everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย
หลังสมทบกับลู่หลิงซี คณะเดินทางหยุดพักแรมในเมืองเจี้ยนชัง อีกด้านหนึ่งถังฟั่นได้ส่งคนล่วงหน้าไปก่อนเพื่อแจ้งต่อเจ้าเมืองจี๋อัน
ขุนนางผู้แทนราชสำนักออกเดินทาง จุดที่ผ่านล้วนมีหนังสือแจ้งข่าว คิดจะอำพรางร่องรอยใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ค่อนข้างยุ่งยากและหามีความจำเป็นไม่ ครานี้ถังฟั่นไปสืบคดีอย่างเปิดเผยโปร่งใส มิได้ย่ำเยือนเป็นการส่วนตัว ย่อมไม่มีเรื่องที่มิอาจบอกกล่าวผู้คน
ขุนนางเมืองเจี้ยนชังได้ยินว่าถังฟั่นมาแล้วจึงเร่งรุดมาคำนับถึงบ้านพักรับรอง ขุนนางท้องถิ่นเหล่านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางผู้แทนราชสำนักอย่างถังฟั่น มักบังเกิดความเคารพเลื่อมใสที่บรรยายไม่ถูกชนิดหนึ่ง หากสามารถฉวยโอกาสนี้ผูกไมตรีสักนิด กอดต้นขาสักหน่อย ย่อมประเสริฐที่สุด
ทว่ากอดต้นขายังต้องดูซ้ายดูขวาด้วย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่กินเส้นกับกลุ่มอำนาจวั่นและออกมาทำคดีนอกเมืองหลวง เกรงว่าทุกคนจะหลบหน้าหนีหายแทบไม่ทัน ไหนเลยยังจะเข้ามาสอพลอคลอเคลีย
ทว่าถังฟั่นไม่เหมือนกัน แม้เขาปะทะกับกลุ่มอำนาจวั่นหลายหน เส้นทางรับราชการระหกระเหิน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้จักรพรรดิกลับยังคงไม่อาจไม่ใช้สอยเขา ตรงข้ามกลับเป็นเพราะการงัดข้อกับกลุ่มอำนาจวั่น สุดท้ายพลิกเคราะห์เป็นโชคเสมอ และเพราะไขคดีสำเร็จติดต่อกัน ชื่อเสียงของเขายิ่งมายิ่งขจรขจาย ทุกแห่งที่ย่ำผ่าน หากมีธงขุนนางผู้แทนราชสำนักนำทาง ไม่เพียงปัญญาชนชั้นแนวหน้าจะรุดมาคารวะ กระทั่งขุนนางท้องถิ่นยังรุดมาชื่นชมบารมี หมายสร้างไมตรีอันดีกับถังฟั่น
เฉกเช่นครานี้ คดีซูโจวคลี่คลาย ไม่เพียงเฉินหลวน หยางจี้ และคนอื่นๆ ตกม้า แม้แต่สำนักบูรพาก็พลอยดับรัศมีไปด้วย คิดถึงเมื่อครั้งซั่งหมิงผู้บัญชาการสำนักบูรพายังเรืองอำนาจ วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว เวลานี้มิใช่กระเด็นจากเมืองหลวงไปกวาดพื้นในสุสานหลวงแล้วหรอกหรือ
คนตาแหลมมีหรือจะไม่โยงความสัมพันธ์เรื่องซั่งหมิงตกเวทีกับถังฟั่นสืบคดีเฉินหลวนเข้าด้วยกัน ลึกๆ แล้วใครบ้างไม่คิดว่าถังฟั่นมีฝีมือล้ำเลิศ วิธีการเฉียบคม
สามารถครองความได้เปรียบต่อกลุ่มอำนาจวั่น นี่ไม่เรียกฝีมือแล้วจะเรียกอันใด
ดังนั้นแม้ถังฟั่นพยายามหลีกเลี่ยงการสมาคมอย่างเต็มที่ แต่ผู้เยี่ยมคารวะยังคงทยอยมาไม่ขาดสาย ไม่เพียงขุนนางเมืองเจี้ยนชัง กระทั่งผู้ว่าการมณฑลเจียงซีและตุลาการล้วนส่งคนมาคารวะทักทาย
บางคนมิอาจไม่พบ มิฉะนั้นอาจทิ้งความทรงจำในเชิงเย่อหยิ่งจองหองแก่ผู้อื่นได้ง่าย ดังนั้นถึงแม้ไม่ชอบความยุ่งยากเหล่านี้ แต่ถังฟั่นยังคงสิ้นเปลืองเวลาสองวันไปกับการต้อนรับขับสู้บรรดาเทพเซียนทั่วสารทิศ
สองวันให้หลังเขานำลู่หลิงซีและพวกสีหมิงเดินทางถึงอำเภอหลูหลิงในเมืองจี๋อัน เจ้าเมืองจี๋อันพร้อมด้วยนายอำเภอหลูหลิงและขุนนางอีกจำนวนหนึ่งซึ่งทราบข่าวนานแล้วได้มารอต้อนรับอยู่ที่จุดพักม้านอกเมือง
เมื่อถังฟั่นมองเห็นนายอำเภอหลูหลิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฟั่นเยวี่ยเจิ้งเจ้าเมืองจี๋อัน พลันอดตะลึงลานมิได้
นับขึ้นมาจริงๆ ถังฟั่นกับอีกฝ่ายไม่เจอกันห้าหกปีแล้ว ทว่าเมื่อเห็นใบหน้านั้น ความทรงจำอันคุ้นเคยก็ผุดขึ้นในทันที
อีกฝ่ายต้องทราบแต่แรกแน่ว่าผู้มาคือถังฟั่น ดังนั้นมิได้เผยสีหน้าตกใจเช่นถังฟั่น แต่แย้มยิ้มเมื่อเห็นเขา
ฟั่นเยวี่ยเจิ้งสายตาแหลมคม สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติที่ถังฟั่นมีต่อนายอำเภอหลูหลิงจึงรีบยิ้มถาม “ใต้เท้ากับนายอำเภอจี๋เป็นสหายเก่า?”
ถังฟั่นยิ้มน้อยๆ “ไหนเลยแค่สหายเก่า พี่จื่อหมิงกับข้าเป็นสหายรักที่สนิทกันมาก เพียงแต่ต่อมาเขาอำลาเมืองหลวงจึงขาดการติดต่อ ใครจะคิดว่าพันลี้ไกลสุดหล้า วาสนาพาบรรจบ พี่จื่อหมิง ท่านว่าใช่หรือไม่”
ได้ยินชื่อรองของตนถูกขานเรียก จี๋หมิ่นขึ้นหน้าครึ่งก้าว ประสานมือคำนับ “ผู้น้อยนายอำเภอหลูหลิงคารวะใต้เท้าถัง”
ถังฟั่นประคองสองบ่า ไม่ยอมให้เขาค้อมเอวลงไป ปากยังติติง “ไยต้องมากพิธี”
จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “สหายส่วนสหาย มิอาจละเลยส่วนรวมด้วยเรื่องส่วนตัว ใต้เท้าโปรดอย่าได้ยับยั้ง”
แม้กล่าวเช่นนั้น น้ำเสียงกลับปราศจากแววห่างเหิน ถังฟั่นค่อยคลายใจ ทราบว่าเขาไม่อยากเป็นที่ครหาของผู้อื่น
สหายรักเก่าก่อนพบหน้าอีกครา ถึงมีวาจามากมายใคร่กล่าว หากเพราะสถานการณ์ไม่เหมาะสม ได้แต่ระงับความรู้สึกชั่วคราว ถังฟั่นส่งสายตาเชิงขออภัยให้เขาแวบหนึ่ง
จี๋หมิ่นคล้ายกระจ่างว่าเขาจะกล่าวอันใดจึงผงกศีรษะให้ถังฟั่นเล็กน้อย แววตายิ้มพรายเฉกเช่นอดีต
คนที่มารอต้อนรับพร้อมกับฟั่นเยวี่ยเจิ้งค่อนข้างหนาตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางของเมืองจี๋อันและคหบดีท้องถิ่น เปรียบเทียบกันแล้วจี๋หมิ่นที่เป็นนายอำเภอหลูหลิงจึงไม่ค่อยสะดุดตานัก
ท่ามกลางผู้คนมากหน้าหลายตากลับไม่ปรากฏเงาร่างของเสิ่นคุนซิว นี่แน่นอนอยู่แล้ว เสิ่นคุนซิวเป็นถึงหัวหน้ากองการศึกษาขั้นสามย่อมไม่จำเป็นต้องลดเกียรติมาเอาใจถังฟั่น แม้บนตัวถังฟั่นยังมีรัศมีแห่งผู้แทนราชสำนักล้อมรอบอยู่หนึ่งชั้น หากเสิ่นคุนซิวจะรุดมาต้อนรับด้วยตนเองก็คงไม่มีใครพูดอันใด แต่ด้วยนิสัยของเขาต้องไม่กระทำเรื่องทำนองนี้แน่นอน
ทว่าหลังฟั่นเยวี่ยเจิ้งแนะนำบุคคลสำคัญต่างๆ ในที่นั้นทีละคนเสร็จก็ชี้ไปที่บุรุษหนุ่มคนหนึ่ง บอกกับถังฟั่นว่า “ท่านนี้คือบุตรชายของใต้เท้าหัวหน้ากองการศึกษา”
อะไรนะ
บุตรชายของเสิ่นคุนซิว?
ถังฟั่นนึกว่าหูตนเองมีปัญหา
ขณะตะลึงงัน อีกฝ่ายได้โค้งคำนับถังฟั่น “ผู้ด้อยสามารถเสิ่นซือคารวะใต้เท้าถัง”
อันที่จริงจากเครื่องแต่งกายของคนผู้หนึ่ง ส่วนใหญ่สามารถดูออกถึงอุปนิสัยของเจ้าตัวได้ ตัวอย่างเช่นสีเสื้อผ้าของสุยโจวก็ดี รูปแบบหรือเนื้อผ้าก็ดี มักให้ความรู้สึกเคร่งขรึมจริงจังแก่ผู้พบเห็น นี่ยังเกี่ยวข้องกับบุคลิกในการทำงานของเขาอีกด้วย
ส่วนคุณชายเสิ่นผู้นี้เหนือศีรษะสวมหมวกโพกหัวสีเข้ม ด้านบนยังกลัดด้วยหยกเลี่ยมทองขนาดใหญ่ยักษ์ ที่สวมอยู่บนร่างคือเสื้อคลุมยาวผ้าไหมซูโจวสีน้ำตาลอมม่วง ด้านข้างห้อยห่วงหยกเหลืองเป็นพวง แม้แต่สายรัดเอวก็ปักลายเมฆห้าสีสดใส เปล่งประกายแพรวพราวไปทั้งตัว
นี่แทบ…ชวนให้ไม่กล้ามองตรงๆ
หรือตัวเสิ่นคุนซิวเองไม่สะดวกมาจึงส่งบุตรชายมาแทน?
แต่นี่มันความชมชอบประเภทใดกัน
เสิ่นคุนซิวชั่วดีก็เป็นถึงหัวหน้ากองการศึกษาขั้นสาม ความชมชอบสมควรใกล้เคียงพวกปัญญาชนที่สุภาพสง่างามถึงจะถูก ไฉนสอนบุตรชายออกมากลับกลายเป็นโดดเด่นไม่ซ้ำใครได้เล่า
ถังฟั่นมีความสุขุมลุ่มลึก มาตรว่าตะลึงตาค้างหากก็แค่พริบตาสั้นๆ แล้วกลับคืนปกติทันที ยิ้มพลางคำนับตอบ “คุณชายเสิ่น ไม่ทราบหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่นสบายดีหรือไม่”
เสิ่นซือหัวเราะฮาๆ กล่าวตอบอย่างขอไปที “ไม่สู้ดีนัก ระยะนี้เขาหงุดหงิดง่าย ทำเอาข้าทนอยู่ในบ้านไม่ได้ถึงต้องวิ่งออกมาที่นี่”
ถังฟั่นผงะนิดหนึ่งค่อยยิ้มกล่าว “พรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปเยี่ยมคารวะหัวหน้ากองการศึกษาเสิ่น รบกวนคุณชายเสิ่นช่วยเรียนท่านด้วย”
เสิ่นซือผงกศีรษะอย่างขอไปที ก็ไม่ทราบสดับเข้าหูหรือไม่
พูดคุยเพียงไม่กี่คำถังฟั่นก็กระจ่างแล้ว ที่เสิ่นซือปรากฏตัวที่นี่ต้องมิใช่ความคิดของเสิ่นคุนซิวแน่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าด้วยนิสัยของเสิ่นคุนซิว ตนเองยังไม่ทันหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาในคดีคนตาย แล้วจะให้บุตรชายวิ่งมาต้อนรับผู้แทนราชสำนักถึงที่นี่ได้อย่างไร ถึงแม้ต่อให้เสิ่นคุนซิวเห็นแก่หน้าถังฟั่น ส่งบุตรชายมาทักทายแทนตนเอง ก็คงไม่มีวันส่งบุคคลที่เสมือนสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมา
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถังฟั่นไม่ทราบจะต่อบทสนทนากับผู้อื่นอย่างไร เจ้าเมืองฟั่นที่อยู่ทางด้านข้างคล้ายสัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของเขา รีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ “ใต้เท้าถัง ผู้น้อยจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อท่านโดยเฉพาะ ใต้เท้าโปรดให้เกียรติ”
คราวนี้ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่อื่น ถังฟั่นมิได้บ่ายเบี่ยง เขาอมยิ้มพยักหน้า “เช่นนั้นต้องรบกวนท่านเจ้าเมืองแล้ว”
ฟั่นเยวี่ยเจิ้งเห็นเขากล่าวเช่นนั้น รอยยิ้มยิ่งจริงใจขึ้นหลายส่วน “ใต้เท้า เชิญ”
คนรุดมาต้อนรับเป็นกองพะเนิน หากความเป็นจริงเมื่อถึงร้านอาหาร พวกคหบดีล้วนถูกจัดให้นั่งอยู่ด้านนอก สุดท้ายที่สามารถเข้าไปร่วมโต๊ะกับถังฟั่นในห้องส่วนตัวจึงมีอยู่ไม่กี่คน
อาศัยบารมีของถังฟั่น จี๋หมิ่นซึ่งเป็นแค่นายอำเภอหลูหลิงจึงได้รับมาหนึ่งเก้าอี้
นอกจากนั้นยังมีฟั่นเยวี่ยเจิ้งเจ้าเมืองจี๋อัน ซุนอวี้รองเจ้าเมือง เสิ่นซือบุตรชายเสิ่นคุนซิว รวมทั้งสวีปินพ่อค้าเกลือ และฟางฮุ่ยเสวียพ่อค้าผ้า
เพราะเหตุนี้สวีปินแลดูไม่พอใจนัก แต่ก็มิได้กล่าวอันใด
นี่ชวนให้ถังฟั่นรู้สึกสนใจฟางฮุ่ยเสวียขึ้นมา
พ่อค้าสามารถร่วมโต๊ะกับขุนนาง และยังได้นั่งติดกับถังฟั่น แน่นอนย่อมมิใช่พ่อค้าทั่วไป
หลังการแนะนำของฟั่นเยวี่ยเจิ้ง ถังฟั่นจึงทราบ ความจริงแล้วสวีปินมีกรณีพิพาทกับขุนนางคนหนึ่งในหนานจิง และธิดาของฟางฮุ่ยเสวียเป็นจี้ซื่อ* ของผู้ว่าการมณฑลนี้
สวีปินนั่นแล้วไปเถอะ ฟางฮุ่ยเสวียวัยสี่สิบเศษ เครายาวห้ากระจุก บุคลิกภูมิฐาน ไม่คล้ายคนค้าขาย กลับคล้ายบัณฑิต บันดาลให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจ แต่พิจารณาจากจุดนี้อายุของบุตรีเขาก็ไม่น่าเกินยี่สิบ เทียบกับวัยของผู้ตรวจการมณฑลเจียงซี ถังฟั่นแอบส่ายหน้าในใจ ไม่อยากวิจารณ์
เจ้าเมืองฟั่นพอจะมองออกว่าถังฟั่นไม่สนใจสองคนนี้เท่าไร ก็นึกว่าเขาเป็นโรคเดียวกับขุนนางอื่นๆ ที่ดูแคลนพวกพ่อค้า จึงจงใจกล่าวเสริมอีกสองสามคำขณะแนะนำว่า “ใต้เท้ายังไม่ทราบ พี่ฟางท่านนี้ได้รับการขนานนามว่าพ่อพระฟาง นอกจากประกอบกิจการค้าจนมั่งคั่งยังประกอบความดีใหญ่หลวงให้แก่เมืองนี้ ไม่ว่าจะซ่อมสะพานปูถนน บรรเทาทุกข์ภัยชาวบ้าน ตั้งโรงแจกโจ๊ก พี่ฟางล้วนยื่นมือช่วยเสมอ ในอดีตครั้งเผิงสือเกษียณราชการกลับบ้านเดิม ได้ทราบถึงพฤติการณ์เชิดชูคุณธรรมของพี่ฟาง ยังตวัดพู่กันเขียนคำ ‘กู้ภัยเกื้อชน’ มอบให้เขา ทุกวันนี้แผ่นป้ายยังแขวนอยู่ในโถงใหญ่ของบ้านสกุลฟางอยู่เลย”
ที่แท้เป็นเช่นนี้ ถังฟั่นรำพึงในใจ
* จี้ซื่อ หมายถึงภรรยาคนปัจจุบันที่ขึ้นมาแทนภรรยาคนเก่าซึ่งเสียชีวิตไป