everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
แต่เดิมถังฟั่นตั้งใจว่าเมื่อจบงานในซูโจวจะกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเดิม แต่บัดนี้ได้รับภารกิจใหม่ อยู่ดีๆ การสอบย่วนซื่อของเมืองจี๋อันก็เกิดมีคดีคนตายขึ้นมา ความตั้งใจเดิมของเขาจึงมีอันต้องพับไป หลังมอบหมายงานที่เหลือให้วังจื๋อรับช่วงต่อ เขายังต้องรีบบึ่งไปยังเมืองจี๋อัน มณฑลเจียงซีอีก
ก่อนเดินทางเขากล่าวเสียงทอดถอนใจกับวังจื๋อ “คิดถึงตอนที่เพิ่งรู้จักท่าน ข้าเพิ่งเข้าพิธีสวมหมวก* ไม่นาน พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายปี เสียดายที่เราสองพบกันไม่นานต้องจากกันอีกแล้ว หลังแยกกันวันนี้ เกรงว่าคงต้องรอข้ากลับเมืองหลวงถึงได้พบหน้า ท่านโปรดถนอมตัว”
วังกงกงกลับตอบว่า “เจ้าไปหัดสำนวนคร่ำครึเช่นนี้มาจากที่ใด ข้ายังนึกว่าเจ้าจะต่างจากคนทั่วไป ตอนนี้ดูแล้วกลับเฉิ่มเชยสิ้นดี! อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ายังไม่ถึงสามสิบก็ได้รับตำแหน่งรองเสนาบดีขั้นสามเต็มขั้นแล้ว แม้จะเป็นตำแหน่งลอย แต่ถือว่าประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนอื่นมากนัก สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือเร่งสร้างผลงานจากคดีในเจียงซี เช่นนี้แล้วข้ากับไหวเอินถึงจะพูดชมเชยเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์ได้สะดวกปาก ให้เจ้าได้เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาอย่างแท้จริง ได้ยินว่าปีหน้าสภาขุนนางจะเสนอชื่อคนใหม่เข้าสภา ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้ามีคุณสมบัติเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ในสภาก็ยังดี ที่แห่งนั้นจัดลำดับอาวุโสตามเวลาที่เข้าไป เจ้าเข้าไปได้เร็วเท่าไรก็ได้เปรียบเท่านั้น”
วังจื๋อมีนิสัยเช่นนี้มาตลอด ภายนอกเห่อเหิมลำพองตน บนตัวเขาคล้ายไม่มีวันพบเห็นความห่อเหี่ยวท้อแท้ตลอดกาล มาตรแม้นประสบอุปสรรคเป็นครั้งคราวก็ไม่เคยเห็นเขาระย่อท้อถอย บุคคลเช่นนี้แม้ดูหยิ่งยโสในสายตาผู้อื่น แต่ขณะเดียวกันก็แพร่ระบาดความฮึกเหิมไม่หยุดยั้งสู่ผู้คน
ความอาวรณ์ที่ต้องจากลาของถังฟั่นถูกเขาทำลายสิ้น ได้แต่กระตุกมุมปาก รับคำติดๆ กัน
มิคาด วังจื๋อกลับเปลี่ยนเรื่อง แสยะยิ้มพลางกล่าว “อันที่จริงได้ไปเจียงซี ไม่ใช่ที่อื่น เจ้าควรดีใจถึงจะถูก”
“เพราะอะไร” ถังฟั่นงุนงง
“เพราะสุยก่วงชวนก็อยู่ที่นั่นมิใช่รึ เจ้าสองคนไม่เจอหน้าหนึ่งวันราวกับจากกันสามปี ครานี้จะได้หวานชื่นเหมือนคืนวิวาห์เสียที”
“…”
ที่ว่า ‘กุมมือล่ำลา สบตาอาลัย’ มีอยู่แค่ในตำนานและจินตนาการเท่านั้น ยามอยู่ต่อหน้าวังจื๋อ เหล่านี้ล้วนสามารถละไปได้
เห็นอีกฝ่ายสะอึกจนพูดไม่ออก วังจื๋อก็หัวเราะฮาๆ ด้วยความสะใจ “แต่ว่าสุยก่วงชวนมีงานรัดตัว เกรงว่าไม่มีเวลาสนใจเจ้า และอาจไม่ได้อยู่ที่จี๋อันด้วย ข้างกายเจ้าไม่มีคนคุ้มกันคงไม่ดี ขุนนางผู้แทนราชสำนักเดินทางตามลำพังออกจะอนาถาเกินไป ที่ข้ามีอยู่สี่คน พอดีให้เจ้ายืมใช้ก่อน รับรองได้ว่าซื่อสัตย์ภักดี เมื่อเข้าเขตเมืองจี๋อันจะมีคนมารอรับเจ้าที่นั่น คราวนี้ไม่ต้องกังวล พวกสุนัขรับใช้ของสำนักบูรพาจะไม่มากวนใจเจ้าแน่นอน”
สี่คนนั้นเป็นอดีตผู้ใต้บัญชาจากสำนักประจิมของวังจื๋อ บุคลิกห้าวหาญ ถังฟั่นกับพวกเขาเคยเจอหน้าหลายครั้ง ยามนี้จึงทักทายคำหนึ่ง ทั้งสี่แนะนำตนเองพลางคำนับถังฟั่นทีละคน เท่านี้ก็เป็นอันรู้จักกันแล้ว
ถังฟั่นโดนเขาขัดจังหวะจึงไม่มีแก่ใจรำพึงรำพันอีก เพียงประสานมือล่ำลาแล้วนำสี่คนนั้นควบม้ามุ่งหน้าสู่เมืองจี๋อัน
ระยะทางจากซูโจวถึงจี๋อันไม่นับว่าไกล ไม่จำเป็นต้องเร่งร้อน ประมาณเก้าหรือสิบวันก็สามารถลุถึง ทั้งห้าคนออกเดินทางจากซูโจว ตลอดทางไร้วาจาพร่ำเพรื่อ กระทั่งเข้าสู่เขตเมืองเจี้ยนชัง มาถึงบ้านพักรับรองประจำท้องที่จึงได้พบคนคุ้นเคยอย่างไม่คาดฝัน
“พี่ถัง!” พอเห็นพวกถังฟั่นมาถึง คนที่รออยู่ด้านนอกบ้านพักรับรองอยู่นานแล้วก็ร้องเรียกอย่างดีใจ
เมื่อถังฟั่นแน่ใจว่าตนเองมองไม่ผิดก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย “อี้ชิง?”
“อี้ชิงคารวะพี่ถัง!” ลู่หลิงซีตัวสูงกว่าเขา กระโจนทีเดียวถึงเบื้องหน้า ประสานมือคำนับถังฟั่น “อี้ชิงไม่ทำให้ผิดหวัง นำของส่งถึงเมืองหลวงโดยราบรื่น มอบให้วังกงกงเป็นธุระจัดการ คิดว่าพี่ถังคงคลี่คลายเรื่องราวในซูโจวเรียบร้อยแล้วกระมัง”
“ไม่ต้องมากพิธี ที่แท้คนรู้จักที่วังจื๋อพูดถึงก็คือเจ้า” ถังฟั่นหัวเราะฮาๆ ประคองอีกฝ่ายด้วยสองมือ ในใจเปี่ยมล้นด้วยความยินดีที่ได้เจอสหายเก่าในต่างแดน
ลู่หลิงซีทำงานคล่องแคล่ว ไหวพริบเฉียบคม ฝีมือแก่กล้า แม้ทั้งสองคลุกคลีไม่นาน แต่ในใจถังฟั่นกลับชื่นชอบหนุ่มน้อยคนนี้ยิ่งนัก ถึงขนาดยึดถืออีกฝ่ายเป็นน้องชาย ก่อนหน้านี้ลู่หลิงซีติดตามข้างกาย ถังฟั่นยังชี้แนะเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความเอื้ออาทรนี้ลู่หลิงซีย่อมสัมผัสได้เช่นกัน
“เป็นข้าเอง! พี่ถังไม่อยากเจอข้าหรือ” ลู่หลิงซีอมยิ้ม เรียวคิ้วและดวงตาโค้งๆ ชวนให้เอ็นดู
“อย่าทำเป็นได้คืบจะเอาศอก” ถังฟั่นตบศีรษะเขาหนึ่งที ท่าทีสนิทสนมยิ่ง
ลู่หลิงซีกุมศีรษะ เผยแววน้อยใจ ทว่าบนหน้ากลับพกพารอยยิ้มพริ้มพราย
ถังฟั่นเข้าด้านในพร้อมเขา ทางสีหมิงและพวกได้ล่วงหน้าเข้าไปจัดการเรื่องที่พักก่อนแล้ว
สี่คนที่วังจื๋อจัดให้ถังฟั่นนี้เก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง ช่วยแบ่งเบาภาระได้ไม่น้อย ตลอดทางมีหลายเรื่องที่ถังฟั่นเองยังคิดไม่ถึง พวกเขากลับคาดหมายได้ก่อนก้าวหนึ่ง ทั้งยังจัดการอย่างเรียบร้อย มีสี่คนนี้คอยช่วย การเดินทางครั้งนี้เขาจึงแทบไม่ต้องเปลืองสมองขบคิดอันใด
สีหมิงและพวกเป็นสามัญชนคนหยาบ ต่อมาถูกวังจื๋อต้องตาจึงรับเข้าสำนักประจิม หลังจากนั้นก็ติดตามข้างกายเขาด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด
ก่อนนี้ตอนที่วังจื๋ออยู่ต้าถงมิได้พาพวกเขาไปก็เป็นเพราะอยากให้พวกเขารักษาการณ์ที่สำนักประจิม คิดไม่ถึงวันหนึ่งเกิดคลื่นลมปรวนแปร สำนักประจิมถูกปิด สี่คนนี้จึงกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน ต่อมาวังจื๋อกลับเข้าวังหลวง พวกเขาทั้งสี่จึงได้รับการบรรจุเข้ากองทหารราชองครักษ์ เป็นหัวหน้าองครักษ์พิทักษ์เมือง
ครั้งนี้ถังฟั่นมาถึงเจียงซีเพื่อสืบคดีเคอจวี่ในฐานะขุนนางผู้แทนราชสำนัก ในเมื่อไม่มีองครักษ์เสื้อแพรติดตาม ย่อมมิอาจรุดไปตามลำพังให้เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน ดังนั้นตามระเบียบแล้วราชสำนักต้องจัดส่งผู้คุ้มกัน หนึ่งเพื่ออารักขาขุนนางผู้แทนราชสำนัก สองเพื่อเสริมสร้างสง่าราศีที่พึงมีของขุนนางผู้นั้น เลี่ยงมิให้ราชสำนักเสียหน้า
เพราะตระหนักในความสามารถของพวกสีหมิง วังจื๋อจึงให้พวกเขาติดตามถังฟั่นมาด้วย
ยอดฝีมือย่อมมีความหยิ่งทะนงของยอดฝีมือ แม้พวกสีหมิงไม่ปริปากและปฏิบัติตามคำสั่งของถังฟั่นด้วยดี แต่ถังฟั่นยังคงรู้สึกได้ว่าในใจพวกเขามิได้ยอมรับนับถือตนสักเท่าไร ทว่าถังฟั่นหาใส่ใจไม่ ทุกผู้คนล้วนมีความคิดของตนเอง จะแข็งขืนให้อีกฝ่ายน้อมฟังคำสั่งท่านจากก้นบึ้งหัวใจนั่นคงเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างจาบจ้วง แม้แต่องค์จักรพรรดิเองก็เกรงว่ายังทำไม่ได้เช่นกัน ยุคนี้มีคนแอบวิจารณ์โอรสสวรรค์ในใจออกถมไป ดังนั้นขอเพียงพวกสีหมิงรับฟังคำสั่ง ไม่กระทำสิ่งใดโดยพลการ ถังฟั่นก็พอใจมากแล้ว
แต่ที่ถังฟั่นไม่ทราบคือเหตุที่วังจื๋อให้พวกสีหมิงติดตามคุ้มกันเขา ความจริงยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง
ลู่หลิงซีเอ่ยขึ้น “วังกงกงบอกว่าช่วงนี้พบเห็นร่องรอยของลัทธิบัวขาวในเจียงซีบ่อยครั้ง องครักษ์เสื้อแพรได้รุดไปสืบค้นแล้ว แต่วังกงกงบอกว่าพี่ถังทำลายแผนการของลัทธิบัวขาวหลายครั้ง ถึงขนาดถล่มฐานที่มั่นของพวกมันในเผ่าต๋าต๋า หลายปีมานี้ขุมกำลังของลัทธิบัวขาวล้วนถูกกวาดล้างระเนระนาด ซึ่งในการนั้นเป็นความดีความชอบของท่านไม่น้อย ลัทธิบัวขาวต้องเกลียดท่านเข้ากระดูกเพราะเหตุนี้ ดังนั้นมีพวกสีหมิงอยู่อย่างน้อยสามารถคุ้มกันความปลอดภัยให้ท่านได้ ข้าฟังจบจึงขันอาสามา เพิ่มอีกคนหนึ่งเท่ากับมีหลักประกันมากขึ้น”
“ลัทธิบัวขาว?” ถังฟั่นประหลาดใจ
อันที่จริงตั้งแต่กลับจากต้าถงเขาไม่ได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว แต่ทุกสิ่งคล้ายอยู่ในความคาดหมาย
เพราะตอนอยู่เวยหนิงไห่จื่อ หลี่จื่อหลงโชคดีหนีรอดไปได้ จากนั้นไม่เห็นแม้เงา แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา คนผู้นี้มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ตรงข้ามกลับยังเฝ้ารอโอกาส หาทางกลับมาตะวันทอแสงอีกครั้ง และด้วย ‘คุณงามความดี’ ที่ถังฟั่นมีต่อลัทธิบัวขาว คะเนว่าคงถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อคู่แค้นของหลี่จื่อหลงอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่หลิงซีกล่าว “มิผิด ดังนั้นระวังไว้ก่อนเป็นดี ตั้งแต่วันนี้ข้าจะติดตามพี่ถังไม่ห่างแม้สักก้าว”
ถังฟั่นหลุดขำ “ไม่จำเป็นต้องวิตกปานนั้น ดวงชะตาฟ้าลิขิต ที่ควรมาย่อมหลบไม่พ้น ทุกวันนี้แม้ไม่อาจกล่าวว่าทุกคนล้วนกินอิ่มนอนอุ่น แต่โดยรวมแล้วถือว่าใต้หล้าร่มเย็น ไม่มีไฟสงครามปะทุทั่วสารทิศเหมือนกับช่วงปลายราชวงศ์หยวนนานแล้ว ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครอยากเข้าร่วมกับลัทธิบัวขาวหรอก ดังนั้นลัทธิบัวขาวจึงปราศจากผืนดินให้งอกงาม สาวกลัทธิยิ่งมายิ่งลดน้อย ตอนนี้พวกมันเหลือเพียงสาขาไม่กี่แห่ง ขอเพียงกำจัดพวกระดับสูงหลายคนในลัทธิบัวขาวให้สิ้นซาก ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีอันใดน่ากลัวแล้ว”
แม้กล่าวกับลู่หลิงซีเช่นนั้น แต่ถังฟั่นประหวัดถึงลัทธิบัวขาวที่ไม่เล่นตามกฎ กลอุบายผุดขึ้นไม่ขาด ในใจยังคงอดระแวงภัยขึ้นมามิได้
จริงอยู่ว่าอำนาจโดยรวมของลัทธิบัวขาวนับวันยิ่งถดถอย แต่ก็เพราะหนทางตีบตัน การตอบโต้ของพวกมันจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน เขายังจำได้ตอนนั้นสาวกลัทธิเรียกหลี่จื่อหลงว่าประมุขรอง เช่นนี้ก็หมายความว่าเหนือหลี่จื่อหลงขึ้นไปอาจยังมีประมุขใหญ่อีกคนหนึ่ง หากไม่อาจขุดคุ้ยคนเหล่านี้ออกมาย่อมกลายเป็นภัยแฝงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ว่าเมื่อใดจะโผล่ออกมาอีก
ลู่หลิงซีมิได้สังเกตเห็นรอยวิตกภายใต้เสียงหัวเราะอย่างปลอดโปร่งของถังฟั่น เพราะไม่เคยสู้รบตบมือกับลัทธิบัวขาวมาก่อนจึงไม่ทราบว่าลัทธินอกรีตนี้ตายยากตายเย็นปานใด ความฮึกเหิมของวัยหนุ่มบวกกับพลังยุทธ์แก่กล้าทำให้เขามีบุคลิกอันทระนงองอาจไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินอยู่เสมอ
“พี่ถัง ความจริงก่อนรุดมาสมทบกับท่าน ข้าไปเตร่ในเมืองจี๋อันมาแล้วรอบหนึ่ง”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ก็แปลว่าเจ้าสืบได้อะไรมาบ้างแล้ว?”
ลู่หลิงซีหัวเราะคิก ในสำเนียงยังเจือแววประจบที่อยากให้อีกฝ่ายประจักษ์ในความสามารถของตนเอง “แม้จะเป็นแค่ข่าวลือตามรายทาง แต่ก็ฟังมาได้ไม่น้อย พี่ถังอยากฟังหรือไม่”
ถึงแม้เอ่ยถามเช่นนั้น แต่คำว่า ‘รีบถามข้าเร็วเข้า’ กลับเขียนชัดอยู่บนหน้า ท่าทางจดจ่อรอคอย คล้ายลูกสุนัขแกว่งหางไปมา
ถังฟั่นสะกดความต้องการที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะเขา เพียงยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่พูด ข้าจะไปนอนแล้ว”
จากนั้นเห็นอีกฝ่ายหน้าม่อยคอตก ท่าทางห่อเหี่ยวซึมเซา เขาอดหัวเราะมิได้ “เอาเถอะ เจ้าเล่ามา ข้ารอฟังอยู่”
* พิธีสวมหมวก เป็นพิธีที่จัดให้ชายจีนที่อายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในสมัยโบราณ แสดงถึงการบรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่