั่นสามารถพิเคราะห์จิตใจของคนผู้นี้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ ต่อให้เฉินหลวนไม่ส่งคนมาฆ่าเซียวอู่ เดิมทีหลังเรื่องยาพิษ พวกถังฟั่นก็เตรียมสร้างสถานการณ์ลอบสังหารเซียวอู่ขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นป้ายความผิดให้เฉินหลวน สร้างความแตกแยกระหว่างพวกเขา
แต่บัดนี้ย่อมไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว เฉินหลวนลงมือเองแล้ว และเซียวอู่หันมาอยู่ฝ่ายเขาเรียบร้อย
สมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงเล่มที่อยู่ในมือถังฟั่นนี้จดบันทึกรายการรับจ่ายเสบียงตามจำนวนจริงไว้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการยืนยันว่าคำพูดของหูเหวินเจ่านั้นถูกต้อง
เพราะเดิมทีในคลังเสบียงยังเหลือเสบียงห้าพันตั้นจริง แต่ห้าพันตั้นนี้ล้วนถูกเฉินหลวนขนถ่ายออกไปจนหมด ก่อนนำออกขายให้พ่อค้าข้าวในราคาสูง สุดท้ายค่อยซื้อเศษเสบียงเก่าๆ จำนวนหนึ่งเข้ามาในราคาต่ำ นำไปบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย
พฤติกรรมเช่นนี้หากกระทำในสมัยจักรพรรดิหงอู่ คะเนว่าต้องมีจุดจบแบบถูกถลกหนังเอามายัดฟางแขวนประจาน
เซียวอู่เห็นเขาพลิกดูสมุดบัญชีด้วยสีหน้าเคียดขึ้งจึงอดกล่าวมิได้ “สมุดบัญชีเล่มนี้หากส่งถึงเมืองหลวง เกรงว่าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกระมัง และในระหว่างนั้นเฉินหลวนคงไม่ยอมนั่งรอความตายเป็นแน่”
“มิผิด!” ผู้ขานรับคำพูดของนางมิใช่ถังฟั่น กลับเป็นตี๋หานที่ผลักประตูเข้ามา
นายกองพันเซวียตามหลังเข้ามาด้วย ยิ้มกล่าวว่า “เมื่อวานหลังจากพวกท่านมาถึงที่นี่ ข้าได้ให้คนปลอมตัวเป็นพวกท่านกลับเข้าบ้านพักรับรองตามเดิม ผลคือตกดึกมีคนลอบเข้าไปหมายลอบสังหารพวกท่านจริงๆ สุดท้ายถูกพวกเราจับได้คาหนังคาเขา”
เซียวอู่อุทานดังอา สีหน้าหวาดผวาอย่างหนัก “เป็นคนของเฉินหลวนอีกแล้วหรือ”
นายกองพันเซวียพยักหน้า “ใช่”
เซียวอู่ถาม “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี”
คำถามนี้นายกองพันเซวียก็ตอบไม่ได้ ดวงตาสามคู่ของสามคนภายในห้องล้วนมองไปทางถังฟั่น
ถังฟั่นเคาะสมุดบัญชีกับมือ ระบายยิ้มกล่าวออกมาคำหนึ่ง “รอ”
เซียวอู่เบิกตาโต “ยังรออันใด พวกเรามีสมุดบัญชีอยู่ในมือแล้ว หรือยังโค่นเฉินหลวนไม่ได้?”
ชัดเจนมาก การรั้งอยู่ในสาขาขององครักษ์เสื้อแพรยังไม่อาจทำให้นางวางใจได้สนิท
นอกจากถังฟั่นแล้วยังมีใครที่แม้แต่ยามหลับก็หลับไม่สนิท อยากให้เฉินหลวนถูกดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด แน่นอนคนผู้นั้นคือเซียวอู่
“ไม่นานหรอก” ถังฟั่นยิ้มปลอบนาง “เร็วๆ นี้แน่นอน”
เร็วๆ นี้คือเร็วเท่าไรกันแน่ เซียวอู่ไม่ทราบ นางเพียงอยากให้เร็วขึ้นกว่านี้