ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย

เผิงหวาสือคือขุนนางอาวุโสสามแผ่นดิน บารมีสูงส่ง ต้นดีปลายดี เป็นชาวอำเภอหลูหลิงมณฑลเจียงซี มาตรว่าเสียชีวิตมานานหลายปี แต่คนพื้นที่ยังให้ความเคารพเทิดทูนเสมอ สามารถได้รับหนังสือลายมือของเผิงสือ มิน่าค่าตัวฟางฮุ่ยเสวียจึงพุ่งพรวด ทุกวันนี้ยังกลายเป็นพ่อตาของผู้ว่าการมณฑลนี้ แน่นอนว่าแม้แต่รองเจ้าเมืองยังต้องให้ความยำเกรงสามส่วน

เขายิ้มน้อยๆ “สามารถได้รับการชื่นชมจากเผิงสือย่อมมิใช่ชนชั้นสามัญ วันใดคงต้องรุดไปขอชมดูแผ่นป้ายนั้นเสียแล้ว ถึงเวลานั้นพ่อพระฟางอย่าได้ไล่ข้าออกมาก็พอ”

ฟางฮุ่ยเสวียรีบกล่าว “นี่เป็นเพราะใต้เท้าเจ้าเมืองให้ความเมตตา ข้าน้อยมิบังอาจน้อมรับ หากใต้เท้ายินดีรุดไปชมดูย่อมถือเป็นเกียรติแก่บ้านสกุลฟางแล้ว”

หลายคนเจรจาพาทีได้สักพัก เจ้าเมืองฟั่นจึงสั่งคนนำอาหารขึ้นโต๊ะพลางกล่าว “ผู้น้อยทราบว่าใต้เท้ารุดมาครานี้เพื่อตรวจสอบคดีเคอจวี่จึงมิกล้ารบกวนเกินควร ดังนั้นได้เตรียมห้องพักในบ้านพักรับรองไว้ให้ใต้เท้าพักอยู่เรียบร้อยแล้ว หลังจากวันนี้หากใต้เท้ามีคำสั่ง เพียงส่งคนมาแจ้งคำหนึ่ง ผู้น้อยจะเร่งไปพบทันที”

ถังฟั่นโบกมือไปมา “อาหารโอชารสอยู่ตรงหน้า สนทนาการงานออกจะทำลายบรรยากาศเกินไป มิสู้รื่นรมย์ให้เต็มที่ เรื่องอื่นใดไว้ว่ากล่าวหลังวันนี้ก็ไม่สาย”

เจ้าเมืองฟั่นไม่อยากให้เขาพูดถึงเรื่องงานใจจะขาด พอฟังก็แย้มยิ้ม “ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง เช่นนั้นผู้น้อยขอคารวะท่านก่อนหนึ่งจอก”

สุราผ่านสามรอบ บรรยากาศงานเลี้ยงเริ่มคึกคักขึ้นมา เพราะถังฟั่นไม่ยอมรับการคารวะสุราจากผู้ใดอีก เพียงให้ทุกคนตามสบาย คนอื่นๆ เห็นเขาสนใจเสพอาหารมากกว่าเสพสุราก็พลอยวางจอก เปลี่ยนมาแนะนำข้าวปลาอาหารบนโต๊ะ

ซุนอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเพิ่งมาจากซูโจว คงกินจนถ้วนทั่วแล้ว ทว่าท่านอย่าเห็นเจียงซีของพวกเราอ่อนด้อยกว่าทางซูโจวและหังโจวเป็นอันขาด หากกล่าวถึงอาหารการกินก็มีไม่น้อยที่เป็นหน้าเป็นตา และเป็นสิ่งที่ทางซูโจวหังโจวไม่มีอีกด้วย อย่างเช่นปลาชิวลอดเต้าหู้จานนี้ต้องใช้กระดูกตุ๋นน้ำแกงก่อนเจ็ดแปดชั่วยาม จากนั้นตักออกมาวางให้เย็นค่อยนำเต้าหู้ทั้งก้อนและปลาชิวใส่ในน้ำแกง ตั้งบนเตาไฟ เมื่อน้ำแกงร้อนปลาชิวก็จะพยายามมุดเข้าไปในเต้าหู้ รอจนได้ที่ เต้าหู้และปลาชิวสุกจนทั่ว รสชาติสองชนิดก็จะผสมผสานเข้าด้วยกัน ในความหอมนุ่มของเต้าหู้ยังเคล้าความสดของปลาชิว อร่อยอย่าบอกใครเชียว”

อีกฝ่ายสาธยายอย่างกระตือรือร้นปานนี้ ถังฟั่นย่อมต้องให้กำลังใจ เขาตักเต้าหู้วางในชาม ก้มหน้าชิมคำหนึ่งก่อนพยักหน้าชมเชย “อร่อยล้ำจริงๆ”

ซุนอวี้ไม่เพียงแนะนำอาหารให้ถังฟั่น ยิ่งหวังหยิบยืมโอกาสนี้สร้างความประทับใจต่อถังฟั่น

เขามีสหายร่วมวัยหลายคนรับราชการในเมืองหลวง มักส่งข่าวถึงกันเสมอ ซุนอวี้จึงล่วงรู้จากปากสหายคนหนึ่ง กรมทหารของพวกเขามีขุนนางจัดการคนหนึ่งแซ่เวิง เริ่มแรกเป็นแค่นายอำเภอในพื้นที่เล็กๆ เพราะเคยช่วยถังฟั่นทำคดี ความสามารถโดดเด่น มีความรู้กว้างขวาง ด้วยเหตุนี้หลังจากเป็นนายอำเภอครบวาระจึงย้ายเข้าไปเป็นขุนนางจัดการในกรม

หกกรมในเมืองหลวงมิใช่จะอิ่มหนำสำราญกันทุกกรม ค่าน้ำร้อนน้ำชาของบางหน่วยงานยังเทียบไม่ได้กับหน่วยงานท้องถิ่นเล็กๆ ด้วยซ้ำ แต่สถานะของหน่วยงานส่วนกลางกับหน่วยงานท้องถิ่นจะอย่างไรก็มิอาจนำมาเปรียบเทียบ ทว่าผู้ใดที่รักจะก้าวหน้าย่อมหวังให้ตนเองได้เข้าทำงานในหกกรม และขุนนางจัดการแซ่เวิงคนนั้นหากมิใช่ได้รับความชื่นชมและการผลักดันจากถังฟั่น ผู้ใดจะไปสังเกตเห็นนายอำเภอเล็กๆ คนหนึ่ง

ดังนั้นถึงกล่าวว่าความสามารถสำคัญมาก แต่มีผู้หลักผู้ใหญ่ชื่นชมก็สำคัญเช่นกัน

ซุนอวี้ไม่มีเส้นสายอันใด เพียงแต่หูตากว้างขวาง เขาล่วงรู้ว่าถังฟั่นเก่งกาจไม่เบา ย่อมต้องประจบเพิ่มหลายเท่า หากถังฟั่นสามารถต้องตาตน ช่วยสนับสนุนผลักดัน เช่นนั้นก็ยิ่งประเสริฐแล้ว

แต่เขาหาทราบไม่ว่าใต้เท้าถังเป็นผู้เสพติดการกิน เป็นจอมตะกละตัวจริงเสียงจริง เห็นถังฟั่นตอบรับอย่างกระตือรือร้นยังเข้าใจว่าตนสอพลอถูกจุด ในใจพลันลิงโลด ยิ่งแนะนำเป็นการใหญ่

กลับได้ยินคุณชายเสิ่นโพล่งขึ้นว่า “สนทนาอย่างเดียวออกจะน่าเบื่อ มิสู้สรรหาเรื่องบันเทิงใจมาเสริม อาหารมื้อนี้จะได้มีรสชาติยิ่งขึ้น”

เจ้าเมืองฟั่นพอฟังก็รู้สึกมีเหตุผล จึงยิ้มกล่าว “ตามความเห็นคุณชายเสิ่น ควรสรรหาเรื่องบันเทิงใจชนิดใดดี”

เสิ่นซือไม่ต้องคิดก็ตอบว่า “มิสู้หานางโลมสองสามคนมาร้องรำเพิ่มบรรยากาศ”

พอเอ่ยออกมา ทุกคนในที่นั้นพร้อมใจกันกระตุกมุมปากโดยมิได้นัดหมาย

ขุนนางราชวงศ์นี้ซ่องเสพนางคณิกาจะถูกปลดจากตำแหน่งและมิอาจเข้ารับราชการตลอดไป หากแค่เรียกนักร้องนางรำมาขับขานเพลงพิณก็ไม่เป็นไร

แต่ปัญหาคือผู้อื่นรุดมาสืบคดีในฐานะผู้แทนราชสำนัก และคดีที่สืบยังเป็นคดีของบิดาเจ้า เจ้ากลับยังมีอารมณ์ให้คนมาร้องเพลง เช่นนี้จะดีหรือ

เสิ่นซือคล้ายสำนึกได้ว่าคำพูดตนเองไม่เหมาะสมจึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ข้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องที่ผู้อื่นชมชอบกันก็พูดไม่เป็น ถ้าอย่างไรพวกท่านคิดกันเองเถอะ”

เจ้าเมืองฟั่นจึงกล่าว “มิสู้ต่อกลอนคู่ดีกว่า หากต่อไม่ได้ก็ปรับสุรา เป็นอย่างไร”

สวีปินยิ้มกล่าว “นอกจากข้าที่ปราศจากความรู้ความสามารถคนนี้ ทุกท่านล้วนเป็นผู้ทรงภูมิทั้งสิ้น หากต่อกลอนคู่ คนที่แพ้คงมีแต่ผู้น้อยแล้ว ดังนั้นจึงมีความคิดแผลงๆ อย่างหนึ่ง มิสู้เอาหยาโฉว* ขึ้นมาเล่นเดิมพันสุรา หมุนแล้วไปตกที่ใคร คนนั้นก็ต้องต่อกลอนของคนอื่นๆ ทั้งหมด ถ้าต่อไม่ได้ก็ปรับสุราหนึ่งจอก ไม่ทราบใต้เท้าทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

อันคำว่าเดิมพันสุรา ความจริงก็คือการละเล่นปรับสุรานั่นเอง หยาโฉวที่สมัยนี้ชอบใช้ไม่ใช่แท่งที่ทำจากกระดูกหรืองาช้าง แต่คือการนำเอาตุ๊กตาล้มลุกดินเผาตัวหนึ่งวางบนโต๊ะแล้วหมุน สุดท้ายตุ๊กตาหันหน้าไปทางผู้ใด คนนั้นต้องตอบคำถามที่คนอื่นๆ ผลัดกันถาม

ทุกคนล้วนรู้สึกการละเล่นชนิดนี้ลุ้นระทึกกว่ามากจึงโห่ร้องว่าดี ถังฟั่นไม่มีความเห็น ดังนั้นให้เจ้าเมืองฟั่นเริ่มหมุนเป็นคนแรก

เจ้าเมืองฟั่นบิด ‘หยาโฉว’ หลากสีตัวนั้น ตุ๊กตาล้มลุกหมุนติ้วบนโต๊ะ แล้วค่อยๆ ช้าลง สุดท้ายหันหน้าไปหยุดอยู่ที่ลู่หลิงซี

ลู่หลิงซีเกาศีรษะ ยิ้มแห้งๆ “ข้าไม่ชำนาญกลอนคู่เสียด้วย สามารถเปลี่ยนได้หรือไม่”

บนโต๊ะสุราไม่มีอาวุโส ยิ่งกว่านั้นลู่หลิงซีเป็นคนที่ถังฟั่นพามา มิใช่ตัวถังฟั่นเอง ทุกคนย่อมหัวเราะพลางตอบว่าไม่ได้

ลู่หลิงซีจำใจต้องประสานมือ “ผู้เยาว์ไร้สามารถ ใต้เท้าทุกท่านโปรดยั้งมือไว้ไมตรี”

เจ้าเมืองฟั่นเริ่มก่อน “ไผ่ขจีล่ำลาฤดูสารท”

ระดับความยากของวรรคแรกต่ำมาก เจ้าเมืองฟั่นย่อมไม่มีเจตนากลั่นแกล้งลู่หลิงซี เห็นอีกฝ่ายยอมรับว่าตนเองไม่แตกฉาน จึงขึ้นต้นกลอนคู่ที่แทบไม่มีความยากแต่อย่างใด

ลู่หลิงซีนิ่งคิดเล็กน้อย “เหมยงามโน้มนำวสันต์”

ถังฟั่นทราบ คนผู้นี้กำลังแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือชัดๆ เขามีตำแหน่งซิ่วไฉติดกาย ไหนเลยจะต่อกลอนคู่ไม่ได้ จึงแอบถลึงตาดุเขา จากนั้นค่อยกล่าว “สายตาแลสูงไร้สิ่งบดบัง”

ลู่หลิงซีแย้มยิ้ม “จิตใจเปิดกว้างเย็นชื่นสุดเปรียบ”

พวกซุนอวี้ย่อมไม่คิดมีปัญหากับลู่หลิงซีเช่นกัน ล้วนขึ้นต้นวรรคแรกอย่างเรียบง่าย ลู่หลิงซีก็ต่อได้อย่างคล่องแคล่ว รอดพ้นชะตากรรมโดนปรับสุราไปได้

ทว่าเมื่อถึงคราวของสวีปิน อีกฝ่ายกลับหัวเราะ “คุณชายลู่ติดตามใต้เท้าถัง ยินยลมาไม่น้อย คิดว่าคงเจนจัดโคลงกลอน หากวรรคแรกของข้าน้อยตื้นเขินเกินไปกลับจะเป็นการไม่ให้เกียรติคุณชายลู่ ไม่ทราบคุณชายคิดเช่นนี้หรือไม่”

ลู่หลิงซีหัวเราะ “คหบดีสวียกย่องข้าเกินไปแล้ว มาตรแม้นข้าไร้สามารถ หากก็มิอาจทำให้ใต้เท้าถังอับอาย เชิญคหบดีสวีตั้งคำถามเถอะ”

สวีปินกล่าว “ก่อนหน้านี้มีคนถามกลอนคู่กับข้า ข้าตอบไม่ได้มาตลอด ยามนี้ได้ประสบผู้ทรงภูมิเต็มโต๊ะ สามารถขอคำชี้แนะได้พอดี วรรคแรกนั้นก็คือ ‘ลำน้ำฮั่นเอ่อล้น บึงธาราท่วมท้นคลื่นพรั่งพรู’**”

ทุกคนต่างตะลึงลาน

กลอนวรรคแรกฟังดูราบเรียบ หากความจริงกลับประกอบขึ้นจากอักษรที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งสิ้น ซึ่งวรรคหลังจำเป็นต้องใช้วิธีที่สอดคล้องต้องกัน

การละเล่นปรับสุราในงานเลี้ยงต้อนรับประเภทนี้เดิมทีก็เพื่อฆ่าเวลาและแก้เบื่อ แต่สวีปินกลับตั้งโจทย์เช่นนี้ออกมา ฝ่ายตรงข้ามยังเป็นลู่หลิงซีที่อ่อนวัยไร้ชื่อเสียง นี่เหมือนเจตนาแกล้งกันชัดๆ

ถังฟั่นสองตาเป็นประกาย อดชำเลืองสวีปินแวบหนึ่งมิได้ กลับเห็นอีกฝ่ายปราศจากความผิดปกติ เพียงแย้มยิ้มกับลู่หลิงซี รอคอยวรรคหลังจากเขา

คนอื่นๆ ก็พลอยถูกสะกิดความตื่นตัวขึ้นมา พากันหมกมุ่นครุ่นคิด

เจ้าเมืองฟั่นนึกตำหนิสวีปินในใจ หากลู่หลิงซีตอบไม่ได้ ไยมิใช่ทำลายหน้าตาของถังฟั่นแล้ว โบราณว่าตีสุนัขต้องดูหน้าเจ้าของ ถึงเวลานั้นถังฟั่นไม่สบอารมณ์ขึ้นมา คนที่โชคร้ายไยมิใช่เขาผู้เป็นเจ้าเมืองคนนี้

ถังฟั่นกลับคล้ายมิได้ทุกข์ร้อนแทนลู่หลิงซี ดังคาด ขณะเขาดื่มน้ำแกงเข้าไปคำหนึ่ง ลู่หลิงซีก็กล่าวว่า “ ‘ท้องนภาแปลบปลาบ อัสนีเปรี้ยงๆ วายุฝนคึกคะนอง’*** คหบดีสวี ท่านคิดว่าวรรคท้ายนี้สอดคล้องกันหรือไม่”

สวีปินยิ้มกล่าว “สอดคล้อง สอดคล้องกันจริงๆ คุณชายลู่เป็นผู้ปราดเปรื่องโดยแท้ ดูท่าข้าต้องปรับสุราตนเองแล้ว”

จบคำเขายกสุราขึ้นดื่มสามจอกรวด หนำใจยิ่ง

ทุกคนพลอยหัวเราะไปด้วย

เมื่อถึงคราวคุณชายเสิ่น เขาขบคิดหัวแทบแตกค่อยนึกออกมาได้วรรคหนึ่ง ราวกับคนที่ลำบากใจกลับมิใช่คนต่อวรรคท้าย แต่เป็นเขาคนขึ้นต้นวรรคแรก

เสิ่นซือขมวดคิ้วใคร่ครวญอยู่เป็นนาน “อืม เอ่อ…เอ่อ…ได้แล้ว ข้าวร้อนแลข้าวหอมทั่วร้านอภิรมย์!”

“…”

ขณะทุกคนพากันอึ้ง ลู่หลิงซีกลั้นหัวเราะพลางต่อกลอน “ช่องบัญชรสว่างไสวแขกล้นหลาม”

เสิ่นซือผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ เขาเองก็ตระหนักว่าตนไม่ประสาจึงหัวเราะฮาๆ “คุณชายลู่เก่งกาจยิ่ง”

ลู่หลิงซียิ้มกล่าว “กลอนคู่ของคุณชายเสิ่นช่างสอดคล้องบรรยากาศ เรียบง่ายไร้เติมแต่ง ชวนให้รู้สึกเป็นกันเองดี!”

เสิ่นซือพลันดีใจใหญ่ คล้ายได้ประสบมิตรแท้ จึงรู้สึกประทับใจในตัวลู่หลิงซีขึ้นมา ประจวบกับทั้งสองนั่งติดกัน อายุไล่เลี่ย ไม่ช้าก็เสวนาอย่างถูกคอ

 

* หยาโฉว คือเบี้ยชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่ง ทำจากงาช้าง กระดูก หรือเขาสัตว์ ใช้สำหรับคำนวณตัวเลข นับรอบการดื่มสุรา นับเวลา หรือนับเดิมพัน

** ตัวอักษรภาษาจีนของประโยคนี้คือ 河汉汪洋,江湖滔滔波浪涌 ซึ่งอักษรทุกตัวมีคำว่าน้ำ (氵) ประกอบอยู่ด้านหน้า

*** ตัวอักษรภาษาจีนของประโยคนี้คือ 雲霄雷電,霹靂震震霈雨霖 ซึ่งอักษรทุกตัวมีคำว่าฝน (雨) ประกอบอยู่ด้านบน

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com