everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย
งานเลี้ยงต้อนรับงานนี้โดยรวมนับว่าเป็นที่สำราญบานใจทั้งแขกเหรื่อ จะมีก็แต่สวีปินซึ่งเป็นตัวแปรที่ไม่กลมกลืนเล็กๆ คนนี้
เพราะมีคำสั่งของเจ้าเมืองฟั่น บรรดาคหบดีด้านนอกไม่กล้าเข้ามารบกวนโดยพลการ กินเสร็จต่างคนต่างแยกย้าย ส่วนโต๊ะของพวกถังฟั่นครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะได้การละเล่นปรับสุรามาช่วยเสริมบรรยากาศ กว่าจะจบงาน แต่ละคนล้วนมีอาการมึนเมาแล้ว
เจ้าเมืองฟั่นพยุงถังฟั่นขึ้นรถม้าด้วยตนเอง ทั้งกำชับคนขับรถม้าให้ส่งใต้เท้าผู้แทนราชสำนักถึงบ้านพักรับรองให้เรียบร้อย
คนขับรถม้าไหนเลยเคยประสบเหตุการณ์ใต้เท้าเจ้าเมืองลดเกียรติมาสนทนากับตน ตื้นตันจนพูดตะกุกตะกัก พยักหน้าค้อมเอวรับคำติดๆ กัน
อันที่จริงถังฟั่นมิได้เมามายอันใด เขาแค่อยากอาศัยอาการเมาปิดฉากงานเลี้ยงครั้งนี้ให้เร็วขึ้น
เมื่อขึ้นรถม้าเสร็จเขาจึงคลายมือจากลู่หลิงซี แววตาที่เลื่อนลอยเล็กน้อยคืนสู่ความแจ่มใส
“อี้ชิง เจ้าฉวยโอกาสที่คนยังไปไม่ไกลไล่ตามเกี้ยวของนายอำเภอจี๋ บอกให้เขาไปที่บ้านพักรับรองเที่ยวหนึ่ง ข้าอยากพบเขา”
“เมื่อครู่ในงานเลี้ยงมิใช่พูดคุยกันตั้งมากมายก่ายกองแล้ว ยังจะคุยอีกหรือ”
ถังฟั่นเคาะศีรษะเขาทีหนึ่ง “เมื่อครู่แค่พูดคุยเป็นพิธี ข้ายังมีเรื่องงานต้องถามเขา”
ลู่หลิงซีไม่ค่อยเต็มใจนัก หากก็มิได้ปฏิเสธ เพียงกระโดดลงจากรถม้าไปตามคน
ไม่ถึงครู่เขาก็พาจี๋หมิ่นกลับมา
ถังฟั่นเลิกม่านรถ ยิ้มให้ฝ่ายหลัง “พี่จื่อหมิง หากไม่รังเกียจ คืนนี้ไปพักแรมที่บ้านพักรับรองเป็นอย่างไร นานแล้วที่เราสองมิได้พบหน้า ข้ามีวาจาไม่น้อยจะพูดกับท่าน”
จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “ประจวบเหมาะยิ่ง ข้าก็มีวาจาไม่น้อยจะกล่าวกับใต้เท้า ไม่ทราบรถม้าคันนี้ยังพอเบียดเข้าไปได้อีกคนหรือไม่”
ถังฟั่นกวักมือ “อย่าว่าแต่คนหนึ่งเลย อีกสองคนก็นั่งได้สบาย รีบขึ้นมาเถอะ เพิ่งดื่มสุราเสร็จโดนลมเย็น ระวังจะไม่สบาย”
จี๋หมิ่นมิได้โยกโย้ เกาะมือถังฟั่นมุดเข้ารถม้าไป
เจ้าเมืองฟั่นพยายามเอาใจถังฟั่นสุดฤทธิ์ รถม้าคันนี้ย่อมตกแต่งเป็นอย่างดี ไม่ต้องอื่นไกล เพื่อไม่ให้คนนั่งรู้สึกโคลงเคลง ภายในรถจึงปูด้วยฟูกหนาสามชั้น และเพราะยามนี้ตรงกับหน้าร้อน เหนือฟูกยังปูเสื่อไม้ไผ่ผืนหนึ่ง ดังนั้นคนนั่งอยู่ด้านบนไม่เพียงไม่รู้สึกโคลงเคลงยามรถม้าเคลื่อนที่ กลับค่อนข้างสุขกายสบายใจด้วยซ้ำ
พื้นที่ภายในก็กว้างขวางมาก บุรุษคนหนึ่งนอนแผ่ยังเหลือเฟือ เพิ่มจี๋หมิ่นอีกคนย่อมไม่เป็นอุปสรรคอันใด
ถังฟั่นเห็นลู่หลิงซีทำท่าจะนั่งข้างนอกกับคนขับรถม้าจึงถามเสียงฉงน “เหตุใดเจ้านั่งอยู่ตรงนั้น ไยไม่เข้ามา”
ลู่หลิงซีเข้าใจว่าจี๋หมิ่นมาแล้ว ถังฟั่นคงอยากสนทนาเป็นการส่วนตัว เพื่อเลี่ยงมิให้อีกประเดี๋ยวโดนไล่ออกมา มิสู้ออกมาเองอย่างรู้งาน มิคาดถังฟั่นกลับให้เขาเข้าไปนั่งข้างใน หลังชะงักไปเล็กน้อยลู่หลิงซีก็หน้าบานขึ้นมา ตอบรับคำหนึ่งแล้วหมุนตัวทันควัน มุดเข้ารถม้าอย่างว่องไว
จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “คุณชายลู่เป็นผู้ฝึกยุทธ์?”
ลู่หลิงซีตอบ “ไม่ถึงขั้นนั้น แค่ตอนเด็กๆ เคยฝึกหมัดมวยกับผู้อาวุโสเพิ่มความแข็งแรงเท่านั้นเอง”
จี๋หมิ่นกระเซ้า “คุณชายลู่ปัญญาเฉียบคม ฝีมือสูงส่ง เรียกได้ว่าเพียบพร้อมทั้งบุ๋นบู๊จริงๆ ไม่ทราบว่าอนาคตจะสอบรับราชการฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊”
ลู่หลิงซีหัวเราะเบาๆ ลำตัวครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังถังฟั่นคล้ายเขินอายเล็กน้อย
ถังฟั่นแม้ทราบว่าเขาไม่มีอุปนิสัยเช่นนี้หากก็มิได้เปิดโปง กลับช่วยแก้ต่าง “อี้ชิงเป็นบุตรของสหายอาวุโสท่านหนึ่งของข้า เขาอายุยังน้อยและมีนิสัยขี้เล่น ญาติผู้ใหญ่ในบ้านจึงให้เขาติดตามข้าออกมาเปิดหูเปิดตา ข้าปฏิบัติต่อเขาเสมือนน้องชายคนหนึ่ง”
ความนัยของถ้อยคำคือลู่หลิงซีมิใช่คนนอก
จี๋หมิ่นถอนใจ “ไม่พบหน้าหลายปี รุ่นชิงเหมือนอดีตไม่เปลี่ยน ยังดีต่อสหายเสมอ”
ถังฟั่นหัวเราะ “พี่จื่อหมิงชมเกินไปแล้ว ในเมื่อเป็นสหายย่อมต้องคบหาด้วยจริงใจ จะว่าไปเราสองไม่ได้เจอกันห้าหกปีแล้วกระมัง”
จี๋หมิ่นพยักหน้า “ตั้งแต่ข้าออกจากเมืองหลวงถึงบัดนี้ห้าปีเศษแล้ว”
ปราศจากคนนอก ถังฟั่นค่อยพินิจอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย พบว่าอีกฝ่ายไม่ห่อเหี่ยวท้อแท้เหมือนครั้งอยู่ที่เมืองหลวง ถึงแม้อายุมากกว่าเขาสองปี ดูไปกลับไม่ต่างจากอดีต เรือนผมดกดำ หน้าตาอิ่มเอิบสดใส หรือกล่าวได้ว่าชุดขุนนางนี้เดิมทีก็มีอิทธิพลใหญ่หลวง เมื่อสวมใส่บนร่าง เสน่ห์แห่งอำนาจที่ไร้รูปลักษณ์มักทำให้ผู้คนแลดูอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด
ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ดูท่าเจียงซีจะอุดมสมบูรณ์จริงๆ หลังท่านมาถึงที่นี่กลับแลดูสดใสกว่าแต่ก่อน”
จี๋หมิ่นหัวเราะฮาๆ มิได้เอ่ยแย้ง “อันที่จริงยังคงต้องมีงานมีการให้ทำ พอยุ่งขึ้นมาย่อมไม่ว่างไปครุ่นคิดฟุ้งซ่าน เมื่อก่อนข้าสอบตกซ้ำซาก ความคิดจึงคับแคบ มักรู้สึกคนนี้ขัดตา คนนั้นกลั่นแกล้งข้า แต่ตอนนี้เห็นโลกมากเข้า พอย้อนคิดถึงอดีต ก็แค่มายาลวงตา ให้รู้สึกละอายยิ่งนัก ไม่รู้ว่าพวกพี่เฉียวยังจำข้าได้หรือไม่ คราวหน้าถ้าเข้าไปรายงานข้อราชการที่เมืองหลวง หากพวกเขายังอยู่ที่นั่น ข้าคงต้องรุดไปขอขมาถึงที่ให้ได้”
“พวกเขาย่อมจำท่านได้แน่ อีกอย่างเมื่อก่อนท่านอารมณ์ไม่ดีมิใช่หรือ ทุกคนล้วนเข้าใจได้ ไม่ว่าใครถ้าตกอยู่ในสภาพนั้นอารมณ์ก็คงไม่ดีไปได้ การสอบรับราชการโชคชะตาสำคัญมาก พวกเราแค่โชคดีบรรลุเป้าหมายก่อนท่านก้าวหนึ่งเท่านั้นเอง บัดนี้ท่านสามารถเดินออกมาได้ พวกพี่เฉียวทราบเข้าต้องดีใจแน่นอน”
จี๋หมิ่นยิ้มกว้าง “เจ้ายังคงรู้จักพูด…”
ไม่ทันพูดจบรถม้าจู่ๆ ก็สะเทือนรุนแรง หยุดชะงักกะทันหัน ตามด้วยเสียงกู่ร้องของอาชา ตัวรถโยกคลอนอย่างหนัก พวกถังฟั่นจำต้องเกาะผนังรถเพื่อทรงตัว
“ใต้เท้าอย่าออกมา คุณชายลู่คุ้มกันใต้เท้าด้วย!” สีหมิงตะโกนลั่นจากข้างนอก
จี๋หมิ่นแตกตื่น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ความจริงไม่จำเป็นต้องให้สีหมิงบอกเป็นพิเศษ ลู่หลิงซีก็ชักกระบี่จากฝัก กุมมั่นในมือเรียบร้อยพลางสดับฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างตื่นตัวแล้ว
เสียงดาบกระบี่โรมรันดังลอดเข้ามา แทรกด้วยเสียงของพวกสีหมิง “โจรชั่ว บังอาจลอบทำร้ายกลางถนน แน่จริงจงทิ้งชื่อแซ่ไว้!”
ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่ตอบคำถามเขา ประเมินสถานการณ์จากการฟังในรถ การต่อสู้ข้างนอกน่าจะดุเดือดมาก
ถังฟั่นยังนับว่าเยือกเย็น ถึงขนาดมีแก่ใจไปปลอบจี๋หมิ่น “พี่จื่อหมิงไม่ต้องห่วง พวกสีหมิงรับมือได้แน่”
แม้กล่าวเช่นนั้น ในใจเขากลับอดจะขมวดคิ้วมิได้
ควรรู้ว่าสีหมิงและพวกรวมสี่คนคือระดับสุดยอดของสำนักประจิมมาก่อน ด้วยนิสัยของวังจื๋อย่อมไม่ยินดีส่งพวกที่ฝีมือเรียบๆ มาไว้ข้างกายเขา กระทั่งลู่หลิงซียังเคยพูดว่าหากสี่คนโจมตีพร้อมเพรียง ตนคนเดียวคงรับมือได้ไม่กี่กระบวนท่า
ทว่ายามนี้เวลาล่วงผ่านทีละนิดทีละน้อย ศึกด้านนอกกลับไม่มีวี่แววยุติ เสียงอาวุธกระทบกระทั่งกลับยิ่งมายิ่งกระหึ่มประหนึ่งฝนฟ้าคะนอง
ขณะนั้นม่านราตรีคลี่คลุม อำเภอหลูหลิงแม้มิใช่อำเภอเล็ก แต่เมื่อล่วงเข้ายามวิกาลบนท้องถนนก็ปราศจากผู้คนแล้ว เหลือเพียงคนเคาะบอกเวลาไม่ก็ทหารลาดตระเวน เสียงดังสนั่นปานนี้ทหารลาดตระเวนได้ยินเข้าพลันเร่งรุดมา กลับเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งกลางถนน คนและม้าสองฝ่ายที่ฐานะไม่ชัดแจ้งกำลังเข่นฆ่าชุลมุน ท่าทางคล้ายไม่ตายไม่รามือกระนั้น สองข้างของรถม้ามีคนทอดร่างไปแล้วหลายคน พิจารณาจากเสื้อผ้า ไม่เพียงมีคนขับรถม้า ยังมีเจ้าหน้าที่ของอำเภอ
ทหารลาดตระเวนเห็นเข้าก็ทราบว่าที่นั่งอยู่ในรถม้าต้องเป็นขุนนางท่านใดท่านหนึ่ง หลังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก พวกเขาทั้งไม่กล้าล่าถอย ทั้งไม่กล้าขึ้นหน้าไปร่วมวง ได้แต่ส่งคนหนึ่งไปขอความช่วยเหลือพลางแหกปากตะโกน “นั่นใคร บังอาจชกต่อยแถวนี้ ยามนี้ทหารรุดมายังไม่รีบวางอาวุธยอมจำนน”
ผู้ลอบจู่โจมคล้ายตัดสินใจแน่วแน่จะบุกเข้ารถม้าให้ได้จึงลงมืออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน ไหนเลยจะสนใจเสียงตะโกนของทหาร สมาธิล้วนวางไว้บนร่างของพวกสีหมิงที่รายล้อมอยู่นอกรถม้า
ขณะนั้นได้ยินเสียงตะโกนจากในรถ “ข้าคือจี๋หมิ่นนายอำเภอหลูหลิง ในรถคือขุนนางผู้แทนราชสำนัก พวกเจ้ายังไม่รีบกลับไปแจ้งข่าว!”
พอได้ยินเหล่าทหารก็พลันตกใจจนขวัญกระเจิง
อำเภอหลูหลิงอยู่ใต้อำนาจปกครองของเมืองจี๋อัน ข่าวสารของคนเหล่านี้ย่อมฉับไวกว่าที่อื่นมาก เรื่องขุนนางผู้แทนราชสำนักมาสืบคดีในเมืองจี๋อันพวกเขาล้วนทราบดี ปรากฏว่าผู้อื่นเพิ่งเข้าเขตอำเภอหลูหลิงก็ประสบเหตุร้าย หากเบื้องบนกล่าวโทษลงมา กลุ่มแรกที่จะดวงตกก็คือพวกเขานั่นเอง
ทหารหลายนายมองหน้ากันไปมา พลันไม่กล้านิ่งดูดายแล้ว จำต้องย่างเท้าไปทางรถม้าคันนั้นช้าๆ เกรงว่าหากพลั้งเพียงนิดอาจกลายเป็นซากศพเหมือนพวกดวงกุดที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหลายคนนั้น
ทว่ายอดฝีมือประหัตประหาร ไหนเลยมีที่ทางให้พวกเขาสอดมือ
ผู้ซุ่มโจมตียามวิกาลมากันมากถึงแปดคน พวกสีหมิงสี่คนแยกกันยืนล้อมรถม้าทั้งสี่ด้าน หนึ่งต่อสอง รับมือด้วยความกินแรงยิ่ง
ได้ยินเสียงต่อสู้ข้างนอกดังขึ้นเรื่อยๆ และทัพหนุนยังไม่มาเสียที ลู่หลิงซีที่อยู่ในรถอดรนทนไม่ไหว บอกกับถังฟั่นว่า “พี่ถัง ข้าออกไปช่วยก่อน” แล้วยกกระบี่เลิกม่านรถกระโจนออกไป
มีเขาเข้ามาเสริมทัพ ความกดดันของพวกสีหมิงพลันบางเบา แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นสถานการณ์ยังคงไม่สู้ดี
ไม่ต้องพูดถึงฝีมือของลู่หลิงซี เขาสืบทอดวิชาจากเส้าหลิน ทั้งผาดโผนยุทธภพ ประสบการณ์สู้รบไม่นับว่าอ่อนด้อย สีหมิงสี่คนก็ยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แต่รวมกันห้าคนยังคงตกเป็นรองคู่ต่อสู้
ไม่รู้ว่าคนชุดดำทั้งแปดนี้โผล่มาจากทิศใด พอลงมือก็ใช้กระบวนท่าปลิดชีพ อำมหิตสุดขีด คนของฝ่ายสีหมิงต้านรับแทบไม่ทัน เพียงแต่พวกเขาทราบว่าคนในรถม้าปราศจากพลังต่อต้านโดยสิ้นเชิง ดังนั้นต่อให้ทุ่มแรงสุดตัวก็ต้องรักษาแนวป้องกันรอบรถม้าคันนี้เอาไว้ให้ได้ ไม่อาจให้ฝ่ายตรงข้ามทะลุทะลวง
ถังฟั่นและจี๋หมิ่นอยู่ในรถม้า หนึ่งวันประดุจหนึ่งปี
เพื่อเลี่ยงมิให้สร้างความยุ่งยากแก่พวกสีหมิง ทั้งสองไม่อาจชะโงกออกไปชมดู ได้แต่นั่งมองหน้ากันอยู่ที่เดิม
ตั้งแต่ออกทัศนาจรนอกบ้านในปีนั้น ถังฟั่นประสบเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงมานักต่อนัก ยามนี้ยังไม่นับว่าอันตรายที่สุด ดังนั้นสีหน้าเขาจึงเยือกเย็น มีเพียงหัวคิ้วขมวดมุ่น ที่วิตกคือความปลอดภัยของพวกลู่หลิงซี
จี๋หมิ่นคงเพราะไม่อยากเผยความขลาดกลัวต่อหน้าถังฟั่น แม้สีหน้าขาวซีดหากยังคงรักษาความสงบเย็นไว้ได้ เพียงกำมือจนแน่น
ถังฟั่นเอ่ยปลอบว่า “ท่านไม่ต้องห่วง พวกอี้ชิงล้วนฝีมือดี ไม่เป็นไรหรอก”
จี๋หมิ่นฝืนยิ้มให้เขา ตามด้วยขมวดคิ้วแน่น “อำเภอหลูหลิงร่มเย็นมาตลอด ไม่เคยได้ยินว่ามีโจรผู้ร้ายอันใด ไฉนเจ้าเพิ่งมาถึงก็มีคนลอบสังหารแล้ว หรือก่อนหน้านี้ตอนอยู่ซูโจวเจ้าก็เคยเจอ?”
ถังฟั่นสั่นหน้า “ไม่เคย”
จี๋หมิ่นคาดคะเน “เช่นนั้น…หรือจะเกี่ยวกับคดีที่เจ้ากำลังสืบ?”
ถังฟั่นสะดุดใจวูบ
หากถามว่าเวลานี้ผู้ใดไม่อยากให้เขามาสืบคดีที่สุด นั่นมีเพียงเสิ่นคุนซิวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หัวหน้ากองการศึกษาคนหนึ่งจะเกี่ยวพันกับนักฆ่าเหล่านี้ได้อย่างไร
หรือคดีนี้มีนัยอื่นแอบแฝง
ขณะที่เขาฉุกคิดอยู่นั้น ลิบๆ ออกไปคล้ายมีเสียงควบม้า ตามด้วยเสียงคนโหวกเหวก
ส่วนพวกทหารลาดตระเวนที่ทำได้แค่ยืนมุงเพราะทำอะไรไม่ถูก เห็นแสงไฟใกล้เข้ามาจึงตื่นเต้นลิงโลด
ในที่สุดทัพหนุนก็มาแล้ว
ขุนนางผู้แทนราชสำนักและนายอำเภอหลูหลิงถูกกักอยู่ในรถม้าด้วยกัน พลทหารที่วิ่งไปแจ้งข่าวได้แต่ตรงดิ่งไปหาฟั่นเยวี่ยเจิ้งที่จวนเจ้าเมืองจี๋อัน
งานเลี้ยงเพิ่งเลิกรา เจ้าเมืองฟั่นดื่มจนเมามาย กำลังอยู่ระหว่างทางกลับจวนที่พัก เพิ่งถึงหน้าประตูก็เห็นทหารนายหนึ่งกระหืดกระหอบมารายงานว่าขุนนางผู้แทนราชสำนักโดนลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับ บนรถม้าคันเดียวกันยังมีนายอำเภอหลูหลิงอีกด้วย
ต่อให้เจ้าเมืองฟั่นเมาเพียงใด พอสดับก็สร่างไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว รีบรุดสู่ที่เกิดเหตุทันที
แต่ที่ปรึกษาคนสนิทกลับหัวไว รีบรั้งเขาไว้แล้วท้วงว่าตรงไปเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ อย่าว่าแต่ช่วยขุนนางผู้แทนราชสำนักไม่ได้เลย กระทั่งตนเองยังอาจเอาชีวิตไม่รอด มิสู้รีบไปเตรียมทัพหนุนจะดีกว่า
เพราะได้ยินว่าข้าศึกฝีมือแกร่ง ทั้งมีจำนวนมาก นายกองพันถานจึงนำทหารปืนไฟกลุ่มย่อยติดตามไป
กว่าจะตระเตรียมพร้อมพรักทำเอาเสียเวลาไม่น้อย