everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 2 #นิยายวาย
เฉินหลวน หยางจี้ และคนอื่นๆ ล้วนถูกดำเนินคดี แต่เรื่องราวยังไม่นับว่าเสร็จสิ้น
หลังกวาดล้างสิ่งกีดขวางชิ้นใหญ่สุดเรียบร้อย ถังฟั่นจึงสั่งคนเผาใบอ้ายเยี่ย* ที่นอกเมือง จัดตั้งโรงทานแจกโจ๊ก ส่งคนไปเชิญหมอมาตรวจรักษาผู้ประสบภัย จากนั้นขุดคุ้ยเสบียงจากในปากของพวกพ่อค้าข้าวที่เคยคบคิดกับเฉินหลวนออกมา ได้เป็นอาหารให้กับผู้ประสบภัยนอกเมืองจำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ตามผู้ประสบภัยนอกเมืองเหล่านั้นได้ถูกเฉินหลวนพร่าผลาญไปเกือบหมด ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด หลังได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจนร่างกายเริ่มฟื้นฟู พวกเขาก็ทยอยออกจากอำเภออู๋เจียง กลับบ้านเกิดไปเริ่มต้นทำไร่ไถนาใหม่อีกครั้ง ส่วนถังฟั่นเตรียมถวายฎีกาขอให้งดเก็บภาษีเสบียงในอำเภออู๋เจียงเป็นเวลาสองปี แม้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจช่วยให้ผู้ประสบภัยหลุดพ้นจากความยากไร้ มีความเป็นอยู่สุขสบายได้ตลอดไป แต่นี่คือสิ่งที่ถังฟั่นสามารถกระทำได้มากที่สุดเท่าที่ขอบข่ายอำนาจจะอำนวยแล้ว
หลังเฉินหลวนถูกจับกุม ตำแหน่งนายอำเภออู๋เจียงเดิมสมควรให้รองนายอำเภอขึ้นแทน แต่ที่เฉินหลวนสามารถกลายเป็นทรราชเจ้าถิ่นในอำเภออู๋เจียงได้ย่อมไม่พ้นเป็นเพราะคนเหล่านั้นช่วยเขาก่อกรรมทำเข็ญ ดังนั้นเมื่อถังฟั่นตรวจสอบแน่ชัดจึงสั่งปลดขุนนางอำเภออู๋เจียงราวเจ็ดแปดส่วนออกไป
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งขุนนางในอำเภออู๋เจียงจึงว่างลงไม่น้อย แต่นี่กลับไม่เป็นอุปสรรค ต้าหมิงประชากรล้นเหลือ แต่ละปีมีบัณฑิตที่คุณสมบัติเพียบพร้อมเข้าแถวรอการบรรจุเป็นขุนนางอยู่นับไม่ถ้วน คนเหล่านี้กำลังจับจ้องส่วนแบ่งก้อนนี้ตาเป็นมัน หนำซ้ำอำเภออู๋เจียงแห่งนี้ยังเป็นแหล่งงานที่อุดมสมบูรณ์ เพียงขาด ‘เฉินหลวน’ ไปไม่กี่คนก็มีผู้รอเสียบตำแหน่งเขาไม่รู้เท่าไร
ในเหตุการณ์ครั้งนี้การแสดงออกของหูเหวินเจ่านั้นไม่นับว่าดีงามอะไร แต่ก็ไม่เหมือนเฉินหลวนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้า ชั่วช้าสามานย์ไม่อาจอภัย
กล่าวให้ชัดก็คือเขาไม่กล้ากระทำเรื่องเลวทรามเช่นนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยปละละเลย ทว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คะเนว่าเขาคงได้รับบทเรียนแล้ว ภายหน้าน่าจะตื่นตัวขึ้นมาก
เห็นแก่หูเหวินเจ่าที่กลับตัวกลับใจได้ทัน ถังฟั่นจึงระบุถึงเรื่องนี้ในฎีกา ขอความเมตตาแทนเขาครั้งหนึ่ง สุดท้ายหูเหวินเจ่ามิได้หัวหลุดจากบ่าและมิได้ถูกเนรเทศ เพียงให้ออกจากราชการเท่านั้น ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ถือเป็นความโชคดีมหาศาลแล้ว
แน่นอน ขุนนางเลอะเลือนเยี่ยงหูเหวินเจ่าย่อมไม่คิดว่านี่คือ ‘โชคดีมหาศาล’ อันใด คะเนว่าหลังจากที่ทราบว่ามิอาจรับราชการต่อไป คงคร่ำครวญหวนไห้เป็นการใหญ่ด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่าถังฟั่นไม่ว่างไปใส่ใจความรู้สึกของหูเหวินเจ่า เมื่อจัดการเรื่องเฉินหลวนเสร็จก็วิ่งวุ่นดูแลผู้ประสบภัยที่นอกเมืองไม่ได้หยุดหย่อน ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนทนายืดยาวกับวังจื๋อ จนกระทั่งอีกฝ่ายเตรียมกลับเมืองหลวง เขาถึงได้ปลีกตัวจากภารกิจยุ่งเหยิง อาศัยช่วงกินข้าวไปนั่งกับอีกฝ่าย
“เรื่องในครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมาก หลายวันนี้ข้ายุ่งจนหัวหมุน ไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณสักคำ ขอคารวะด้วยสุราก่อนแล้วกัน” ถังฟั่นรินสุราสองจอก จากนั้นลุกยืนขึ้น ประคองจอกในมือตนยกขึ้นเล็กน้อย แหงนหน้าดื่มจนหมด
“เจ้าสมควรขอบคุณที่ข้ามาทันเวลา ทว่าเรื่องนี้ถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพราะเจ้าวางแผนแยบคาย หาเกี่ยวอันใดกับข้าไม่” วังจื๋อก็มิได้เกรงใจ ยกสุราตรงหน้าขึ้นดื่มหมดจอก จากนั้นชี้จอกเป็นเชิงให้ถังฟั่นรินอีก
นี่คือการได้คืบจะเอาศอกโดยแท้ ดีที่ถังฟั่นเคยชินกับนิสัยของเขานานแล้วจึงแย้มยิ้มแล้วยกป้านสุราขึ้นมารินให้ทั้งคู่โดยมิได้ถือสา
อันที่จริงครานี้ถังฟั่นเดินหมากที่ฝ่ายตรงข้ามนึกไม่ถึง
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าอาของเฉินหลวนคือคนของกลุ่มอำนาจวั่น ดังนั้นหลายคนรู้สึกว่าถังฟั่นเป็นปฏิปักษ์กับเฉินหลวน ก็นับว่าเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอำนาจวั่น
นี่ก็คือสาเหตุที่ทุกคนไม่ถือหางถังฟั่นในตอนแรก ด้วยรู้สึกว่าเขาสู้เฉินหลวนไม่ได้แน่ แต่ถังฟั่นกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ไม่ว่าเฉินหลวนจะวางอำนาจปานใด หากก็เพียงจำกัดอยู่ในอำเภออู๋เจียงเท่านั้น เขาไม่มีทางได้ร่วมแสดงในวงขุนนางชั้นสูงด้วยแน่ และผู้อื่นก็ไม่เห็นหัวเขาเช่นกัน
อาของเขาเป็นคนของกลุ่มอำนาจวั่น มิได้หมายถึงเขาก็เป็นด้วย กล่าวให้ชัดคือเฉินหลวนตำแหน่งต่ำต้อยเกินไป ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเล่นละครฉากนี้
เช่นนั้นจะโค่นเฉินหลวน อันดับแรกก็ต้องโค่นอาของเขาก่อน
เสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสูง เป็นที่ไขว่คว้าของผู้คน แต่ไรมาเฉินจิ่งจึงเป็นที่ขัดลูกนัยน์ตาของใครต่อใครอยู่ไม่น้อย ดังนั้นถังฟั่นจึงอาศัยความสัมพันธ์ของจางอิ๋งและไหวเอิน ทั้งระดมสหายรักร่วมวัยฟ้องร้องเฉินจิ่ง สร้างความอลหม่านแก่ฝ่ายตรงข้าม เมื่อเฉินจิ่งเอาตัวเองไม่รอดย่อมไม่ว่างไปสนใจความเป็นตายของหลานชายแล้ว
ขุนนางคนใดบ้างไม่มีจุดอ่อนและข้อบกพร่อง ขึ้นอยู่กับศัตรูของท่านอยากนำมาใช้หรือไม่เท่านั้น ต่อให้เป็นถังฟั่น หากวันหนึ่งมีใครขุดคุ้ยออกมาได้ว่าถังฟั่นเคยเขียนหนังสือประโลมโลก คะเนว่าก็สามารถเล่นงานเขาได้เช่นกัน ดังนั้นคนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
กำแพงล้มฝูงชนช่วยผลัก ขณะที่สหายร่วมวัยของถังฟั่นยื่นฎีกากล่าวโทษเฉินจิ่งก็มีคนไม่น้อยเล็งเห็นโอกาส พากันรุมโจมตีเฉินจิ่งข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง ยามนี้หลิวจี๋ก็ใคร่จะผลักดันคนของตนเองไปเป็นเสนาบดีกรมอากรนครหนานจิงเช่นกันจึงช่วยเติมฟืนอยู่ข้างๆ อีกแรง
ภายใต้การฟ้องร้องที่ระเบ็งเซ็งแซ่ เฉินจิ่งต่อให้ไม่ล้มก็ต้องล้ม แม้แต่กลุ่มอำนาจวั่นยังยากจะรักษาเขาไว้ได้
เฉินจิ่งหลุดจากแวดวงขุนนาง จะเก็บกวาดเฉินหลวนย่อมง่ายดายขึ้นมาก
แต่เฉินหลวนยังมีไม้ตาย ความสัมพันธ์ของเขากับสมาคมพ่อค้าซูโจวมิใช่ตื้นเขิน ทั้งยังส่งบรรณาการให้สำนักบูรพาทุกปีโดยผ่านทางสมาคมพ่อค้าซูโจว นี่ก็คือสาเหตุที่เขาปราศจากท่าทีเกรงกลัวในตอนแรก เจิงเผยและอู๋จงติดตามถังฟั่นลงใต้ ไม่เพียงเพื่อคุ้มกันและสอดส่องผู้ตรวจการถัง ขณะเดียวกันยังเพื่อปกปักพิทักษ์เฉินหลวนในยามคับขันอีกด้วย
ซั่งหมิงผู้บัญชาการสำนักบูรพามิอาจตัดใจให้เฉินหลวนซึ่งเป็นแหล่งรายได้ก้อนโตถูกถังฟั่นกำจัดทิ้ง ย่อมจะต้องคุ้มครองเขาเป็นธรรมดา
เมื่อถังฟั่นเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันลึกลับซับซ้อนที่อยู่เบื้องหลังเฉินหลวนจนกระจ่างแล้ว กลับไม่เลือกที่จะแตกหักกับกลุ่มอำนาจวั่น แต่สุมฟืนทั้งหมดไปที่สำนักบูรพา เอาสารพัดความผิดบาปของเฉินหลวนผูกโยงเข้ากับสำนักบูรพา
ในฎีกาที่ให้ลู่หลิงซีนำไปส่งมอบฉบับนั้น เขามิได้เอ่ยถึงผู้หนุนหลังอื่นๆ ของเฉินหลวนแม้แต่คำเดียว เพียงระบุแต่สำนักบูรพา สาธยายว่าเงินทองที่ตนถวายแด่องค์จักรพรรดิจำนวนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนที่เฉินหลวนและสำนักบูรพาร่วมกันยักยอก และกล่าวอีกว่าฝ่าบาททรงบำเพ็ญตบะแสวงธรรมอยู่ในเมืองหลวงยังต้องกระเบียดกระเสียรอย่างยิ่งเพราะท้องพระคลังไร้เงิน แต่ซั่งหมิง หม่าซิงฝู และเฉินหลวน เจ้าพวกสถุลชนเหล่านี้กลับฉวยโอกาสที่ฟ้าสูงจักรพรรดิไกลรีดนาทาเร้นเป็นเงินมหาศาลอย่างเปิดเผย เห็นพระองค์เป็นอากาศธาตุ ทั้งนำทรัพย์สมบัติเหล่านี้เก็บซ่อนเอาไว้ ใช้จ่ายอีลุ่ยฉุยแฉก แต่กลับกล้าหันมาโอดครวญกับพระองค์ว่าไม่มีเงิน แม้พระองค์จะทรงกล้ำกลืนโทสะนี้ได้ พวกเราเหล่าขุนนางทั้งหลายกลับมิอาจทนดูต่อไป
จักรพรรดิไม่เหลียวแลราชกิจ แต่อย่าได้เข้าใจว่าพระองค์เบาปัญญาโดนตบตาได้ง่ายเป็นอันขาด นึกถึงเมื่อครั้งเพิ่งเสวยราชสมบัติก็เคยประกาศแสนยานุภาพ ชำระล้างราชสำนัก พลิกคดีแพะรับบาป หลายปีนี้แม้พระองค์เสื่อมโทรมลง ทว่าราชสีห์อย่างไรก็คือราชสีห์ อย่างมากแค่หลับตาไม่ยินไม่สนสรรพเสียงภายนอกเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เสียงเหล่านี้รบกวนการนอน พระองค์ยังคงจะยืดกรงเล็บออกมาให้ฝ่ายตรงข้ามชมดูเช่นกัน
ถ้อยความชุดนี้ของถังฟั่นกระแทกโดนพระทัยจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย และแทงถูกจุดอ่อนของผู้เป็นเจ้าแผ่นดินอย่างจัง
จักรพรรดิสามารถทนดูผู้อื่นไม่ทำงาน ทุกคนใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยไปด้วยกัน กลับรับไม่ได้เด็ดขาดที่ผู้อื่นเห็นพระองค์รังแกง่าย ตบตาง่าย
สำคัญที่สุดคือถังฟั่นเล่นงานเฉพาะสำนักบูรพา กัดซั่งหมิงไม่ปล่อย ไม่โยงใยไปถึงบุคคลอื่น
นี่ไม่เพียงส่งผลให้ท่าทีของทางกลุ่มอำนาจวั่นอ่อนลงมาก ยังมีผลให้จักรพรรดิมิต้องทรงพะวักพะวนในขณะจัดการซั่งหมิง หากตอนนี้ถังฟั่นลากกลุ่มอำนาจวั่นลงน้ำ เช่นนั้นจักรพรรดิที่ทรงคำนึงถึงวั่นกุ้ยเฟย โดนเป่าลมข้างเขนย** สุดท้ายเรื่องราวย่อมไม่มีทางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
หลายปัจจัยรวมเข้าด้วยกัน ก็คือสาเหตุที่วังจื๋อมาปรากฏตัวในที่แห่งนี้
แน่นอน ลำพังแค่ถังฟั่นคนเดียวคงทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ
อย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้ตรวจการคนหนึ่ง อีกทั้งอยู่ไกลถึงซูโจว จำเป็นที่จะต้องรวบรวมพละกำลังของคนจำนวนมากจึงสามารถลุล่วงแผนการ
ตัวอย่างเช่นซั่งหมิงโดนโค่น เบื้องหลังย่อมหนีไม่พ้นการออกแรงของไหวเอิน วังจื๋อ และบรรดาขุนนางที่ชิงชังสำนักบูรพา ในเรื่องนี้ยังพัวพันถึงการแก่งแย่งอำนาจในสภาขุนนางอีกด้วย ถังฟั่นก็แค่ปรุโปร่งในจุดนี้ และนำมาใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีเท่านั้นเอง
หลังซั่งหมิงถูกขับจากเมืองหลวง ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักบูรพามีเฉินจุ่นขึ้นมาแทนในทันที
เฉินจุ่นคือขันทีคนสนิทของไหวเอิน กว่ากลุ่มอำนาจวั่นจะสำเหนียกว่าขุมกำลังของสำนักบูรพามิได้อยู่ในความควบคุมของพวกเขาก็สายเกินไป สถานการณ์พลิกผันในพริบตา โอกาสดีไม่รอท่า ชั่วขณะก่อนหน้าหากคว้าไม่อยู่ ชั่วขณะถัดไปก็จำต้องมองดูมันถูกผู้อื่นฉกฉวยไป
สำหรับผู้ประสบภัยแล้ว การมาถึงของถังฟั่นทำให้พวกเขามีความหวังที่จะอยู่ต่อไปอีกครั้ง
ทว่าในสายตาผู้คนนอกเหนือจากนั้น ที่โชคร้ายจากเหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่เฉินหลวนหรือหยางจี้ แต่เป็นกลุ่มอำนาจวั่นที่ต้องสูญทั้งซั่งหมิง เสียทั้งสำนักบูรพา อำนาจของพวกเขาถูกตัดทอนลงไปส่วนหนึ่ง ภายหน้าไม่อาจใช้สำนักบูรพาเป็นเขี้ยวเล็บสำหรับกำจัดศัตรูในวงขุนนางได้อีกแล้ว
ดังนั้นครั้งนี้ไม่เพียงถังฟั่นแก้ปัญหาในซูโจวสำเร็จ ฝ่ายรัชทายาทก็คว้าชัยครั้งใหญ่จากเหตุการณ์นี้เช่นกัน เรียกได้ว่าสองฝ่ายสมประโยชน์
“หลังจากเรื่องนี้ รัชทายาทยิ่งจะตื้นตันในตัวเจ้า แม้เขามิได้กล่าวอันใด แต่วันหน้าถ้าหาก…เจ้าต้องได้รับตำแหน่งสำคัญแน่” วังจื๋อเอ่ยเป็นนัย คำนั้นที่เขาละไว้ ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
ถังฟั่นส่ายหน้า “ข้าไม่เคยคิดว่าจะโค่นซั่งหมิงได้ เพียงอยากคลี่คลายปัญหาในซูโจวให้ลุล่วงเท่านั้น เมื่อได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ได้แต่บอกว่าบังเอิญสบช่องพอดี บวกกับเขาประพฤติชั่วมานาน สวรรค์ทนดูไม่ได้ จึงกลายเป็นความสำเร็จอย่างที่เห็น”
วังจื๋อชายตาค้อนเขาวงหนึ่ง “เอาล่ะ เลิกเสแสร้งเสียที ถ่อมตนเกินควรกลับจะกลายเป็นดัดจริตเล่นตัว เวลานี้รัชทายาทสิบสามพรรษา ตามเหตุผลสมควรเข้าฝึกทรงงานในสภาขุนนาง แต่ฝ่าบาทเอาแต่บำเพ็ญตบะ มิใคร่ใส่พระทัยต่อรัชทายาท ดังนั้นเรื่องการฝึกทรงงานของรัชทายาทจึงถูกคนของกลุ่มอำนาจวั่นยับยั้งซ้ำซาก ช่วงก่อนหน้านี้ก็ถูกแช่แข็งอยู่นาน ตอนนี้พอสิ้นอำนาจในสำนักบูรพา คะเนว่าพวกนั้นคงสำรวมขึ้นบ้าง”
ถังฟั่นห่างจากเมืองหลวงไกลลิบ ทั้งมิใช่คนที่อยู่ในศูนย์กลางอำนาจ ข่าวสารจำนวนมากจึงไม่ฉับไว หากมิใช่ตอนนี้ได้ยินจากวังจื๋อ เขาคงไม่ทราบว่ากลุ่มอำนาจวั่นถึงกับยับยั้งมิให้รัชทายาทเข้าไปทรงงานในสภาขุนนาง
เขาส่ายหน้า “ข้าว่ากลุ่มอำนาจวั่นหาทางเล่นงานรัชทายาทสารพัดเป็นการเดินหมากสะเพร่าแท้ๆ นับแต่สถาปนาราชวงศ์หมิงเป็นต้นมา ไม่ว่าพระโอรสองค์ใดก็ตามที่มิใช่ทายาทองค์โต หากใคร่จะสืบราชบัลลังก์ มาตรว่ามีโอรสสวรรค์ส่งเสริมให้ท้าย แต่ถึงที่สุดก็มิได้สมปรารถนา ท่านลองดูโอรสสวรรค์หย่งเล่อ ทรงเด็ดขาดปานใด พระองค์โปรดปรานฮั่นอ๋องมากกว่ารัชทายาท แต่สุดท้ายรัชทายาทยังคงได้ครองบัลลังก์มิใช่หรือ เมื่อเทียบกันแล้วในด้านความเด็ดขาดจักรพรรดิองค์ปัจจุบันยังห่างไกลจากโอรสสวรรค์หย่งเล่อมากนัก พระองค์จะสามารถกระทำในสิ่งที่โอรสสวรรค์หย่งเล่อยังกระทำไม่สำเร็จได้หรือ”
ถ้อยคำเหล่านี้มีเพียงพูดกับวังจื๋อ ถังฟั่นถึงจะเปิดอกด้วยความจริงใจ
วังจื๋อหวั่นไหวเล็กน้อยตามคาด ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยได้ฟังมุมมองความคิดเช่นนี้มาก่อน ครุ่นคิดอีกที นับว่าค่อนข้างมีเหตุผล
“แต่เจ้าวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งถึงแก่นแล้วจะมีประโยชน์อันใด ไม่ลองสู้สักตั้ง กลุ่มอำนาจวั่นหรือจะยินยอมเลิกรา นับแต่โบราณกาลบัลลังก์จักรพรรดิเย้ายวนใจผู้คน กลุ่มอำนาจวั่นไม่มีขวัญกล้าที่จะก่อกบฏ กลับคิดจะอุปถัมภ์ค้ำจุนจักรพรรดิองค์ต่อไป นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด ตอนนี้เจ้าอยู่ห่างจากเมืองหลวงกลับเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ถูกดึงเข้าไปเหมือนคราวก่อนในตำหนักบูรพาที่กลายเป็นเครื่องมือให้ผู้อื่น รอให้สถานการณ์ในเมืองหลวงปลอดโปร่งกว่านี้ ข้าจะช่วยทูลขอให้เจ้ากลับเข้าเมืองหลวงเอง”
วังจื๋อพูดจบก็คีบรากบัวเชื่อมดอกกุ้ยฮวาเข้าปากชิ้นหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “ไอ้เหนียวๆ หนืดๆ นี่คืออะไร”
ถังฟั่นหมดวาจา “ดูก็รู้ว่าเป็นของหวาน ท่านไม่ชอบแล้วเหตุใดยังไปคีบอีก”
วังจื๋อถุยคำหนึ่ง “มัวแต่คุยเพลินไม่ทันมอง คนที่เอื่อยๆ เฉื่อยๆ ถึงจะชอบของเหนียวๆ หนืดๆ”
“…” ถังฟั่นกระตุกมุมปาก นอนอยู่ดีๆ ยังอุตส่าห์โดนหอกจนได้
ดีที่เขาชินกับการถูกวังกงกงแดกดันมานานแล้ว ยามนั้นจึงหน้าไม่แปรสี ยื่นมือคีบรากบัวเชื่อมดอกกุ้ยฮวาอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากัด ฉีกยิ้มตาหยี “อร่อย เหนียวนุ่มกำลังดี กลิ่นดอกกุ้ยฮวาก็หอมมาก…จะว่าไปมีอยู่เรื่องหนึ่งข้าแปลกใจมาก เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาททรงเลื่อนตำแหน่งให้ข้า คงมิใช่เป็นเพราะเงินทองหีบนั้นที่ข้าส่งไปถวายกระมัง” ถังฟั่นเอ่ยถามถึงปัญหาที่ตนคิดเท่าไรก็คิดไม่ตก
“เจ้าอย่าฝันหวานไปหน่อยเลย ถ้าถวายเงินทองแล้วสามารถทำให้เจ้าเลื่อนเป็นขุนนางขั้นสามได้ ป่านนี้คลังหลวงคงไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว”
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “วังกงกงโปรดไขข้อกังขา”
วังจื๋อหัวเราะหึๆ ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยแววสมน้ำหน้า “แน่นอนว่าเป็นเพราะมีเรื่องอีนุงตุงนังให้เจ้าไปเก็บกวาด ก็เลยต้องให้พุทราเชื่อมเจ้ากินสักหน่อย”
“…” เขาก้มหน้ากินกับข้าวไม่ปริปากสักคำ สักพักค่อยกล่าว “ข้าสามารถทำเป็นไม่เคยได้ยินคำพูดนี้ได้หรือไม่”
“ไม่ได้”
ถังฟั่นกินได้ครู่หนึ่ง พบว่าแม้แต่เนื้ออบใบบัวก็ไม่อาจทำให้เขาเบิกบานได้จึงวางตะเกียบลง เอ่ยถามอย่างยอมรับชะตากรรม “คราวนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องตกใจปานนั้น อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่ซับซ้อน”
ถังฟั่นหมดวาจา “ท่านทำหน้าไม่ประสงค์ดีถึงเพียงนี้แล้วยังจะบอกข้าว่าไม่ซับซ้อนอีก ต่อให้ข้าเชื่อ ตัวท่านเองก็คงไม่เชื่อ”
วังจื๋อไม่ยี่หระ “หากไม่แสร้งปลอบใจเจ้าสักหน่อยจะทำให้เจ้ายอมรับงานนี้หมดหัวใจได้อย่างไร อีกอย่างคราวนี้เจ้าไปทำงานในฐานะรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอาญา ย่อมสะดวกกว่าแต่ก่อนที่มีแค่ตำแหน่งผู้ตรวจการมากนัก นี่เป็นสิ่งที่ข้าเอ่ยเตือนต่อเบื้องพระพักตร์ ถึงเอาตำแหน่งนี้มาให้เจ้าได้”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นเหตุผลของบ้านเขา ในด้านการตะแบงถังฟั่นไม่เคยชนะวังกงกงมาก่อน
เขากล่าวอย่างปวดเศียร “ได้ๆๆ ท่านว่ามา”
ผู้สมัครสอบเคอจวี่ล้วนทราบ หากจะไปเป็นบัณฑิตเอก ระหว่างทางต้องผ่านการสอบใหญ่ๆ เล็กๆ หลายสนาม ในจำนวนนั้นมีหกสนามที่ค่อนข้างสำคัญ แบ่งออกเป็นการสอบเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ ย่วนซื่อ เซียงซื่อ ฮุ่ยซื่อ และเตี้ยนซื่อ
พูดง่ายๆ ก็คือผู้ที่สามารถสอบผ่านย่วนซื่อก็จะได้เป็นซิ่วไฉ
ผู้ที่มีชื่อบนใบประกาศผลการสอบระดับเซียงซื่อก็จะกลายเป็นบัณฑิตจวี่เหริน
และหากสอบติดระดับฮุ่ยซื่อก็จะกลายเป็นบัณฑิตก้งซื่อ สุดท้ายคนเหล่านี้จะได้รับการจัดลำดับรายชื่อในการสอบเตี้ยนซื่อ แต่จะไม่มีการหลุดจากรายชื่ออีกแล้ว
การสอบระดับย่วนซื่อ สามปีจัดสอบสองครั้ง ผู้สอบผ่านจะกลายเป็นซิ่วไฉ เมื่อพบเห็นนายอำเภอไม่ต้องทำความเคารพ เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่ปรารถนาจะเข้าสู่แวดวงขุนนาง
ทว่าการสอบย่วนซื่อเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซีเมื่อต้นปีนี้กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน
กระบวนการเหมือนกับสนามสอบอื่นๆ การสอบย่วนซื่อของเมืองจี๋อันไม่มีอันใดเป็นพิเศษ หัวหน้าสนามสอบคือเสิ่นคุนซิว หัวหน้ากองการศึกษาเจียงซีคนปัจจุบัน เขาเป็นขุนนางที่กรมพิธีการส่งมาโดยตรง การคุมสอบชนิดนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าช่ำชองอย่างยิ่ง
แต่วันที่ประกาศผู้สอบผ่านระดับย่วนซื่อนั้นเองพลันปรากฏข่าวฉาวโฉ่ออกมา ก็ไม่ทราบเล่าลือมาจากที่ใด บอกว่าผู้สอบติดยี่สิบอันดับแรกเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งที่ได้มาด้วยการทุจริต
ไม่เพียงเท่านั้นยังลือกันเป็นตุเป็นตะว่าในข้อสอบของผู้เข้าสอบเหล่านี้ล้วนปรากฏคำว่า ‘สำเร็จงานใหญ่’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่นัดแนะกันล่วงหน้าระหว่างผู้ทุจริตกับกรรมการตรวจข้อสอบ เมื่อกรรมการตรวจข้อสอบที่รับสินบนเหล่านั้นเห็นสี่คำนี้บนกระดาษข้อสอบฉบับใดก็จะให้คะแนนสูงกับข้อสอบฉบับนั้น
เรื่องราวยิ่งลุกลามบานปลาย โดยเฉพาะพวกที่สอบตกยิ่งประท้วงดุเดือด พวกเขาไปตีกลองร้องทุกข์ ต่อมายังอัญเชิญป้ายสถิตวิญญาณของขงจื๊อในศาลเจ้าออกมา ชุมนุมกันที่หน้าที่ว่าการกองการศึกษา เรียกร้องให้หัวหน้าสนามสอบออกมาชี้แจง
หลังจากหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นคุนซิวทราบข่าวก็มิได้รอช้า รีบรุดไปตรวจสอบข้อสอบของผู้เข้าสอบเหล่านั้นทันที พบว่าข่าวลือแม้ไม่ตรงนักแต่ก็ใกล้เคียง ในยี่สิบคนแรกที่มีรายชื่อบนประกาศ มีสิบหกคนที่ในข้อสอบปรากฏคำว่า ‘สำเร็จงานใหญ่’
นี่มิใช่บังเอิญเด็ดขาด เสิ่นคุนซิวโกรธจัด ตัดสินใจสอบสวนถึงที่สุด
เขารู้ดี ไม่ว่าข่าวลือเริ่มขึ้นจากที่ใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือตรวจสอบให้กระจ่างแจ้งว่าผู้เข้าสอบเหล่านั้นได้รับตำแหน่งมาด้วยการทุจริตเช่นที่ลือกันหรือไม่ หากพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ถึงเวลานั้นย่อมมีเป็นพันวิธีที่จะสยบข่าวลือ
ดังนั้นเขาจึงเรียกตัวกรรมการตรวจข้อสอบมาไต่สวนทีละคน กรรมการตรวจข้อสอบเหล่านั้นย่อมปฏิเสธเสียงแข็ง เสิ่นคุนซิวจึงสั่งคนไปคุมตัวบัณฑิตทั้งยี่สิบคนนั้นมาขังเดี่ยว รอการสอบสวนทีละคน
อันที่จริงหากอยากทราบว่าคนเหล่านี้ทุจริตหรือไม่ วิธีการนั้นง่ายมาก ก็คือออกข้อสอบชุดใหม่ให้พวกเขาแสดงฝีมือเดี๋ยวนั้น หากทำไม่ได้หรือระดับความสามารถลดฮวบก็แปลว่ามีปัญหาแน่นอน
เสิ่นคุนซิวเองก็ใช้วิธีนี้ ความจริงพิสูจน์แล้วว่าในสิบหกคนนั้นมีอยู่หลายคนที่พอเข้าสอบก็เผยอาการหวั่นกลัว หลังเปลี่ยนข้อสอบหากไม่เขียนความเรียงจนเละเทะก็ฝีมือลดลงฮวบฮาบ เนื้อหาที่เขียนราวกับมิใช่คนเดียวกับที่เขียนอย่างสวยหรูอลังการก่อนหน้านั้น
เรื่องราวดำเนินถึงจุดนี้ เสิ่นคุนซิวไหนเลยยังมีเหตุผลให้ไม่กระจ่าง เชือดคนหนึ่งเป็นอุทาหรณ์ร้อยคน และเพื่อสยบความเดือดแค้นของปัญญาชนอื่นๆ เสิ่นคุนซิวจึงส่งฎีกาถึงราชสำนัก ขอให้ถอดถอนตำแหน่งบัณฑิตของทั้งสิบหกคนนั้น มิอาจรับราชการชั่วชีวิต และวางแผนจัดสอบย่วนซื่ออีกรอบหนึ่งในเมืองจี๋อัน
ทว่าตอนนั้นเองหนึ่งในบัณฑิตสิบหกคนที่ถูกถอดถอนกลับแขวนคอตาย ก่อนตายยังเขียนอักษรเลือดอันน่าสยดสยองบนกำแพงห้องที่ตนเองถูกคุมขัง ‘คดีแพะแห่งยุค ตายตาไม่หลับ’
ครานี้เรื่องราวยิ่งเลวร้าย
แม้ว่าเสิ่นคุนซิวส่งฎีกาถึงราชสำนักขอให้ถอดถอนตำแหน่งบัณฑิตของสิบหกคนนี้ แต่ราชสำนักยังไม่มีคำสั่งอนุมัติลงมา พวกเขาจึงยังมีฐานะเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ และบัณฑิตซิ่วไฉคนหนึ่งถูกหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นบีบคั้นจนฆ่าตัวตายจึงกลายเป็นที่สะท้านสะเทือนไปทั้งวงการปัญญาชน
หากกล่าวว่าอีกฝ่ายร้อนตัว เช่นนั้นหลังถูกถอดตำแหน่งยังไม่ทันส่อพิรุธด้วยซ้ำ แล้วจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจด้วยการฆ่าตัวตายได้อย่างไร ใครกล่าวได้ว่าในนี้ไม่มีความนัยซ่อนแฝง
ข่าวลือสะพัดในทันใด บอกว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นกับอีกฝ่ายมีแค้นส่วนตัว จึงถือโอกาสนี้จัดการ ส่งผลให้อีกฝ่ายต้องฆ่าตัวตายเพราะทนความอัปยศไม่ไหว บ้างก็บอกว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นวินิจฉัยคดีผิด บัณฑิตที่ฆ่าตัวตายมิได้ทุจริตในการสอบ เป็นการถูกใส่ความ
หลังจากนั้นไม่นานผู้ว่าการมณฑลเจียงซีและตุลาการต่างยื่นฎีกาขอให้ตรวจสอบคดีนี้ วินิจฉัยถูกผิด เพื่อพิสูจน์ความจริง
ประจวบกับถังฟั่นลุล่วงภารกิจในซูโจว จักรพรรดิจึงสั่งให้เขาไม่ต้องกลับเมืองหลวง ตรงดิ่งไปที่เจียงซีจัดการเรื่องนี้ได้เลย
เพราะเสิ่นคุนซิวเป็นหัวหน้ากองการศึกษาประจำมณฑล ตำแหน่งขุนนางขั้นสามเต็มขั้น ฐานะสูงส่ง ถังฟั่นซึ่งเป็นผู้ตรวจการขั้นสี่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาออกจะไม่น่าดูเท่าไร ดังนั้นจักรพรรดิจึงตวัดพู่กันคราหนึ่ง เพิ่มตำแหน่งรองเสนาบดีกรมอาญาให้เขา สาเหตุก็เพื่อสะดวกในการสืบคดี
หลังทราบที่มาที่ไป ถังฟั่นก็สะทกสะท้อนร้อยแปด อารมณ์ซับซ้อนยุ่งเหยิง
ชั่วขณะนี้เขาเพียงอยากบอกว่าใต้หล้าไม่มีอาหารกลางวันที่กินเปล่า โบราณกล่าวไว้ไม่ลวงหลอกจริงๆ
* ใบอ้ายเยี่ย สมุนไพรชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอม ใช้จุดไฟไล่ยุงและแมลง
** เป่าลมข้างเขนย (หมอน) เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสามีภรรยาพูดจากระซิบกระซาบกัน ลมปากแบบนี้แม้จะเบา แต่บางครั้งอาจส่งผลกระทบรุนแรง ทำให้เรื่องใหญ่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้