ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย

ลู่หลิงซีย่อมไม่มีนิสัยขี้งอนเยี่ยงเด็กสาว พอได้ยินเช่นนั้นก็หน้าบานยิ้มแฉ่ง “ว่ากันว่าหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นที่พัวพันกับคดีนี้ความสัมพันธ์กับผู้คนย่ำแย่มาก สมัยที่เขายังอยู่หนานชัง ความสัมพันธ์กับสหายร่วมงานก็แสนธรรมดา เวลานี้มาคุมสอบในเมืองจี๋อัน แค่เวลาสั้นๆ ก็สร้างความไม่พอใจให้กับเบื้องบนเบื้องล่างของจี๋อันไปทั่ว เคล็ดวิชาล่วงเกินผู้อื่นช่างเหลือร้าย”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “อุปนิสัยของหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นคนนี้แย่มากจริงๆ คำเล่าลือนี้นับว่าไม่เท็จ”

ลู่หลิงซีแปลกใจ “ที่แท้พี่ถังก็เคยได้ฟังเรื่องของเขามาแล้ว?”

หน้าที่ความรับผิดชอบของหัวหน้ากองการศึกษาประจำมณฑลคือกำกับดูแลเกี่ยวกับการเรียนและการสอบเคอจวี่ของทั้งมณฑล

คนที่สามารถกำกับดูแลบัณฑิตทั้งมณฑลย่อมต้องเป็นขุนนางที่รอบรู้ลึกซึ้ง ดังนั้นบัณฑิตจิ้นซื่อทั่วไปไม่อาจเป็นได้ ต้องเป็นขุนนางที่มาจากสำนักราชบัณฑิตและมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เฉกเช่นถังฟั่น อนาคตก็สามารถเลือกเดินเส้นทางนี้ได้เช่นกัน จากนั้นค่อยเข้ากรมพิธีการ

เสิ่นคุนซิวเป็นชาวเมืองซีอัน สอบติดจิ้นซื่อในรัชศกจิ่งไท่ปีที่ห้า เขาสามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการศึกษามณฑลเจียงซีได้ วิชาความรู้ย่อมไม่อ่อนด้อย วงการปัญญาชนนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ว่าเล็กก็ไม่เล็ก ตั้งแต่เจียงหนานถึงเจียงเป่ย หากพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างโดยพื้นฐานแล้วทุกคนล้วนรู้จัก ทว่าเหตุที่เสิ่นคุนซิวโด่งดังกลับมิใช่เป็นเพราะวิชาความรู้ แต่เป็นเพราะอุปนิสัยของเขา

ในอดีตก็เคยเกิดเรื่องขึ้น ว่ากันว่าเสิ่นคุนซิวเมื่อแรกเข้าสำนักราชบัณฑิต มีอยู่วันหนึ่งทุกคนตั้งวงกันเขียนบทกวี เสิ่นคุนซิวไม่ชอบหน้าหลิ่วเผิงเฉิงบัณฑิตของสำนักราชบัณฑิตที่พึ่งพาอาศัยราชเลขาธิการสวีโหย่วเจิน จึงเขียนกลอนเสียดสีหลิ่วเผิงเฉิงในที่นั้น ทำเอาอีกฝ่ายโมโหจนสะบัดแขนเสื้อจากไป

ต่อมาเพราะสวีโหย่วเจินไม่ลงรอยกับพวกสือเฮิง โดนพวกเขาเตะออกจากเมืองหลวงไปเป็นขุนนางที่ก่วงตง การที่เสิ่นคุนซิวเขียนกลอนเสียดสีคนซึ่งพึ่งพาอาศัยสวีโหย่วเจินกลับทำให้เขาได้มาซึ่งนามอันสวยหรูว่าผู้ทรงคุณธรรม

หากเพียงเท่านี้ก็แล้วไปเถอะ แต่ข้อเท็จจริงพิสูจน์ว่าคนที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้ทรงคุณธรรมมักจะมีอุปนิสัยที่คนทั่วไปยากจะเข้าถึง หลังครบวาระในสำนักราชบัณฑิต เสิ่นคุนซิวไปต่อที่สำนักการศึกษา กรมพิธีการ ทว่าทุกหน่วยงานที่เหยียบย่างล้วนไม่ลงรอยกับสหายร่วมงานทั้งสิ้น กว่าจะออกมาได้ก็เหยียบตาปลาผู้คนในหน่วยงานนั้นๆ จนถ้วนทั่ว นานวันเข้าทุกคนจึงมอบฉายานามให้กับเสิ่นคุนซิวว่าเสิ่นก้อนหิน ความหมายคือนิสัยเขาทั้งเหม็นทั้งแข็งยิ่งกว่าก้อนหินในหลุมส้วมเสียอีก

สิ่งที่ถังฟั่นกลัวที่สุดก็คือการพบปะกับบุคคลเยี่ยงนี้ ถ้าเจอกับคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกอย่างเฉินหลวนยังพอจะสู้กันด้วยปัญญาและความกล้า แต่คนอย่างเสิ่นคุนซิวที่ปกติไม่คุยด้วยเหตุผลเพราะคิดว่าเหตุผลทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนเป็นของเขา ดังนั้นไม่กินอ่อนไม่กินแข็ง ดื้อรั้นดึงดันเป็นที่สุด

ถังฟั่นถาม “เจ้าได้สอบถามอะไรเกี่ยวกับคดีนี้บ้างหรือไม่”

ลู่หลิงซีตอบ “ชื่อเสียงของหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นในเจียงซีนับว่าไม่เลว ฟังว่ายังตั้งใจทำงานมากด้วย ในวงปัญญาชนให้คะแนนเขาค่อนข้างสูง พอเกิดคดีนี้ขึ้นมาจึงมีคนบอกว่าเขามีแค้นส่วนตัวกับผู้ตาย ยืมโอกาสแก้แค้น บางคนก็ว่าเขาวินิจฉัยคดีสะเพร่า แต่ก็มีบัณฑิตบางส่วนแก้ต่างแทนเขา บอกว่าเสิ่นคุนซิวไม่ใช่คนประเภทนั้น”

ถังฟั่นจับประเด็นหนึ่งออกมา “เขากับผู้ตายมีแค้นส่วนตัว นี่หมายความว่ากระไร”

“จริงด้วย เรื่องนี้ข้ากลับลืมเล่า ฟังว่าบัณฑิตที่แขวนคอตายคนนั้น บิดาเขาก็คือหลินเฝิงหยวน รองผู้พิพากษาเมืองจี๋อัน”

ถังฟั่นขมวดคิ้ว “เป็นลูกหลานขุนนางอีกด้วย?”

ซับซ้อนจริงๆ

“ใช่ ความแค้นระหว่างสองตระกูลนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่รุ่นก่อน ได้ยินว่าปีนั้นเสิ่นคุนซิวได้ที่หนึ่งในการสอบเซี่ยนซื่อ เดิมทีมีความหวังที่จะได้เสี่ยวซันหยวน* แต่คาดไม่ถึงว่าตอนเข้าสอบระดับย่วนซื่อบังเอิญถูกบิดาของหลินเฝิงหยวนที่เป็นหัวหน้ากองการศึกษาคัดข้อสอบของเขาออกไป นั่นทำให้เสิ่นคุนซิวต้องสอบใหม่อีกครั้ง ทั้งยังชวดที่จะได้เสี่ยวซันหยวนอีกด้วย สุดท้ายโชคชะตาหมุนวน คราวนี้กลายเป็นบุตรชายของหลินเฝิงหยวนมาเข้าสอบในสนามของเสิ่นคุนซิวบ้าง เมื่อเสิ่นคุนซิวรู้ว่าหลินเจินคือบุตรของหลินเฝิงหยวนก็ตื่นเต้นดีใจ หัวเราะฮาๆ บอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ จากนั้นก็จับทุจริตได้พอดี จึงตัดชื่อหลินเจินทิ้งไป และยังริบคืนตำแหน่งบัณฑิตของเขาด้วย ดังนั้นหลินเจินจึงอับอายจนแขวนคอตาย…เอ๊ะ พี่ถังไยทำหน้าเช่นนั้น”

ถังฟั่นปั้นหน้าพิลึก “เจ้ารู้กระทั่งเสิ่นคุนซิวหัวเราะฮาๆ และก็พูดอะไรบ้าง หรือตอนนั้นเจ้าได้เห็นได้ฟังอยู่ข้างตัวเขา?”

ลู่หลิงซีเกาศีรษะ หัวเราะเขิน “นี่เป็นชาวบ้านร้านตลาดเขาซุบซิบกัน ข้าก็แค่เล่าอย่างที่ฟังมา”

ถังฟั่นถลึงตาใส่ แม้ใช้น้ำเสียงตำหนิ กลับมิได้โกรธเคือง “เรื่องซุบซิบในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ไม่อาจถือเป็นจริงจัง หากข้าเชื่อแล้วนำมาประกอบการวินิจฉัยคดีคงได้เกิดความคิดอคติไม่มากก็น้อย”

ลู่หลิงซียิ้มละอาย “ข้าแค่อยากล้อเล่นกับท่านเท่านั้น แต่เรื่องที่เสิ่นคุนซิวกับบ้านสกุลหลินมีบุญคุณความแค้น ชาวบ้านชาวช่องต่างลือกันทั่ว ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน ท่านฟังแล้วเผื่อจะมีเบาะแสในใจ”

ถังฟั่นตบไหล่อีกฝ่าย ก่อนรินชาให้เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดี มิได้จะตำหนิเจ้า เจ้าเล่าต่อเถอะ”

ลู่หลิงซีเห็นรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากเขา พลันคึกคักขึ้นมา “บ้านสกุลเสิ่นกับบ้านสกุลหลินมีแค้นสามรุ่น ตอนนี้เสิ่นคุนซิวเป็นขุนนางขั้นสามเต็มขั้น หลินเฝิงหยวนเป็นแค่รองผู้พิพากษาเล็กๆ แต่บุตรชายของทั้งสองกลับแตกต่างสิ้นเชิง บุตรของเสิ่นคุนซิวคือคุณชายเจ้าสำราญ ประพฤติตนเหลวไหลทั้งยังเรียนแย่ ดังนั้นเสิ่นคุนซิวไปที่ใดจึงต้องหนีบเอาบุตรชายไปด้วยเพื่อคุมเข้มตลอดเวลา ส่วนบุตรของหลินเฝิงหยวนกลับเรียนเก่ง อายุสิบห้าสิบหกก็สอบได้ที่สองของการสอบย่วนซื่อ เสิ่นคุนซิวคับแค้นใจ รู้สึกตนเองสู้คนอื่นไม่ได้ ครานี้จึงลงมืออำมหิตกับบุตรชายผู้อื่น”

ถังฟั่นกระตุกมุมปาก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นี่มันอะไรกับอะไรกัน คนที่แต่งเรื่องพวกนี้ช่างไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว หากเสิ่นคุนซิวที่นิสัยเช่นนั้นทราบเข้า คะเนว่าคงได้โมโหตาย

เขาสั่นหน้าไปมา “ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้รอให้ถึงเมืองจี๋อันก่อนค่อยว่ากัน ครู่นี้เจ้าบอกว่ามีร่องรอยขององครักษ์เสื้อแพรในเจียงซี?”

ลู่หลิงซีกล่าว “ใช่ ข้าได้ยินวังกงกงบอก หลังมาเจียงซีก็เจอไม่ต่ำกว่าหนึ่งกลุ่มแล้ว เมืองเจี้ยนชังก็มี พวกเขาล้วนแต่งชุดลำลอง แต่คนที่มีวิชายุทธ์ย่อมมองออก บวกกับพวกเขาบุคลิกไม่เหมือนชาวยุทธ์ทั่วไป ข้าเดาว่าต้องเป็นองครักษ์เสื้อแพรแน่นอน”

ถังฟั่นรวนเรเล็กน้อย “แล้วเจ้าได้เจอสุยโจวหรือไม่”

“สุยโจว? ผู้บังคับการสุยแห่งกองปราบฝ่ายเหนือน่ะหรือ”

“ใช่”

“ไม่เจอ ได้ยินชื่อเสียงมานาน เสียดายไม่เคยพานพบ ว่ากันว่าเขาฝีมือสูงส่ง มีโอกาสต้องขอคำชี้แนะสักครา”

ถังฟั่นรำพึงในใจ คราวก่อนเขาได้รับคำสั่งตนให้ไปขอความช่วยเหลือจากสาขาองครักษ์เสื้อแพรในซูโจว สุดท้ายที่ได้มาก็คือสุยโจวที่แปลงชื่อเป็นตี๋หาน ดีไม่ดีพวกเขาสองคนอาจเจอหน้ากันแล้ว เพียงแต่ลู่หลิงซีไม่รู้จักเท่านั้นเอง คิดแล้วให้รู้สึกตลกดี

ลู่หลิงซีสำรวจสีหน้าวาจา อดถามมิได้ “พี่ถัง ท่านมีธุระกับผู้บังคับการสุยหรือ ต้องให้ข้าไปสอบถามให้หรือไม่”

ถังฟั่นส่ายหน้า “ไม่ต้อง ข้าแค่ถามไปอย่างนั้นเอง ฟังจากที่เจ้าเล่ามา ดูท่าภารกิจคราวนี้คงไม่สบายเท่าไร”

“ท่านเป็นห่วงว่าลัทธิบัวขาวจะฉวยโอกาสก่อกวน?”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ไม่ใช่หรอก เดิมเสิ่นคุนซิวคนนี้ก็คบยากอยู่แล้ว ด้วยนิสัยของเขา การจัดการเรื่องนี้คงต้องแข็งกร้าวถึงที่สุด และเขาก็พอมีชื่อเสียงในหมู่บัณฑิตอยู่บ้าง ข้าจึงไม่อาจใช้ไม้แข็งกับเขา แต่ข้าคะเนว่าตอนนี้ไม่ใช่แต่ข้าที่ปวดหัว เจ้าเมืองจี๋อันเองก็คงปวดหัวมากเช่นกัน อย่างไรก็เป็นคดีที่เกิดในพื้นที่ใต้ปกครองของเขา คนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา คนหนึ่งเป็นผู้ใต้บัญชา ไม่รู้จะวางตัวอย่างไร”

ลู่หลิงซีก็พลอยยิ้ม “จริงด้วย ผู้คนล้วนกล่าวว่าตำแหน่งเจ้าเมืองจี๋อันนี้ไม่เป็นสิริมงคล ดวงไม่สมพงศ์กับดาราบนฟ้า ดังนั้นคนที่แล้วโชคร้าย คนปัจจุบันก็โชคร้ายอีก”

เกี่ยวกับเรื่องซุบซิบ รับรองชาวบ้านร้านตลาดมีไม่น้อยไปกว่าในวงขุนนาง หนำซ้ำพวกชาวบ้านมักชอบจับนั่นมาโยงนี่ เพิ่มสีสันให้ดูลึกลับซับซ้อน อย่างเช่นคดีสุสานจักรพรรดิโบราณที่ลั่วเหอ เพราะชาวบ้านในท้องที่ไม่กระจ่างข้อเท็จจริง บวกกับสาวกลัทธิบัวขาวจงใจสร้างข่าวโคมลอย จึงพากันเข้าใจว่าเป็นเพราะเทพแม่น้ำพิโรธ

ถังฟั่นแม้ไม่คิดว่าข่าวสารเหล่านี้มีคุณค่าอันใด แต่ฟังไว้ไม่เสียหาย

“คนที่แล้วก็โชคร้ายหรือ อย่างไรกัน”

ลู่หลิงซีจึงเล่า “เจ้าเมืองจี๋อันคนก่อนชื่อหวงจิ่งหลง ได้ยินว่าหลายปีก่อนเป็นเพราะทารุณนักโทษ ใส่ความคนดี จับชาวบ้านที่ไร้ความผิดไปทรมานจนตายคาห้องขัง หลังเกิดเรื่องจึงถูกราชสำนักสั่งปลดและจับกุมตัว เสียชีวิตไปแล้ว ส่วนคนปัจจุบันนี้ก็เจอตอเหมือนกัน เห็นได้ว่าแต่ละปีดวงล้วนตกในช่วงอัปมงคล ตอนข้าไปจี๋อันพอดีตรงกับวันประสูติเทพเจ้ากวนอู ได้ยินว่าเจ้าเมืองยังเชิญคนมาทำพิธีระบำมหาเทพในจวนเจ้าเมืองอีกด้วย”

เมื่อก่อนเขาพเนจรทั่วทิศ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับเรื่องราวในแวดวงขุนนางเหล่านี้ ทุกวันนี้อยู่ข้างกายถังฟั่นนานเข้า ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวสารพัด มุมมองที่มีต่อโลกยิ่งกว้างไกล

ที่แท้บรรดาขุนนางที่สอบติดจิ้นซื่อโดยอาศัยความรู้ก็มิได้เก่งกล้าสามารถหรือมีคุณธรรมสูงส่งกันทุกคน ที่เป็นเช่นพวกเฉินหลวนหรือหยางจี้ก็มีไม่น้อย เฉกเช่นเจ้าเมืองจี๋อันยิ่งดาษดื่น หนำซ้ำเมื่อมองสูงขึ้นไปจะพบว่าการขับเคี่ยวของด้านบนยิ่งดุเดือดกว่า

ที่แท้จักรพรรดิบีบคั้นเหล่าขุนนาง เหล่าขุนนางก็หลอกใช้จักรพรรดิ ทุกคนสู้กันด้วยสติปัญญาและความกล้า ใช้อุบายร้อยแปด พลั้งเผลอเพียงนิดเหยียบถูกกับดักผู้อื่น ความตายกรายศีรษะยังไม่รู้ตัว แต่พวกที่ดูสงบเสงี่ยมสำรวมตนก็ใช่ว่าจะตกเป็นรอง อาจกำลังแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ** อยู่ก็เป็นได้

ก็เหมือนครั้งก่อนที่ถังฟั่นไหว้วานเขานำของไปส่งที่เมืองหลวง เขาร้อนใจดั่งไฟสุม อยากจะเข้าพบไหวเอินหรือวังจื๋อให้ได้โดยเร็วเพื่อช่วยถังฟั่นจากสถานการณ์ยุ่งยาก แต่แล้วความผันผวนระลอกใหญ่ที่ตามหลังมาถึงกับทำให้เขาทัศนาจนลานตาไปหมด

จวบจนซั่งหมิงเสียอำนาจ สำนักบูรพาเปลี่ยนเจ้าของ เขาถึงพบว่าตนเองคล้ายได้ความรู้เพิ่มเติมเป็นกอง

ต่อให้การเสียอำนาจของซั่งหมิงไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับถังฟั่น แต่ก็มิอาจไม่กล่าวว่านี่เป็นผลพวงจากการเกาะกุมโอกาสงามและกระพือคลื่นลมของเขา

หากเวลานี้ถังฟั่นเป็นราชเลขาธิการสภาขุนนาง วิธีการเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแปลกใหม่ แต่เวลานั้นเขากลับเป็นแค่ผู้ตรวจการขั้นสี่ ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจเมืองหลวง ยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้แม่นยำปานนี้ นี่ชวนให้ผู้คนอดจะยอมรับนับถือไม่ได้

ดังนั้นเมื่อลู่หลิงซีเห็นพวกสีหมิงติดจะวางท่าเล็กน้อยขณะอยู่ต่อหน้าถังฟั่นจึงมักประหวัดถึงครั้งแรกที่ตนอยู่ข้างกายถังฟั่นเสมอ หากก็มิได้ไปเปิดโปง เพียงฮึดฮัดในใจ

ตอนนี้พวกเจ้าทำวางมาดไปเถอะ เดี๋ยวถึงเจียงซีเมื่อไรจะได้เบิกตาด้วยความทึ่ง!

ถังฟั่นมิได้ไปสนใจความคิดของลู่หลิงซี ลู่หลิงซีมองความอัปมงคลของตำแหน่งเจ้าเมืองจี๋อันเป็นเรื่องชวนหัว ถังฟั่นกลับครุ่นคะนึงถึงเรื่องของหวงจิ่งหลงอดีตเจ้าเมืองจี๋อัน

คดีนี้เป็นคดีที่สุยโจวจัดการเองกับมือ และเพราะต่อมาหวงจิ่งหลงเสียชีวิตในห้องขัง ดังนั้นเขาจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ

เพราะการตายของหวงจิ่งหลง คดีจึงไม่อาจแล้วเสร็จ กลับทิ้งปริศนาไว้ไม่น้อย

ตอนนี้ดูแล้วอาจเป็นลิขิตสวรรค์อันลี้ลับ เริ่มจากมีเหตุ ต่อมาจึงมีผล เมืองจี๋อันแห่งนี้มีสิ่งที่ควรค่าแก่การวิเคราะห์เจาะลึกอยู่มากมายจริงๆ

และสายสนกลในเหล่านี้เกรงว่าต้องรอจนถังฟั่นบรรลุถึง จึงสามารถไปสืบสอบทีละปมได้

 

* เสี่ยวซันหยวน หมายถึงคนที่สอบได้ที่หนึ่งทั้งสามสนามสอบ คือเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อ ย่วนซื่อ

** แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนที่แท้จริงมีอำนาจยิ่งใหญ่หรือมีความสามารถ แต่แสร้งทำตัวเซ่อซ่าให้ผู้อื่นหลงกล เพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com