everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 2 #นิยายวาย
นางมิใช่สตรีตระกูลเล็กๆ ที่ไม่เคยผ่านโลก เดิมเข้าใจว่าองครักษ์เสื้อแพรก็บารมีใหญ่โตพอแล้ว วันนี้ย่อมสามารถกำราบเฉินหลวนได้แน่ มิคาดเหนือภูสูงยังมีภูสูงกว่า ยามนี้สำนักบูรพาโผล่มาอีกราย หากถังฟั่นและองครักษ์เสื้อแพรยอมจำนน ปล่อยให้เฉินหลวนพ้นภัยไปได้ เช่นนั้นคนแรกที่เขาจะกลับมาทวงแค้นต้องเป็นตนแน่นอน
ถังฟั่นจะทนความกดดันได้จริงหรือ
นางอดชำเลืองบุรุษด้านหน้าหนึ่งทีมิได้ อีกฝ่ายยังคงยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม ท่วงท่าที่แน่วนิ่งมั่นคงทำให้ผู้อื่นยากจะแยกแยะว่าที่แท้ในใจเขาเกรงกลัวหรือไม่
หม่าซิงฝูเป็นคนอ้วน เส้นเสียงกลับนุ่มนิ่มอยู่บ้าง “ครึกครื้นปานนี้ นี่จะทำอะไรกัน”
สายตาของเขาตกลงบนร่างถังฟั่น “ท่านนี้คงเป็นผู้ตรวจการถังกระมัง หลังเจ้ามาถึงซูโจว ข้ายังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตา วันนี้นับว่ามีวาสนาแล้ว”
วาจาทักทายโดยแท้ แต่ความนัยคือบอกว่าถังฟั่นมาซูโจวตั้งนานแล้ว กลับไม่เคยไปเยี่ยมคารวะตน
อำนาจของขันทีรักษาการณ์สูงมาก สามารถถวายฎีกาถึงจักรพรรดิโดยตรง เทียบเท่าพระเนตรพระกรรณโอรสสวรรค์ ขุนนางทั่วไปมาตรว่าไม่ปรารถนาคบหากับพวกเขา หากก็ไม่ยินดีเป็นอริกับพวกเขาเช่นกัน อย่างน้อยแค่เยี่ยมคารวะตามธรรมเนียม สองฝ่ายทักทายพอเป็นพิธี มิให้เสียมารยาทเท่านั้น
แต่ช่วงที่ถังฟั่นอยู่ในซูโจว จากวันแรกถึงบัดนี้กลับคล้ายลืมเลือนหม่าซิงฝูผู้นี้ไปแล้วกระนั้น อย่าว่าแต่รุดไปเยี่ยมคารวะด้วยตนเองเลย กระทั่งของขวัญก็ไม่เคยส่ง!
แล้วจะไม่ให้หม่าซิงฝูขุ่นแค้นใจได้อย่างไร
ในเมื่อเจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่ให้เกียรติเจ้า!
ถังฟั่นย่อมมีแผนในใจ ยามนี้ได้ยินถ้อยคำที่เหมือนซ่อนเข็มในแพรไหมก็แย้มยิ้ม “ขออภัยๆ ผู้แซ่ถังเสียมารยาทแล้ว ทว่างานหลวงติดพัน ไม่สะดวกเยี่ยมคารวะถ้วนทั่ว เลี่ยงมิให้แพร่ถึงพระกรรณซึ่งอาจเข้าพระทัยว่าข้าไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ รอภารกิจแล้วเสร็จ ผู้แซ่ถังย่อมตระเตรียมของขวัญหนาหนักรุดไปขอขมาถึงจวนกงกงด้วยตนเองแน่นอน”
“ไม่จำเป็น!” หม่าซิงฝูยกระดับเส้นเสียง ทำให้ฟังดูแหลมขึ้น “ข้ารับไม่ไหว”
ถังฟั่นผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดี วันนี้ถือว่าประสบพบหน้าแล้ว วันหน้าผู้แซ่ถังก็ไม่ต้องรุดไปเยี่ยมคารวะกงกงอีก”
หม่าซิงฝูยังไม่เคยเห็นใครที่หยามเกียรติเขาถึงเพียงนี้มาก่อน พลันโกรธกริ้วสุดระงับ เปล่งคำว่าดีติดต่อกัน “ดี! ดี! ดี! ผู้ตรวจการถังไม่ธรรมดาจริงๆ!”
“ชมเกินไปแล้ว!” ถังฟั่นส่งยิ้มละมุนให้เขา ก่อนปั้นหน้าเคร่งขรึม “ผู้แซ่ถังรับราชโองการปฏิบัติภารกิจ ยังหวังหม่ากงกงหลีกทาง เลี่ยงมิให้เกิดการบาดเจ็บ ทหาร! จับกุมเฉินหลวนและหยางจี้ รวมทั้งตรวจยึดสถานที่นี้!”
“ผู้ใดบังอาจ!” หม่าซิงฝูเดือดจัด “ไม่มีคำสั่งข้า ผู้ใดก็อย่าหมายขยับ”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “กงกง ท่านเป็นขันทีรักษาการณ์ซูโจว กลับออกคำสั่งต่อองครักษ์เสื้อแพร ก้าวล่วงอำนาจแล้วกระมัง”
หม่าซิงฝูกล่าวเสียงเย็น “ถังฟั่น เจ้าได้รับคำสั่งให้มาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท สุดท้ายกลับปฏิบัติหน้าที่นอกเหนือคำสั่ง ฐานะผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการเยี่ยงเจ้าไหนเลยมีอำนาจเคลื่อนย้ายองครักษ์เสื้อแพร นายกองพันเซวีย องครักษ์เสื้อแพรมีฐานะเป็นทหารรักษาพระองค์ รับผิดชอบสอดส่องและจับกุมผู้กระทำผิดแทนโอรสสวรรค์ เจ้ากลับสมคบคิดกับถังฟั่น นี่คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร หา!”
หยางจี้ค่อยๆ คืนสติ เขามองดูรอยยิ้มกริ่มบนมุมปากเฉินหลวน แล้วเบนสายตาไปที่ถังฟั่นกับหม่าซิงฝูซึ่งยืนประจันหน้ากัน ยามนี้ค่อยกระจ่างแจ้ง ที่แท้เฉินหลวนเตรียมการล่วงหน้า ผู้หนุนหลังเขาก็คือสำนักบูรพานี่เอง หนำซ้ำยังเชิญขันทีหม่าออกโรงอีกด้วย มิน่าเล่าได้ยินว่าถังฟั่นบุกมาจึงไม่พรั่นพรึงสักนิด
ถังฟั่นจะล่าถอยโดยง่ายหรือไม่
หยางจี้ย่อมหวังให้เป็นเช่นนั้น เพราะหากเฉินหลวนโชคร้าย เขาคงไม่ดีไปกว่ากันเท่าใด
แต่ละคนครุ่นคิดต่างๆ นานา สถานการณ์ใกล้ปะทุ หลังคำพูดนั้นของหม่าซิงฝูยิ่งตึงเครียดเจียนขาดผึง
สีหน้านายกองพันเซวียเขม็งตึง สายตาจับจ้องหม่าซิงฝู ฝ่ามือกุมมั่นบนด้ามดาบ คล้ายเพียงรอคำพูดหนึ่งของถังฟั่น
ทว่าหากเรื่องราวยังมีที่ทางให้พลิกกลับ แน่นอนเขาไม่หวังจะย่างเท้าถึงก้าวนี้
เผชิญกับคำถามของหม่าซิงฝู ถังฟั่นตอบกลับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “หม่ากงกง ถูกผิดดำขาวย่อมมีมวลชนวิพากษ์ ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่เฉินหลวนติดสินบนข้าได้นำถวายฝ่าบาทแล้ว ในมือข้ายังมีหลักฐานที่เขาลักลอบค้าขายเสบียงหลวง ในฐานะขุนนางผู้แทนราชสำนักข้าย่อมมีอำนาจจับกุมเขากลับไปไต่สวน ท่านสุ่มเสี่ยงช่วยเขาโดยเอาอนาคตตนเองเป็นเดิมพันเช่นนี้คุ้มค่าหรือ”
หม่าซิงฝูหัวเราะฮาๆ “ถังฟั่น อย่านึกว่าเอาฐานะผู้แทนราชสำนักมาอ้างแล้วข้าจะกลัวเจ้า! บอกให้ก็ได้ ข้ามีพระบัญชาที่ผ่านสภาขุนนางลงมาซึ่งถึงมือข้าก่อนที่เจ้าจะมาซูโจวเสียอีก ในนั้นระบุให้ข้าคอยตรวจสอบเจ้าอย่างลับๆ เพื่อเลี่ยงมิให้เจ้าใช้อำนาจหน้าที่กระทำเรื่องที่ไม่พึงกระทำ” จบคำก็ล้วงหนังสือฉบับหนึ่งจากอกเสื้อยื่นให้ถังฟั่น “หากเจ้าไม่เชื่อ เชิญดูด้วยตาตนเอง”
นายกองพันเซวียให้คนรับไว้ หลังตรวจดูด้วยตนเองค่อยส่งให้ถังฟั่นพลางกระซิบ “ใต้เท้า เป็นของจริง”
อันที่จริงไม่ต้องดูถังฟั่นก็ทราบว่าเป็นของจริง
เพราะสิ่งของอย่างหนังสือคำสั่งจากเบื้องสูงใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าปลอมแปลง หม่าซิงฝูมิใช่คนหน่ายโลก จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำพระบัญชาปลอมมาหลอกถังฟั่น
พิจารณาจากวันที่ในหนังสือก็เป็นเช่นที่เขาบอก ขณะเดียวกับที่ถังฟั่นมาซูโจว พระบัญชาฉบับนี้ได้ถึงมือหม่าซิงฝู กลายเป็นอาวุธสำหรับกดดันคุกคามถังฟั่นในเวลานี้
นายกองพันเซวียเริ่มลุกลน หม่าซิงฝูมีพระบัญชาฉบับนี้เท่ากับยืนอยู่บนจุดไร้พ่าย ต่อให้วันนี้พวกเขาเตรียมพร้อมมาอย่างดี คะเนว่าคงมิอาจไม่ยอมจำนน เขาหวั่นว่าถังฟั่นจะเลือดร้อน ไม่สนใจใดๆ ดึงดันจะพาเฉินหลวนไปให้ได้จนกระทั่งแตกหักกับหม่าซิงฝู
ทั่วบริเวณปราศจากผู้กล่าววาจา
ทุกคนล้วนรอดูท่าทีของถังฟั่น
เพียงทว่าบางคนกระหยิ่มในใจ บางคนปริวิตก
ถังฟั่นรับหนังสือนั้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ใช้เวลานานพอสมควร สุดท้ายค่อยยื่นให้นายกองพันเซวียส่งคืนหม่าซิงฝู
หม่าซิงฝูยิ้มกล่าว “ผู้ตรวจการถัง เจ้าถ่วงเวลาไปก็เปล่าประโยชน์ อย่างไร ตรวจสอบแล้วเป็นของจริงหรือปลอม?”
ถังฟั่นสีหน้าสงบนิ่ง “ย่อมเป็นของจริง หม่ากงกงไหนเลยจะปลอมแปลงพระบัญชาได้”
หม่าซิงฝูเผยรอยยิ้มสำราญใจ ผายมือที่อวบอูม “เช่นนั้นก็กลับไปเถอะ มีเรื่องอันใดมิสู้ไปสนทนาที่จวนขันทีรักษาการณ์”
ถังฟั่นสั่นหน้า “นายกองพันเซวีย”
“ใต้เท้า?”
ถังฟั่นพยักพเยิดคางไปทางเฉินหลวนและพวก “จับคน”
“หา?”
ไม่ใช่แค่นายกองพันเซวียที่ตะลึง กระทั่งหม่าซิงฝูก็เดือดพล่าน “ถังฟั่น เจ้ากล้าเพิกเฉยต่อพระบัญชาเชียวหรือ! ผู้ใดบังอาจลงมือ ข้าจะจับผู้นั้น!”
พริบตานั้นกำลังคนของเขาที่อาวุธครบมือทยอยออกมาคุ้มกันเบื้องหน้าพวกเฉินหลวน ประจันหน้ากับกลุ่มองครักษ์เสื้อแพร
สองฝ่ายจับจ้องฮึ่มฮั่ม ชักกระบี่ง้างธนูเตรียมพร้อมประจัญบาน
คนที่หม่าซิงฝูนำมามีจำนวนไม่น้อยไปกว่าคนของนายกองพันเซวีย เพียงแต่เดิมทีสองฝ่ายล้วนมาเพื่อดูแลซูโจว ยามนี้กลับเผชิญหน้าด้วยศัสตราเพื่อตัดสินว่าจะจับกุมหรือไม่จับกุมนายอำเภอคนหนึ่ง คิดแล้วออกจะน่าขันอยู่บ้าง
เฉินหลวนลอบหัวเราะเย็นชา เพียงรู้สึกถังฟั่นรนหาที่ตายโดยแท้
การกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่าย ถึงเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิคงยากหลีกเลี่ยงความผิดโทษฐานละเลยคำสั่งเบื้องสูง ไม่เห็นเจ้าแผ่นดินอยู่ในสายตา กล่าวในทางร้ายแรง ดีไม่ดีอาจถูกปลดและเนรเทศก็เป็นได้
หม่าซิงฝูและพระบัญชาในมือเขาฉบับนั้นก็คือไพ่ไม้ตายของเฉินหลวน
ก่อนหน้านี้มิได้เปิดออกมาก็เพราะไม้นี้มิใช่เรื่องล้อเล่น หากเป็นไปได้เขาไม่คิดแตกหักกับถังฟั่น มิคาดอีกฝ่ายกลับไม่กินทั้งอ่อนแข็ง จะขุดเขาออกมาให้ได้ หนำซ้ำกดดันทุกฝีก้าวด้วยการชักฟืนใต้เตา ฉุดอาของเฉินหลวนลงจากตำแหน่งผ่านสายสนกลในของพวกขุนนางระดับสูง
ด้วยเหตุนี้เฉินหลวนมิอาจไม่เปิดไพ่ไม้ตาย ขอความช่วยเหลือจากสำนักบูรพาและหม่าซิงฝู
พระบัญชาเทียบเท่าราชโองการ แม้แต่องครักษ์เสื้อแพรก็มิอาจละเมิด ถังฟั่นกลับยังยืนกรานจะจับคน นี่มิใช่รนหาที่ตายแล้วคืออะไร
ถังฟั่นกล่าว “หม่าซิงฝู เฉินหลวนและหยางจี้หลอกลวงเบื้องสูง หลักฐานแน่นหนา ผดุงธรรมสำคัญยิ่ง ท่านกลับยังเกื้อหนุนคนเหล่านี้ ที่แท้มีเจตนาอันใด”
เขาเรียกชื่อเรียกแซ่โดยตรง แม้แต่ ‘หม่ากงกง’ ก็ไม่เรียกแล้ว ไม่ใส่ใจพระบัญชา จะงัดข้อกับหม่าซิงฝูให้ถึงที่สุด
เฉินหลวน หยางจี้ กระทั่งนายกองพันเซวียและคนอื่นๆ อดหันมองถังฟั่นมิได้ ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขาเสียสติไปแล้ว
นายกองพันเซวียยิ่งร้อนรุ่มใจ ตอนนี้อนาคตของเขาเท่ากับผูกติดอยู่กับถังฟั่น หากถังฟั่นรนหาที่ตาย เขาก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
“ใต้เท้า!” เขาอดกระตุกแขนเสื้อถังฟั่นมิได้ “เช่นนั้นพวกเราถอยก่อนก้าวหนึ่ง กลับไปหารือแผนใหม่ อย่างไรเสียพวกนั้นก็มีพระบัญชาอยู่ในมือ”
ถังฟั่นกล่าว “ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร เจ้าดำเนินการตามที่ข้าสั่ง ทุกอย่างข้ารับผิดชอบเอง”
นายกองพันเซวียลอบยิ้มขื่น ก่อนไปสุยโจวได้กำชับให้เขาเชื่อฟังคำสั่งถังฟั่นทุกประการ ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด ปรากฏว่าบัดนี้บททดสอบมาถึงแล้วจริงๆ
ช่างเถอะ ตายเป็นตาย ข้าขอทุ่มสุดตัวแล้ว!
เขากัดฟัน เปล่งเสียงตะโกน “พี่น้องทั้งหลาย จับคนทันทีเดี๋ยวนี้!”
หม่าซิงฝูตื่นตะลึง ก่อนตะโกนเกรี้ยวกราด “ขวางพวกมันไว้ ผู้ใดขัดขืน ฆ่าไม่มีเว้น!”
ทันทีที่คำสุดท้ายหลุดปาก เจ้าหน้าที่ที่การตอบสนองว่องไวที่สุดคนนั้นก็ชูดาบฟาดฟันเข้าใส่องครักษ์เสื้อแพรตรงหน้าตนเอง
ชั่ววูบอันคับขันพลันได้ยินเสียงดังขึ้นเสียงหนึ่ง ดาบในมือเขาหาได้พุ่งใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่มันกลับลอยขึ้นฟ้าไป
ขณะเดียวกันก็เห็นขบวนคนขี่ม้าห้อตะบึงมาลิบๆ
คนนำหน้าสวมชุดหมั่งเผา* เสื้อคลุมสีดำ มือหนึ่งกำบังเหียน มือหนึ่งชูดาบ
เสียงดังเมื่อครู่นี้คล้ายเกิดจากการกระทำของคนผู้นั้นนั่นเอง
วัตถุชิ้นหนึ่งร่วงลงพื้นหลังกระแทกถูกดาบ ยามนี้ทุกคนค่อยมองชัดว่าแท้จริงแล้วเป็นแหวนหยกวงหนึ่ง
สองฝ่ายกั้นกลางด้วยระยะห่างช่วงหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามกำลังควบม้า เช่นนี้ยังสามารถจู่โจมเข้าเป้า เห็นได้ว่าสายตาและฝีมือมิใช่ธรรมดา
คนทั้งหมดล้วนตกตะลึงพรึงเพริด พริบตานั้นถึงกับลืมเรื่องเปิดศึก เพียงจ้องมองขบวนคนขี่ม้ากลุ่มนั้นขึ้นหน้ามาท่ามกลางควันฝุ่นตลบฟุ้ง
หม่าซิงฝูหรี่ตาเพ่งมองด้วยความไม่สบอารมณ์ ใคร่จะยลว่าผู้มาเป็นทวยเทพจากหนใด ปรากฏว่าเมื่อเห็นชัดถนัดตา สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนในบัดดล
“นี่ทำอันใดกัน จะก่อกบฏ?” ผู้สวมชุดหมั่งเผากวาดตารอบทิศ ตามด้วยแค่นหัวเราะเย็นชา “หม่าซิงฝู ท่านนี่ยิ่งแก่ยิ่งไร้สมอง เป็นขันทีรักษาการณ์ดีๆ ไม่ชอบ วิ่งมาก้าวก่ายงานราชการท้องถิ่นอันใด” เขาไม่ลงจากอาชาด้วยซ้ำ เพียงทอดสายตามองลงมาจากเบื้องบน
สีหน้าหม่าซิงฝูบูดบึ้ง “ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่นี่กัน”
สามารถทำให้ขันทีรักษาการณ์ซูโจวหน้าแปรสีได้ย่อมมิใช่ชนชั้นนิรนาม คนทั้งหมดล้วนตระหนักได้ถึงจุดนี้
ทว่าขณะที่ยังไม่ทราบอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู ผู้ใดก็มิกล้าเปิดปากก่อน
จังหวะนั้นถังฟั่นกลับโพล่งขึ้น “มาถึงเสียที ให้ข้ารออยู่นาน”
“นาน?” วังจื๋อชักฉุน “ข้าได้ข่าวก็ออกเดินทางทันที วันคืนมิได้พัก ดีที่มีคลองสายหนึ่ง แค่ไม่กี่วันนับว่าไม่ช้าแล้ว!”
สดับน้ำเสียงสนิทสนมของทั้งสอง เฉินหลวนมีหรือจะไม่กระจ่าง ถังฟั่นครานี้โยกย้ายทัพเสริมมาแล้ว
เขารีบส่งเสียง “หม่ากงกง”
ความหมายคือให้หม่ากงกงรีบจัดการเรื่องตรงหน้าให้เบ็ดเสร็จ เลี่ยงมิให้อีกฝ่ายครองความเป็นต่อ
ไม่ต้องให้เตือนสติ หม่าซิงฝูตระหนักดี เขามองหน้าวังจื๋อ “วังกงกง ข้าทำตามพระบัญชา ท่านอย่าได้กีดขวางการปฏิบัติงาน”
วังจื๋อหัวเราะ “คิดว่าข้าวิ่งจากเมืองหลวงมาสนทนาความหลังกับท่านหรือไร ถังฟั่นรับราชโองการ!”
ถ้อยคำนี้พอกล่าว ฝูงชนล้วนตะลึงลาน
กลับเป็นถังฟั่นเยือกเย็นที่สุด คุกเข่าคำนับเต็มยศ “กระหม่อมถังฟั่น น้อมรับราชโองการ”
“บัญชาจากสวรรค์ จักรพรรดิมีราชโองการให้ถังฟั่นรับตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ควบตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย รับพระบัญชาตรวจสอบคดีซูโจว ขุนนางใดมีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวงสามารถดำเนินการฟ้องร้อง จัดการตามที่เห็นควร”
ราชโองการฉบับนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ถึงขนาดไม่มีถ้อยคำสวยหรูต่อท้าย กลับยิ่งทำให้ผู้คนสดับได้ถึงใจความสำคัญสองประการ
ประการแรกคือ ‘ควบตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย’
ความหมายของคำว่าควบตำแหน่งก็คือเวลานี้ถังฟั่นยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายอยู่ มิได้ถูกปลดออก ขณะเดียวกันยังได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ผู้ช่วยข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายคือขุนนางขั้นสี่เต็มขั้น ส่วนรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญาคือขุนนางขั้นสามเต็มขั้น
พูดอีกอย่างก็คือเวลานี้ถังฟั่นได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสามเต็มขั้น คนอื่นๆ ขณะเรียกขานเขาปกติต้องเรียกว่า ‘ใต้เท้าปู้ถัง’** เพื่อแสดงถึงความเคารพยกย่อง
สถานการณ์ที่ขุนนางจะได้ควบสองตำแหน่งพบเห็นได้บ่อยในราชวงศ์นี้ เพราะตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญาของเขานี้มิใช่ตำแหน่งจริงแต่เป็นตำแหน่งลอย หรือก็คือตำแหน่งเพียงในนามเท่านั้น เหมือนกับหวังเยวี่ยที่ก่อนหน้านี้คุมสำนักตรวจการนครหลวง แต่มีตำแหน่งลอยเป็นเสนาบดี
กล่าวคือตอนนี้ถังฟั่นยังคงทำงานให้กับสำนักตรวจการนครหลวง เพียงแต่ขั้นยศได้รับการปรับเลื่อนขึ้นหนึ่งขั้นเต็มๆ
แต่หนึ่งขั้นนี้มีความหมายใหญ่หลวงนัก เพราะหากถังฟั่นใคร่จะ ‘ขึ้นเป็นตัวจริง’ เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมก็จะง่ายดายขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาในเวลานี้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จะเข้าสู่สภาขุนนางแล้ว
ประการสองคือ ‘จัดการตามที่เห็นควร’
พลานุภาพของข้อความนี้มหาศาลนัก พูดให้ชัดก็คือให้ท่านสามารถประหารก่อนรายงานทีหลังได้
ดังนั้นหากกล่าวว่าการเลื่อนตำแหน่งให้ถังฟั่นยังไม่อาจทำให้เฉินหลวนและพวกรู้สึกได้ถึงการคุกคาม เช่นนั้นคำพูดสุดท้ายของวังจื๋อกลับทำให้หลายคนในที่นั้นพากันหน้าถอดสี
ผู้ใดจะคาดว่าถังฟั่นจะมีไม้เด็ดเช่นนี้
แววตาของนายกองพันเซวียที่มองดูถังฟั่นเปลี่ยนไปสิ้นเชิง
และเซียวอู่ก็เพิ่งกระจ่างชัดบัดนี้ว่าไยครู่ก่อนถังฟั่นจึงบอกกับนางว่าต้องรอ ที่แท้สิ่งที่เขารอก็คือราชโองการฉบับนี้นั่นเอง
วังจื๋อประกาศจบราชโองการ คนทั้งหมดยังตกอยู่ในอาการตะลึง ตั้งหลักไม่ทัน
เฉินหลวนการตอบสนองไวกว่าใครทั้งหมด เขาพลันหมุนตัววิ่งเข้าที่ว่าการอำเภอ
แต่เขาคล้ายลืมไปว่าหากตนเองสามารถหลบหนีสำเร็จ เช่นนั้นต่อไปองครักษ์เสื้อแพรคงไม่มีที่ยืนแล้ว
ดังคาด วิ่งได้ไม่กี่ก้าวเฉินหลวนก็ถูกคนพุ่งชนล้มลงพื้น ตามด้วยกระชากขึ้นมา จับมัดมือเท้าและศีรษะ กลายเป็นเนื้อบนเขียง
สายตาของวังจื๋อกวาดผ่านหม่าซิงฝูและคนอื่นๆ พลางเอ่ยเสียงเอื่อย “เมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าถังรีบจัดการพวกเศษปลาเศษกุ้งเหล่านี้ให้เรียบร้อยโดยไวเถอะ ข้ารับพระบัญชาให้รุดมา เวลาล้ำค่า ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า”
กล่าวกับถังฟั่นแท้ๆ หากความจริงกลับทำให้หม่าซิงฝูโมโหเกือบตาย
เศษปลาเศษกุ้งอันใดกัน นี่กำลังด่ารวมเขาเข้าไปด้วยชัดๆ!
แต่หม่าซิงฝูจะทำอันใดได้ แม้วังกงกงยังเยาว์วัย หากประสบการณ์โชกโชนกว่าเขามากนัก มาตรว่าสำนักประจิมสูญสลาย แต่ผู้อื่นเดินวนรอบหนึ่ง ทุกวันนี้ยังคงเป็นคนโปรดของโอรสสวรรค์ วาจาของเขามีน้ำหนักกว่าวาจาของขันทีรักษาการณ์ซึ่งอยู่ไกลถึงซูโจวเสียอีก
ถังฟั่นกล่าว “นายกองพันเซวีย?”
“ขอรับ!”
สุ้มเสียงนี้ตอบได้ก้องกังวานเป็นพิเศษ
ถังฟั่นสั่ง “คุมตัวเฉินหลวน หยางจี้และพวกกลับไปดำเนินคดี ยังมีหม่าซิงฝูขันทีรักษาการณ์ซูโจวสมคบเฉินหลวนยักยอกเสบียงสำหรับช่วยเหลือผู้ประสบภัย เจิงเผยและอู๋จงส่งเสริมผู้กระทำผิด มิเพียงบกพร่องในหน้าที่อารักขาขุนนางผู้แทนราชสำนัก กลับลอบส่งข่าวให้แก่เฉินหลวน ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก ล้วนจับกุมไปพร้อมกัน!”
“ขอรับ!” นายกองพันเซวียขานรับ
หม่าซิงฝูหน้าถอดสี ตวาดก้อง “ผู้ใดกล้าจับข้า! ใต้เท้าถัง อย่าได้หยิ่งผยองพองขน จะจับกุมเฉินหลวนก็จับไป เกี่ยวอันใดกับข้าเล่า ข้าก็มีพระบัญชาเช่นกัน เพราะเกรงว่าเจ้าจะใส่ความขุนนางประเสริฐ ครานี้จึงมิอาจไม่ออกหน้า! เจ้าอย่าได้เหมารวมทั้งหมด สุดท้ายกลับกลายเป็นสาดน้ำถูกตนเอง!”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “หม่ากงกง ครู่ก่อนท่านรีบร้อนออกหน้าให้เฉินหลวน ไยบัดนี้กลับจะปัดสวะพ้นตัวเสียแล้ว ผิดถูกดำขาว พวกเรากลับไปไต่สวนย่อมแจ่มแจ้งเอง หากท่านเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ข้าไม่มีทางใส่ความแน่” จบคำพลันเก็บงำรอยยิ้ม ตวาดสั่ง “จับกุม!”
ผู้ติดตามของหม่าซิงฝูมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่ทราบควรคุ้มกันหรือไม่ พวกที่ภักดีซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนยามนี้พลันชักดาบจากฝักคล้ายเตรียมปะทะกับองครักษ์เสื้อแพร กลับเห็นวังจื๋อโบกมือ แล้วคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็พากันสำแดงคมดาบ จำนวนคนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด กำลังคนของหม่าซิงฝูถูกล้อมอยู่กลางวง กลายเป็นอ่อนแอน่าสังเวชขึ้นมาทันที
วังจื๋อแค่นหัวเราะ “คงมิใช่คิดว่าผู้บัญชาการซั่งบ้านท่านยังหนุนหลังท่านอยู่กระมัง บอกให้ก็ได้ เวลานี้ซั่งหมิงถูกฟ้องร้องจนกระเด็นจากเมืองหลวงไปเฝ้าสุสานหลวงหมิงเซี่ยวนู่นแล้ว ดีไม่ดีอีกหน่อยพวกเจ้าอาจได้เจอกันบ่อยๆ ก็เป็นได้”
ข่าวนี้เรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พอหม่าซิงฝูฟัง ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ “เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหล”
วังจื๋อแค่นหัวเราะ “ข้าจะล้อเล่นกับท่านเพื่ออันใด ใช่วาจาเหลวไหลหรือไม่ วันหน้าท่านพบเจอเขาก็ถามดูเองแล้วกัน นายกองพันเซวีย ตกลงจะจับหรือไม่จับ”
เขามาถึงที่นี่เพียงครู่เดียว นายกองพันเซวียก็ตระหนักได้ถึงความอหังการของขันทีแซ่วังผู้นี้ ครั้นได้ฟังก็มิกล้ารอช้า สั่งผู้ใต้บัญชาจับคนทันที
ไม่รู้ว่าหม่าซิงฝูตะลึงงันเพราะคำพูดของวังจื๋อหรืออย่างไร ถึงได้ปล่อยให้ด้านหลังตนปรากฏองครักษ์เสื้อแพรขึ้นมาสองคนโดยปราศจากท่าทีใดๆ
ผู้ใต้บัญชาเห็นเขาให้ความร่วมมือด้วยดี ได้แต่วางอาวุธรอรับอาญา
ในเมื่อแม้แต่หม่าซิงฝูยังละทิ้งการต่อต้าน คนอื่นๆ ย่อมไม่อาจแข็งขืนดึงดัน แต่ละคนหน้าม่อยคอตกเหมือนมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็ง ให้องครักษ์เสื้อแพรคุมตัวโดยดี
หยางจี้หน้าซีดเผือด อดจะฉีกยิ้มให้ถังฟั่นมิได้ “ใต้เท้า…ใต้เท้าถัง มีอันใดค่อยพูดค่อยจา ทั้งหมดนี้ข้าล้วนถูกบังคับ เรื่องทั้งหลายของเฉินหลวนข้าล้วนมิเคยข้องเกี่ยว ไม่เพียงเท่านั้นข้ายังสามารถนำเสนอหลักฐานให้ท่านได้มากขึ้น ให้เจ้าคนโฉดนี้มิอาจโงหัวตลอดกาล ท่านจะ…ท่านจะละเว้นข้าสักคราได้หรือไม่”
เฉินหลวนพอฟังก็หัวเราะเย็นชา “เจ้าล้วนไม่เคยข้องเกี่ยว? น่าขันสิ้นดี เรื่องผู้ประสบภัยที่นอกเมืองนั่นเจ้าเองก็รู้เห็นเช่นกัน ตอนนั้นไม่เคยปริปากสักคำ ตอนนี้กลับจะแสร้งเป็นคนดี? ยังมีเงินทองที่ข้ามอบให้เจ้า เพียงให้คนไปค้น รับรองต้องเจอแน่นอน”
หยางจี้ตะคอก “เป็นเพราะเจ้า! หากมิใช่เจ้าจะลากข้าลงน้ำให้ได้ ข้าไหนเลยจะตกอยู่ในสภาพเช่นวันนี้! ตอนแรกข้าเคยบอกเจ้า เรื่องใดๆ อย่าได้กระทำจนสุดโต่ง ตอนนี้เวรกรรมมิใช่ตามทันแล้วหรือ!”
แค่พริบตาทั้งสองก็แตกคอกันเสียแล้ว ถังฟั่นคร้านจะมองดูสุนัขกัดสุนัขจึงโบกมือ “เอาตัวกลับไปให้หมด”
ขณะเฉินหลวนถูกควบคุมตัวผ่านเซียวอู่ แววตาเยียบเย็นจับจ้องนางไม่วาง รอยเกลียดแค้นในนั้นท่วมท้นออกมา
มีถังฟั่นอยู่ เซียวอู่หรือจะเกรงกลัว ตรงข้ามกลับส่งรอยยิ้มยวนใจให้อีกฝ่าย
เฉินหลวนเดือดพล่านขึ้นมาทันที อดจะแผดด่ามิได้ “แพศยา!”
เซียวอู่แย้มยิ้ม “แล้วท่านที่เคยนอนกับแพศยาเล่านับเป็นตัวอันใด คนพาลสันดานหยาบ?”
คนโดยรอบต่างหัวเราะพรืด
เฉินหลวนโกรธจัดจนหน้าเขียวแล้ว
ตั้งแต่นางไม่จำเป็นต้องแสร้งเล่นละครต่อหน้าถังฟั่น ระดับความห้าวหาญก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน
จนกระทั่งเฉินหลวนไปแล้ว ถังฟั่นอดถามด้วยความสงสัยมิได้ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเขามีสัมพันธ์กับอนุของบิดาและพี่สะใภ้ นั่นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ”
เซียวอู่ไม่แม้แต่จะคิด “ย่อมเป็นเรื่องเท็จแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะยั่วโทสะจนเขาแทบเต้นได้หรือ”
เห็นถังฟั่นปั้นหน้าหมดวาจา นางจึงกล่าวต่อ “แต่เฉินหลวนก็กระทำเรื่องไร้ศีลธรรมอย่างแย่งชิงภรรยาผู้อื่นไม่น้อยเช่นกัน หากใต้เท้าลองสืบดู เหล่านี้ล้วนสามารถสืบสาวได้”
ถังฟั่นพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
* ชุดหมั่งเผา แปลว่าชุดพญางู เป็นชุดพิธีการของขุนนางผู้ใหญ่และชนชั้นสูงของจีนสมัยโบราณ มีลักษณะคอกลมกว้าง สาบเสื้อใหญ่ทับขวา ติดกระดุมตรงคอและใต้รักแร้ แขนกว้าง ชายชุดยาวจรดเท้า ปักรูปมังกรสี่เล็บเพื่อให้แตกต่างจากมังกรห้าเล็บซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ
** ปู้ถัง คำเรียกขานขุนนางชั้นสูงในยุคราชวงศ์หมิงและชิง