everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 2 #นิยายวาย
หากแต่สำหรับเฉินหลวน เวลานี้หนึ่งวันประดุจหนึ่งปี ทว่าเขากลับอยากให้ช้าลงกว่านี้อีก
อันที่จริงจวบจนบัดนี้เรื่องราวได้อยู่เหนือความควบคุมของเขาหมดแล้ว แต่เขายังคงไม่กระจ่าง ไฉนจู่ๆ สถานการณ์จึงพลิกผันเป็นเช่นนี้ไปได้
เช้าวันนี้เพิ่งได้รับข่าวร้ายสองเรื่อง
อาของเขา เฉินจิ่งเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงที่เดิมทีมีอำนาจค้ำฟ้าถูกฟ้องร้องจนกระเด็นจากตำแหน่ง กลุ่มอำนาจวั่นก็รักษาเขาไว้ไม่ได้ จักรพรรดิมีราชโองการ เห็นแก่ที่เขาอายุสูงวัย สุขภาพทรุดโทรม ให้เขากลับบ้านพักผ่อนยามชรา แม้ฟังแล้วดูดี แต่ความจริงก็คือถูกถอดตำแหน่ง เฉินจิ่งเอาตัวเองไม่รอด ย่อมไม่อาจไปคำนึงถึงเฉินหลวนแล้ว
ส่วนเฉินหลวนเป็นเพราะตำแหน่งต่ำต้อยจึงไม่อาจติดต่อกลุ่มอำนาจวั่นโดยตรง ที่ผ่านมาล้วนอาศัยอาตนเองเป็นคนกลาง ยามนี้ท่านอาไปแล้ว ช่องทางติดต่อหนึ่งเดียวกับกลุ่มอำนาจวั่นก็ถูกตัดขาดไปด้วย
ข่าวร้ายอีกข่าวแน่นอนว่าก็คือมือสังหารหลายชุดที่เขาส่งไปฆ่าปิดปากเซียวอู่ล้วนแต่คว้าน้ำเหลว สตรีนางนั้นไม่เพียงไม่ตาย กระทั่งมือสังหารยังถูกจับกุม ไม่ทราบป่านนี้ถูกสอบสวนได้ความไปมากน้อยเท่าไรแล้ว
เรื่องราวถึงขั้นนี้ เฉินหลวนย่อมไม่อาจเพ้อฝันว่าเซียวอู่ยังจะเก็บความลับไว้เพื่อเขา
หากสมุดบัญชีรับจ่ายเสบียงไม่หายหรืออาของเขายังไม่เสียอำนาจ เฉินหลวนคงไม่วิตกปานนี้ เพราะเขาทราบว่าลำพังแค่เจ้าคนขี้ขลาดหูเหวินเจ่าจะพ่นเรื่องที่มีประโยชน์ออกมาได้สักกี่มากน้อย แต่บัดนี้สถานการณ์ไม่เข้าข้างตนอย่างเห็นได้ชัด นี่จึงจำต้องครุ่นคิดแผนการรองรับล่วงหน้า
ในโถงด้านหลังอันกว้างขวางของที่ว่าการอำเภอ เฉินหลวนและคนสนิทของตนสามคน รวมทั้งหยางจี้ผู้ตรวจการเขตพื้นที่หนานจื๋อลี่ ต่างแยกย้ายกันนั่งประจำที่ คนไม่น้อย บรรยากาศกลับเงียบสงัดยิ่ง
หยางจี้ร้อนรุ่มสุมอก เห็นทุกคนล้วนปิดปากไม่พูดจาจึงโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด “ช่วยกันคิดหาวิธีสิ!”
ที่ปรึกษาคนหนึ่งกระแอมเบาๆ กล่าวกับเฉินหลวน “ใต้เท้า เรื่องราวถึงขั้นนี้ มิสู้ขอความช่วยเหลือจากทางนั้น?”
หยางจี้หูผึ่งทันใด กลับสดับฟังด้วยความงุนงง ไม่ทราบ ‘ทางนั้น’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงที่แท้เป็นทางใด
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน เฉินหลวนเอ่ยเนิบๆ “ข้าติดต่อกับทางนั้นแล้ว พวกเขายินดีช่วยพวกเรา”
ที่ปรึกษาทั้งสามคนล้วนเผยสีหน้าลิงโลด หยางจี้กลับยังอยู่ในม่านหมอก “น้องเฉิน ที่เจ้าพูดถึง…”
พูดไม่ทันจบกลับเห็นบ่าวรับใช้บ้านสกุลเฉินวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา “นายท่าน แย่แล้วขอรับ ด้านนอกมีองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ปิดล้อมที่ว่าการอำเภอไว้หมดแล้ว ยังบอกให้นายท่านออกไปด้วย”
หยางจี้ตกใจหน้าถอดสี หันขวับไปทางเฉินหลวน
ฝ่ายหลังกลับเผยรอยยิ้มเยียบเย็น “มาได้ประจวบเหมาะ!”
หยางจี้นึกเสียใจขึ้นมาตั้งแต่วันที่ช่วยเฉินหลวนส่งเงินให้ถังฟั่นแล้ว
กล่าวตามจริงคือเฉินหลวนแส่หาเรื่องเดือดร้อนเอง ตอนนี้ยังเป็นปฏิปักษ์กับขุนนางที่ราชสำนักส่งมาอีก ไฉนตนต้องช่วยเขาเก็บกวาดความเละเทะด้วย
หากถังฟั่นโค่นเฉินหลวนไม่สำเร็จ กลับเอาโทสะมาลงที่เขา เฉินหลวนก็ใช่ว่าจะช่วยออกหน้าให้
แต่หยางจี้ไม่มีทางเลือก เขาลงเรือลำเดียวกับเฉินหลวนแล้ว สองคนยามสุขไม่แน่จะเคียงคู่ ยามทุกข์กลับเคียงข้างแน่นอน และเรื่องสกปรกที่หมกอยู่ใต้บั้นท้ายตนเองเหล่านั้นย่อมจะถูกขุดคุ้ยออกมาด้วย ดังนั้นเขาจำต้องยืนอยู่ข้างเฉินหลวน
ถังฟั่นมาถึงก็มิได้เคลื่อนไหวเอิกเกริก ทั้งมิได้แตกหักกับเฉินหลวนต่อหน้าธารกำนัล และรับเงินที่หยางจี้ส่งไปให้ ต่อมาขลุกอยู่ในบ้านพักรับรองตลอด แทบมิได้ออกไปที่ใด นี่ทำให้หยางจี้คลายใจได้บ้าง รู้สึกถังฟั่นโด่งดังก็จริง แต่อย่างไรก็ยังหนุ่มแน่น ความเย้ายวนของเงินจำนวนมหาศาลมิใช่ผู้ใดจะสามารถต้านทานได้ มิหนำซ้ำต่อมาเฉินหลวนยังส่งโฉมงามไปให้อีกคนหนึ่ง ซึ่งความสวยสะคราญของสตรีนางนั้นหยางจี้เคยยลมาแล้ว เลอโฉมจนพระจันทร์ยังอายเลยทีเดียว
ทุ่มเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนั้นลงไป หากถังฟั่นยังไม่กินเบ็ด นั่นออกจะผิดธรรมชาติจริงๆ
หยางจี้เป็นแค่ผู้ตรวจการเขตพื้นที่ มิใช่ทรราชเจ้าถิ่น แหล่งข่าวของเขาย่อมไม่ว่องไวเท่าของเฉินหลวน ดังนั้นจนบัดนี้เขาจึงได้แต่นั่งอยู่ที่นี่ฟังเฉินหลวนบอกว่าถังฟั่นไม่เพียงโน้มน้าวหูเหวินเจ่าเจ้าเมืองซูโจวสำเร็จ ยังจัดการมือสังหารสองกลุ่มของเฉินหลวนจนแตกพ่ายยับเยิน หยางจี้จึงอดมึนงงมิได้
เฉินจิ่ง เสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงถูกฟ้องร้องจนหลุดจากตำแหน่งแล้ว?
เฉินหลวนถึงกับส่งมือสังหารไปลอบฆ่าถังฟั่น?
ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ตรงนี้ แต่อยู่ที่คนที่เฉินหลวนส่งออกไปมิได้หวนกลับอีกเลย
ข้างกายถังฟั่นเพียงมีผู้อารักขาสี่คน สองในสี่ยังเป็นคนของสำนักบูรพาอีกด้วย แต่ยังสามารถปลอดภัยไร้เรื่องราวได้ แท้จริงแล้วคนผู้นี้มีใครหนุนหลังกันแน่
ข้อกังขานี้กำลังจะได้รับคำตอบในเวลาอันใกล้
หยางจี้เดินตามหลังเฉินหลวนและพวกออกจากที่ว่าการอำเภออู๋เจียง เห็นด้านนอกรายล้อมด้วยองครักษ์เสื้อแพร แต่ละคนกุมดาบมั่น ท่าทางประหนึ่งเทพสังหาร
เข่าของเขาพลันอ่อนยวบแทบล้มทั้งยืน รีบเกาะแขนที่ปรึกษาคนหนึ่งของเฉินหลวนไว้
เฉินหลวนมองเหยียดเขาแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาพุ่งตรงไปทางด้านหลังองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้น ไม่ไกลออกไปมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินมา
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรค่อยๆ แหวกออกสองฟาก เปิดเป็นทางสายหนึ่งตามฝีก้าวเอื่อยๆ ที่ใกล้เข้ามาของถังฟั่น
“นายอำเภอเฉิน สุขสบายดีหรือ” ถังฟั่นเอ่ยทักทาย น้ำเสียงนั้นคล้ายกำลังถามว่า ‘ท่านกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง’
“ผู้ตรวจการถัง นี่หมายความว่าอย่างไร จัดขบวนกันมาอย่างเอิกเกริกปานนี้ ที่ว่าการอำเภอเล็กๆ ของข้าน้อยไม่มีชามตะเกียบไว้ต้อนรับมากพอหรอกนะ”
เฉินหลวนแย้มยิ้ม ไร้สีหน้าตื่นตระหนก ยังเยือกเย็นกว่าเมื่อเทียบกับหยางจี้ ส่งให้ถังฟั่นนึกชมในใจ
ทว่าขณะเดียวกันก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าฝ่ายตรงข้ามสงบสติอารมณ์ได้ดีเช่นนี้ คิดว่าต้องมีผู้ให้ท้ายแน่นอน
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “เรื่องนี้นายอำเภอเฉินไม่จำเป็นต้องลำบาก ที่ข้ามาวันนี้ใคร่จะเรียนเชิญนายอำเภอเฉินและผู้ตรวจการหยางกลับไปรำลึกความหลัง พวกท่านอยากไปกับข้าเอง หรือจะให้พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้เชิญไป หากเป็นอย่างหลัง ถึงเวลานั้นคงไม่น่าดูเท่าไร”
ระหว่างที่พูด นายกองพันเซวียก้าวยาวๆ เข้ามาหยุดยืนที่ข้างกายถังฟั่น กระซิบเตือนเบาๆ “ใต้เท้า เกรงว่าที่นี่คงไม่ใช่รังเก่าของเฉินหลวน”
ถังฟั่นผงกศีรษะนิดหนึ่ง กระซิบกลับไปว่า “จับกุมคนกลับไปก่อนค่อยว่ากัน เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำเป็นอย่างไรแล้ว”
นายกองพันเซวียผุดยิ้ม “ใต้เท้าโปรดวางใจ คนของสมาคมพ่อค้าซูโจวถูกควบคุมตัวไว้หมดแล้ว ไม่มีหลุดรอดแม้คนเดียว”
ถังฟั่นยิ้ม “ดีมาก”
ตี๋หานหรือก็คือสุยโจวมีภารกิจติดตัว สามารถแวะมาซูโจวเที่ยวหนึ่งก็สุดขีดจำกัดแล้ว ย่อมมิอาจรั้งอยู่นานเกิน เวลานี้คนได้ไปจากซูโจว มุ่งหน้าเจียงซี นายกองพันเซวียมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับถังฟั่นอย่างเต็มที่ ช่วยเหลือเขาดำเนินการรวบตาข่ายครั้งสุดท้าย
แน่นอนเฉินหลวนไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง แต่นี่มิได้ขัดขวางมิให้เขาเห็นรอยกระหยิ่มยิ้มย่องบนใบหน้าอีกฝ่าย
สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าถังฟั่นและนายกองพันเซวีย ก่อนหยุดลงบนร่างสตรีนางหนึ่งที่แม้จะสวมชุดบุรุษหากมิอาจกลบกลืนความเฉิดฉายไว้ได้ สีหน้าพลันเครียดขรึมขึ้นมา
เฉินหลวนแค่นหัวเราะ “ข้าถึงว่าเหตุใดจู่ๆ ผู้ตรวจการถังก็ลุกขึ้นมาแสดงอำนาจ ผิดที่ข้าดูคนไม่เป็นเอง ถึงกับไม่คิดว่าจะมีคนวางอาวุธยอมจำนนต่อศัตรู สตรีก็คือสตรีวันยังค่ำ เส้นผมยาวความรู้สั้นมิพึงไว้ใจ”
เพราะอำนาจที่สั่งสมนานปี เซียวอู่ยังคงเกรงกลัวเฉินหลวนอยู่บ้าง มิกล้าสบตาเขาโดยตรง ถึงขนาดเบี่ยงตัวหลบมาทางด้านหลังถังฟั่น
ทว่าเมื่อฟังถ้อยคำนี้จบ นางเดือดดาลสุดขีดจึงโต้กลับไป “ข้าว่าคนที่ความรู้สั้นคงเป็นท่านมากกว่า อย่าได้พูดราวกับตนเองรักใคร่ข้าเสียเต็มประดา เพราะอะไรท่านถึงเลี้ยงดูข้าให้กินดีอยู่ดีมาตั้งหลายปี มิใช่จะเอาไว้ใช้สอยในเรื่องเช่นนั้นหรอกหรือ ก่อนหน้านี้ท่านใช้ข้ากระทำเรื่องไร้ยางอายมาแล้วเท่าไร ทุกอย่างที่ข้าทำให้ ชดใช้เป็นค่ากินค่าอยู่ยังเหลือเฟือ! หวาชุ่ยติดตามข้ามานาน สุดท้ายถูกท่านย่ำยีจนตายแล้วเอาไปโยนทิ้งในบ่อ ตอนนั้นข้าสู้ท่านไม่ได้ ไม่กล้าส่งเสียง แต่บัญชีแค้นเหล่านี้ข้าล้วนจดจำฝังใจ แล้วยังมีอนุคนเล็กของบิดาท่าน พี่สะใภ้ท่าน ท่านทำลายสตรีมาแล้วกี่คน ยังมีความละอายหรือไม่ จะให้ข้าแจกแจงออกมาทีละคนก็ย่อมได้ ข้ากล้าพูด แต่ท่านถามคนเหล่านี้ดูว่ากล้าฟังหรือไม่”
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ทุกคนล้วนตื่นตะลึงจ้องมองเฉินหลวน แววตาผิดแผก สีหน้าแปลกประหลาด
บุรุษโดยมากมักเจ้าชู้ สามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ แต่หากพัวพันถึงอนุของบิดาเอย ภรรยาของพี่ชายเอย เช่นนั้นจะกลายเป็นผิดประเวณี เลวยิ่งกว่าเดรัจฉานแล้ว
เฉินหลวนตวาดก้อง “นางแพศยา! พูดจาเหลวไหลอันใด!”
เซียวอู่แม้แต่งกายเป็นชาย หากยังชินกับการปัดจอนผม เม้มปากยิ้มกล่าว “ข้าพูดจาเหลวไหล? เรื่องที่ท่านมักมากในกามนั้นมิใช่เรื่องในวันสองวันนี้กระมัง ตอนนี้ยังโดนข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง ไม่เห็นราชสำนักอยู่ในสายตา นี่ยังมีอันใดแปลกเล่า”
เฉินหลวนแค้นจัด แต่ก็รู้ว่านี่มิใช่เวลามาโต้ฝีปากกับนาง เขาจึงข่มโทสะลงไป กล่าวกับถังฟั่น “ข้าในฐานะขุนนาง ผู้ตรวจการถังใคร่จะตรวจค้นที่ว่าการอำเภอและนำตัวข้าไป มีราชโองการของราชสำนักหรือไม่”
ถังฟั่นกล่าว “ข้าในฐานะผู้ตรวจราชการแทนพระองค์ สามารถกระทำการตามที่เห็นสมควร”
เฉินหลวนแค่นหัวเราะ “แต่ในราชโองการเพียงสั่งให้ท่านดำเนินการตรวจสอบความขัดแย้งระหว่างข้า หยางจี้ และหูเหวินเจ่าเท่านั้น มิได้ให้ท่านมาจับกุมข้า นี่ท่านกำลังบิดเบือนราชโองการชัดๆ ข้าจะไม่ไปกับท่านแน่”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ท่านกล้าขัดราชโองการ?”
เฉินหลวนตวาดก้อง “ท่านต่างหากที่ขัดราชโองการ! ออกคำสั่งต่อองครักษ์เสื้อแพรโดยพลการ ลำพังแค่ความผิดนี้ก็มากพอให้กระอักแล้ว”
เขาเพิ่งพูดจบ สุ้มเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านข้างราวกับขานรับเฉินหลวน “มิผิด ถังฟั่น เจ้าไม่มีอำนาจนำตัวเฉินหลวนไป!”
ถังฟั่นและคนอื่นๆ ล้วนเหลียวมองต้นเสียง เห็นเจิงเผยและอู๋จงชักนำคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งควบตะบึงมา
องครักษ์เสื้อแพรมีสาขาในแต่ละมณฑล แต่สำนักบูรพาไม่มี
กลุ่มคนขี่ม้าที่เจิงเผยและอู๋จงพามาก็คือคนที่หม่าซิงฝู ขันทีรักษาการณ์เมืองซูโจวส่งมา แรกเริ่มจัดตั้งตำแหน่งขันทีรักษาการณ์เพียงจำกัดให้ดูแลการทหาร ไม่อาจก้าวก่ายการปกครอง แต่ต่อมาค่อยๆ เริ่มแทรกแซงการปกครองท้องถิ่น แม้พวกเขาไม่ขึ้นกับสำนักบูรพา แต่ทุกคนล้วนเป็นขันที ไหนเลยปราศจากการติดต่อกันมาก่อน หม่าซิงฝูก็เป็นคนของกลุ่มอำนาจวั่น สัมพันธ์แนบแน่นกับสำนักบูรพา บวกกับยังมีคำสั่งลายมือของซั่งหมิง ดังนั้นถึงได้ยืมกำลังคนให้พวกเจิงเผย
ถังฟั่นมองดูพวกเขาควบใกล้เข้ามา มิได้เร่งร้อนออกคำสั่ง สีหน้ายังค่อนข้างปลอดโปร่งด้วยซ้ำ
กลับเป็นพวกเจิงเผยที่เคลื่อนพลเร่งรุดมาแต่ไกล หมดเปลืองกำลังวังชาไม่น้อย ยามนี้กำลังหอบหนัก ทุลักทุเลพอสมควร ก่อนทวนซ้ำถ้อยคำเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
“เจ้า…เจ้าไม่มีอำนาจนำตัวเฉินหลวนไป”
นายกองพันเซวียเป็นคนของสุยโจว มิใช่คนของวั่นทง ย่อมจะไม่เกรงใจสองคนนี้ เขาปั้นหน้าเข้ม “องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติงาน ผู้ใดล้วนไม่มีอำนาจไถ่ถาม! ผู้บังอาจขัดขวางเทียบเท่าก่อกบฏ!”
“โอ้ นายกองพันเซวียห้าวหาญนัก อะไรกัน หรือแม้แต่ข้าก็ก้าวก่ายไม่ได้?” คนที่เดิมทียืนเยื้องอยู่ด้านหลังพวกเขาเผยโฉมหน้าออกมา
เจิงเผยและอู๋จงรีบเบี่ยงร่างเปิดทาง บนหน้าปราศจากวี่แววไม่พอใจ ตรงข้ามกลับผุดเต็มด้วยรอยกระหยิ่ม คล้ายเล็งเห็นถึงเคราะห์กรรมของพวกถังฟั่นกระนั้น
นายกองพันเซวียหน้าแปรสีเล็กน้อย ประสานมือแบบไม่เต็มใจนัก “หม่ากงกงรุดมา อภัยที่มิได้ต้อนรับ”
ผู้มามิใช่ใครอื่น คือหม่าซิงฝู ขันทีรักษาการณ์ซูโจวนั่นเอง
นายกองพันเซวียกับถังฟั่นคำนวณไว้แต่แรกว่าเฉินหลวนอาจเรียกกำลังเสริม บัดนี้อาของเขาหมดอำนาจแล้ว หนึ่งเดียวที่สามารถเกื้อหนุนเขาได้ก็คือสำนักบูรพา ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าหม่าซิงฝูถึงกับออกโรงด้วยตนเอง
เฉินหลวนกับหยางจี้เป็นตัวแทนฝ่ายอำเภออู๋เจียง ถังฟั่นคือผู้ที่มาจับกุมพวกเขา เบื้องหลังนายกองพันเซวียคือองครักษ์เสื้อแพร บัดนี้แม้แต่สำนักบูรพาก็มาแล้ว
แปดเซียนข้ามทะเล* จริงๆ เทพเซียนแต่ละสายล้วนมาชุมนุม
การปรากฏตัวของหม่าซิงฝูส่งให้สถานการณ์ในวันนี้ยิ่งลึกลับซับซ้อน
โชคดีที่หูเหวินเจ่ามีสังหรณ์ล่วงหน้า ซ่อนตัวอยู่ในจวนเจ้าเมืองไม่ยอมโผล่หน้า ไม่อย่างนั้นเห็นสภาพในตอนนี้เข้าคงตกใจตายแน่
เซียวอู่ก็เริ่มกระวนกระวาย
* แปดเซียนข้ามทะเล เป็นสำนวน หมายถึงคนเก่งแต่ละคนแสดงความสามารถของตนเองออกมา